Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::  (อ่าน 84350 ครั้ง)

Unn

  • บุคคลทั่วไป
24 ต่อ

“นายมันเห็นแก่ตัวมากรู้มั้ย”
เสียงอุทธรณ์จากอีกคนที่กำลังจะขาดใจตายเพราะไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองห่วงหาเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ทำให้ทุกคนหันกลับไปมองอีกครั้ง หยาดน้ำตาหิมะ… ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ทำให้ทุกคนยิ่งสะเทือนใจ
“นายคิดว่าตัวเองห่วงมิสึกิคนเดียวหรือไง คนอื่นไม่เดือดร้อนเลยหรือไงที่จู่ๆหมอนั่นก็หายตัวไปแบบนี้ ฉันไม่รู้นายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เคยคิดบ้างมั้ยถ้าปุบปับหมอนั่นเป็นอะไรไป พวกเราที่เหลือจะรู้สึกยังไง ในเมื่อไม่มีโอกาสแม้แต่จะดูใจเค้าด้วยซ้ำ”
โนะอิระบายอารมณ์ใส่ไทกิอย่างเหลืออด แค่ต้องมานั่งกังวลว่ามันหายไปไหน ความรู้สึกก็แย่จนสุดจะทนแล้ว นี่ยังมาได้ยินข่าวร้ายให้ต้องห่วงหนักขึ้นไปอีก แล้วเค้าทำอะไรได้บ้าง นอกจากต้องมานั่งรออย่างสิ้นหวังแบบนี้
“ฉันจะพาไปเอง” ไทกิเปรยเสียงแผ่วเบา “ฉันจะพาพวกนายไปหามิสึกิ แต่ช่วยเตรียมใจไว้ด้วยนะ เพราะพอพวกนายเห็นสภาพเค้าอาจจะคลั่งเหมือนอย่างที่ฉันกำลังเป็นอยู่ก็ได้”
รุ่นน้องเดินนำหน้าไปเงียบๆโดยไม่พูดอะไรอีก การพาคนมากมายเดินทางไปคราวนี้อาจทำให้พวกมันรู้ตัว แต่เค้าก็เชื่อมั่นว่าเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนพร้อมใจจะปกป้องมิสึกิเหมือนอย่างที่เค้าอยากปกป้อง
‘ขอให้นายออกมาเถอะ… เซกิ เพราะฉันนี่แหละ จะเป็นคนตัดสินทุกอย่างเอง’

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เหล่าสมาชิกที่เหลืออยู่ตกใจจนพูดไม่ออก บนฟูกหนานุ่มมีร่างเพื่อนรักทอดกายสงบนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าซึ่งยามปกติจะเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา หากบัดนี้กลับปราศจากสีเลือดโดยสิ้นเชิง ดวงตาซึ่งเคยส่องประกายเฉกเช่นแสงแห่งดวงอาทิตย์ก็พริ้มหลับราวกับจะไม่มีวันตื่นขึ้นอีกชั่วกัปกัลป์
โนะอิทรุดฮวบลงข้างเตียง คว้ามือที่ครั้งนึงเคยจาบจ้วงล่วงเกินเอามากุมไว้แน่น

…มือหยาบกระด้างยังคงอบอุ่น…

นั่นคงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงสัญญาณแห่งชีวิต นอกเหนือจากลมหายใจที่รวยระรินลงทุกขณะ มีหลายครั้งที่ลมหายใจแผ่วเบาได้ขาดหายไปบางช่วง เสียงชีพจรจากเครื่องมอนิเตอร์ก็ดังแผ่วจนน่าใจหาย
“เกิดอะไรขึ้น?”
หัวหน้าซีเนียร์หันกลับมาถามน้องปีหนึ่ง แม้แต่พวกปีสองที่คิดว่าตัวเองทำใจได้ก็ยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไทกิเลยหน้าแล้วกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ
“ฉันคงบอกพวกนายไปมากกว่านี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าคนที่ทำร้ายพี่มิสึกิ มันเป็นคนที่ร้ายกาจมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกนายต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว รับรู้แค่นี้ก็พอแล้ว เพื่อความปลอดภัยของพวกนายเอง”
“แค่นี้เองเหรอสิ่งที่นายอยากอธิบาย!” โนะอิตวาดอย่างเหลืออด “มิสึกินอนเจ็บขนาดนี้ นายยังจะปิดบังพวกเราไปเพื่ออะไรอีก”
“ได้! ถ้านายอยากสู่รู้มากขนาดนั้น ฉันก็จะบอก” รุ่นน้องมันก็บ้าจนสุดจะทนแล้วเหมือนกัน ดี… เค้าเองก็อึดอัดใจมานานแล้วที่ต้องปิดบังฐานะตัวเอง บอกกันให้รู้ชัดๆไปเลยก็ดี หมอนี่จะได้เลิกตอแยกับเค้าอีก
“อย่านะ… ไทกิ” ซุยพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้มันยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลย เพราะทันทีที่เค้าเอื้อมมือไปจับไหล่ มันก็รีบสะบัดตัวหนีทันที
“ฉันคือหนึ่งในสามยมทูตของ Death flowers ฉายา Red Rose ส่วนคนที่นอนหมดสติอยู่นั่นก็คือ Black Sakura เพื่อนร่วมองค์กรของฉันเอง และคนที่ทำร้ายเค้าก็คือยมทูตคนสุดท้าย… White Lily แค่นี้ชัดเจนพอมั้ย”
คำเฉลยจากปากเด็กสามหาว ทำเอารุ่นพี่อึ้งไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งซุย เพราะเค้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนซี้ที่คบกันมาตลอดสองปี ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสามยมทูต มาซาฮิโกะแอบหนีไปช็อกเงียบๆนอกห้อง ส่วนโนะอิ… ตอนแรกก็ดูท่าทางจะตกใจไม่น้อย แต่พอหันกลับมาดูร่างคนไร้สติอีกครั้ง เค้าก็ถอนใจเบาๆแล้วทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเข้าหูเลย
“เอาล่ะ… ตอนนี้นายก็รู้ความจริงแล้ว คิดจะทำไงต่อ” รุ่นน้องยังยั่วโมโหไม่เลิก
“เรื่องของนายฉันไม่อยากรู้” โนะอิเลี่ยงประเด็นไปซะดื้อๆ “ตอนนี้ขอแค่ให้หมอนี่ฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว ส่วนใครจะเป็นจะตายฉันไม่สน”
“ไม่สน… หรือไม่กล้ายุ่งกันแน่”
“พอแล้วน่าไทกิ!” ซุยต้องรีบปราม ก่อนที่มันจะแผลงฤทธิ์ปากหมาไปมากกว่านี้ “ออกมาข้างนอก ฉันคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว” ว่าแล้วก็รีบลากไอ้ตัวยุ่งออกมา ก่อนที่ห้องคนป่วยจะระเบิด

โนะอิยังคงกุมมือคนป่วยไว้ไม่คลาย ว่าไปแล้ว… คำพูดของไอ้เด็กแสบนั่นจะไม่เก็บมาคิดเลยก็ไม่ได้ เพราะไม่ว่าครอบครัวไหนในวงการมืดก็ต้องสั่งสอนลูกหลานไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับองค์กรนรกนี่ทั้งนั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าตัวอันตรายจะมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก คนนึงเป็นคู่ปรับที่โค่นไม่ลง ส่วนอีกคน… ก็เป็นคนสำคัญที่จะปล่อยให้ตายไม่ได้
“มิสึกิ… ตื่นขึ้นมาเถอะนะ ได้โปรด”
รุ่นพี่กุมมือหยาบใหญ่มาประทับไว้บนแก้ม พลันทอดถอนใจด้วยความสิ้นหวัง สัญญาณชีวิตของหมอนี่แผ่วลงทุกทีแล้ว ครั้นเมื่อถึงที่สุดก็ไม่อาจฝืนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
หยาดน้ำตาวาวใสราวอัญมณีล้ำค่า… ไหลรินกระทบลงบนฝ่ามือใหญ่ ไออุ่นแผ่ซ่านผ่านผิวที่เย็นชืด ลมหายใจที่ขาดห้วงไปก็กลับชัดเจนขึ้นมาอีกครา จนในที่สุดปลายนิ้วเรียวก็เริ่มขยับ และเกาะกุมประสานกับมือบอบบางนั้นฉับพลัน!
โนะอิสะดุ้งสุดตัว เพียงอึดใจแรกที่เงยหน้าแล้วพบกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มซึ่งกำลังจ้องมองเค้าอยู่ เค้าก็เผลอคว้าร่างคนป่วยเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจเป็นที่สุด
มิสึกิยังคงอยู่ในอาการงงงัน ความรู้สึกแรกเมื่อตื่นขึ้นคือปวดร้าวไปทั้งร่าง และมีใครบางคนกำลังกอดเค้าอยู่ มิสึกิพยายามฝืนเพ่งมองผ่านดวงตาที่พร่ามัว ก็รู้ว่าเป็นรุ่นพี่คนเก่งของเค้านั่นเอง มือที่เย็นชืดเอื้อมมาลูบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง แม้ใบหน้าจะไร้สีเลือดแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้อย่างอบอุ่นที่สุด
“ตั้งแต่รู้จักกันมา ยังไม่เคยเห็นพี่ร้องไห้สักครั้ง แล้วคราวนี้เพราะอะไรที่ทำให้รุ่นพี่คนเก่งของผมถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาได้”
“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าเพราะอะไร ก็เพราะนายนั่นแหละ” โนะอิมองหน้าคนป่วยแล้วก็ตัดพ้อ “เคยคิดบ้างมั้ยว่าถ้านายตายไปแล้วฉันจะอยู่ต่อไปได้ยังไง”
“ก็ผมไม่รู้นี่ว่าผมจะมีค่ามากขนาดนั้น” มิสึกิยิ้มบางๆ “ที่ผ่านมาผมอยู่คนเดียวมาตลอด ผมก็เลยไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าผมตายจะมีคนร้องไห้เพื่อผมด้วย”
มือเย็นๆของเจ้าชายน้ำแข็งกุมมือคนป่วยไว้แน่น ที่ผ่านมาไม่เคยรู้… เพราะมัวยึดติดกับความหลงใหลในความรักที่ไร้ตัวตนกับซุย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรที่มีค่ากับชีวิตมากที่สุด และจะไม่มียอมสูญเสียไปอีกแล้ว เป็นครั้งแรกจริงๆที่โนะอิอยากจะแย่งชิงและรักษาบางสิ่งบางอย่างเอาไว้กับตัวตลอดไป
“นายไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่นายคิดหรอกนะมิสึกิ อย่างน้อยนายก็ยังมีเพื่อน และก็ยังมี…” ถึงตอนนี้รุ่นพี่ก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออก แก้มที่ขาวสนิทก็เริ่มจะติดสีระเรื่อ
“มีพี่ด้วยใช่มั้ย”
 คนหน้าด้านเป็นฝ่ายพูดซะเอง แล้วก็รุกต่อโดยการดึงร่างบางลงมากอดไว้แน่น
“พี่คงไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาผมอิจฉาเจ้าซุยมันแค่ไหน พี่มองมันคนเดียวโดยที่ไม่ยอมมองใครคนอื่นเลย จนผมเองยังตัดใจแล้วว่าถ้าวันหนึ่งต่างคนต่างเรียนจบและจากกันไป เราก็คงเป็นได้แค่เพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น แต่ถ้าตอนนี้… ความรู้สึกของเราตรงกัน ผมก็อยากให้พี่อยู่เคียงข้างผม อยู่ด้วยกันตลอดไป เติมเต็มความเหงาให้กันและกัน เพื่อจะได้ไม่มีใครที่ต้องอยู่อย่างเดียวดายอีก”
รุ่นพี่ฟังแล้วตื้นตันจนพูดไม่ออก นั่นสินะ… ที่คิดว่ารักซุย อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกที่อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้างก็ได้ แต่ตอนนี้เค้าไม่ต้องแสวงหาอีกต่อไปแล้ว เพราะ ‘ใครคนนั้น’ อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง
“ฉันเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ยิ่งได้รู้ข่าวว่านายเจ็บหนักฉันก็แทบคลั่ง ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านั่นจะเป็นความรักหรือเปล่า เพียงแต่… ฉันไม่อยากจะเสียมิสึกิไปอีกแล้ว”
แขนเพรียวกอดตอบรับ ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ จะใช่ความรักหรือไม่ไม่สำคัญ รู้เพียงอย่างเดียวว่าอยู่ตรงนี้แล้วอบอุ่นใจที่สุด
คนหน้าด้านยิ้มพราย ก่อนจะกระซิบเสียงที่ทำให้คนหน้าบางถึงกับเปลี่ยนสีหน้าแดงก่ำ
“งั้นถ้าผมหายแล้ว เราค่อยมาต่อจากคราวที่แล้วนะครับ”
มิสึกิขอดื้อๆ แต่โนะอิพูดอะไรไม่ออก นี่ขนาดมันป่วยปางตายยังมีหน้ามาพูดอะไรทะลึ่งๆแบบนี้อีก ไม่เจียมตัวเลยจริงๆ ให้ตายสิ…
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะมิสึกิ แล้วฉันจะพิจารณาเรื่องระหว่างเราอีกที”
“ผมน่ะรอดอยู่แล้ว พี่ไม่รู้เหรอว่าผมดวงแข็งแค่ไหน ไม่งั้นป่านนี้คงไปเซย์ฮัลโหลกับยมบาลแล้วล่ะ”
“อย่ามาพูดเรื่องตายต่อหน้าฉันอีกนะ” โนะอิทำเสียงเครียดจัด “ไม่รู้จักเป็นห่วงตัวเอง ก็ควรห่วงความรู้สึกคนอื่นบ้าง”
“ทำไม… กลัวต้องมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วไม่มีคนปลอบใจเหรอ”
“มิสึกิ!!” โนะอิตวาดไปอีกรอบ “ถ้ายังไม่เลิก ฉันจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”
โนะอิลุกหนี ลองมันกวนโอ๊ยได้ขนาดนี้แสดงว่าคงไม่ตายแน่ๆ แต่คนตื๊อก็ยังตื๊ออยู่วันยังค่ำ มันยังฉุดข้อมือรุ่นพี่ไว้แน่น แล้วกระชากลงไปกอดอีกครั้ง
“อยู่ต่อเถอะ… ผมอยากให้พี่อยู่ด้วย จะได้รู้สึกว่ามีกำลังใจที่จะหายเร็วๆ”
มิสึกิได้ทีก็อ้อนใหญ่ ความสุขใจที่ได้รับแม้แต่ความตายก็พรากมันไปจากเค้าไม่ได้ มือที่ลูบไล้เริ่มแผ่วลง เสียงลมหายใจก็ราบเรียบและเป็นจังหวะ จนคนที่ถูกกระชากลงมาเคลิ้มชักเอะใจ และพอเงยหน้ามองอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าคนหน้าด้านหลับปุ๋ยสบายใจเฉิบไปแล้ว
“โธ่เอ๊ย! นาย…”
โนะอิไม่รู้จะดุยังไง ก็มันหลับไปแล้วนี่ ถึงวีนไปก็คงไม่เข้าหู ก็เลยได้แต่จัดท่าให้คนป่วยได้นอนหลับให้สบายที่สุด จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆคอยกุมมือไว้ตลอด ไม่ว่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกกี่ครั้งก็จะพบเค้าอยู่เคียงข้างเสมอ
“ฉันรักเธอนะ มิสึกิ”
เสียงกระซิบที่บอกคิดว่าคนหลับคงไม่รู้ ก่อนจะจุมพิตนิทราแผ่วเบา แล้วฟุบหน้าลงข้างๆเพื่อพักผ่อนหลังจากผ่านคืนวันที่ทุกข์ทรมานมายาวนาน
ในความเงียบ… คนเจ้าเล่ห์ค่อยๆลืมตาแอบมองคนข้างๆ คำทุกคำ การกระทำทุกอย่างเค้ารับรู้หมดแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆหลับตาลงแล้วซึมซับกับฝันหวานตลอดทั้งคืน

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
มาคราวนี้ ยาวสะใจจิงๆ สงสัยตอนต่อๆไปต้องมันส์แน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  o13

ออฟไลน์ Turn_righT

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 492
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สนุกสุดๆ  o13
เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 25 New Student

“บอกตรงๆนะ… ตอนที่เห็นสภาพนายครั้งแรก ฉันคิดว่านายจะเดี้ยงไปจริงๆซะแล้ว”
คนเฝ้าไข้กัดคนป่วยได้อย่างร้ายเหลือ จนมิสึกิต้องแก้เครียดด้วยการกัดแอปเปิ้ลแล้วเคี้ยวดังกร้วมๆ
“ปากนายเหรอนั่นซุย เห็นเพื่อนเจ็บแล้วยังมาแช่ง มิน่าตอนที่หลับอยู่ถึงฝันร้ายตลอด”
“เอาน่า… ตอนนี้นายฟื้นก็ดีแล้ว กินเข้าไปเยอะๆจะได้หายไวๆ แล้วกลับไปช่วยฉันทำงานต่อไง”
ซุยส่งแอปเปิ้ลสีแดงสดไปให้อีกลูก แต่คราวนี้คนป่วยเอาไปถือไว้ดูเล่นเฉยๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“นายคงรู้แล้วสินะว่าฉันเป็นใคร”
คำถามเรียบง่าย แต่ก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาฉับพลันจนต่างฝ่ายต่างก็อึดอัด แล้วก็เป็นคุณชายสายน้ำอีกเช่นเคยที่เป็นคนคลายความขัดข้องใจทั้งมวล
ไหนๆก็ไหนๆ มีคนรักเป็นยมทูตแล้ว มีเพื่อนรักเป็นยมทูตอีกสักคนจะเป็นไรไป
“ฉันก็เพิ่งรู้จากไทกิ แต่ฉันก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ นายเป็นคนมีความสามารถรอบตัว แถมยังอ่านคนเก่ง ถ้าไม่ใช่สิถึงแปลก”
“งั้นเชียว” มิสึกิแอบอมยิ้ม “เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่นายชมฉัน”
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
เสียงที่สามดังมาจากประตูหน้าห้อง มันอาศัยบารมีเจ้าของที่ถือวิสาสะผลักประตูเข้ามาดื้อๆโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงก่อน
“เสร็จงานแล้วเหรอครับคุณไทกิ” มิสึกิทักเป็นคนแรก
“อืม…” รุ่นน้องพยักหน้า “เพิ่งเจอตัว ‘วายะ’ หัวหน้าองครักษ์แดง ฉันเลยฝากให้ช่วยตามข่าวของเซกิ พี่มิสึกิไม่ต้องห่วงนะ คนของฉันจะช่วยคุ้มกันที่นี่อย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็คงกันพวกองครักษ์ฝ่ายขาวไม่ให้คาบข่าวไปบอกเซกิได้”
“เซกิคงไม่สนใจผมแล้วล่ะครับ ก็เป้าหมายจริงๆของเค้าคือคุณไทกินี่นา”
คำบอกเล่าตรงๆที่เล่นงานเพื่อนซี้จนเครียดจัด แต่พวกยมทูตกลับทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จู่ๆก็มีคนถือมีดมาตามฆ่า ไอ้พวกนี้มันใช้ชีวิตกันยังไงนะ ไม่เคยคิดจะกลัวตายบ้างเลยหรือไง คิดแล้วซุยก็ได้แต่กุมขมับดับอารมณ์เครียดไปพลางๆ
“วันนี้ฉันว่างทั้งวัน ลาอาจารย์ชิงุเระมาแล้วด้วย จะอยู่เฝ้าไข้พี่มิสึกิเอง ซุยกลับไปเรียนเถอะ นายน่ะยังเหลืองานของสภาค้างไว้ตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ ปล่อยพี่โนะอิทำอยู่คนเดียว เดี๋ยวแกก็งอนอีกหรอก”
มันได้ทีก็รีบไล่ จนคนที่อดทนนั่งหลังขดหลังแข็งป้อนข้าวป้อนน้ำคนป่วยทั้งวันแอบเขม่นตาค้อน
“งั้นฉันกลับก่อนนะ พวกนายก็อย่าสุมหัววางแผนก่อเรื่องอีกล่ะ อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนที่เป็นห่วง”
ซุยต้องปรามไว้ก่อน เพราะไม่เชื่อน้ำหน้าสักเท่าไหร่ว่าพวกมันจะยอมอยู่เฉยๆ รอรับอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย จากนั้นก็ยอมเก็บของแล้วกลับไปที่โรงเรียน

เช้าวันนี้อากาศดูอึมครึมผิดปกติ… คงเพราะมีเมฆฝนตั้งเค้าตั้งแต่เช้า ซุยเป็นหัวหน้านำชั่วโมงโฮมรูม จนถึงเก้าโมงเช้าอาจารย์ประจำชั้นก็เข้ามา แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกวัน เพราะยังมีนักเรียนใหม่อีกคนเดินตามอาจารย์เข้ามาด้วย
เด็กหนุ่มคนนั้น… ทำให้เพื่อนๆทั้งห้องตะลึงตั้งแต่แรกเห็น ร่างนั้นสูงเอาการ ผิวขาวสนิท หน้าตาใสหมดจด ผมสีบลอนด์เงินดูยุ่งนิดๆ ทั้งจมูกทั้งปากสวยได้รูป แต่ที่ชวนมองที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาสีน้ำตาลอมแดงที่ทั้งสวยและน่าเกรงขาม เค้าปราดมองทุกคนทั่วห้อง ก่อนจะโค้งให้ซุยที่ยังยืนนำโฮมรูมอยู่หน้ากระดาน
“เอาล่ะจ้ะ… วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่จะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก”
อาจารย์มิกะ… อาจารย์ประจำวิชาสังคมศาสตร์ และเป็นอาจารย์ประจำชั้นของปี 2 ห้อง 1 แนะนำนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนวันแรก
“เด็กคนนี้เพิ่งย้ายมาจากชิกะ ชื่อของเค้าก็คือ…”
อาจารย์หันไปทางนักเรียนใหม่ อาการขี้ลืมกำเริบอีกตามเคย เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินผ่านซุยแล้วหยิบช็อคขึ้นมาเขียนชื่อตัวเองบนกระดาน

‘คุเรโนะ เซกิ’

ชื่อที่เขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรหวัดๆ แต่ทำเอาหัวหน้าห้องถึงกับช็อกจนเก็บอาการสั่นไว้ไม่อยู่
‘ไม่น่าเป็นไปได้ มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง’
“ผมชื่อ คุเรโนะ เซกิ จะเรียกว่า ‘เซกิ’ เฉยๆก็ได้ ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นโค้งให้อีกรอบ ทั้งน้ำเสียงที่นุ่มนวล และกิริยามารยาทที่อ่อนน้อมก็ดูไม่น่ามีพิษสงอะไร เค้าคงคิดมากไปเอง คนชื่อเซกิก็มีออกจะเกลื่อนเกาะญี่ปุ่น เค้าคงไม่บังเอิญขนาดได้มาคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกยมทูตครบทีมแบบนี้หรอก
“อืม… จะให้คุเรโนะคุงนั่งตรงไหนดีนะ เก้าอี้ตัวไหนว่างบ้างจ๊ะเด็กๆ ช่วยยกมือบอกเพื่อนหน่อยเร็ว”
ครูมิกะยังพูดไม่ทันขาดคำ นักเรียนใหม่ซึ่งเล็งที่นั่งไว้แต่แรกแล้วก็เดินดุ่มๆเอากระเป๋าไปวางจองที่ไว้เรียบร้อย แต่ก่อนที่มันจะนั่งลง คนข้างหลังก็ดึงเก้าอี้เอาไว้ไม่ให้มันฉวยโอกาสยึดไปเป็นของตัวเอง
“ที่ตรงนี้มีเจ้าของอยู่แล้ว รู้สึกข้างหลังห้องจะยังมีที่ว่างเหลืออยู่ นายลองไปหาดูสิ” มาซาฮิโกะปรามเจ้าเด็กใหม่
ก็แหงล่ะ… ไอ้หมอมันทำตัวนิ่งๆแต่ที่จริงร้ายลึก เล็งตรงไหนไม่เล็ง ดันมาเล็งโต๊ะข้างหัวหน้าห้อง ซึ่งเดิมทีเป็นของมิสึกิอยู่แล้ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงตวัดมองมาซาฮิโกะตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าในชั่ววูบเย็นชาเชือดเฉือนราวกับจะบันทึกเอาไว้ในจิตใต้สำนึก ก่อนที่มันจะแกล้งกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มหวานๆ แล้วโค้งตัวขอโทษไปอีกรอบ
“ขอโทษที ฉันไม่รู้จริงๆว่าที่ตรงนี้มีเจ้าของแล้ว พอดีเห็นมันว่างอยู่ งั้นฉันจะย้ายไปนั่งหลังห้องก็ได้” ว่าแล้วมันก็สะพายกระเป๋าแล้วเดินเชิดหน้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสุดท้ายติดกับหน้าต่าง
ซุยจบชั่วโมงโฮมรูม จากนั้นก็ส่งต่อให้อาจารย์มิกะสอนต่อ เค้ากลับมานั่งที่เดิมแล้ว แต่ก็ยังไม่วายแอบชำเลืองมองนักเรียนใหม่ซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่หลังห้อง สายตาของเด็กหนุ่มคนนั้นก็จ้องเขม็งมาที่เค้า แต่ทุกครั้งที่เค้าหันไปมองก็จะมีเพียงรอยยิ้มที่ส่งมาให้
อันที่จริงมันก็ดูเป็นมิตรดี… แต่ความรู้สึกกดดันที่อัดแน่นอยู่ข้างในมันคืออะไรกันแน่
ซุยพยายามสลัดความคิดทุกอย่างออกจากสมอง ก่อนจะตั้งสมาธิไปที่การเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“นายเป็นหัวหน้าห้องใช่มั้ย”
นักเรียนใหม่เดินเข้ามาทักในช่วงพักกลางวัน ซุยกับมาซาฮิโกะที่กำลังจะไปที่สภาพิเศษหันมาสบตากัน ซุยพยักหน้าให้เพื่อนซี้ล่วงหน้าไปก่อน ก่อนจะหันมาเจรจากับเด็กใหม่
“นายมีธุระอะไร?”
เด็กใหม่ยังไม่ตอบ แต่เดินอ้อมมาสำรวจรอบตัวซุยตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนจะประเมินอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ฉีกยิ้มหวานให้ตามฟอร์ม
“พอดีฉันยังไม่ค่อยรู้ทางในโรงเรียนน่ะ โรงอาหารก็ไม่รู้อยู่ไหน นายช่วยพาไปหน่อยได้มั้ย”
ซุยลอบถอนใจด้วยความเซ็ง “โทษทีนะ… แต่ฉันกำลังยุ่ง เดี๋ยวฉันจะฝากเพื่อนคนอื่นให้พานายไปด้วยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็หันไปหาตัวช่วย เพราะดูท่าทางจะมีหลายคนที่ถูกใจเด็กใหม่เอามากๆทีเดียว
“โอเค… ถ้านายไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะลองเดินสำรวจดูรอบๆเองก็ได้ ขอบใจนะ” เด็กใหม่ปฏิเสธ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินหนีออกจากห้องไปดื้อๆ
“เฮ้ย! ซุย นายแล้งน้ำใจเกินไปหรือเปล่า เค้าเพิ่งมาใหม่นะ ดีไม่ดีเกิดเดินหลงทางไปจะว่าไง” เพื่อนคนนึงเข้ามากอดคอกอดดันท่านประธานรุ่น
“ก็ฉันยังมีงานต้องทำ”
“โธ่เอ๊ย… ไอ้งานสภาพิเศษนะเหรอ แค่ช่วงพักกลางวันชั่วโมงเดียว ถามจริงเถอะพวกนายจะทำอะไรได้ ฉันว่านายน่าจะเทคแคร์เพื่อนใหม่หน่อยนะ เสียสละเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ไอ้สภาสูงสุดของนายคงไม่ล่มหรอก”
ที่เพื่อนพูดมาก็มีเหตุผล เวลาแค่ชั่วโมงเดียวจะเรียงลำดับเอกสารเสนอ ผอ. ยังไม่ทันเลย เอาน่า… เค้าเองก็ยังมีเรื่องที่คาใจกับหมอนั่นอยู่ อยากรู้เหลือเกินว่ามันจะเป็น ‘เซกิ’ คนเดียวกันกับที่ไทกิเคยพูดถึงหรือเปล่า
ซุยตามเพื่อนใหม่ลงมาข้างล่าง ยังเห็นมันเดินเอ๋อวนเวียนอยู่แถวหน้าตึก หัวสีเงินสะบัดซ้ายสะบัดขวาเหมือนเลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหน ความคิดที่เคยหมายมาดว่ามันจะเป็น White Lily ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ก็เอ๋อซะขนาดนั้น ไม่เห็นจะเหมือนจอมโหดที่ไทกิเคยพูดถึงสักนิด
“นายจะไปไหน?” ซุยเดินเข้าไปทัก มันก็หันหน้ามาทำตาปริบๆ “ถ้าจะไปโรงอาหาร ฉันจะพาไปเอง”
“เดี๋ยว!” เซกิฉุดแขนซุยเอาไว้ “เมื่อครู่ฉันถามรุ่นน้องจนรู้ทางไปโรงอาหารแล้วล่ะ แต่อยากเดินอ้อมดูรอบๆโรงเรียนก่อน นายจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ ฉันกำลังอยากได้ไกด์พอดีเลย”
“ได้สิ…”
ซุยพยักหน้ารับเนิบๆ จากนั้นก็พาเดินแนะนำตึกเรียนต่างๆเป็นอันดับแรก

การพาเดินทัวร์รอบโรงเรียนคราวนี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักเรียนใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะแถวตึกชมรมซึ่งมีสภาพิเศษตั้งอยู่ด้วย เซกิขอเวลายืนดูอยู่ตั้งนาน
“โรงเรียนนี้เจ๋งมากเลย โรงเรียนเก่าฉันนะอย่างมากก็มีแค่พวกชมรมฟุตบอล บาสเก็ตบอล อะไรทำนองนั้น แต่ที่นี่ขนาดชมรมยิงปืนยังมี ฉันทึ่งมากจริงๆนะ”
“นายน่ะอยู่ที่ชิกะมาตลอดเลยเหรอ” ซุยหาจังหวะตะล่อมถาม จู่ๆคงไปตามตรงๆว่า ‘นายใช่ White Lily หรือเปล่า’ คงไม่ได้ ค่อยๆเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆดีกว่า
เซกิปรายหางตามองซุย ก่อนจะแกล้งชมตึกไปเรื่อยเปื่อย นานทีเดียวกว่าที่มันจะยอมตอบคำถามของเค้า
“ฉันเกิดที่ชิกะ” มันเลี่ยงที่จะตอบแค่นั้น แล้วเดินนำหน้าไปทางโซนหอพักเป็นที่ต่อไป
โซนหอช่วงพักกลางวันเงียบมาก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไปรวมตัวอยู่ที่โรงอาหาร ซุยชี้ให้ดูหอพักของปีหนึ่งและปีสองซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน พร้อมกับอธิบายกฎระเบียบหอพักไปพลางๆ

Unn

  • บุคคลทั่วไป
25 ต่อ

เซกิจ้องไปที่หน้าต่างชั้นสามของหอไฟ …ห้อง 301… ตอนนี้ห้องถูกปิดไว้เพราะไม่มีใครอยู่ ไทกิมักจะไปค้างกับมิสึกิถ้าไม่มีงาน ส่วนฮิโระกับคาโอรุก็ปั่นงานของสภาพิเศษจนดึกดื่นทุกวัน ห้องก็เลยแทบจะกลายเป็นห้องร้างไปแล้ว
“ที่นี่น่าอยู่ดีนะ… มิน่าล่ะ ‘เค้า’ ถึงไม่ยอมกลับไปเลย”
เด็กหนุ่มเบือนหน้ามองทะเลสาบพร้อมกับถอนใจเศร้าๆ ที่นี่สวยงามเหมือนดินแดนแห่งเทพนิยายไม่มีผิด บรรยากาศก็ร่มรื่นราวกับอยู่ในความฝัน ท้องฟ้าผืนน้ำล้วนถูกเสกสรรปั้นแต่งมาเป็นอย่างดี
‘สิ่งที่คุณต้องการคือแบบนี้เองหรือ เพื่อนจอมปลอม โรงเรียนที่น่าเบื่อ มันน่าพิสมัยตรงไหนกัน!’
ซุยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อีก 15 นาทีก็จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว ถ้าไม่รีบทั้งเค้าและเด็กใหม่ก็คงไม่ได้กินข้าวเที่ยงแน่
“ฉันว่าเราไปที่โรงอาหารเลยดีกว่า ตึกหลักๆฉันแนะนำให้นายรู้จักหมดแล้ว ที่เหลือก็ค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ อีกไม่นานนายก็จะคุ้นไปเอง”
ซุยว่าแล้วก็เดินนำหน้าไปที่โรงอาหาร แต่เจ้าเด็กใหม่ก็ยังเอาแต่จ้องทะเลสาบไม่วางตา ซุยไม่แน่ใจนักว่ามันจะได้ยินที่เค้าพูดหรือเปล่า แต่ก็ไม่อยากตื๊อแล้ว มันจะทำอะไรก็ช่าง จะยืนเหม่ออยูตรงนี้จนกว่าจะหมดเวลาพักเที่ยงก็ตามใจ เค้าเองก็มีงานหลายอย่างที่ต้องทำ คิดดังนั้นแล้วเค้าก็เดินหันหลังจากไป
แต่สิ่งที่ทำให้คุณชายสายน้ำต้องเปลี่ยนใจหันกลับมาอีกครั้ง ก็ตอนที่ได้ยินเสียงนุ่มๆเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและเยือกเย็นราวคมมีดน้ำแข็ง เรียกรั้งตัวเค้าเอาไว้

“เทนโนะ ซุย”

เซกิหันกลับมาช้าๆ ใบหน้าที่เคยเป็นมิตรดูเปลี่ยนไปมาก นัยน์ตาขับสีเข้มราวกับสีเลือดของพญามัจจุราช กลิ่นไอของความเคียดแค้นชิงชังฉายชัด เป็นครั้งแรกที่นักคุ้มกันคนเก่งรู้สึกเกรงกลัว ทั้งๆที่ผ่านมาไม่ว่าจะเจออุปสรรคยากลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยหวาดหวั่น แต่คราวนี้… สัญชาตญาณในใจบอกเค้าว่า ไม่ควรไปต่อกรกับมันเด็ดขาด!
ยมทูตหลับตาลงช้าๆ นัยน์ตาเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิมอีกครั้งเมื่อมันลืมตาขึ้น มันแกล้งมองไปทางทะเลสาบ หันหลังให้ศัตรูโดยไม่หวั่นสักนิดว่าจะถูกจู่โจมจากทางด้านหลัง
“นี่จะเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย… อย่าเข้าใกล้คุณไทกิอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น… นายจะต้องตามมิสึกิไปลงนรกอีกคนแน่”
เพียงชั่วอึดใจเดียวที่ซุยเผลอกระพริบตา มีดสีเงินวาวก็พุ่งมาปักเฉียดปลายเท้าไปแค่เสี้ยว ร่างของยมทูตอันตรธานหายไปพร้อมสายลมที่โหมกระหน่ำ พัดพาสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
คำเตือนประโยคนั้น… ยังคงก้องอยู่ในหู มีดที่ปักอยู่ตรงปลายเท้าก็ท้าทายราวกับจะตอกย้ำถึงฝีมือที่อ่อนด้อยอย่างไม่อาจเทียบชั้นกันได้ มือที่ไม่เคยกลัวเกรงต่อสิ่งใดก็สั่นเทาไม่หยุด ร่างทั้งร่างถูกตรึงไว้ด้วยสามัญสำนึกที่เรียกว่า ‘ความกลัว’
ไม่นานนัก… สายน้ำแห่งความสิ้นหวังก็ทรุดตัวลงท่ามกลางสายฝน ชะล้างความอ่อนแอภายในใจให้ไหลไปพร้อมความเย็นเยือกจากฟากฟ้า

ตอนเย็น… ในห้องสภานักเรียนยิ่งวุ่นหนัก โนะอิถูกเรียกไปประชุมแต่เช้า มาซาฮิโกะก็ต้องไปติดต่อสปอนเซอร์เรื่องงานวัฒนธรรม ส่วนซุย… ก็ไม่เข้ามาเลยทั้งวัน เหลือแต่ฮิโระกับคาโอรุที่กำลังจะถูกกองเอกสารทับตายคาห้อง
“โอ๊ย! หิวจังเลย”
ไอ้ตัวป่วนกระแทกประตูห้องดังปัง ก่อนจะแวบเข้าไปในห้องสวัสดิการรื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าเอามาใส่ปากเคี้ยวหมุบหมับ
“นายไปเยี่ยมพี่มิสึกิมาไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่แวะกินข้าวข้างนอกก่อนกลับมาล่ะ” เจ้าฮิโระเห็นท่ากินอย่างกะชูชกแล้วก็อดแขวะไม่ได้ “แล้วพี่มิสึกิเป็นไงบ้าง ใกล้จะหายหรือยัง”
ไทกิที่ยังเคี้ยวอาหารเต็มปากก็พยักหน้าหงึกหงัก “ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ หมอบอกว่าอีกอาทิตย์นึงก็จะหายเป็นปกติ กลับมาเรียนได้แล้ว”
“แล้วตกลงพี่มิสึกิเป็นอะไรกันแน่ นายยังไม่ได้เล่าให้พวกฉันฟังเลยนะ”
 คาโอรุได้ช่องก็รีบถามทันที ตั้งแต่กลับมาจากมิยางิก็มีแต่ข่าวว่าพี่มิสึกิหายตัวไป จนกระทั่งมานอนป่วยหมดสภาพอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ครั้นจะขอตามไปเยี่ยมเจ้าไทกิก็ไม่ให้ไป พวกพี่ๆก็ทำตัวแปลกๆ ไม่มีใครพูดถึงสาเหตุอาการป่วยของพี่มิสึกิสักคน ทุกคนเอาแต่ปิดปากเงียบ ทำเหมือนกำลังปิดบังความลับบางอย่างเอาไว้
ไทกิตกใจกับคำถามของเพื่อนซี้จนสำลักซาลาเปาทั้งลูก รีบยกน้ำชาขึ้นมาซดก่อนที่จะจุกคอตายซะก่อน
“ก็บอกแล้วว่าเป็นอีสุกอีใส ต้องแยกไปรักษาตัวสักระยะ นายจำไม่ได้หรือไง” ไอ้ตัวแสบแก้ตัวไปเรื่อย
“แต่ฉันก็เคยเป็นแล้วนะ ขอไปเยี่ยมบ้างไม่ได้เหรอ รับรองว่าไม่ติดหรอก” คาโอรุยังตื๊อไม่เลิก
“โอ๊ย! ไม่ได้หรอก พี่มิสึกิเค้าอายน่ะ ตอนนี้ตุ่มขึ้นเต็มตัวเลย น่าเกลียดจนไม่อยากให้ใครเห็นแล้ว ขนาดฉันไปเยี่ยมพี่เค้ายังเอาแต่หลบอยู่ในม่านเลย”
“เป็นหนักขนาดนั้นเชียว…”
“เอ้อ… ฮิโระ แผนงานซ่อมแซมหอพักอยู่ตรงไหนเหรอ” เจ้าไทกิมันรีบตัดช่อง โดยการแกล้งทำท่าสนใจงาน มันรื้อกองเอกสารที่ขวางหน้าทำเป็นหยิบขึ้นมาดูเล่นเพื่อกลบเกลื่อน
คาโอรุลอบถอนใจเบาๆ ถึงตื๊อต่อไปมันก็คงไม่บอก เอาเถอะ… ก็คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ไม่อย่างนั้นไทกิก็คงไม่มานั่งใจเย็นทำงานอยู่ที่นี่หรอก
“เออนี่… แล้วซุยล่ะไปไหน ตั้งแต่กลับมาฉันยังไม่เห็นเลย” ว่าแล้วก็กวาดสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง เผื่อจะโดนกองเอกสารทับอยู่มุมไหนสักแห่ง แต่ก็ไม่เห็นเลย
“ฉันน่าจะเป็นฝ่ายถามนายมากกว่านะไทกิ ปกติเห็นติดรุ่นพี่อย่างกะปาท่องโก๋ แต่นี่ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่เห็นพี่ซุยแม้แต่เงา”
“ฉันก็บอกให้กลับมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ คนอย่างซุยไม่น่าทิ้งงานนะ” ไทกิชักเป็นห่วงขึ้นมาตะหงิดๆ ปกติซุยไม่เคยเหลวไหล จะไปไหนก็ต้องบอกเค้า ช่วงนี้ยิ่งมีเรื่องวุ่นๆอยู่ เล่นมาหายตัวไปแบบนี้ใจคอไม่ค่อยดีเลย
ซุย… คงไม่ซวยขนาดบังเอิญเดินไปเจอกับเซกิหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็…

กริ๊งงงงงงงงงง………………..

เสียงโทรศัพท์ในห้องสภาพิเศษดังขึ้น ฮิโระที่อยู่ใกล้ที่สุดสะดุ้งโหยง จนทำตั้งเอกสารที่อุตส่าห์เรียงไว้ล้มลงมาทั้งกอง นักฆ่าที่กำลังนึกอยากกลั้นใจตายพยายามไหลตัวไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล!” ฮิโระทำเสียงหงุดหงิด มองดูเอกสารที่พังพินาศด้วยความเจ็บปวด
“นี่ฉันเองนะ… มิสึกิ”
เสียงที่ตอบกลับมาทำให้นักฆ่าเปลี่ยนอารมณ์ระรื่นฉับพลัน เพราะปกติเป็นรุ่นพี่ที่คุยง่ายที่สุดเลยสนิทด้วยที่สุด ไม่ได้ยินเสียงนานแล้วก็ยิ่งคิดถึง
“ไงพี่… ได้ข่าวว่าเดี้ยงเลยเหรอ”
“ปากนายติดเชื้อเจ้าซุยมาหรือเปล่าเนี่ย” มิสึกิแกล้งดุ “ไทกิอยู่มั้ย ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“ได้เลย”
ฮิโระโยนโทรศัพท์ไปให้ไทกิรับสาย มันทำหน้างง เพราะเพิ่งแยกกับมิสึกิมาแหม็บๆแล้วจะโทรมาทำไมล่ะเนี่ย
“พี่มิสึกิมีอะไรเหรอ?” ไทกิทำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก
“เปล่า… แค่อยากจะบอกว่าถ้าคุณไทกิกำลังนึกห่วงใครบางคนอยู่ล่ะก็ ไม่ต้องห่วงแล้วนะ เพราะตอนนี้มันอยู่กับผมและก็คงจะค้างที่นี่ด้วย แต่มันอาย ไม่กล้ารายงานผู้ปกครองด้วยตัวเอง เลยให้ผมโทรมารายงานแทนนี่แหละ คุณไทกิไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลมันเป็นอย่างดีเลย”
“ซุยอยู่นั่นเหรอ ค่อยยังชั่วหน่อย” ไทกิถอนใจอย่างโล่งอก “งั้นฝากบอกด้วยนะว่าพรุ่งนี้จะไปรับ ให้รอกลับพร้อมกันด้วย”
“ครับผม… ราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้านะครับคุณไทกิ”
ปลายสายวางหูไปเรียบร้อย ไทกิโล่งใจที่อย่างน้อยซุยก็ยังปลอดภัยดี ตอนนี้ก็มีแรงฮึดทำงานต่อแล้ว สามสหายจึงช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามัจจุราชตัวจริงได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้แล้ว

ที่ห้องใต้ดินโรงแรมโกลเด้นเบย์… ที่หลบซ่อนของเหล่าองครักษ์ซากุระ
มิสึกิจ้องคนเซื่องซึมที่เอาแต่นั่งจับเจ่าอยู่มุมห้อง วันนี้มันแปลกตั้งแต่ที่มันกลับมาแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกมะลอกมะแลกเหมือนเดินตากฝนมาตลอดทาง แถมมาถึงก็เอาแต่นั่งกอดเข่าซบหน้าอยู่มุมห้อง ไม่ยอมพูดยอมจาสักคำ
“นี่ซุย… จะบอกฉันได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
คนป่วยยอมลงทุนกระเสือกกระสนลงจากเตียงทั้งที่เจ็บจะแย่ แล้วไปนั่งปลอบใจข้างๆ
“ฉันรู้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนอย่างนายไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่นายมาที่นี่เพราะอยากได้คนปรึกษาไม่ใช่เหรอ แล้วถ้านายไม่พูดฉันจะช่วยนายได้ยังไง”
คนซึมยอมเงยหน้าขึ้นมาจากหัวเข่า นัยน์ตาสีเข้มมีแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด เค้าล้วงมือที่สั่นเทาเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาให้เพื่อนซี้ดู
มิสึกิเห็นแล้วก็แปลกใจนิดหน่อยในตอนแรก ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ
“โธ่เอ๊ย! คิดว่าเรื่องอะไร มันคงไปทักทายนายแล้วล่ะสิ เจ้าเซกิน่ะ”
เพื่อนคนที่คิดว่าจะมาหวังพึ่งมันพูดเหมือนเห็นเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ทั้งที่เค้ากลัวจนทำอะไรไม่ถูก จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนมานั่งทำใจอยู่ที่นี่
“ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองอ่อนแอและไร้ฝีมือแค่ไหน หมอนั่นยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่ยืนจ้องหน้าฉันแล้วพูดขู่ไม่กี่คำ ฉันก็ขยับก้าวขาไม่ออก ถ้ามันลงมือฉันคงไม่มีทางป้องกันตัวเองได้เลย ฉันเคยเชื่อว่าตัวเองจะปกป้องไทกิได้ แต่พอได้เจอกับเซกิจริงๆ ฉันถึงได้รู้ว่าที่ไทกิเคยปรามาสฉันไว้ เค้าพูดถูกทั้งหมด”
มืออุ่นๆของมิสึกิเอื้อมไปจับไหล่ของเพื่อนไว้ไม่ให้สั่น
“นายน่ะโดนหลอกแล้วรู้มั้ย… ซุย” มิสึกิปลอบให้มันเห็นความจริง “เซกิมันไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นหรอก มันก็แค่ใช้จิตวิทยาตื้นๆกับนายเท่านั้น ความกลัวจะทำให้คู่ต่อสู้ถอดใจยอมแพ้ นี่คือสิ่งที่พวกฉันเรียนรู้มา เพราะฉะนั้น… ถ้านายก้าวไปตามเกมของมัน ก็เท่ากับนายยกธงขาวยอมแพ้โดยที่ยังไม่ลงมือสู้ด้วยซ้ำ”
“แต่มันเอาชนะนายได้ เราก็เห็นกันอยู่” ซุยพยายามย้ำถึงสิ่งที่เป็นจริง ถ้า White Lily ไม่แน่จริง คงไม่ทำให้เพื่อนของเค้าบาดเจ็บปางตายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก
“ฉันไม่นับว่านั่นเป็นการต่อสู้ แต่ฉันเรียกว่า ‘ลอบกัด’ ถ้าเผชิญหน้ากันตรงๆ ฉันไม่มีทางแพ้มันอยู่แล้ว”
ซุยยังเอาแต่กัดฟันแน่น เค้าพยายามข่มความกลัวเหมือนอย่างที่มิสึกิพูด แต่ก็ทำไม่ได้เลย
“ซุย… นายเคยเห็นคุณไทกิสู้มาแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นทำไมนายถึงกล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับเค้าตรงๆล่ะ นายโดดเข้าไปขวางหน้าแล้วห้ามเค้า ทั้งๆที่ถ้าพูดกันตามความจริงคุณไทกิน่ะเก่งกว่าเซกิซะอีก”
“ก็ฉันรู้ว่าไทกิจะไม่ทำร้ายฉัน”
“นายคิดผิดแล้วซุย” มิสึกิส่ายหน้า “เวลาที่ยมทูตจะสังหารใคร มันไม่คิดหรอกว่าคนๆนั้นจะฆ่าได้หรือไม่ได้ มันคิดเป็นเพียงอย่างเดียวว่าต้องฆ่า สัญชาตญาณแบบนี้ไม่เพียงแต่เซกิเท่านั้นที่มี ทั้งฉัน ทั้งคุณไทกิ ก็ถูกปลูกฝังให้มีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเหมือนกัน”
“หมายความว่าถึงเป็นนาย ถ้าต้องสู้กับฉัน ก็จะฆ่าฉันได้โดยไม่ลังเลเลยเหรอ”
“ใช่… เวลาอยู่ในโหมดยมทูตน่ะ ฉันไม่คิดหรอกว่านายเป็นใคร ฆ่าได้ฉันก็ฆ่าทั้งนั้น แต่ฉันอาจจะดีกว่าเซกิหน่อย ตรงที่ฉันรู้จักควบคุมสวิตซ์ของตัวเอง”
ซุยนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ความนึกคิดของพวกยมทูตช่างซับซ้อนเกินกว่าคนธรรมดาอย่างเค้าจะเข้าใจได้จริงๆ ดูผิวเผินพวกมันก็เหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีพิษสงอะไร แต่พอสติหลุดลอยก็กลายเป็นเครื่องจักรที่ไร้ความปรานี
“ซุย… ฉันมีคำสอนของคุณเคโตะที่ฉันชอบมากประโยคหนึ่ง เขาบอกฉันว่า ‘ไม่มีอุปสรรคใดในโลก ที่คนเราจะข้ามไปไม่ได้ ขอแค่มีความกล้าพอที่จะก้าวข้ามไปเท่านั้น’ ฉันถึงไม่เคยหวั่นกลัวกับสิ่งใด เพราะฉันรู้ว่าถ้าฉันเชื่อมั่นฉันจะทำได้ทุกอย่าง”
มิสึกิยกบทเทศนาสมัยที่ยังฝึกอยู่กับพ่อของไทกิขึ้นมาอ้าง
“การต่อสู้ไม่ได้วัดกันแค่ฝีมืออย่างเดียว แต่วัดที่ใจด้วย ถ้านายไม่เชื่อว่าจะเอาชนะมันได้ แล้วนายจะเอากำลังใจที่ไหนไปสู้กับมันล่ะ”
ซุยเงยหน้ามองเพื่อนซี้อีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าพวกยมทูตที่เรียนรู้เฉพาะการฆ่า จะมีคำสอนดีๆแบบนี้เหมือนกัน
“นายพูดถูก… ฉันไม่ควรยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้”
“คิดแบบนั้นก็ดีแล้ว ถึงฉันจะไม่เคยสู้กับนายจริงจังนะซุย แต่ฉันก็พอจะรู้ว่านายเก่งแค่ไหน นายน่ะไม่แพ้เซกิหรอก เชื่อฉันสิ”
คำปลอบใจจากเพื่อนรักทำให้ซุยมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง มีดที่ถืออยู่ในมือพอดูดีๆแล้วก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ มือของเค้าก็ไม่สั่นแล้ว นี่คงจะเป็นจิตวิทยากลลวงจิตใจของเจ้าเซกิมันจริงๆ เค้าเกือบจะตกหลุมพรางมันอยู่แล้ว โชคดีที่กลับตัวทัน ไม่อย่างนั้น… เค้าก็อาจจะทิ้งสิ่งสำคัญแล้วหนีไปอย่างคนขี้แพ้ก็ได้
“ฉันไม่มีเตียงจะแบ่งให้นายหรอกนะ ถ้าจะนอนก็เชิญที่โซฟาโน่นเลย อ้อ… แล้วพรุ่งนี้ช่วยอยู่รอคุณไทกิด้วยนะ เค้าบอกจะมารับ ถ้าเค้ามาแล้วไม่เจอนาย จะมาวีนที่ฉันอีก”
มิสึกิสั่งซะยืดยาว ก่อนจะโดดลงไปนอนที่เตียงแล้วก็หลับปุ๋ยไปอย่างรวดเร็วเหมือนเด็กไม่มีผิด ซุยมองแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม อันที่จริง… พวกยมทูตนี่ก็ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน ก็เหมือนคนธรรมดาที่มีชีวิตจิตใจเหมือนพวกเรานี่เอง
มาเลย… เซกิ คราวนี้ฉันจะไม่มีวันหนีอีกแล้ว!

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 26 The Beat Inside

เช้าวันนี้… รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ไทกิเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสลัดความคิดที่สับสน เมื่อคืนนี้ก็นอนไม่หลับ เช้านี้ก็ออกมาแต่เช้ามืดเพราะมีหลายคนที่ยังเป็นห่วง ในรถไฟฟ้าที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนซึ่งเร่งรีบไปทำงาน แต่เค้ากลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างราวกับถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในป่าลึก
เซกิ… นายคิดจะทำอะไรกันแน่?
ความรู้สึกกดดันที่คืบคลานเข้ามาใกล้ เหมือนปีศาจร้ายในเงามืดที่กำลังรอให้เหยื่อมาติดกับ แม้จะรู้ดีว่าเซกิไม่มีวันทำร้ายเค้า เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าเค้าจะทำร้ายเซกิมากมายแค่ไหน หมอนั่นก็ไม่เคยตอบโต้สักครั้ง แต่คนรอบตัวเค้าล่ะ… จะมั่นใจได้ยังไงว่าพวกนั้นจะปลอดภัย
ไม่มีทางรับประกันได้เลย…

‘สถานีอิเคะบุคุโระ’

ขบวนรถไฟจอดนิ่งยังสถานีปลายทาง ไทกิลุกจากที่นั่ง รอจนคลื่นฝูงชนที่ออกันอยู่หน้าประตูเบียดกันออกไปจนหมดแล้ว เค้าถึงเดินใจลอยออกไปจากสถานี โรงแรมโกลเด้นเบย์อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก เดินต่อไปอีกประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่ก็มากพอที่จะให้เค้าได้คิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา
“วันนี้คนน้อยจัง”
ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆตอนที่เดินผ่านห้องโถงของโรงแรม แล้วก็นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาตะหงิดๆ
แปลกมาก… ถึงปกติตอนเช้าๆลูกค้าในโรงแรมจะมีไม่มาก แต่ก็ต้องมีพวกองครักษ์ฝ่ายยมทูตดำแฝงตัวเป็นพนักงานกระจายตัวกันคอยอารักขาอยู่ตามจุดต่างๆ แต่นี่กลับไม่มีใครเลย แม้แต่ยูอิ
นี่มันออกจะผิดปกติมากเกินไปแล้ว!
ไทกิรีบวิ่งไปกดลิฟท์ ใช้รหัสลับของพวกซากุระแล้วลงรวดเดียวจนถึงชั้นใต้ดิน และทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เค้าก็ได้เห็นสภาพข้างล่างจนชัดเจนเต็มสองตา แล้วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมข้างบนถึงไม่มีองครักษ์เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว
เหตุการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่กว่าที่คิด และเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะเตรียมใจรับได้ทัน สภาพร่างที่ไร้วิญญาณขององครักษ์ฝ่ายดำและขาวซึ่งปะทะกันนอนจมกองเลือดอยู่ตามรายทางไปจนถึงห้องพักของมิสึกิ เสียงปืนยังลั่นรัวเป็นระยะ ตอกย้ำถึงสิ่งที่เค้ากำลังกลัวเป็นที่สุด
ทั้งซุยและมิสึกิ… ยังอยู่ที่นี่ ถ้าสองคนนั้นเป็นอะไรไปล่ะก็ เค้าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองอีกเลย!
เท้าเล็กๆรีบนำพาวิ่งไปอย่างรวดเร็วที่สุด กลั้นใจข้ามผ่านร่างของเพื่อนร่วมองค์กรเพื่อเข้าไปช่วยคนสำคัญ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

“หกโมงแปดนาที”

เสียงทักทายของตัวการซึ่งนั่งสบายใจเฉิบอยู่บนเก้าอี้โยกกลางห้อง ทันทีที่เค้าผลักประตูเข้าไปเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
“คุณมาช้ากว่าเวลาที่ตั้งไว้แปดนาที ผมเลยต้องเสียพนันให้เจ้าริวมันเลย แย่จัง…”
เซกิส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง แต่ก็ยังยิ้มระรื่นที่ได้พบคนที่จากไปอีกครั้ง
ไทกิไม่สนใจเสียงกวนใจของมัน เค้ารีบกวาดสายตาไปทั่วห้อง ภาพที่เห็นยังไม่เลวร้ายอย่างที่คิด องครักษ์ฝ่ายยมทูตดำยังคงทำหน้าที่พิทักษ์ผู้นำของเค้าอย่างเข้มแข็ง แม้ว่าจะถูกต้อนจนมุมแล้วก็ตาม ซุยกับมิสึกิก็ยังปลอดภัยอยู่ภายใต้การคุ้มกัน แต่ดูจากสภาพที่เห็น พวกนั้นเองก็คงป้องกันไว้ได้อีกไม่นานแล้ว เพราะต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลยทีเดียว
อดีตผู้นำหันมาอีกด้าน นอกจากองครักษ์ฝ่ายขาวที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมไม่แพ้พวกฝ่ายดำ ยังมีกลุ่มองครักษ์แดงรอรับคำสั่งจากเซกิเงียบๆอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และถ้าเมื่อไหร่พวกนี้ได้รับคำสั่งให้ลุยด้วย พวกมิสึกิก็คงเละ
“วายะ! ฉันบอกให้นายคอยจับตาดูเซกิไงล่ะ ทำไมพาพรรคพวกตามก้นมันมารุมพวกมิสึกิแบบนี้!”
หัวหน้าองครักษ์ฝ่ายยมทูตแดงซึ่งเครียดอยู่แล้วยิ่งพูดไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาปริบๆเพื่อหวังจะให้อดีตเจ้านายเข้าใจถึงความลำบากของพวกเค้าบ้าง
“พวกนี้มันไม่มีทางเลือกหรอกคุณไทกิ ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของผู้นำคนปัจจุบันก็เท่ากับเป็นคนทรยศ และพวกมันก็ต้องมีสภาพเหมือนพวกองครักษ์ดำที่นอนกองเป็นศพอยู่ข้างนอก!”
เซกิหยามหยันให้ได้ยินกันทั้งห้อง องครักษ์ฝ่ายแดงหลายคนได้แต่กัดฟันกรอดๆแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้ ไทกิตวัดหางตามองคนที่เค้าไม่อยากเจอมากที่สุดในชีวิต และยิ่งเกลียดมันมากขึ้นไปอีกเมื่อมันเฝ้าตามจองล้างจองผลาญคนสำคัญของเค้าไม่หยุดหย่อนแบบนี้
“เซกิ”
ไทกิกัดฟันเรียกชื่อที่ไม่อยากจะเอ่ยถึง นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงคล้ายกันก็หันมาสบอย่างท้าทาย ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มบางๆ
“แหม… ไม่เจอกันตั้งนาน อย่าทักทายด้วยเสียงเย็นชาแบบนั้นสิครับคุณไทกิ ฟังแล้วน่าใจหายชะมัด”
มันยังมีหน้ามาย้อนทั้งที่เค้ากำลังโกรธสุดๆ มือเผลอเอื้อมไปลูบแส้คู่ใจโดยไม่รู้ตัว
“นายจะมาหาเรื่องฉันไม่ใช่เหรอ งั้นก็ปล่อยพวกนั้นไปเดี๋ยวนี้ พวกเค้าไม่เกี่ยว”
“คงไม่ได้หรอกครับ” ลิลลี่ปีศาจยังยียวนไม่เลิก “ซากุระทำผิดกฎของเราอย่างร้ายแรง เค้าไม่ยอมส่งข่าวคุณให้ทางองค์กรรับทราบ แถมยังให้ความช่วยเหลือคุณหลบหนี คุณไทกิคงยังไม่รู้… ตลอดสองปีที่พวกเราติดตามหาคุณไม่พบ เพราะซากุระสังหารองครักษ์มือดีที่สุดของผมไปถึงห้าคน ข้อนี้ผมถือว่าเข้าข่ายเป็นกบฏต่อองค์กร ซึ่งโทษมีเพียงสถานเดียวเท่านั้น ก็คือ… ตาย!”
“แต่นายไม่มีสิทธิ์ทำอะไรโดยพละการ คนที่จะตัดสินโทษซากุระได้มีคนเดียวเท่านั้น ก็คือ ฉะ…”
จู่ๆไทกิก็พูดไม่ออก เกือบลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่คนขององค์กรและไม่ใช่หัวหน้าของพวกนี้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำให้เค้าออกคำสั่งกับพวกมันได้ คือเค้าต้องกลับสู่ตำแหน่ง Red Rose และนั่นย่อมหมายถึง… การต้องแลกด้วยอิสรภาพทั้งหมดของตัวเอง
“อย่าเสียเวลาเจรจากับมันเลยครับคุณไทกิ มันก็แค่ยกเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้างเพื่อจะฆ่าผมเท่านั้น ถึงไม่มีเรื่องนี้มันก็ต้องหาทางเก็บผมอยู่ดี ก็เราน่ะไม่ค่อยจะลงรอยกันมาตั้งนานแล้วนี่นา” มิสึกิออกความเห็นบ้าง
“ถูกต้อง” เซกิปรบมือให้ “คนที่จะอยู่ข้างคุณไทกิมีฉันคนเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนชอบสอดรู้สอดเห็นอย่างนายหรอก”
“หึ… ที่นายอยากฆ่าฉัน เพราะกลัวฉันจะบอก ‘ความจริง’ กับคุณไทกิมากกว่ามั้ง หรือไม่จริง”

ปัง!!

เซกิตบโต๊ะตัวข้างๆจนล้มคว่ำ ทุกคนที่ยืนประจันหน้าต่างขยับอาวุธทั้งๆที่ไม่เรี่ยวแรงเหลือพอแม้แต่จะถือปืนแล้ว ใบหน้าของลิลลี่ปีศาจในยามนั้นแดงก่ำบ่งบอกถึงความแค้นฝังลึก มีดสั้นอาวุธประจำกายที่พกติดตัวตลอดก็เริ่มเอาออกมาควงเล่น เรื่องความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง ซัดทีเดียวรับรองตัดขั้วหัวใจชนิดจอดสนิทไม่มีทางตอบโต้ ยูอิขยับเข้ามาขวางเป็นด่านหน้า ถ้าคิดจะเอาชีวิตเจ้านายก็ต้องข้ามศพเจ้าหล่อนไปซะก่อน
แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้… คนที่ไม่เคยคิดอยากจะยุ่งเกี่ยวองค์กรนรกนี่สักนิด ก็จำเป็นต้องก้าวออกมาจากเกราะคุ้มกันเพื่อปกป้องเพื่อนรักและคนที่เค้ารักมากที่สุด
ซุยคิดทบทวนหลายตลบว่าถ้าพบกับเซกิอีกครั้งเค้าควรจะทำอย่างไร ถึงจะเคยกลัวจับใจจนแทบไม่อยากต่อกรด้วย แต่เพราะได้รับพลังใจมากมายจากมิสึกิ เค้าถึงหนีไม่ได้ คราวนี้จะเป็นการตอบแทนน้ำใจกลับคืน ทั้งมิสึกิ และก็เพื่อไทกิด้วย
“ฉันจะไม่ยอมให้นายทำร้ายคนอื่นไปมากกว่านี้แล้ว วันนี้ถึงต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็จะหยุดนายให้ได้”
“เทนโนะ ซุย” เซกิส่ายหน้า แล้วเห็นเป็นอารมณ์ขันมากกว่าจะกลัว “ถ้านายเลือกที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ยื่นมือเข้ามาสอด ฉันก็จะถือว่านายไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง และก็คงจะปล่อยนายไปโดยไม่มีแม้แต่ริ้วรอยขีดข่วน แต่นี่นายกลับพูดมากเกินความจำเป็น หรือว่าลืมไปแล้ว… เรื่องที่ฉันเคยพูดกับนายที่โรงเรียนวันนั้น”
“ฉันไม่กลัวนายแล้วเซกิ ไม่ว่านายจะเป็นปีศาจมัจจุราชมาจากไหนก็ตาม ฉันมีหน้าที่ปกป้องไทกิ และก็จะไม่มีวันละทิ้งหน้าที่นี้เด็ดขาด”
“คุณไทกิ!” ลิลลี่กัดฟันกรอดๆ “นายไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อของเค้าตรงๆแบบนั้น!!”
“ฉันก็เรียก ‘ไทกิ’ มาตั้งนาน ไม่เห็นเค้าจะเดือดร้อนตรงไหน” ซุยยังยั่วไม่เลิก
“พอเถอะ… ซุย” ไทกิอยากจะห้าม แต่ดูเหมือนไม่ทันแล้ว
ใบหน้าของลิลลี่ในยามนี้แข็งกร้าว ดวงตาฉายแววชั่วร้ายราวกับปีศาจนรก มันคือยมทูตสังหารที่ไม่เคยปล่อยเหยื่อหน้าไหนให้รอดชีวิต และก็ไม่เคยปล่อยให้เหยื่อลาโลกอย่างสงบสุขด้วย แต่มันจะค่อยๆทรมานจนกว่าจะตายไปอย่างทารุณที่สุด
“เทนโนะ ซุย… ฉันเคยเตือนนายแล้ว แต่นายไม่ยอมฟังคำสั่งฉัน จากนี้ไปฉันจะทำให้นายได้เรียนรู้ถึงคำว่าสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จนกว่านายคิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยมือตัวเองเลยล่ะ”

ติ๊ดดดดดดดดด……

พอมันพล่ามจบ เสียงโทรศัพท์มือถือของซุยก็ดังขึ้น มันพอเหมาะพอเจาะจนไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ คุณชายสายน้ำล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบโทรศัพท์ออกมารับสายเงียบๆ
“พี่ซุย!”
น้ำเสียงร้อนรนที่ตอบกลับมาเป็นเสียงน้องชายคนที่สาม ซึ่งฟังแล้วไม่ชวนให้สบายใจสักนิด
“อาราชิ… พี่กำลังยุ่ง” ซุยกระซิบเสียงดุกลับไป
“ฟังผมก่อน… พี่ต้องรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย พี่ยูคาริประสบอุบัติเหตุรถตกเขา อาการโคม่าอยู่ในห้องไอซียู พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับจากงาน พี่ฮิริวก็ไม่รู้หายไปไหนติดต่อไม่ได้เลย ผมทำอะไรไม่ถูกแล้วนะครับพี่”
อาราชิส่งเสียงสะอึกสะอื้นมาพร้อมข่าวร้ายที่สุด โทรศัพท์มือถือหล่นพรวดจากมือ ใบหน้าของนักคุ้มกันมือหนึ่งซีดสนิท แล้วพอเค้าตวัดสายตามองไอ้ปีศาจที่ยืนกร่างอยู่กลางห้อง เค้าก็ได้รับคำเฉลยที่เลวร้ายที่สุด
“ได้ข่าวว่านายมีพี่น้องห้าคน เป็นนักคุ้มกันทั้งบ้าน แต่พี่ชายคนโตไม่เห็นจะแน่ตรงไหน โดนคนของฉันเล่นด้วยไม่เท่าไหร่ก็พลาดท่าซะแล้ว เอ… แล้วคนต่อไปฉันจะเล่นกับใครดีนะ” เซกิหัวเราะร่วน เหมือนกำลังเล่นเกมที่สนุกที่สุดในชีวิต แต่ทำให้คนอื่นในห้องช็อกจนพูดไม่ออก โดยเฉพาะซุย
“นายทำแบบนี้ทำไม!!” ซุยได้แต่กัดฟันกรอดๆ ทั้งที่ใจจริงอยากกระโดดเข้าไปขย้ำคอมันซะให้รู้แล้วรู้รอด ติดอยู่ก็แต่เพื่อนซี้ยังอยู่ในวงล้อมของมัน เค้าจึงทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้
“ฉันก็เคยเตือนนายแล้วนี่ว่าอย่าบังอาจเข้าใกล้คุณไทกิ แต่นายไม่ฟังฉันเอง คิดว่าใครจะเป็นรายต่อไปล่ะ พี่ชายคนรองที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน หรือน้องชายคนที่สามที่เฝ้าคนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล”
มันพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น ซุยกำหมัดแน่นเม้มปากจนเลือดซิบ แต่ก็พูดไม่ออก ยิ่งเค้าฝืนดื้อดึงเท่าไหร่ คนในครอบครัวก็จะยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น แล้วนี่เค้าควรจะทำยังไงดี
“พอได้แล้ว!”
ไทกิตัดสินใจก้าวไปขวางหน้าระหว่างคนทั้งสอง ถึงแม้เค้าจะต้องการอิสรภาพมากแค่ไหน แต่จะปล่อยให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปมากกว่านี้ไม่ได้ เค้าจะต้องเป็นคนยุติมันด้วยตัวเอง… นัยน์ตาสีแดงเข้มจ้องเขม็งไปยังเพื่อนร่วมองค์กรอย่างปวดร้าว
“พอซะทีเถอะ… เซกิ อย่าทำร้ายใครไปมากกว่านี้อีกเลย” ไทกิลงทุนอ้อนวอนขอร้อง ทั้งๆที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้มันเห็นมาก่อน
“ถ้าคุณยอมกลับมาเป็น Red Rose อย่าว่าแต่ให้ปล่อยซากุระเลยหรือละเว้นชีวิตใครเลย แม้แต่จะสั่งผมไปตาย ผมก็ทำได้เพื่อคุณ แต่ถ้าคุณไม่ใช่… คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้น นอกจากยืนดูเพื่อนคุณตายไปทีละคน”
“เซกิ!” ไทกิตวาดออกไปเสียงดัง “นายจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้วนะ”
“โหดเหี้ยมเหรอ?” เซกิแสยะยิ้ม “อย่าลืมสิครับคุณไทกิ ที่ผมเป็นผมอย่างทุกวันนี้ก็เพราะพ่อของคุณสั่งสอนมาทั้งนั้น จะว่าไปแล้วผมยังโหดได้ไม่เท่าครึ่งนึงของเค้าด้วยซ้ำ”
พอเจอคำค้านแบบนี้กุหลาบแดงถึงกับเถียงไม่ออก พ่อสั่งสอนพวกเรามาอย่างนั้นจริงๆ สอนให้เราฆ่าคนโดยสัญชาตญาณและไร้ความปรานี ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นยมทูตสามคน ถึงแม้เราจะมีบุคลิกแตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ… กระหายกลิ่นคาวเลือดและความตายยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ไทกิแอบหันไปสบตากับมิสึกิเงียบๆ ดูเหมือนฝ่ายนั้นก็จะปลงใจแล้วเช่นกัน
“ไม่ว่าจะเป็นนอกหรือในองค์กร คุณไทกิก็คือเจ้าชีวิตของผม ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจยังไง ผมยินดีน้อมรับคำสั่งทั้งนั้น”
กุหลาบแดงเงยหน้าขึ้น พยายามขืนน้ำตาที่เอ่อท้นไม่ให้ไหลรินออกมา กรงทองที่อุตส่าห์กระเสือกกระสนหนีมาตลอดชีวิต กลับต้องเดินกลับเข้าไปด้วยตัวเอง มันช่างน่าขันสิ้นดี
“เซกิ”
ไทกิตีสีหน้าขึงขังแล้วเรียกชื่อเพื่อนร่วมองค์กรอีกครั้ง
“ในฐานะ Red Rose ฉันขอสั่งนายให้ยกเลิกภารกิจทุกอย่างตั้งแต่บัดนี้ และเรียกตัวองครักษ์ในสังกัดยมทูตขาวกลับองค์กรให้หมด”

Unn

  • บุคคลทั่วไป
26 ต่อ

ลิลลี่เผยยิ้มบาง รอยยิ้มที่กำลังเย้ยหยันด้วยความสะใจเป็นที่สุด เกมนี้… เค้าเป็นผู้ชนะ
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย… ริว ภายในหนึ่งชั่วโมงเรียกตัวทุกคนมาที่องค์กรให้หมด ใครช้าแม้แต่วินาทีเดียว ฉันจะเก็บมันซะ”
เซกิหันไปสั่งหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายขาวที่รีบลุกลี้ลุกลนไปปฏิบัติงานให้ทันใจเจ้านาย
“คราวนี้เราจะเอายังไงกับคนทรยศดีครับคุณไทกิ”
เจ้าเซกิมันยังไม่ลืม คนที่มันเก็บไม่เคยมีคำว่าพลาด แต่ที่มิสึกิยังลอยหน้าลอยตาท้าทายอยู่อย่างนี้ มันคงจะเจ็บใจไม่น้อยเลยทีเดียว คราวนี้ถึงกัดให้ตายก็ไม่มีวันปล่อยมิสึกิไปง่ายๆ ดีไม่ดีอาจจะสั่งคนแอบไปเก็บรุ่นพี่คนเก่งอีกรอบก็ได้
สิ่งที่ไทกิเลือกได้จึงมีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น…
ผู้นำหันหน้าไปทางองครักษ์คนสนิท วายะคุกเข่าลงเตรียมรอรับคำสั่งอยู่แล้ว ความเงียบครอบงำอยู่หลายอึดใจ ในที่สุดคำสั่งสุดท้ายก็ออกมาจากปาก Red Rose
“วายะ… จับตัวซากุระกลับไปขังที่คุกใต้ดิน ฉันจะเป็นคนลงโทษเค้าด้วยตัวเอง”
ความกล้าแกร่งทระนงทำให้ไม่อาจแสดงความหวั่นไหวออกมาได้ แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะทิ่มแทงหัวใจแค่ไหน นัยน์ตาที่ว่างเปล่าเบือนไปสบกับคุณชายสายน้ำอีกครั้ง
“กลับองค์กรกันเถอะเซกิ ฉันไม่มีธุระที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
น้ำเสียงที่เย็นชา ท่าทางที่ไร้หัวใจ เหมือนเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยมีความหมาย ตรึงคุณชายสายน้ำให้นิ่งงันอยู่กับที่ ไทกิรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เซกิหันมาแสยะยิ้มให้กับชัยชนะ จากนั้นก็นำเหล่าองครักษ์ฝ่ายขาวและแดงตามผู้นำกลับไป
วายะถือกุญแจมือเดินเข้ามาหายมทูตคนที่สามซึ่งยอมยื่นมือมาให้จับแต่โดยดี
“ท่านมิสึกิ!” ยูอิขวางทางไว้ ไม่ให้วายะเข้ามาใกล้เจ้านายของตัวเอง
“หลีกไปเถอะยูอิ อย่าให้วายะต้องลำบากใจเลย ฉันเองก็รู้อยู่แล้วว่าคุณไทกิต้องตัดสินใจแบบนี้” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของมิสึกิก็มีแววปวดร้าวไม่แพ้กัน เค้าถอนใจเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาวายะและยอมถูกจับกุมแต่โดยดี
“ฉันไม่ยอมให้นายไป!”
คนที่กำลังช็อกกับการเสียคนรักไปคนนึงแล้ว พอเห็นเพื่อนซี้ถูกจับตัวไปต่อหน้าก็ยิ่งสติแตกจนควบคุมไม่อยู่ ซุยโกรธจนแทบจะสะกดความแค้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เค้าพร้อมจะเปลี่ยนอาชีพจากนักคุ้มกันเป็นนักฆ่าได้ทุกเมื่อ ถ้าเพื่อนซี้ไม่ปราดเข้ามาปรามไว้ซะก่อน
“ฉันรู้ว่านายกำลังโกรธ แต่อย่าเพิ่งระเบิดออกมาตอนนี้” มิสึกิแอบเข้าไปกระซิบใกล้ๆให้ได้ยินกันแค่สองคน “ที่ตึก K38 ใช้รหัส HOPE ถ้านายอยากได้สิ่งที่รักคืนก็ต้องมาให้ได้นะ… อย่าลืม”
มิสึกิต้องรีบบอกข่าวอย่างรวดเร็วที่สุดเพราะถูกจับตาดูอยู่ ก่อนจะโดนลากออกไปข้างนอก คุมตัวขึ้นรถลีมูซีนสีดำแล้วขับเลี้ยวโค้งหายไปอย่างรวดเร็ว ซุยได้แต่เก็บความแค้นเอาไว้เงียบๆ ในชีวิตไม่เคยเกลียดชังใครเท่านี้มาก่อน ความโกรธแค้นและความเจ็บปวดเค้าจะสะสางมันด้วยมือของตัวเอง
รอก่อนเถอะ… ไอ้ลิลลี่ปีศาจ

ในคุกใต้ดินซึ่งร้างนักโทษมาช้านาน บัดนี้ได้กลายเป็นที่คุมขังผู้นำคนที่สามแห่ง Death Flowers คิดไปคิดมาก็น่าขัน ปกติพวกมันไม่ค่อยใช้ที่นี่ เพราะนักโทษส่วนใหญ่มักจะถูกฆ่าหรือไม่ก็ถูกซ้อมปางตายก่อนจะนำมายังคุกใต้ดิน คงจะมีแต่เค้าล่ะมั้งที่ถูกอัญเชิญลงมาในสภาพที่เกือบจะสมบูรณ์ที่สุด
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกนะครับท่านมิสึกิ ผมจะให้คนของผมเฝ้าที่นี่ ท่านสามารถเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ” วายะย้ำอีกครั้ง ดูท่าทางจะเป็นห่วงท่านผู้นำเอามากๆ หรือว่ากลัวจะโดนไทกิดุอีกรอบก็ไม่รู้
มิสึกิยิ้มบางๆ “ฉันเป็นนักโทษนะวายะ ไม่ต้องให้อภิสิทธิ์ขนาดนั้นหรอก อันที่จริงนายจะเรียกฉันว่ามิสึกิเฉยๆยังได้เลย”
“ไม่นะครับ… ท่านมิสึกิ!” วายะลุกลี้ลุกลน “ผมน่ะยังไงก็เคารพทั้งท่านไทกิและท่านมิสึกิเสมอ และก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของท่านเซกิเลย ผมอยากให้ท่านมิสึกิได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมคงทำได้แค่นี้เท่านั้น”
หัวหน้าองครักษ์ทำหน้าซึม จนซากุระอดไม่ได้ที่จะลูบหัวปลอบใจ
“วายะ… เธอน่ะเหมาะที่จะติดตามคุณไทกิจริงๆ เธอเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดในบรรดาหัวหน้าทั้งสาม ไม่ใจร้อนเหมือนยูอิ และไม่ปลิ้นปล้อนเหมือนริว ฉันฝากเธอดูแลคุณไทกิด้วยนะ คอยเตือนเค้าไว้ด้วยว่าอย่าทำอะไรวู่วามเด็ดขาด”
“พี่เห็นฉันเป็นคนไม่มีหัวคิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงต้องฝากลูกน้องให้ดูแลฉันซะขนาดนั้น”
คนที่ถูกพาดพิงถึงผลักประตูเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย วายะโค้งตัวคำนับแล้วรีบถอยออกไป ปล่อยให้ผู้นำสองคนได้อยู่กันตามลำพัง
“คุณไม่ควรมาที่นี่” มิสึกิดุ
“ตอนนี้ฉันเป็น Red Rose จะไปไหนในองค์กรก็ได้ อยากรู้เหมือนกันว่าหน้าไหนมันจะกล้าห้ามฉัน” ว่าแล้วคนดื้อก็ทิ้งตัวลงข้างๆรุ่นพี่ร่วมสถาบัน ทำไมนะ… สถานที่ใหญ่โตโอ่อ่า แต่กลับไม่มีที่ไหนที่เค้าจะอยู่แล้วอบอุ่นใจเท่าที่นี่เลย
ไทกิซุกตัวกอดเข่าไว้แน่น ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาสีแดงก่ำก็ค่อยๆมีน้ำตาไหลซึมออกมา ที่นี่คงจะเป็นที่แห่งเดียวในองค์กรที่เค้าจะสามารถปลดปล่อยความอ่อนแอของตัวเองออกมาได้
“ฉัน… ขอโทษ”
คำที่พร่ำบอก… คือสิ่งทดแทนความรู้สึกทั้งหมด เค้ามองไม่เห็นแล้วว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไร จะยังคงมีสิ่งใดเหลืออยู่ แต่อย่างน้อย… ก็อยากรักษามิตรแท้คนนี้ไว้ให้นานที่สุด
“แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ถ้าไม่พามิสึกิกลับมาด้วย เซกิก็ต้องหาทางเล่นงานพี่อีก พี่อยู่ที่นี่จะปลอดภัยที่สุดเพราะอยู่ในสายตาของฉัน แต่ฉันก็ทำให้พี่ลำบาก ต้องกลายเป็นนักโทษ ถูกพวกลูกน้องมันเหยียดหยาม ฉันขอโทษจริงๆ”
มิสึกิเอื้อมมือลูบศีรษะท่านผู้นำคนเก่งอย่างอ่อนโยน
“ฉันเข้าใจ ไทกิไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”
นัยน์ตาที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำวาวใส เงยขึ้นมาสบตารุ่นพี่ …ไทกิ… เมื่อกี้เค้าคงได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย
“ตอนนี้ฉันไม่ใช่ซากุระอีกแล้ว ในฐานะรุ่นพี่คงเรียกนายว่า ‘ไทกิ’ ได้ใช่มั้ยล่ะ” มิสึกิยิ้มให้
รุ่นน้องรีบพยักหน้าหงึกๆ “ฉันหวังอยากให้พี่เรียกฉันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ฉันชอบที่เราเป็นพี่น้องกัน มากกว่าเป็นเจ้านายกับลูกน้องไม่รู้ตั้งกี่เท่า” ว่าแล้วก็ถือโอกาสซบหน้าเข้าไปกอดแล้วอ้อนต่อซะเลย
“วันนี้ฉันเหนื่อยมาก ขอพักอยู่ตรงนี้ได้มั้ย อยู่กับพี่มิสึกิฉันถึงหลับสนิทได้เต็มตา อยู่กับพี่… ฉันจะได้ไม่ต้องทรมานเพราะคิดถึงใครบางคนอีก”
ไทกิฝืนใจข่มตาลง ภาพของซุย ทั้งสีหน้าท่าทางที่ปวดร้าวยังคงฝังแน่นในความทรงจำ เค้าคงไม่มีวันลืมได้ แต่เค้าก็ไม่อาจลากซุยกับครอบครัวจมลงสู่องค์กรนรกนี่ได้เหมือนกัน
เรื่องระหว่างเราขอให้จบลงแค่นี้… ให้มันจบแบบนี้ก็ดีแล้ว
เพียงไม่กี่นาที… ความอ่อนล้าทั้งกายใจก็ทำให้ท่านผู้นำหลับไปในที่สุด มิสึกิต้องใช้เวลาปลอบอยู่หลายชั่วโมงกว่าคนที่เพ้อเพราะฝันร้ายจะหลับได้อย่างสงบสุข เสียงจังหวะหายใจราบเรียบสงบนิ่ง นี่คงจะเป็นการหลับที่ลึกที่สุดและคงจะไม่ตื่นง่ายๆถึงแม้จะไม่มีเค้าอยู่ด้วยก็ตาม
มิสึกิวางรุ่นน้องตัวยุ่งลงบนที่นอนหยาบๆที่พวกผู้คุมจัดให้ หลังจากจัดท่าให้นอนสบายที่สุด หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมกันหนาว แล้วก็มองดูใบหน้าคนดื้อรั้นอีกครั้งอย่างอ่อนใจ
“รออยู่ที่นี่ก่อนนะ ฉันมีเรื่องต้องเคลียร์ แล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
อดีตยมทูตซากุระแหงนหน้ามองกล้องวงจรปิดที่เฝ้ามองเค้าอยู่นานแล้ว มันจับตามองตั้งแต่ตอนที่ไทกิมาที่นี่ คนหน้าด้านที่ทำเรื่องแบบนี้ได้มีมันคนเดียวนั่นแหละ มิสึกิเดินเข้าไปใกล้กล้องตัวนั้นแล้วสั่งเสียงเข้ม
“ฉันรู้ว่านายดูอยู่… เซกิ เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ประตูห้องขังเลื่อนเปิดเองโดยอัตโนมัติ ผู้คุมที่เฝ้าหน้าห้องก็เดินนำไปยังห้องมอนิเตอร์ใหญ่ที่เซกิยึดเป็นฐานทัพ เพื่อจะได้เฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของไทกิได้ตลอดเวลา หลังจากเผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถูกไล่ออกไปจนหมด เหลือเพียงเรื่องที่ต้องสะสางระหว่างยมทูตสองคนเท่านั้น
เซกินั่งเอนหลังพิงเก้าอี้นวมอย่างสบายอารมณ์ แต่สายตายังคงจ้องเขม็งไปยังมอนิเตอร์ห้องใต้ดินที่ท่านผู้นำยังคงหลับพริ้มอย่างเป็นสุข
“วิธีกล่อมเด็กของนายไม่เลวเลยนี่ ไม่เรียนมาจากไหนเหรอ” เซกิเหน็บแนม ตอนนี้ซากุระที่เริ่มเจ็บแผลเก่าแปล๊บๆก็เลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งบ้าง เค้าเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน จะมายืนคุยกับมันให้เมื่อยทำไม
“มันก็ไม่มีวิธีอะไรที่ซับซ้อนนักหรอก ขึ้นอยู่กับว่าคนที่นายอยากกล่อมเค้าเชื่อใจนายแค่ไหนต่างหาก”
นัยน์ตาสีแดงเยือกเย็นสว่างวาบ ก่อนที่มันจะพยายามระงับสัญชาตญาณการฆ่าไว้ให้นานที่สุด
ยัง… ยังไม่ถึงเวลา
“นายมานี่คงไม่ได้มาบอกราตรีสวัสดิ์ฉันหรอกนะ” เซกิเริ่มเข้าเรื่อง แต่ก็เดาไม่ยาก เพราะเรื่องที่มันอยากมาเคลียร์กับเค้าคงมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก
“นายยังจำได้หรือเปล่า ทั้งฉันทั้งนายถูกคุณเคโตะพามาที่องค์กรพร้อมกัน ตอนนั้นเราทั้งคู่อายุแค่ห้าขวบ นายมาจากชิกะ ส่วนฉันมาจากฮอกไกโด เราต่างเป็นคนที่ครอบครัวไม่ต้องการ แต่คุณเคโตะก็มอบชีวิตใหม่ให้พวกเรา”
“แล้วไง?” เซกิยกแขนขึ้นมากอดอก หมุนเก้าอี้มาสบตากันซึ่งๆหน้า กี่ปีกี่ชาติไอ้หมอนี่มันไม่เคยน่ารัก พูดอะไรก็ไม่เคยเข้าหู ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกได้แล้วมั้ง
“ฉันก็แค่อยากให้นายทบทวนว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้เค้าเรียกว่า ‘เนรคุณ’ หรือเปล่า ฉันไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นนะเซกิ แต่คุณเคโตะเชื่อใจให้นายเป็นยมทูตมือขวาคอยติดตามคุณไทกิ เพราะเชื่อว่านายจะดูแลลูกชายเพียงคนเดียวของเค้าได้ แต่สิ่งที่นายทำตอนนี้มันเหมือนเป็นการหักหลังคุณไทกิอย่างร้ายกาจที่สุด นายคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ลิลลี่หัวเราะร่วนเหมือนเห็นเป็นเรื่องจี้เส้นซะงั้น “นายละเมออะไรออกมาน่ะมิสึกิ ไอ้สิ่งเลวระยำต่ำช้าที่จอมหลอกลวงเคโตะมอบให้พวกเรา นายเรียกว่าเป็นบุญคุณเหรอ หึ… แต่สำหรับฉัน ฉันเรียกมันว่าความสมเพช”
มิสึกิอึ้งไปนิด อันที่จริงบางช่วงบางตอนก็ต้องยอมรับว่าการฝึกของคุณเคโตะมันร้ายกาจมาก เค้าเองก็เคยคิดจะฆ่าตัวตายมาไม่รู้กี่ครั้งเพื่อให้หลุดพ้นจากความกลัว แต่เจ้าเซกิมันเจอมามากน้อยแค่ไหน เจออะไรกันแน่ ถึงได้แค้นฝังใจขนาดนี้
“ตอนแปดขวบฉันถูกแยกไปอยู่ที่โรม นายกับคุณไทกิก็อยู่ที่อเมริกามาตลอด เมื่อก่อนนายไม่ได้เป็นคนแบบนี้ คุณเคโตะเค้าทำอะไรนายถึงเปลี่ยนไป”
นัยน์ตาของเซกิว่างเปล่าราวกับได้ตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง มันทั้งเศร้า ทั้งหมองหม่น เหมือนมันได้ทิ้งหัวใจของความเป็นคนไปแล้ว มิสึกิมองแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจ จริงอยู่ถึงนิสัยมันจะดื้อและเจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แล้วเพราะอะไรจู่ๆเพื่อนที่ดีที่สุดถึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ สิ่งนี้ยังคงคาใจมาตลอด
“นายอย่ารู้เลย นายศรัทธาเค้ามากไม่ใช่เหรอ ถึงจะฉันจะเลวแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำลายความหวังของใคร นายวาดภาพเค้าเป็นพ่อทูนหัวที่แสนดีต่อไปเถอะ ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของฉัน”
มิสึกิผุดลุกจากที่นั่งของตัวเอง แล้วไปยันเก้าอี้มันไว้ไม่ให้หมุนตัวหนีไปไหนได้อีก
“ฉันขอร้องล่ะเซกิ” สายตาที่ไม่เคยแสดงให้เห็น เริ่มกลับมามองกันและกันอีกครั้ง “ฉันก็เป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งของนาย คุณไทกิเองก็เป็นเหมือนน้องชายของเราสองคน ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างเราสามคน แต่ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย อย่าให้คนที่ตายไปแล้วมาทำให้พวกเราต้องบาดหมางกันเองแบบนี้ได้มั้ย ฉันขอร้อง”
เซกิมองหน้าเพื่อนร่วมองค์กรด้วยความสับสน แต่เพราะทิฐิมานะมีมากกว่า เค้าถลำลึกเกินกว่าที่จะถอนตัวได้แล้ว สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่มาได้จนถึงตอนนี้มีแค่สิ่งเดียว ก็คือ… ความแค้น
“กลับไปซะ!” เซกิผลักแขนมิสึกิออกไป “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ฉันไม่ยกโทษให้ใครทั้งนั้น ฉันจะตามจองล้างจองผลาญพวกมันจนกว่าตายอย่างทรมานที่สุด!”
“พอซะทีเถอะเซกิ!!”
มิสึกิเองก็ชักจะเหลืออด ขนาดความเจ็บที่พยายามอุทธรณ์ก็ยังไม่อาจหยุดกระแสความโกรธในตอนนี้ได้ เค้ากระชากคอเสื้อคนที่ดื้อที่สุดในองค์กรลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
“นายฆ่าคุณเคโตะไปคนนึงแล้ว… ยังคิดจะฆ่าคุณไทกิอีกคนหรือไง”
“ยัง… ยังไม่พอ แค่มันตายยังไม่สาสมกับสิ่งที่พ่อของมันเคยทำกับฉันหรอก ฉันจะลากมันลงมาสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุด ปล่อยให้มันทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังเหมือนอย่างที่ฉันเคยได้รับ!”
มิสึกิถอยตัวออกช้าๆ นัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นบ่งบอกว่ามันไม่ได้โกหก คงสายเกินไปที่เค้าจะฉุดมันขึ้นอีกครั้ง เซกิคนเดิมไม่มีตัวตนอยู่บนโลกอีกต่อไปแล้ว มีเพียงปีศาจร้ายที่หล่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดด้วยความเกลียดชังเท่านั้น
“จากนี้ไปนายคิดจะทำอะไร?” เค้าพยายามฝืนใจถาม ในเมื่อห้ามมันไม่ได้ก็มีเพียงทางเดียวคือขัดขวางให้ถึงที่สุด ศึกระหว่างเพื่อน… ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลยจริงๆนะเหรอ
“ทำอะไรก็ได้ ให้มันเสียใจและแค้นอย่างที่สุด ไม่ว่าจะต้องฆ่านายหรือฆ่าใครอีกสักกี่คน ฉันก็จะทำ”
“งั้นนายกับฉันก็คงต้องเป็นศัตรูกันไปตลอดชาติ ฉันเองก็ขอยืนยันคำเดิมว่าจะปกป้องคุณไทกิจนถึงที่สุดเหมือนกัน”
มิสึกิสะบัดหน้าเดินออกจากห้อง แต่ก่อนที่เค้าจะพ้นจากช่องประตู เสียงที่อ่อนโยนซึ่งไม่เคยได้ยินมานานแสนนานก็เรียกรั้งตัวเค้าเอาไว้
“มิสึกิ… ฉันดีใจนะที่เคยได้เป็นเพื่อนกับนาย”
รอยยิ้มสุดท้ายที่เห็นเป็นของจริงไม่ใช่เสแสร้ง แต่มิสึกิก็ไม่มีโอกาสถามให้รู้ความจริงในส่วนลึกของจิตใจมันอีกแล้ว เมื่อมันกดรีโมทปิดเลื่อนประตูอัตโนมัติปิดตายซะดื้อๆ หนีปัญหาทั้งหมดโดยการขังตัวเองอยู่ข้างใน
“เซกิ”
มิสึกิทุบประตูดังปังแล้วก็ได้แต่ทรุดอยู่ตรงนั้น กระซิบเสียงแผ่วเบาที่ไม่คาดหวังว่าคนข้างในจะได้ยิน
“นายอย่าตายนะเซกิ ฉันสัญญาจะปกป้องพวกนายสองคนให้ได้”
เท้าที่อ่อนล้านำพาซากุระกลับไปยังห้องขัง ใครบางคนที่นี่… ยังคงหลับสนิทไม่รับรู้ต่อสิ่งใด มิสึกิเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของคนที่หลับเป็นตายอีกครั้ง แล้วชั่งใจคิดอยู่นาน
เค้าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดวงจรความแค้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะต้องแลกด้วยชีวิตของเค้าก็ตาม

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 27 White Lily

…เซกิ…

‘เธอเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการแล้ว ไปอยู่กับฉันเถอะนะ’

เสียงที่อ่อนโยนกับมือใหญ่ที่แสนอบอุ่น เหมือนเทวดามาโปรดในยามที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆก็ไม่มีใครต้องการฉันสักคน มีแต่ ‘เค้า’ เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่คอยโอบอุ้มฉันไว้ในยามที่ไม่มีใครเหลืออยู่
ฉันสาบานจะซื่อสัตย์จงรักภักดี และมีชีวิตอยู่เพื่อคนเพียงคนเดียว
แต่แล้ว… ทำไม?

“เซกิเป็นมือสังหารที่ดีที่สุด ได้ข่าวว่าอาจจะถูกเลื่อนชั้นเป็นยมทูตเร็วๆนี้ด้วย”
นักฆ่าสองคนเดินวิจารณ์มาตลอดทาง หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสำคัญประจำปี และเป็นการเปิดตัวสมาชิกใหม่คนสำคัญแห่งองค์กร
“เด็กที่อยู่โรมก็ได้ข่าวว่าฝีมือไม่เลวนะ อาจจะถูกคัดเลือกให้เป็นยมทูตก็ได้” อีกคนเสนอความเห็นบ้าง
“ยังเด็กทั้งคู่… อายุแค่สิบสองสิบสามเองมั้ง เด็กรุ่นใหม่นี่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ”
“แต่ถึงยังไงก็ยังสู้ท่านไทกิไม่ได้” นักฆ่าคนที่สองอวดด้วยความภาคภูมิ “ฉันเคยเข้าร่วมทดสอบท่านครั้งหนึ่ง บอกได้คำเดียวว่าท่านเหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง Red Rose มากที่สุด คราวนี้ท่านเคโตะคงวางใจ ที่คนข้างกายท่านล้วนแล้วแต่มีฝีมือทั้งนั้น”
“แต่ถึงยังไงฉันก็ชอบเด็กเซกิมากที่สุด ทั้งน่ารัก ทั้งนิสัยดี มีความมุ่งมั่นสูง ดูอย่างตอนที่เค้าถูกส่งมาฝึกกับฉันสิ ขนาดรู้ว่าโดนแกล้งก็ยังไม่บ่นสักคำ แถมตอนท้ายยังบอกขอบคุณฉันอีกแน่ะ น่ารักมากๆเลย”
เพื่อนยื่นศอกมาสะกิดแขนคนที่กำลังออกปากชมลูกศิษย์ ตอนที่เด็กที่ว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งสวนมาจากระเบียงอีกด้านหนึ่ง นักฆ่าพี่เลี้ยงทั้งสองคนแอบอมยิ้มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยทักทายและเรียกตัวเอาไว้
“เซกิคุง… จะรีบไปไหนจ๊ะ”
เด็กน้อยสะบัดหัวสีเงินมาโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“รุ่นพี่รุกะ… รุ่นพี่โทโมมิ…” เซกิทักอายๆ “คุณเคโตะเรียกตัวผมครับ ผมต้องรีบไป”
“ดึกป่านนี้แล้วท่านเคโตะจะเรียกเซกิไปหาทำไมนะ” รุกะพี่เลี้ยงคนสนิททำท่าคิดหนัก
“อาจจะให้ไปช่วยงานลับก็ได้ เธอก็คิดมากไปแล้วรุกะ ท่านออกจะโปรดเซกิคุง ไม่แน่นะ… เร็วๆนี้ลูกศิษย์เธอคงได้เลื่อนชั้นเป็นหนึ่งในสามยมทูตแน่ๆ ขอให้ได้เป็นซากุระเถอะ จะได้มาอยู่สังกัดเดียวกัน แต่ถ้าเป็นลิลลี่ล่ะก็…” ว่าแล้วโทโมมิก็ทำหน้าหนักใจ แล้วตัดบทไม่พูดต่อซะดื้อๆ
“ลิลลี่ทำไมเหรอครับ?” เด็กน้อยถามต่อด้วยความสนใจ
สองพี่เลี้ยงสาวหันมาสบตากัน มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านแล้ว ก็เข้าไปกระซิบกับเซกิที่กำลังทำท่าอยากรู้อยากเห็น
“มันเป็นตำแหน่งต้องคำสาปน่ะสิ ไม่มีใครครองตำแหน่งนี้ได้ยาวนาน และทุกคนที่เคยเป็นลิลลี่จะมีจุดจบที่น่าอนาถทุกราย”
เด็กน้อยผงะไปชั่ววูบ ตำแหน่งต้องสาปที่ใครๆก็ฝันนักหนาว่าอยากเป็น มันเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ
“ผมว่ามันก็คงเป็นแค่ข่าวลือมั้งครับ คนอยู่ในสายอาชีพนี้ ยังไงก็มีจุดจบไม่สวยอยู่แล้ว คงไม่เกี่ยวกับตำนานคำสาปอะไรนั่นหรอก”
“ใช่จ้ะ… อย่าไปฟังโทโมมิโม้นักเลย” รุกะหมุนตัวเด็กน้อยให้เดินหน้าต่อ “ฉันว่าเธอรีบไปเถอะ ไปช้าเดี๋ยวจะโดนท่านเคโตะดุเอานะ ช่วงนี้ยิ่งมีเรื่องระหองระแหงกับคุณริเอะ ท่านก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
“เอ่อ… ผมกะว่าจะแวะเอาของไปให้คุณไทกิก่อนน่ะครับ แล้วค่อยไปหาคุณเคโตะ” ว่าแล้วก็ล้วงถุงเครื่องรางอันเล็กๆออกมาอวด
สองสาวขยับเข้าไปดูใกล้ๆแล้วหัวเราะคิกคัก
“ต๊าย! น่ารักจัง… เซกิอุตส่าห์บินกลับญี่ปุ่นก็เพื่อสิ่งนี้เหรอจ๊ะ ท่านไทกิเห็นแล้วต้องชอบมากแน่ๆ”
เด็กน้อยพยักหน้า “ช่วงนี้คุณไทกิฝึกหนักมาก กลับมาก็มีแต่แผลเต็มตัวไปหมด ถึงจะรู้ว่าเค้าไม่มีทางพลาดแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ผมเข้าไปยุ่มย่ามกับการฝึกของคุณไทกิไม่ได้ แต่ก็อยากทำอะไรให้เค้าบ้าง ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยโดยการให้เครื่องรางคุ้มกันผมก็จะทำ นี่เป็นของวัดฮิเอซันเชียวนะครับ เค้าบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว”
รุกะอมยิ้มแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยี้ผมเด็กน้อยหนักๆด้วยความเอ็นดู
“เธอเป็นเด็กดีนะเซกิ ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องเป็นผู้คุ้มกันที่ดีที่สุดของท่านไทกิอย่างแน่นอน”
คนถูกชมหน้าบานยิ้มแป้น ก่อนจะโค้งตัวลา แล้วรีบวิ่งทั่กๆต่อไปยังห้องเจ้านายที่เค้ารักมากที่สุด
คืนนั้น… เจ้านายตัวน้อยหลับปุ๋ยไปแล้ว เครื่องรางเล็กๆจึงเป็นของขวัญที่แอบเอาไปวางไว้ข้างหมอน ความอบอุ่นที่รู้สึกว่ามีครอบครัวอีกครั้งจากคนที่เคยสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเซกิแล้ว ไทกิก็คือน้องชายตัวน้อยที่อยากปกป้องและดูแลตลอดไป
แต่ใครจะรู้… เพียงชั่วข้ามคืนทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากความรักมากมายที่เคยมีให้ มันกลับกลายเป็นความแค้นที่ไม่อาจลืมเลือน
ในตอนที่เค้าก้าวเท้าเข้าไปในห้องของคนๆนั้น…

ค่ำคืนนี้มีฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก พายุพัดพาสายฝนเย็นเยียบผ่านเข้ามาทางช่องระเบียง เด็กน้อยกระชับเสื้อคุลมแน่นขึ้น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ใส่ใจกับความเลวร้ายของสภาพอากาศ แล้วจินตนาการถึงเช้าวันใหม่ที่น้องชายคนสำคัญจะตื่นมาพร้อมกับความประหลาดใจที่ได้เห็นของขวัญวางอยู่ข้างๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี เพราะปกติคุณเคโตะไม่เคยเรียกพบดึกขนาดนี้ หรือว่าเค้าจะทำอะไรพลาดไปจนต้องเรียกมาลงโทษกลางดึก

ก๊อก… ก๊อก…

“ผม… เซกิ ขอเข้าไปนะครับ” เด็กน้อยเคาะประตูแล้วส่งเสียงนำไปก่อน
ประตูอัตโนมัติที่ถูกปิดแน่นหนาด้วยรหัสลับก็ถูกเลื่อนเปิดออก และทันทีที่เค้าก้าวเท้าเข้าไปมันก็ปิดตายอีกครั้ง ร่างสูงสง่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้นวมหน้าเตาผิง ข้างๆกันนั้นมีขวดบรั่นดีชั้นดีนับสิบกลิ้งเกลือกอยู่โดยรอบ เด็กน้อยพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความกลัว
ลองดื่มหนักขนาดนี้ แสดงว่าเจ้าตัวคงจะอารมณ์เสียเอามากๆ หรือว่าจะทะเลาะกับคุณริเอะอีกแล้ว
ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หันมาจ้องเด็กน้อย เซกิพยายามเลี่ยงไม่สบตาด้วย เพราะเค้ารู้ดีว่าเวลาคุณเคโตะอารมณ์ไม่ดีจะน่ากลัวขนาดไหน เค้าจึงเลือกที่จะไปนั่งห่างๆอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กตรงมุมห้อง
“เข้ามาใกล้ๆฉันสิ… เซกิ”
คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก แต่จะไม่ทำตามก็ไม่ได้ เพราะถ้าขืนมาขัดใจในเวลาแบบนี้มีหวังคงโดนลงโทษจนอ่วมแน่ เด็กน้อยจึงฝืนลุกเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆ
“คุณเคโตะมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ”
สายตาสีแดงคมกริบหันมาจดจ้อง ทั้งแข็งกระด้าง เย็นชา และน่ากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ดวงตาสีแดงคู่นั้นดูว่างเปล่าและโกรธเคือง เค้าทำอะไรผิด? หรือว่ามีใครทำอะไรให้คุณเคโตะไม่พอใจ? ปกติถึงจะไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีที่ออดอ้อนขอนู่นขอนี่ได้ แต่คุณเคโตะก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ราวกับว่าวิญญาณซาตานที่หลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกของกุหลาบแดงกำลังจะตื่นขึ้นมายังไงยังงั้น
และในขณะที่กำลังขบคิดถึงต้นเหตุที่ทำให้ท่านผู้นำอารมณ์เสีย มือที่ใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่าสิบเท่าก็พุ่งเข้ามาจู่โจมกดร่างเด็กน้อยไว้กับพื้นพรม มือข้างหนึ่งรวบสองแขนเล็กตรึงไว้เหนือศีรษะ ส่วนอีกข้างก็บีบคอแน่นจนเค้าแทบหายใจไม่ออก
“คะ… คุณ… เคโตะ!?”
เซกิทำเสียงอึกอัก เพราะมือที่บีบรอบคอทำให้เค้าแทบจะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ดวงตาของกุหลาบแดงในยามนี้เหมือนปีศาจที่ชั่วร้าย จ้องเค้าด้วยความโกรธแค้นราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตมานานนับสิบปี
“ผู้หญิงคนนั้นทิ้งฉันไปแล้ว!” เสียงกัดฟันกรอดๆกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยโทสะ ย้ำเตือนว่าบัดนี้เจ้านายที่เค้าเคยเคารพรักไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“คุณริเอะนะเหรอครับ” เซกิกลั้นใจถามออกไปทั้งๆที่ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แล้วก็มารู้ตัวว่าทำผิดอย่างมหันต์ก็ตอนที่ดวงตาสีแดงก่ำกลายเป็นสีเลือดสนิท เหมือนเช่นเวลาที่กุหลาบแดงต้องการสังเวยเลือดของใครสักคน
“อย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นให้ฉันได้ยินอีกเป็นอันขาด!”

เพียะ!

แรงตบทำให้เด็กน้อยถึงกับกระเด็นไปติดฝาผนัง แต่ก็ยังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาทั้งๆที่ใบหน้าขาวนวลมีรอยฝ่ามือแดงก่ำกับรอยเลือดไหลซิบๆที่มุมปาก
“ให้ผมไปตามเธอกลับมาเถอะครับ ถึงยังไงเธอก็เป็นคุณแม่ของคุณไทกิ ไม่มีแม่คนไหนใจร้ายทิ้งลูกตัวเองได้ลงคอหรอกครับ ผมเชื่อว่าเธอต้องยอมกลับมาแน่” เด็กน้อยพยายามต่อรอง
“งั้นเหรอ” ปีศาจร้ายแค่นเสียงหัวเราะ “ผู้หญิงที่วันๆคิดแต่จะหักหลังฉัน ไม่สำคัญขนาดจะยกให้เป็นแม่ของว่าที่ผู้นำในอนาคตหรอก ฉันก็แค่เก็บหล่อนไว้ข้างตัวเพื่อช่วยสะกดวิญญาณปีศาจกระหายเลือดในตัวก็เท่านั้น”
“หมายความว่ายังไง?” เซกิพยายามสะกดตัวเองไม่ให้คุ้มคลั่ง ทั้งที่รู้สึกว่าเรื่องมันชักจะเลวร้ายขึ้นทุกขณะ คุณเคโตะกับคุณริเอะ… ผู้หญิงที่ถูกฝืนใจให้มาอยู่กับชายที่ได้ชื่อว่าปีศาจ ลึกๆแล้วสองคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่

Unn

  • บุคคลทั่วไป
27 ต่อ
ดวงตาสีเลือดจ้องมองมาที่เค้าอีกครั้ง ขายาวๆก้าวฉับเข้ามาใกล้ สองมือยันผนังไว้เพื่อกันไม่ให้หนี แล้วรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปากก็ปรากฏขึ้น กระซิบเสียงบอกความจริงที่เด็กน้อยจะต้องฝันร้ายไปตลอดกาล
“Red Rose คือสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อฆ่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนคำสาปมัจจุราชที่ผูกมัดฉันไว้กับความตาย เธอเองก็เรียนรู้จากฉันมาไม่น้อย บางทีเธอเคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าอยากจะฆ่าใครสักคนที่เดินผ่านหน้าโดยไม่มีเหตุผล”
คำพูดที่ทำให้เซกิหน้าซีดเผือด เค้าก็พอจะรู้ว่าผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นกุหลาบแดงต้องฝึกหนักและคลุกคลีอยู่กับความตายและกลิ่นคาวเลือด จนแทบจะเรียกได้ว่าหายใจเข้าออกเป็นการฆ่า  Rose คือเครื่องจักรสังหารที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน… ก็เป็นตัวอันตรายสำหรับคนรอบข้าง วันดีคืนดีถ้าคุณเคโตะเกิดคุ้มคลั่ง กี่ร้อยกี่พันชีวิตที่อยู่ในนี้ก็คงจะถูกสังหารจนไม่เหลือแม้สักคน
“มีเพียงสิ่งเดียวที่จะสะกดความพลุ่งพล่านในใจของฉันได้ เธอรู้มั้ยว่าคืออะไร?”
เคโตะใบ้คำปริศนาทั้งที่สายตาบ่งบอกอาการกระหายเลือดเต็มแก่ แต่มันเป็นคำถามที่เซกิไม่เคยนึกอยากรู้คำตอบ และพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณริเอะถึงไม่เคยมีความสุขกับการอยู่ที่นี่เลย
“ให้ผม… ไปตามใครสักคน… มาช่วยคุณเคโตะดีมั้ยครับ คนที่อยากเป็นเจ้าสาวของคุณเคโตะมีออกตั้งเยอะ บางทีพวกหล่อนอาจจะช่วยคุณได้”
เด็กน้อยเสียงสั่นเครือและยังคงพยายามต่อรองด้วยความหวังที่ริบหรี่เต็มทน เพราะบัดนี้มือใหญ่ได้เอื้อมมาลูบไล้ใบหน้าเด็กน้อยแผ่วเบา ดวงตาสีเลือดที่จ้องสบดูเหมือนจะอ่อนข้อลงเล็กน้อย
“ไม่… ฉันต้องการเธอเท่านั้นเซกิ”
เสียงที่กระซิบบอกเยือกเย็นจนเด็กน้อยแทบจะฝืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้ ใบหน้าคมคายค่อยๆโน้มลงมาใกล้ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจร้อนระอุที่ส่งมาปะทะ
“ดวงตาสีอิฐของเธอ… เหมือนกับริเอะไม่มีผิด มันทำให้ฉันนึกถึงครั้งแรกที่ฉันทำผิดพลาด โดยการคิดจะฆ่าเจ้าหล่อน แต่กลับถูกดวงตาคู่นี้ดึงดูดให้หลงใหลจนไม่อาจถอนตัวได้อีก มันทำให้ความรู้สึกอยากฆ่าคนของฉันลดน้อยลง ทำให้ฉันมองคนอื่นเป็นสิ่งมีชีวิตมากกว่าจะเป็นแค่สิ่งของเปราะบางที่จะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้… มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยสะกดปีศาจในใจฉัน ก่อนที่ฉันจะลืมตัวและลงมือฆ่าทุกคนในองค์กรจนหมด”
“ไม่!!”
เซกิฝืนใจใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายผลักเคโตะออกไปเพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด เค้าจะไม่ยอมทำเรื่องวิปริตผิดเพศแบบนี้เป็นอันขาด เค้าเป็นผู้ชายนะ แล้วเรื่องอะไรจะให้ผู้ชายด้วยกันมาใช้ร่างกายของเค้าเป็นเครื่องระบายอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและน่าขยะแขยงที่สุดในชีวิต
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก” ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ขับสีเลือดเป็นครั้งที่สอง จ้องเขม็งไปยังร่างที่กำลังตะเกียกตะกายไปที่ประตูทางออก “ฉันจะไม่ยอมให้ใครหนีไปจากฉันต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว!”
ในชั่วเสี้ยววินาทีเดียวที่เค้ากำลังจะพ้นจากขุมนรก ความหวังทุกอย่างก็พลันดับสลาย มือใหญ่พุ่งเข้ามาคว้าหมับแล้วลากเค้ากลับไปยังเตียงใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ข้างๆกันนั้นมีแจกันปักดอกลิลลี่สีขาวคอยย้ำเตือนถึงตำนานที่ได้ยินมาตั้งแต่เล็ก
ลิลลี่… คือ ดอกไม้ต้องคำสาป เบื้องหลังแห่งความบริสุทธิ์คือสีเลือดที่น่าชิงชัง มันจะพันธนาการผู้ที่ถือมันด้วยหัวใจที่โกรธแค้นและชิงชังตลอดชีวิต ถ้ากุหลาบแดงอยู่เพื่อทำลาย ซากุระอยู่เพื่อไล่ล่า ลิลลี่… ก็จะอยู่เพื่อล้างผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้ย่อยยับ
แต่ทว่า… คนที่ต้องบ่วงพันธนาการนี้ไม่มีใครมีจุดจบที่ดีสักคน
กำปั้นหนักๆทุบลงมาที่หน้าท้องอย่างแรง ทำให้ร่างที่บอบบางแน่นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืนได้อีกต่อไปแล้ว สติของเค้ากำลังจะหลุดลอยออกจากร่าง ภาพความฝันในอนาคตที่อยากต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนรักอย่างมิสึกิ และภาพพี่ชายผู้กล้าหาญที่อยากปกป้องคุณไทกิตลอดไป ค่อยๆเลือนหายจากมโนสำนึกทีละเล็กทีละน้อยในทุกสัมผัสหื่นกระหายที่ปีศาจตนนั้นมอบให้
ร่างสูงฉีกกระชากเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างเล็กๆอย่างไม่ใยดี บัดนี้ดวงตาของกุหลาบแดงไร้แววของความเป็นคนโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงปีศาจร้ายที่ต้องการดับความเร่าร้อนภายในใจตัวเองเท่านั้น
มือใหญ่ช้อนคางเล็กๆเข้ามาจูบ กัดริมฝีปากให้เผยอออกแล้วสอดลิ้นอุ่นรุกรานเข้าไปสัมผัสความหวานล้ำลึกจากภายใน ใบหน้าขาวนวลพยายามขยับเพื่อหลีกหนี แต่ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งถูกจูบหนักหน่วงขึ้นทุกที ริมฝีปากถูกกัดแน่นเจ็บจนแทบทนไม่ไหว และกำลังจะขาดใจตายเพราะอากาศที่หล่อเลี้ยงไม่พอเพียง
แต่ก่อนที่สติของเค้าจะดับวูบ ร่างสูงก็ปล่อยโอกาสให้เค้าได้สูดอากาศเข้าปอดอีกครั้ง เมื่อมันยอมถอนริมฝีปากแล้วเลื่อนลงไปยังเป้าหมายต่อไป ผิวเนียนๆรอบคอถูกลิ้มเลียและขบเม้มจนแดงก่ำ มือที่สอดรัดอยู่รอบเอวก็ค่อยๆเลื่อนมาคลึงกับปุ่มนูนเล็กๆที่ไวต่อสัมผัส
“โอ๊ย!! ไม่นะ… อย่า!”
เซกิได้แต่ร้องอุทธรณ์ลั่น แต่ก็ไม่อาจหยุดความโหดร้ายของผู้ชายคนนี้ได้เลย มือที่คลึงเล่นแผ่วเบาในตอนแรกเปลี่ยนเป็นบีบเค้นอย่างรุนแรง แถมอีกข้างยังถูกกัดจนมีเลือดไหลซึม ความเจ็บปวดร้าวระบมทำให้เด็กที่เข้มแข็งมาตลอดไม่อาจทนฝืนกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
“ฮือ… คุณเคโตะพอเถอะครับ ได้โปรด… อย่าทำแบบนี้กับผมเลย”
ดวงตาสีแดงเงยมาสบเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มได้ใจ “มันสายเกินไปแล้วเซกิ ถ้าเธอไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็ควรอยู่นิ่งๆและเงียบไว้ซะ”
เคโตะคว้าเศษผ้าที่กระชากออกไปในตอนแรกมาพันรอบข้อมือและอุดปากเด็กน้อยไว้แน่น ร่างบางได้แต่ส่งสายตาที่มีน้ำตาปริ่มคลอเบ้ามาเว้าวอนเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไร้ประโยชน์…
ร่างสูงเร่งถอดอาภรณ์จากร่างกายตัวเองบ้าง ความปรารถนาดำมืดภายในใจก็ยิ่งตั้งเด่นชัดออกมาจนเด็กน้อยตัวสั่นเทิ้ม ถ้าสิ่งนั้นเข้ามาในร่างกายของเค้าล่ะก็ ตัวเค้าจะต้องแหลกเป็นชิ้นๆแน่
“อื้อ!!!”
เซกิพยายามจะถีบตัวหนีตอนที่ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ถูกตรึงไว้อีกจนได้ เมื่อมือใหญ่คว้าข้อเท้าสองข้างแยกออกจากกัน แล้วดันเข่าให้สะโพกเล็กๆยกชันจนเห็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดชัดเจนขึ้น
“อา… เธอนี่เยี่ยมจริงๆเซกิ”
ร่างสูงเพ้อด้วยความหลงใหล ก่อนจะใช้ลิ้นลิ้มเลียลงไปกวาดทั่วทุกส่วนสัด จากปลายแท่งน้อยๆจนมาถึงร่องจุดสวาทที่ชวนให้รัญจวนที่สุด เมื่อเค้าสอดลิ้นเข้าไปข้างในแล้วสิ่งนั้นก็ตอดรัดรับกับลิ้นของเค้าจนแนบแน่น ขนาดถอนตัวออกมาแล้วความปรารถนาก็ยังพลุ่งพล่านไม่หยุด บางสิ่งที่อยู่ตรงแกนกลางจึงแข็งขืนขึ้นมาอย่างยั้งไม่อยู่
เคโตะโน้มลงไปกระซิบด้วยเสียงแหบพร่า ร่างเล็กๆหยุดสั่นแล้วเพราะกำลังจะหมดสติ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ต้องผวาขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันกำลังจะเข้าไปแล้วนะเซกิ มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะหยุดมันได้ อย่าทำให้ผิดหวังล่ะ”

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เด็กน้อยร้องตะโกนลั่นสุดเสียงจนผ้าที่ใช้อุดปากไว้ยังหลุดกระเด็น ร่างสูงกระแทกตัวเข้าไปตรงหว่างกลางสอดใส่ความแข็งกระด้างเข้าไปจนมิด ทั้งเลือดทั้งคราบน้ำข้นๆไหลปรี่ช่วยหล่อลื่นให้ส่วนที่เปราะบางไม่ต้องบอบช้ำมากเกินไป แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดรวดร้าวที่กระแทกเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง
ภาพใบหน้าของเพื่อนรักและเจ้านายคนสำคัญเลือนหายไปพร้อมจิตใต้สำนึกที่ดีงาม
หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลือเลย… ทั้งความหวัง มิตรภาพ และ… คุณค่าของความเป็นคน
หลังจากได้รับความสุขจนอิ่มเอม ร่างสูงก็ทิ้งคราบน้ำขาวขุ่นไว้ในร่างกายที่ร้อนระอุ ก่อนจะถอนตัวออกมาช้าๆ ความพลุ่งพล่านในใจค่อยๆผ่อนคลายลงทีละน้อย เคโตะมองเจ้าของร่างที่ทำให้เค้าสงบลงอีกครั้งพร้อมกับยิ้มบางๆ
“ปากเธอก็บอกว่าไม่… แต่ดูเหมือนร่างกายเธอจะไม่ซื่อสัตย์เอาซะเลยนะเซกิ”
มือใหญ่ปาดคราบน้ำสีขาวขุ่นที่เปราะอยู่ทั่วท้องน้อยซึ่งเกิดจากแรงกระตุ้นของเค้า สีนั้นขาวสะอาดบริสุทธิ์ราวกับน้ำนมคงเพราะเป็นครั้งแรก เคโตะยกขึ้นมาลิ้มเลียสัมผัสกับรสชาติหวานฉ่ำที่ชวนให้ติดใจทีเดียว
“อืม… ไม่เลว มันทำให้ฉันนึกถึงอะไรบางอย่าง”
สายตาสีแดงคมกริบที่สงบลงเหลือบไปเห็นดอกลิลลี่ที่ปักอยู่ในแจกันข้างๆ แล้วความคิดหนึ่งก็วูบขึ้นมาในใจ ตำแหน่งนี้ปล่อยว่างมานานแล้ว หลังจากลิลลี่คนสุดท้ายถูกคนของรัฐบาลสังหาร คงได้เวลาที่จะหาคนใหม่ขึ้นมาแทนตำแหน่งซะที
เคโตะหยิบดอกลิลลี่ดอกหนึ่งมาถือไว้ในมือแล้วจูบแผ่วเบา
“ลิลลี่เป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์ตรงสีขาวบริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็หยัดยืนแข็งแกร่งไม่ยอมเหี่ยวเฉาง่ายๆ ฉันคิดว่ามันเหมาะกับเธอนะ”
มือใหญ่ยัดเยียดดอกลิลลี่ดอกนั้นใส่ไว้ในกำมือน้อยๆที่กำลังร้องไห้เงียบๆ มายกตำแหน่งสูงสุดให้เค้าตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมันเทียบกับความรักความศรัทธาและสิ่งที่เค้าต้องสูญเสียไปไม่ได้เลย
“ดอกไม้แสนบริสุทธิ์นี้คือของขวัญที่ฉันมอบให้เธอ นอกจากจะเป็นตัวแทนอำนาจมากมายมหาศาลในกำมือของเธอแล้ว มันยังจะเป็นสิ่งที่คอยเตือนใจว่าเธอเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น และเธอจะไม่มีวันหนีฉันไปไหนพ้น จะต้องอยู่เป็นลิลลี่สีขาวเคียงคู่กับกุหลาบแดงตลอดกาล”
คำพูดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ดั่งเวทมนตร์แห่งคำสาปที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย ภาพทุกอย่างตรงหน้าค่อยๆเลือนหายไปราวกับมีม่านสีดำมาปิดกั้นเอาไว้ ร่างกายเจ็บปวดชาร้าวจนไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีก เปลือกตาที่หนักอึ้งจึงขยับปิดสนิทตัดขาดทุกสิ่งจากโลกภายนอก เหลือไว้แค่เพียงความว่างเปล่าในใจเท่านั้น…

“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!”

ร่างบางสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายพร้อมกับเสียงตะโกนลั่นในห้องจอทีวีวงจรปิด เซกิปาดเหงื่อที่ไหลอาบทั่วใบหน้า เค้าฝันแบบนี้อีกแล้ว… ห้าปีแล้วที่มันไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเค้า มีแต่จะคอยตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความเจ็บแค้นให้ฝังแน่นจนไม่อาจให้อภัยได้
“ใจเย็นๆไว้เซกิ มันก็แค่ความฝัน ตอนนี้คนเลวนั่นมันไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว”
เด็กหนุ่มบอกกับตัวเองเหมือนเช่นทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาจากฝันนรก ก่อนจะเหลือบไปมองดอกไม้คู่กายที่ยังคงปักไว้อย่างสลดหดหู่อยู่ในแจกันลายคราม
ลิลลี่สีขาวดอกนี้เป็นทั้งของขวัญและคำสาป… ของขวัญที่มอบอำนาจล้นฟ้าให้เค้าใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคำสาปพันธนาการเค้าให้ตกอยู่ในบ่วงแห่งความเคียดแค้นชิงชังตลอดชีวิต
เซกิหยิบดอกไม้ต้องคำสาปมาดูอีกครั้งแล้วถอนใจเศร้าๆ
“การแก้แค้นของผมยังไม่จบแค่นี้หรอกนะคุณเคโตะ คุณตายง่ายเกินไป… คุณประมาทจนถูกผมลอบฆ่าอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ทรมานสักนิด แต่นั่นยังไม่สาสมกับความเจ็บปวดที่ผมเคยได้รับ สิ่งเลวร้ายที่คุณเคยทำไว้ ผมจะเอาคืนกับไทกิให้หมด!”
แล้วดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ก็ถูกขยี้จนแหลกคามือ เซกิมองไปที่จอมอนิเตอร์ในคุกใต้ดินอีกครั้ง ลูกชายของจำเลยยังคงหลับสบายอยู่ภายใต้อ้อมแขนของมิสึกิ ดวงตาสีอิฐวาวโรจน์ด้วยความรู้สึกชิงชัง
ถึงเวลา… ที่จะพิพากษาโทษของมันแล้ว

Unn

  • บุคคลทั่วไป

 :m22:Chapter 28 Unity

“พวกเธอบอกว่าหลงทางอยู่ในป่า เลยกลับมาล่าช้ากว่ากำหนดงั้นเหรอ”
บทสวดบทแรกทำเอาสองมือปืนคนเก่งถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่ยูก็ยังฝืนยิ้มแห้งๆตามสไตล์คนหน้าเป็นเพื่อกลบเกลื่อน ทั้งที่โฮตารุกำลังเครียดจะแย่
“ก็ทำนองนั้นแหละครับ”
ตาคมๆของชิงุเระตวัดมองอีกหน เริ่มขยับแขนที่วางประสานอยู่บนโต๊ะขึ้นมากอดอก
“จากนั้นก็โดน ‘เป้าหมาย’ ที่ฉันสั่งให้ไปตามหา เป็นคนนำทางพาพวกเธอออกมาจากป่าซะงั้น”
“ก็ใช่…” เสียงของยูเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
“แล้วพอมาถึงสนามบินนาริตะ เป้าหมายก็ดันหายตัวไปอีก โดยที่พวกเธอไม่รู้เลยว่าเค้าหายไปตอนไหน”
“กะ… ก็…” นักเรียนดีเด่นเริ่มจะแก้ตัวไม่ออก
“เฮ้อ” ผอ. หนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “เป็นอันว่าภารกิจที่ฉันฝากความหวังไว้กับพวกเธอล้อมเหลวไม่เป็นท่า”
“โธ่! อาจารย์… ที่ให้พวกเราไปหามันป่าแอฟริกานะครับ ไม่ใช่สวนสัตว์โตเกียว จะได้เจอตัวคนที่อาจารย์อยากพบง่ายๆ แล้วอีกอย่างทำไมอาจารย์ไม่ใช้นักล่ามืออาชีพอย่างเจ้าโนะอิ มาใช้มือสมัครเล่นอย่างพวกผมทำไมล่ะครับ”
โฮตารุที่ยืนเครียดอยู่นานแล้วถือโอกาสโวยบ้าง แค่ต้องเดินทางไกลข้ามทวีปในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แถมเป้าหมายที่ว่าก็หาตัวยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก แล้วพอเจอตัวตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะยอมกลับมาที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ฝ่ายนั้นยังหักหลังตีตั๋วชิ่งไปไหนก็ไม่รู้ แต่ที่เลวร้ายที่สุด… ก็คือต้องมารายงานท่าน ผอ. มือเปล่านี่แหละ ไม่รู้จะเอาข้ออ้างข้อไหนมาแก้ตัวดีแล้ว
ชิงุเระที่ตีสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอด พอเห็นลูกศิษย์เครียดกว่าก็เผลอยิ้มบางๆ อารมณ์ที่อยากจะโกรธก็เลยไม่มีเหลืออยู่แล้ว
“ก็โนะอิน่ะผีเข้าผีออก อารมณ์เคยอยู่กะร่องกะรอยที่ไหน ที่สำคัญเค้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยงานฉันได้เยอะด้วย” ผอ. จอมเจ้าเล่ห์ยักคิ้วกริ่ม “แต่ฉันก็กะแล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ พวกเธอก็อย่าเครียดไปเลย ถือซะว่าไปฮันนีมูนก็แล้วกัน”
“อาจารย์!!”
ยูเผลอตบโต๊ะดังปัง ลืมสัมมาคารวะที่ควรมีจนหมด โดนมุกนี้นี่มันจุกจนพูดไม่ออกจริงๆ ส่วนอีกคนที่หน้าบางกว่ารีบเดินหนีออกไปเรียบร้อย
“โทษทีๆ” ชิงุเระหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่ “โดนโฮตารุคุงงอนซะแล้ว ยูจังเองก็ไปพักเถอะ เหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่ เอาเป็นว่าภารกิจครั้งนี้ฉันถือเป็นเหตุสุดวิสัยก็แล้วกัน”
ยูที่หน้าแดงก่ำโค้งตัวคำนับแล้วรีบเผ่นออกไปอีกคน หลังจากที่ลูกศิษย์หนีหายไปหมดแล้ว ชิงุเระก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงช้าๆอย่างผ่อนคลาย
“ริเอะ… ดูเหมือนคนที่จะจับตัวเธอได้อยู่หมัด คงมีแค่คนเดียวจริงๆล่ะมั้ง แต่น่าเสียดายที่เค้ากลับเป็นคนที่เธอทั้งรักและเกลียดเค้ามากที่สุด”
ชิงุเระเปรยกับตัวเองแผ่วเบา แล้วเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามยังคงสวยสดใส เหมือนเช่นวันเวลาแห่งความอบอุ่นที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ
“แต่พี่รู้ว่าเธอมาอยู่ใกล้ๆนี้แล้ว ไทกิคุงถูกจับตัวกลับองค์กร เธอเองก็คงไม่อยู่เฉยหรอกจริงมั้ย… ริเอะ”

หลายวันแล้วที่ไม่มีข่าวคราวของไทกิเลย… ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ความคิดเหล่านี้ทำให้เค้าสับสนจนว้าวุ่นไปหมด
เหล่าสมาชิกสภาพิเศษทุกคนก็ตกอยู่ในอาการซึมเศร้าไม่แพ้กัน ยิ่งเห็นหัวหน้าซีเนียร์และหัวหน้าจูเนียร์เอาแต่นั่งหดหู่ทั้งวัน งานก็ไม่กระเตื้อง สุดท้ายเจ้าฮิโระทนไม่ไหวได้แต่จ้วงราเม็งถ้วยที่หกดับอารมณ์เครียด
“นายจะกินให้ท้องแตกตายเลยหรือไง” คาโอรุที่นั่งข้างๆอดแขวะไม่ได้ ก็ตั้งแต่เช้าเห็นมันมองหน้าซุยที โนะอิที แล้วก็จ้วงราเม็งเข้าปากที เหมือนจะประชดชีวิตยังไงยังงั้น
“ก็ฉันไม่รู้จะทำอะไรนี่ ไทกิกับพี่มิสึกิอยู่ดีๆก็หายตัวไป ถามพี่ๆก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคน แถมยังเอาแต่นั่งซึมเหมือนมีใครตายยังงั้น นายจะไม่ให้ฉันเครียดไหวเหรอ”
“มันก็จริง”
คาโอรุพยักหน้า ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องเค้นความจริงจากปากใครสักคนให้ได้ และเป้าหมายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุยกับพี่บังเกิดเกล้าคงจะง่ายกว่าคุยกับคนอื่น
“พี่โนะอิ”
มือเล็กๆของน้องชายเอื้อมไปจับไหล่จนคนซึมถึงกับสะดุ้ง ตาสีฟ้าลอยๆหันมามอง รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ส่งมาให้ แค่โนะอิก็ไม่รู้จะบอกน้องชายยังไงว่าเพื่อนรักของเค้าเป็นมือสังหารตัวอันตรายที่คนหมายหัวกันทั้งโลก
“เกิดอะไรขึ้นกับไทกิและพี่มิสึกิ ทำไมสองคนนั้นถึงไม่กลับมา”
“ฉัน… ไม่รู้” โนะอิอ้ำอึ้งแล้วเบือนหน้าหนีไม่ยอมให้คาดคั้นอีก
คาโอรุทำหน้าหงิกแล้วกระแทกตัวลงข้างๆ “ฉันไม่เชื่อหรอก มันต้องมีอะไรสิน่า คนอย่างพี่ไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ ถ้าจะมีสักเรื่องให้กลุ้มใจ เรื่องนั้นต้องสำคัญมากแน่ๆ บอกฉันมาเถอะ… ไม่ว่าอะไรฉันรับได้ทั้งนั้น”
สายตาที่เว้าวอนทำให้พี่ชายเริ่มใจอ่อน แต่ตัวเค้าเองก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ในขณะที่ทุกคนกำลังเครียดจนตัวโก่ง แขกที่ไม่คาดฝันก็ก้าวเข้ามาในห้องสภาพิเศษ เรียกความสนใจจากทุกคนได้ชะงัดนัก
ภาพหญิงสาววัยกลางคน… สวยหมดจดราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย หล่อนสวมชุดลำลองสีน้ำเงินเข้ม สะบัดผมสีน้ำตาลแดงจนปลิวสะบัด ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งบนโซฟากลางห้องทั้งๆที่ยังไม่มีใครเชื้อเชิญ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงอึ้งกลับกลายเป็นใบหน้าของเธอคนนั้น
ไม่ใช่ตะลึงที่ความสวย… เพราะนั่นไร้ที่ติอยู่แล้ว แต่ตะลึงเพราะมันเหมือนใครบางคนที่พวกเค้าคุ้นเคยราวกับงอกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

“ไทกิ”

ซุยแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เค้าต้องขยี้ตาซ้ำไปซ้ำมาหลายหน แต่ภาพสาวสวยที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าของเค้าก็ไม่หายไป นี่มันคงไม่ใช่ความฝันแล้วล่ะ
“เธอเดาผิดไปนิดนึงนะซุยคุง ฉันคือผู้ว่าจ้างตัวจริงของเธอ ไม่ใช่เป้าหมายของเธอหรอกจ้ะ” เจ้าหล่อนเฉลย
“คุณริเอะ?” ซุยต้องทวนความจำอีกรอบ เพราะถึงแม้จะได้รับคำสั่งผ่าน ผอ. แต่เค้าก็ยังไม่เคยพบผู้จ้างวานตัวจริงสักครั้ง แม้แต่รูปถ่ายก็ไม่เคยเห็น และไม่เคยนึกมาก่อนว่าสองแม่ลูกจะเหมือนกันได้ขนาดนี้
ริเอะยังไม่เจรจากับซุย แต่เลือกที่จะหันหน้าไปคุยกับอีกคนที่กำลังเค้นคอพี่ชายตัวเองอยู่
“เธอสองคนคงจะเป็นลูกชายของชิโอริ… โนะอิกับคาโอรุคุง เธอเหมือนแม่ของเธอมากเลยนะจ๊ะคาโอรุ ฉันเห็นทีแรกยังตกใจเลย”
‘คนที่ตกใจน่ะ ผมมากกว่า’ คาโอรุอยากเถียงเหลือเกิน แต่ก็พูดไม่ออก
“เธอคงอยากรู้ใช่มั้ยว่าเพื่อนรักของเธอหายไปไหน”
คำพูดเกริ่นนำที่ทำให้ฮิโระกับคาโอรุไถลตัวเข้ามาใกล้ๆโซฟาทันที ถึงจะยังไม่รู้ว่าคุณน้าหน้าคุ้นๆคนนี้เป็นใครก็ตาม
“คุณน้ารู้เรื่องของเจ้าไทกิมันด้วยเหรอครับ” ฮิโระถาม
“ผมทอง ตาสีทอง… เธอคงเป็นทายาทตระกูลโซมะสินะ” ริเอะลูบหัวปุยๆของฮิโระด้วยความเอ็นดู “ฉันต้องรู้เรื่องเพื่อนของพวกเธออยู่แล้ว ก็ฉันน่ะ… เป็นแม่แท้ๆของคุณไทกินี่นา”
“หา!!”
สองตัวแสบอุทานลั่น ก่อนจะหันไปขอคำยืนยันจากหัวหน้าจูเนียร์ ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“คุณน้ารู้ใช่มั้ยครับ ว่าตอนนี้ไทกิอยู่ที่ไหน” คาโอรุรีบซักต่อ
ริเอะเม้มปากแน่น สีหน้าท่าทางดูเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ดูจากสีหน้าการตอบสนองของพวกเธอทุกคนแล้ว คงมีแต่เธอสองคนล่ะมั้งที่ยังไม่รู้ความจริงว่าลูกชายฉันเป็นใคร” คุณแม่วัยสาวถอนใจอีกรอบ “คุณไทกิ… อยู่ในโลกที่ต่างจากพวกเธอมากนัก เค้าถูกหล่อหลอมให้เกิดมาเพื่อเป็นหนึ่ง อยู่ในตำแหน่งที่มีทั้งคนรักและเกลียดชัง”
ดวงตาสีอิฐเงยหน้ามองเด็กทั้งสองอีกครั้ง

“ไทกิ… คือ Red Rose”

ความจริงที่เหลือเชื่อทำให้เด็กทั้งสองถึงกับนิ่งงัน ฮิโระทรุดฮวบลงไปกองที่พื้น ส่วนคาโอรุตัวแข็งทื่อราวกับโดนคำสาปสะกดให้เป็นหิน ความเงียบและความกดดันทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อไม่มีใครในห้องกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคน
“ไม่จริงหรอก… เป็นไปไม่ได้”
คาโอรุเพ้อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพื่อนที่ดีที่สุด… จะกลายเป็นฆาตกรโหดที่ฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพันได้ยังไง เค้าไม่เชื่อเด็ดขาด
“เชื่อเถอะคาโอรุ เพราะนั่นเป็นความจริง” พี่ชายที่เค้านั่งเค้นคอยังไงก็ไม่ยอมบอก กลับเป็นคนยืนยันด้วยตัวเอง คาโอรุกัดฟันแน่นแล้วหลบไปนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่มุมห้อง
“แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ฮิโระถามต่อ ไม่น่าเชื่อว่าในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ทุกคนกำลังอยู่ในอาการสับสน แต่นักฆ่าหนุ่มกลับควบคุมตัวเองได้ดีกว่าใครเพื่อน คงเพราะชินซะแล้ว เค้าเองก็อยู่ในเส้นทางแห่งความตายมาตลอด จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักคนนี้ดี
บางทีคนเราก็มีทางให้เลือกไม่มากนักหรอก คนที่ฆ่าคนอื่นไม่ใช่เพราะความชอบเสมอไป แต่เพราะความอยู่รอดจึงเลือกไม่ได้ต่างหาก
“เรื่องนี้ถามรุ่นพี่ของเธอคงจะเหมาะกว่า เพราะเค้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น” ตาสวยๆของริเอะตวัดไปมองอีกคนที่ยังนั่งเก๊กหน้าเครียดอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม “ว่าไงจ๊ะ… ซุยคุง”
ซุยขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ สายตายังบ่งบอกความหวั่นไหวไม่สบายใจอย่างที่สุด
“เค้าถูกเซกิพาตัวไปแล้ว มิสึกิก็ถูกจับตัวไปด้วย ผมอยู่ที่นั่น… แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูเพื่อนรักกับไทกิถูกพาตัวออกไป ผมไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้คุ้มกันของเค้าสักนิด ขอโทษจริงๆนะครับคุณริเอะ”
คุณชายสายน้ำก้มตัวลงมาคุกเข่าขอโทษกับความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดในสายอาชีพของเค้า และเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้เพื่อนรักต้องเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้เค้าต้องสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปต่อหน้าต่อตาด้วย
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะซุยคุง อย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลย” ริเอะจับคนหัวดื้อกลับมานั่งคุยกันใหม่ “เธอรู้จักคนพวกนั้นน้อยเกินไปถึงรับมือพวกเค้าไม่ได้ โดนวางกับดักไว้ทุกทางโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้ ฉันได้ข่าวพี่ชายของเธอแล้ว เสียใจด้วยนะจ๊ะ”
ซุยเงยหน้ามองริเอะอีกครั้ง ดวงตาของเธอบ่งบอกความเศร้าจากใจจริง
“โชคดีที่พี่ยูคาริฟื้นแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนาน ผมมันอ่อนแอไม่เอาไหน ถ้าวันที่มันก้าวเข้ามาในโรงเรียน แล้วผมมีความกล้าพอที่จะหยุดมันสักนิด เรื่องเลวร้ายทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น”
“ไม่มีใครหยุดเค้าได้หรอก ฉันรู้นิสัยของเซกิดีพอๆกับที่รู้นิสัยลูกชายของฉันเอง ลองเค้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วไม่มีทางล้มเลิกง่ายๆ แต่ที่พี่ชายของเธอยังไม่ตายนั่นคงเป็นความจงใจของเค้าที่จะขู่ให้เธอถอนตัวจากเรื่องนี้มากกว่า ฉันจะไม่บังคับเธออีกแล้วนะซุย สัญญาว่าจ้างระหว่างเรา ฉันขอยุติเพียงเท่านี้ นี่คือเช็คงวดสุดท้าย จากนี้ไปเธอไม่ต้องยื่นมาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว”
ริเอะยื่นเช็คเงินสดให้ซุย เด็กหนุ่มเห็นแล้วก็ยิ่งเดือด ที่เค้าอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตั้งเยอะไม่ใช่เพื่อแลกกับเศษเงินที่ไร้ค่า เค้าถลำลึกเกินกว่าจะถอนตัวได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องขอทวงคืนสิ่งสำคัญกลับมาให้ได้
มือใหญ่ผลักเช็คคืนกลับไป เพื่อนพ้องน้องพี่ที่คอยลุ้นกนจนตัวโก่งก็ค่อยถอนใจด้วยความโล่งอก
“เก็บเงินของคุณคืนไปเถอะครับคุณริเอะ ผมอยากทำงานนี้ต่อ แต่ไม่ใช่ในฐานะลูกจ้าง แต่ในฐานะเพื่อนและ… คนรัก”
เกิดความเงียบพักใหญ่หลังจากที่หัวหน้าจูเนียร์ตัดสินใจเผยความในใจต่อหน้าคนอื่นเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะคู่สนทนาที่ดูเหมือนจะมีสีหน้าประหลาดใจเป็นที่สุด แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็เพียงแต่ถอนใจแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเคย
“ไทกิเค้าโชคดีมากนะ ที่ได้มาพบคนดีๆอย่างพวกเธอ” ริเอะเปรย “ไม่ว่าจะเป็นยังไง… ไทกิก็เป็นลูกของฉัน ถึงแม้ฉันจะทำได้เพียงแค่ยืนดูเค้าเติบโตในที่ๆไกลแสนไกล แต่ถ้ามีพวกเธออยู่เคียงข้าง ฉันก็วางใจแล้ว”
หญิงสาวลุกขึ้น เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ตึกสีน้ำตาลที่เห็นอยู่รำไรมีใครอีกคนกำลังรอพบเธออยู่ เธอหลีกเลี่ยงที่จะพบกันมานานแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากันซะที
“ฉันคงต้องไปแล้ว มีธุระจะคุยกับพวกเธอแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดหรือจะทำอะไรขอให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด ขอให้เชื่อมั่นในกำลังของพวกเธอและสามัคคีกันไว้ แล้วพวกเธอจะเป็นฝ่ายชนะ”
ริเอะทิ้งทวนให้กำลังใจก่อนที่จะจากไป บรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่สมาชิกพิเศษที่นิ่งงันอยู่นานก็เริ่มหันมาสบตากันปริบๆ คาโอรุที่ทำใจได้แล้วก็เดินตรงเข้ามานั่งบนโซฟาตรงข้ามกับซุย
“ผมจะไปช่วยไทกิ”
นักล่าบอกอย่างมุ่งมั่น ในชีวิตมีอยู่ไม่กี่คนที่เค้ารู้สึกผูกพัน เค้าเสียแม่ที่รักที่สุดไปคนหนึ่งแล้ว และจากนี้ไปจะไม่ยอมสูญเสียใครไปอีกแล้ว
ซุยขยับตัวเอนหลังช้าๆพร้อมกับถอนใจเบาๆ
“เรื่องช่วยไทกิกับมิสึกิ ไม่ใช่ฉันไม่คิดนะคาโอรุ แต่มันไม่ง่ายเลย เซกิร้ายกาจแค่ไหน พวกนายไม่ซึ้งเท่าฉันหรอก แค่องครักษ์ที่ล้อมรอบตัวมันอยู่ก็รับมือยากแล้ว”
“แต่มันก็ต้องมีทางบ้างสิ เมื่อกี้คุณริเอะก็บอกแล้วว่าถ้าพวกเราสามัคคีกันก็ต้องมีทางชนะได้ พี่อย่าลืมนะว่าพวกเราเองก็ไม่ใช่นักเรียนธรรมดา ศักดิ์ศรีแห่งสี่ตระกูลนักรบ ถ้าจะแพ้องค์กรดอกไม้ตายซากสั่วๆนั่นก็ให้มันรู้ไป”
ลูกชายบ้านโซมะประกาศลั่น พร้อมทุบกำปั้นดังป้าบ โนะอิขยับตัวแล้วเดินเข้ามาสมทบ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับไหล่ซุย
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมมือกัน… มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว หงส์เพลิง จะผงาดร่วมกันอีกครั้ง”

“แล้วนายก็อย่าลืมนะ ว่ายังมีพวกเราอยู่ด้วย”

เสียงประท้วงที่ดังมาจากประตูหน้าห้องทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง ยูกับสองแฝดและมาซาฮิโกะซึ่งหายหน้าไปจากสภามานานก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บัดนี้เหล่าสมาชิกสภาพิเศษมาพร้อมหน้ากันแล้ว จะเหลือก็แต่สองยมทูต… ที่ป่านนี้ไม่รู้จะเจอชะตากรรมอะไรบ้าง
“ฉันยืนฟังข้างนอกนานแล้ว ช็อกเหมือนกันนะเนี่ย ที่ตัวอันตรายสุดๆมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก” ยูบ่นอุบ แต่สองแฝดได้แต่นิ่งเงียบพูดไม่ออก
“แล้วมิสึกิล่ะ” มาซาฮิโกะหันไปถามซุย เพราะเค้าเองก็เป็นห่วงเพื่อนซี้ไม่แพ้กัน
“ก็คงพอเอาตัวรอดได้” ซุยถอนใจ ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริง ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าไทกิเป็น Red Rose ก็ไม่มีประโยชน์ที่ปิดบังเรื่องของมิสึกิต่อไป “พวกนายคงยังไม่รู้… หมอนั่นคือ Black Sakura”
“หา!!!!!!”
เพื่อนๆที่ยังไม่รู้มีปฏิกิริยามากกว่าที่คิด พากันอุทานดังลั่น ก่อนจะเงียบไปอีก
“สองคนเลยเหรอเนี่ย” ยูพึมพำเบาๆ “คิดจะลักพาตัวสองยมทูตออกมาจาก Death Flowers ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะซุย”
ซุยปรายสายตาไล่มองสมาชิกพิเศษทีละคน ภารกิจคราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาจต้องแลกด้วยชีวิต จะปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวด้วยเด็ดขาด
“ฉันขอบใจนะที่ทุกคนมีน้ำใจอยากช่วย แต่พวกนายไม่ควรต้องมาเสี่ยงกับเรื่องนี้ ฉันจะไปที่นั่นคนเดียว ฉันยังมีเรื่องต้องคิดบัญชีกับไอ้บ้านั่น”
“เฮ้อ… อยากจะโชว์ออฟคนเดียวหรือไงพี่” ไอ้ตัวแสบฮิโระแอบลามปามโอบแขนมาคล้องไหล่อีกข้าง “พี่ห่วงไทกิ เราก็ห่วงไทกิเหมือนกันนะ คิดจะให้พวกเราดูอยู่เฉยๆไม่มีทาง”
“แต่…”
“พอเถอะ… ซุย” โนะอิที่เงียบมานานเป็นฝ่ายตัดบท “ในฐานะหัวหน้าชั้นปีที่สาม ฉันขอให้งานครั้งนี้เป็นภารกิจสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน พวกเราทั้งหมดจะไปด้วยกัน ถึงต้องตาย… ก็จะต้องช่วยสองคนนั่นออกมาให้ได้”
โนะอิประกาศลั่น ยิ่งทำให้ทุกคนเกิดความฮึกเหิม งานครั้งนี้คงเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาก็ว่าได้ ซุยแอบยิ้มบางๆ
เพื่อน… เพิ่งจะซึ้งจริงๆก็วันนี้
“งั้นเราคงต้องวางแผนกันก่อน” ซุยเดินไปที่โต๊ะประชุม หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมากางเพื่อร่างแผนการคร่าวๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
“นี่ตกลงพี่ยอมให้พวกเราไปด้วยแล้วเหรอ”
ซุยหันไปมองเจ้าฮิโระที่กำลังส่งสายตาปริบๆมาให้ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“ฉันจะห้ามนายได้มั้ยล่ะ แต่ละคนหัวดื้อติดอันดับทั้งนั้น” ว่าแล้วก็ตวัดหางตาไปทางโนะอิที่เป็นต้นคิด “โนะอิ… ฉันรู้ว่านายร้อนใจเรื่องมิสึกิ แต่ถ้าจะไปลุยด้วยกัน อย่างน้อยเราก็ควรมีแผน”
ในไม่ช้าสมาชิกทุกคนก็มาพร้อมกันที่โต๊ะ รวมหัวกันคิดแผนการช่วยเพื่อนซี้สองยมทูตทั้งคืน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :m11: ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อยากอ่านต่อแว้ว  :m23: หนีไปอ่านภาคสองรอก่อนแระ  :oni1: :oni1:

ออฟไลน์ ren

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
    • " Welcome To Y Entertainment "
 :serius2:  อยากอ่านตอนต่อไป

แล้วมาลงอีกนะคะ   :m13:

สงสารเซกิจังเลย   :m15:

 

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
สนุกจัง ตอนต่อไปต้องมันส์แน่ๆ อิอิ

ออฟไลน์ Turn_righT

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 492
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
กองทัพสมาชิกสภาพิเศษออกโรงแล้วแฮะ...
ติดตามอยู่จ้า.... :L2: :L2:

@^_^@PeaZa@^_^@

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อเร็วๆน้า.......  o13 o13 o13

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 29 Hostage Game

‘ที่นี่ที่ไหน?’

ดวงตาสีเข้มปรือผ่านม่านตากระพริบถี่เพื่อปรับภาพให้คมชัด แต่แสงสว่างรอบตัวก็สลัวรางจนไม่เอื้ออำนวยต่อการมองเห็นเอาซะเลย
ที่นี่ทั้งมืดทั้งทึบ แถมยังมีกลิ่นอับชื้น เหมือนโกดังร้างที่ห่างไกลผู้คน ได้กลิ่นเสียงคลื่นซัดสาดและกลิ่นคาวทะเลซัดเข้ามาเป็นระลอก ดวงตาสีเข้มตวัดมองรอบๆตัวอีกครั้ง มือทั้งสองข้างขยับไม่สะดวกเพราะถูกโซ่เหล็กหนาหนักตรึงเอาไว้ หัวที่หนักอึ้งพยายามคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ถึงได้มาตกอยู่ในสภาพนี้
…เค้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง และใครที่มันบังอาจทำกับเค้าแบบนี้!…

ชายหนุ่มวัยกลางคนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง สอดแขนขึ้นมากอดอก พลางเม้มริมฝีปากแน่นสนิท เหล่าทโมนที่ขึ้นชื่อว่า ‘สมาชิกพิเศษ’ ยืนเรียงหน้าสลอนอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรสักคำ ทั้งที่ปกติจะพูดจ๋อยๆจนดักคอแทบไม่ทัน
“เฮ้อ…”
ชิงุเระพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เครียดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน แค่ไม่ได้เจอกับน้องสาวก็กลุ้มจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังต้องมาเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันอีก เมื่อเจ้าพวกทโมนทั้งหลายแห่กันมาพบตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมกับข่าวร้ายที่ตามมากระหน่ำซ้ำเติม
“ตกลงจะบอกฉันได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” อาจารย์หนุ่มกวาดสายตาจ้องไปทีละคน แต่พวกมันก็พากันหันหน้าหลบ เหลือแต่ไอ้ตัวสุดท้ายที่กล้าสบตากับเค้าตรงๆ
“ผมว่าต้องเป็นพวกมันแน่ๆ โธ่เอ๊ย! ไอ้ลิลลี่ขี้ขลาด เล่นสกปรกนี่หว่า”
ฮิโระตบโต๊ะดังปังจนกองเอกสารสำคัญบนโต๊ะอาจารย์ล้มครืน ชิงุเระปรายหางตามองกองเอกสารเจ้ากรรมด้วยความสลดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆไอ้ตัวแสบ
“คาวาชิมะ คาโอรุ… หวังว่าเธอคงจะมีคำอธิบายที่กระจ่างกว่านี้ให้ครูนะ”
นักล่าคนเก่งขยับตัวขยุกขยิกพร้อมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รุ่นพี่ยืนหัวสลอนตั้งเยอะ ทำไมต้องเป็นเค้าที่ต้องเล่าเรื่องที่น่าอึดอัดใจนี้ด้วย
“เมื่อคืนหลังจากประชุมเสร็จแล้วแยกย้ายกันกลับหอ พี่ซุยบอกว่าอยากอยู่เคลียร์งานต่อที่สภา พวกเราเลยกลับมาก่อน แต่พี่มาซาฮิโกะบอกว่ารอจนถึงเช้าพี่ซุยก็ไม่กลับห้อง แล้วพอพวกเราย้อนกลับไปดูอีกทีก็เห็นแต่ไอ้นี่วางอยู่บนโต๊ะชองพี่ซุยครับ”
คาโอรุวางดอกลิลลี่สีขาวบนโต๊ะอาจารย์ ทุกใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะชิงุเระที่ยกแขนขึ้นมากอดอกพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“พี่ซุยเค้าอาจจะไปลุยเดี่ยวโดยไม่บอกพวกเราก็ได้” เจ้าฮิโระสันนิษฐาน
“นายอย่าเพ้อเจ้อ… ซุยไม่ทำแบบนั้นหรอก ถ้าเค้ารับปากแล้วว่าจะปฏิบัติภารกิจร่วมกันก็ต้องไปด้วยกัน อีกอย่างคนอย่างซุยก็คงไม่ทิ้งดอกไม้น่าเกลียดนี่ไว้ให้ดูต่างหน้าหรอก” โนะอิเปรยให้ฟัง
นักฆ่าตัวแสบไหวไหล่
“ฉันก็แค่อยากคิดในแง่ดีไว้ก่อน เพราะถ้าขืนพี่ซุยโดนลักพาตัวไปจริงๆล่ะก็ ป่านนี้ก็คง…” ว่าแล้วมันก็เงียบไปซะดื้อๆ แต่คำทิ้งท้ายของมันยิ่งทำให้ทุกคนเครียดจัด ถ้าซุยถูกจับตัวไปจริงๆ ป่านนี้ถ้าไม่โดนทรมานจนน่วม ก็อาจจะโดนฆ่าตายไปแล้ว
“แต่ฉันก็ยังเชื่อใจมันนะ คนอย่างซุยไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ หมอนั่นต้องหาทางเอาตัวรอดได้” มาซาฮิโกะที่พูดน้อยกลับให้เหตุผลที่ดีที่สุดและช่วยให้ทุกคนมีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นกอง
“แล้วพวกเธอคิดจะทำยังไงกันต่อ?” อาจารย์ถามบ้าง
ทุกคนหันมาสบตากันด้วยสีหน้าท่าทางที่มุ่งมั่น งานนี้แม้จะขาดผู้นำแต่ภารกิจก็ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะลุล่วง พวกเค้าได้ตัดสินใจตั้งแต่ก้าวย่างสู่เส้นทางอันตรายนี้แล้ว
โนะอิก้าวออกมาข้างหน้าและเป็นผู้ที่ให้คำตอบ “พวกเราจะทำตามแผนเดิมครับ ถึงไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่พวกเราก็จะไป”
ชิงุเระถอนใจเฮือกใหญ่ ลองเด็กๆมุ่งมั่นขนาดนี้ถึงจะห้ามก็คงไม่ทันแล้ว
“งั้นฉันก็ขอให้พวกเธอโชคดีก็แล้วกัน แต่อย่าลืมว่างานคราวนี้ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจที่โรงเรียนมอบหมาย ไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีการประกันความปลอดภัยใดๆทั้งนั้น เพราะฉะนั้น… ขอให้พวกเธอระวังตัวด้วย” ผอ. อวยพรให้ทุกคนอีกครั้ง เด็กๆก็โค้งรับคำ ก่อนจะเดินเรียงแถวออกไป
งานครั้งนี้อาจต้องแลกด้วยชีวิต แต่ก็เป็นภารกิจเพื่อมิตรภาพ และจะเป็นภารกิจยิ่งใหญ่ที่รุ่นน้องจะต้องจดจำพวกเค้าไปนานแสนนาน

หลายวันแล้วที่ถูกกักตัวอยู่แต่กับกองเอกสารและรายงานท่วมโต๊ะ กับคอมพิวเตอร์ตัวเก่าที่เคยคิดถึงมันมาตลอด แต่ในยามนี้มันกลับเป็นสิ่งที่เค้าระอาที่สุดในชีวิต จนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงความอิสระซึ่งเคยได้รับจากโลกกว้าง
“ท่านไทกิคะ… ท่านเซกิหัวหน้าหน่วยยมทูตขาวขอเข้าพบค่ะ”
เสียงเจ้าหน้าที่ที่ดังมาจากโทรศัพท์บนโต๊ะปลุกให้คนที่กำลังแอบอู้ตื่นตัวเต็มที่ ภาพโรงเรียนที่คิดถึงหายวับไปจากจินตนาการ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดเครื่องตอบรับ
“ให้เข้ามา”
ประตูอัตโนมัติด้านหน้าเลื่อนเปิดออก ยมทูตหนุ่มในชุดสูทสีขาวล้วนก้าวเข้ามาอย่างเยือกเย็น แล้วถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่เชื้อเชิญ
“ดูท่าทางนายจะคุ้นกับห้องนี้มากกว่าฉันอีกนะเซกิ” ท่านผู้นำอดแขวะไม่ได้
“สถานการณ์มันบังคับนี่ครับ ถ้าคุณไทกิไม่ลาพักร้อนยาว ผมก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งอยู่ในห้องนี้หรอก” เจ้าตัวก็ย้อนได้เจ็บไม่แพ้กัน “แต่เชื่อเถอะ… ว่าอีกไม่นานคุณก็จะคุ้นและชอบมันไปเอง”
‘ชอบที่นี่เหรอ ให้ตายก็ไม่มีทาง’ ไทกิแอบเถียงในใจ
“ว่าแต่นายมีธุระอะไรกับฉัน ดึกป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่ามาพูดราตรีสวัสดิ์ คงขำตาย”
เซกิมองหน้าท่านผู้นำแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบรีโมทคอนโทรลที่ไทกิหาอยู่ตั้งนานว่ามันอยู่ที่ไหน กดไปที่จอมอนิเตอร์ใหญ่ แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้ไทกิทั้งดีใจและตกใจในคราวเดียว
…สมาชิกพิเศษทั้งหมดกำลังยืนอยู่หน้าตึกร้างแห่งหนึ่ง มีป้ายเตือนอยู่ด้านหน้าชัดเจนว่า…

‘เขตก่อสร้าง อันตราย!’
 
“พวกนั้น!!” ไทกิสะบัดหน้าไปหาลิลลี่เพื่อขอคำอธิบาย
“ก็คงมาช่วยคุณล่ะมั้ง” เซกิไหวไหล่ “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ”
“ห้ามนายทำอะไรพวกเค้าเด็ดขาด นี่เป็นคำสั่งฉัน!”
ผู้นำเริ่มขึ้นเสียง แต่ไอ้ลิลลี่ปีศาจกลับมีหน้ามาหัวเราะร่วน
“คุณไทกิ… ผมมีหน้าที่ป้องกันและรักษาความลับขององค์กรนะครับ ถ้ามีคนบุกรุกเข้ามาแล้วผมปล่อยปละละเลยไม่เท่ากับเป็นคนทรยศหรอกเหรอ ผมน่ะไม่อยากเป็นอย่างมิสึกิหรอกนะ กว่าจะมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ผมต้องสูญเสียอะไรมากมายเหลือเกิน” ว่าแล้วมันก็เม้มปากแน่น ดวงตาสีแดงอิฐว่างเปล่า
“แล้วนายจะเอายังไง บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ยอมให้นายแตะต้องเพื่อนๆฉันเหมือนกัน”
“ท่าทางคุณคงลืมคำสั่งสอนของพ่อคุณแล้วมั้ง ยมทูตไม่เคยมีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีของสำคัญ คุณจะสูญเสียจิตวิญญาณของยมทูตไปทันที คุณจะสร้างจุดอ่อนและยอมทิ้งตำแหน่งสูงสุดเพื่อหนูสกปรกพวกนี้ได้จริงๆเหรอ”
“เซกิ” กุหลาบแดงลุกพรวด จ้องหน้าไอ้ตัวแสบที่ยังเอาแต่ยิ้มยียวน “ฉันไม่เคยนึกภูมิใจที่ได้เป็น Red Rose ถ้าเลือกได้ฉันขอเป็นขอทานข้างถนนแล้วมีเพื่อนสักคนที่เข้าใจฉันดีกว่า”
“บางทีคนเราก็เลือกมากไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ไม่เคยนึกอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดไปแล้วจะทำอะไรได้ นอกจากยอมรับมันอย่างขมขื่น”
เซกิหมุนตัวไปที่จอมอนิเตอร์อีกครั้ง เปลี่ยนโหมดเป็นหกช่องรับภาพซึ่งสามารถเห็นได้ทุกซอกทุกมุมภายในองค์กร ไทกิเห็นองครักษ์ทั้งหมดเฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ก็อดนึกหวั่นใจแทนเพื่อนๆไม่ได้
“ผมจะยอมให้โอกาสคุณเลือกอีกครั้ง เรามาเล่นเกมโดยใช้สิ่งที่มีค่าที่สุดเป็นสิ่งเดิมพัน”
เซกิยื่นข้อเสนอ ไทกิทำตาปริบๆ ลองไอ้หมอนี่พูดแบบนี้ ฟันธงได้เลยว่าต้องเป็นแผนชั่วแน่ๆ
“เอาสิ… ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้นายจะเล่นสกปรกแบบไหน”
“หึ หึ… ระแวงเกินไปหรือเปล่าคุณไทกิ ผมน่ะออกจะทำอะไรโปร่งใสตรงไปตรงมา เชือดก็เชือดจริง ฆ่าก็ฆ่าจริง ไม่เคยล้อเล่นกับใครสักที”
“อย่ามายียวน นายจะเอายังไงก็ว่ามา”
“เราจะเล่นเกมตัวประกัน โดยผู้ที่เล่นเกมก็คือผมและเพื่อนๆของคุณ และตัวประกันที่ว่าก็คือตัวคุณเอง” ว่าแล้วมันก็เอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่ซุกอยู่ใต้กองเอกสารออกมาปรับตั้งเวลา “กำหนดเวลา 24 ชั่วโมงนับจากนี้ เกมจะจบก็ต่อเมื่อเพื่อนๆของคุณทุกคนมาถึงห้องบัญชาการใหญ่ หรือไม่ก็หมดเวลาที่ผมตั้งไว้”
“แล้วเดิมพันที่ว่าล่ะ?”
“ถ้าเพื่อนคุณชนะ ผมจะปล่อยทุกคนไปจากที่นี่รวมทั้งตัวคุณด้วย และผมจะยอมรับโทษแต่เพียงผู้เดียวในฐานะคนทรยศโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีกเลย แต่บอกไว้ก่อนว่าเพื่อความอยู่รอดแล้ว ผมไม่ยอมให้เพื่อนคุณผ่านเข้ามาง่ายๆแน่”
“แล้ว… ถ้าเกิดมีใครคนใดคนหนึ่งมาไม่ทันล่ะ” ไทกิถามต่อ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะมีใครรอดผ่านเข้ามาจนถึงที่นี่
ดวงตาสีแดงอิฐของเซกิหรี่ลง มุมปากเหยียดรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าไปจ้องจอมิเตอร์ใหญ่ที่เหล่าแก๊งสมาชิกพิเศษกำลังยืนถกเถียงกันอยู่หน้าตึกร้าง
“ถ้าขาดใครไปแม้แต่คนเดียวก็เท่ากับเกมโอเวอร์ ผมชนะ… ส่วนเพื่อนคุณแพ้ ผมคงไม่ต้องสาธยายหรอกมั้งว่าคนแพ้ต้องเจอกับอะไรบ้าง เพราะคุณเป็นคนเดียวที่รู้จักผมดีที่สุด”
ไทกิกำหมัดแน่น ในที่สุดก็ถูกมันบีบให้จนตรอกจนได้ ดวงตาสีแดงจ้องเขม็ง แต่มันจะหวั่นไหวสักนิดหรือก็เปล่า เมื่อเอาแต่จ้องกลับโดยไม่หลบแม้สักอึดใจ
“ถ้าฉันไม่เล่นเกมบ้าๆนี่กับนายล่ะ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้นำของที่นี่ เพียงคำสั่งเดียวของฉันก็ระงับการคุ้มกันทั้งหมดและเปิดทางให้พวกนั้นเข้ามาได้โดยไม่ต้องง้อนายสักนิด”
เซกิยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหมุนเก้าอี้แล้วกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปที่ ‘สถานกักกันลับ’

…ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ไทกิผวาจนแทบคลั่ง สถานที่กักกันนักโทษสำคัญและอันตรายร้ายแรงซึ่งรกร้างมาเนิ่นนาน บัดนี้กลับมีชายคนหนึ่งถูกจองจำไว้ภายใต้โซ่ตรวนเส้นหนา ในห้องนั้นมืดทึบ มีเพียงแสงสลัวรางจากคบไฟส่องลอดเข้ามาทางช่องเล็กๆ ได้ยินเสียงหวูดเรือดังแว่วมาจากที่ไกลๆ พร้อมกับคลื่นที่ถาโถมเป็นระลอก…

‘คงเป็นเกาะร้างที่ไหนสักแห่ง’

ไทกิหน้าซีดเผือด เตะเก้าอี้ออกไปจนพ้นทางแล้วโดดไปเกาะจอมอนิเตอร์ มือเรียวลูบใบหน้าของคนที่เค้าคิดถึงสุดหัวใจ แต่คนๆนั้นก็ไม่อาจตอบสนองหรือตอบโต้กับเค้าได้เลย มิหนำซ้ำยังทำหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกจับมาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง
“เกาะเซเรียว… อยู่ทางตอนใต้ของคิวชู ถ้าคุณนั่งเครื่องจากที่นี่แล้วไปต่อเรือที่เกาะก็จะใช้เวลาเดินทางสิบสองชั่วโมง รวมเวลาไปกลับก็ 24 ชั่วโมงพอดิบพอดี”
ไอ้ลิลลี่ปีศาจยิ้มเยาะเย้ย ทั้งที่ไทกิโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนที่มันจะยื่นตั๋วเครื่องบินพร้อมกุญแจเรือและแผนที่เกาะมาให้
“เครื่องบินน่ะผมเตรียมให้แล้ว แต่เรือคุณคงต้องขับไปเอง เพราะที่นั่นเป็นเกาะลับขององค์กร ซึ่งองครักษ์ที่ระดับต่ำกว่าหัวหน้าสายงานไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้ ยูอิถูกกักบริเวณ ริวต้องอยู่ช่วยผมกำจัดหนูสกปรกที่นี่ ส่วนวายะ… ผมเพิ่งส่งเค้าไปทำภารกิจลับที่อเมริกาเมื่อเช้านี้ เพราะฉะนั้นคนที่จะไปที่นั่นได้จึงมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้น ก็เลือกเองแล้วกันนะครับว่าคุณจะช่วยใคร จะอยู่ช่วยเพื่อนคุณที่นี่ก็ได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าเที่ยงคืนพรุ่งนี้น้ำจะขึ้นจนท่วมทั้งเกาะและจะลดระดับอีกทีตอนรุ่งเช้า ถ้าหากคุณยังดื้อดึงไม่รับเดิมพันจากผมล่ะก็ คุณก็จะได้เห็นศพของเทนโนะ ซุย ลอยไปติดหาดโอกินาว่าในเช้ารุ่งขึ้นของวันมะรืน!”
“แก!!!”
ไทกิทุ่มแจกันที่ใกล้ที่สุดลอยเฉียดหัวเซกิที่ก้มหลบได้อย่างฉิวเฉียด
“ทุกอย่างเป็นแผนของนายใช่มั้ย นายรู้มาตลอดว่าฉันอยู่ที่ไหน ปล่อยให้ฉันได้เรียนและผูกพันกับเพื่อน ให้ฉันมีจุดอ่อนที่นายจะสามารถเอามาต่อรองได้ แล้วสุดท้ายนายก็จะทำลายทุกอย่างของฉัน นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเซกิ เดิมทีฉันเคยคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่ความจริงนายมันก็เป็นงูพิษที่คิดจะแว้งกัดฉันตลอดเวลา”
“งูพิษเหรอ หึ… ผมคงไม่ร้ายเท่าพ่อของคุณหรอกมั้งครับคุณไทกิ แค่นี้มันยังน้อยไปกับความแค้นที่ผมเก็บไว้ตลอดห้าปี แค่ทำลายยังไม่พอหรอก ผมจะดับความฝันทุกอย่างของคุณ พรากทุกสิ่งที่สำคัญไปจากคุณ ให้คุณต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานในโลกที่สิ้นหวัง จนกว่าคุณจะเรียกร้องหาความตายจากผมเอง”
ไทกิจ้องหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมิตรด้วยความปวดร้าว ทำไม… ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เพื่อนที่แสนดีถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่เคยมีให้เมื่อสมัยเด็ก มันหายไปไหนหมด อะไรที่ทำให้พี่ชายที่แสนดีของเค้าเปลี่ยนไป
“พ่อฉันทำอะไร… ทำไมนายจะต้องแค้นฉันขนาดนี้ด้วย” ไทกิเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เพราะตอนนี้ไม่รู้จะโกรธหรือสมเพชมันดี
“ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คุณก็จะเข้าใจว่าผมแค้นเพราะอะไร”
เซกิหยิบนาฬิกาไปตั้งไว้บนโต๊ะ เสียงติ๊กต๊อกของมันยิ่งโหยหวนราวกับจะไล่ล่าชีวิตของผู้คนที่ต้องผูกติดอยู่กับเวลาของมัน
“คุณจะทำอะไรก็รีบทำดีกว่า เวลามันไม่คอยท่านะครับคุณไทกิ จะเล่นเกมกับผมหรือไม่ ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
ลิลลี่เดินหันหลัง ในขณะกำลังจะก้าวพ้นจากประตูก็มีเสียงที่แผ่วเบาเรียกตัวเค้าไว้
“เซกิ”
ไทกิหันหน้าที่มีน้ำตาเอ่อคลอไปหาอดีตเพื่อนที่เค้ารักมากที่สุด
“ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจนายมากที่สุด แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้จักนายเลยสักนิด ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนที่ฉันรัก ส่วนนาย… ถ้าอยากฆ่าก็ฆ่าฉันเถอะ อย่าทรมานตัวเองด้วยความแค้นอีกต่อไปเลย”
ดวงตาสีแดงอิฐหรี่ลง ในชั่ววูบที่แสดงถึงความหวั่นไหว แต่ก็แข็งขืนขึ้นมาอีก ราวกับม่านประตูที่กำลังจะเปิดออกถูกเจ้าตัวพยายามผลักแล้วปิดมันลงอีกครั้ง
“ผมไม่ทำเรื่องที่น่าเบื่อโดยการฆ่าคุณหรอก เรามาเล่นเกมด้วยกันสนุกกว่าตั้งเยอะ” ว่าแล้วมันก็รีบเดินหนี ก่อนที่เสียงกระซิบที่อยู่ในใจจะตะโกนก้องมากไปกว่านี้
ไทกิมองไปที่ตั๋วและกุญแจเรือที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าฮิโระที่ถูกซูมเข้ามาใกล้ ใบหน้าของมันยังกวนสนิท แถมลุกลี้ลุกลนเหมือนมาเที่ยวสวนสนุกมากกว่าจะมาบุกรังโจร จนไทกิอดขยับรอยยิ้มไม่ได้
“ฉันเชื่อใจพวกนายนะ ฉันรู้ว่าพวกนายทุกคนแข็งแกร่ง เอาตัวรอดให้ได้นะเพื่อน”
ไทกิทาบมือไปที่จอมอนิเตอร์ราวกับจะส่งผ่านความหวังไปถึงเพื่อนๆ ก่อนจะคว้าตั๋วและกุญแจเรือ แล้วพุ่งออกไปทางประตูอุโมงค์ด้านหลัง

ตึกร้างใจกลางกรุงโตเกียวที่ตั้งตระหง่าน ราวกับสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความล้มเหลวทางวัฒนธรรม ตัวตึกฉาบปูนหยาบ ทรุดโทรมด้วยคราบน้ำฝนที่กร่อนชะ ด้านหลังมีกองขยะพะเนินเทินทึกส่งกลิ่นเน่าเหม็น อากาศอับชื้นจนแม้แต่พวกคนจรจัดยังไม่อยากยึดเป็นแหล่งพักพิง ที่แบบนี้… เป็นสาขาองค์กรใหญ่ประจำกรุงโตเกียวของพวกองค์กรดอกไม้ตายซากนั่นจริงๆเหรอ
โนะอิเดินเข้าไปลูบตัวหนังสือสีเลือดซึ่งเขียนตวัดอยู่บนผนังกำแพงอิฐ…

‘K38’

“ได้ข่าวว่าที่นี่เป็นตึกผีสิงล่ะ”
ฮิโระกวาดสายมองไปรอบๆแล้วเผลอเกาะแขนคาโอรุไว้ไม่รู้ตัว ก็บรรยากาศมันชวนสยองน้อยซะเมื่อไหร่ รอบๆมืดสนิท แถมมีลมเย็นๆพัดวูบ ทั้งเงียบทั้งวังเวงชวนขนลุกชะมัด นี่ถ้ามีอะไรวิ่งผ่านหน้าไปสักตัว เค้าคงหัวใจวายตายแน่
คาโอรุส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เป็นนักฆ่าแท้ๆแต่ดันกลัวผี นายเนี่ยมันเหลือเชื่อจริงๆ ให้ตายสิ”
“ก็ผีกับคนไม่เหมือนกันนี่ คนมีเนื้อหนังใช้มีดจิ้มทีเดียวก็ตายแล้ว แต่ผีน่ะถึงใช้ขีปนาวุธก็ฆ่ามันไม่ตายหรอก”
“ปอดแหก” คาโอรุแขวะไปอีกรอบ
“พวกนายจะเลิกเถียงกันได้หรือยัง”
โนะอิหันไปดุ คนอื่นเค้าเครียดจะแย่พวกมันยังมีอารมณ์มากัดกันอยู่ได้ น่าเตะเรียกสติสักป้าบจริงๆ
“ทำตามแผนเดิมนะ พวกเราจะบุกเข้าไปพร้อมกัน เป็นไปได้ก็อย่าให้คลาดกันเด็ดขาด โดยเฉพาะพวกนาย” ว่าแล้วก็ปรายหางตาสวยๆไปหาน้องชายกับไอ้นักฆ่าตัวดีที่เถียงกันงุบงิบไม่เลิก แล้วก็ได้แต่ถอนใจปลงสังเวช “ป่านนี้พวกมันก็คงรู้ตัวแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ ถ้าภารกิจล้มเหลวให้รีบหาทางหนีออกมาทันที พวกเรายังมีโอกาสแก้ตัวแล้ววางแผนใหม่ อย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด”
หัวหน้าซีเนียร์ย้ำอีกครั้ง แต่พอดูหน้าสมาชิกแล้วไม่รู้พวกมันจะซึมซับคำสั่งของเค้าไปแค่ไหน เพราะยังทำท่าฮึดฮัดเหมือนคำสั่งไม่ถูกใจ
“เอ้า!! ตายเป็นตาย ถ้าทำไม่สำเร็จก็อย่าออกมาเด็ดขาด”
“เอ้อ! มันต้องงี้สิพี่ ถึงจะมันหน่อย” ฮิโระตบไหล่รุ่นพี่ดังป้าบ ก่อนจะกระโดดนำหน้าไปอย่างระริกระรี้
ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดิมพันด้วยเกมที่อันตรายถึงชีวิต
แต่… พวกเค้าจะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2008 14:01:39 โดย Unn »

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 30 The White Guardian

ภายในตัวตึกเงียบสงัด… วังเวงและชวนขนลุกยิ่งกว่าข้างนอกร้อยเท่า ไฟฉายเล็กๆจากมือรุ่นพี่โฮตารุเป็นแสงสว่างเพียงสิ่งเดียวที่นำทางสมาชิกทั้งหมด เศษวัสดุวางระเกะระกะตามรายทาง เสียงหวีดหวิวของสายลมที่กรีดพัดมาตามช่องหน้าต่างส่งเสียงโหยหวนกึกก้องราวกับปีศาจร้าย
ทุกคนพยายามเพ่งมองไปข้างหน้า โดยไม่ใส่ใจกับเสียงตึงตังที่ดังอยู่เป็นระยะในเงามืด คาโอรุก้มมองมือของตัวเองซึ่งเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของใครบางคน
“ถ้ากลัวก็กลับไปสิ หรือไม่ก็เฝ้าข้างนอกก็ได้ ฉันไม่ว่าหรอก” คาโอรุกระซิบเสียงบอกไอ้ตัวดีที่สั่นงกๆ เหลียวหน้าแลหลังด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา
“ไม่เอา… ฉันไม่อยากโดนผีหลอกคนเดียว”
“โอ๊ย! เมื่อไหร่นายจะเลิกปอดแหกซะทีฮึฮิโระ ผีไม่มีจริงในโลกหรอก นายคิดไปเองทั้งนั้น”
“เรื่องแบบนี้ว่าได้เหรอ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดิ”
“ชู่วววว!!!”
เสียงปรามจากรุ่นพี่ที่เดินนำหน้าทำให้สองตัวแสบเงียบเสียงทันควัน คาโอรุสลัดมือนักฆ่าตาขาวทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พี่ยู
“ข้างหน้ามีอะไรเหรอ?” คาโอรุเอ่ยถาม
“รู้สึกโนะอิกับโฮตารุจะเจอทางเข้าแล้วนะ”
คาโอรุมองตามที่ยูบอก เห็นโนะอิกับโฮตารุก้มๆเงยๆอยู่บนพื้นสุดปลายทางเดิน พวกเค้าช่วยกันเคาะอยู่พักใหญ่แล้วปรึกษากันเงียบๆ
“หลีกทางหน่อย ฉันจะไปช่วยสองคนนั่นอีกแรง” มาซาฮิโกะที่เดินรั้งท้ายก็อาสาเข้าไปช่วย
พวกรุ่นพี่นั่งงมโข่งกันอยู่นานสองนาน เคาะแล้วเคาะอีกก็ได้ยินแต่เสียงสะท้อนแว่วกลับว่าแสดงว่าด้านล่างเป็นที่โล่งแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเปิดเข้าไปได้ยังไงเท่านั้น ยูกับคาโอรุก็เข้าไปช่วยหาด้วย ทิ้งนักฆ่าเพียงหนึ่งเดียวยืนตัวสั่นกับบรรยากาศชวนสยองรอบด้าน
“เฮ้! ฮิโระ นายเองก็มาช่วยกันหน่อย…”
คาโอรุหันไปเรียกคู่หู แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นมันยืนเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเหวอ นิ้วที่สั่นระรัวชี้ไปบนกำแพงด้านหลังของพวกเค้า มันยืนตัวแข็งทื่อราวกับโดนมนตร์สะกดสาปให้เป็นหินยังไงยังงั้น
“ฮิโระ! นายเป็นอะไร” คาโอรุรีบปราดเข้าไปดูคู่ซี้ด้วยความเป็นห่วง มันไม่ตอบคำถาม นิ้วที่สั่นเทายังคงชี้อยู่กับที่ รอให้นักล่าคนเก่งหาคำตอบเอาเอง
คาโอรุเงยมองตามไปช้าๆ แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เค้าช็อคไปอีกคน ถึงจะไม่เท่ากับมันก็เถอะ

...เงาร่างเลือนรางโปร่งใสของหญิงสาวแสนสวยในชุดกิโมโนโบราณ ลอยระเรี่ยอยู่บนพื้นกำแพงอิฐที่เย็นเยียบ ดวงตาสีแดงก่ำของเจ้าหล่อนจ้องเขม็งมายังผู้บุกรุก ปากสีดำขยับขมุบขมิบเหมือนกำลังร่ายคำสาป สองมือที่ปล่อยเล็บสีแดงยาวแหลมคมยกขึ้นมาตะกุยราวกับจะขย้ำคอคนที่บังอาจล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของเจ้าหล่อน พวกรุ่นพี่ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นทีละคน แล้วเดินถอยกลับไปตั้งหลักรวมกับพวกฮิโระ…

“นะ… นายเห็นหรือยัง ฉันไม่ได้โกหกนะ ผีมันมีในโลกจริงๆ เห็นมั้ย”
ฮิโระที่กลัวจนสติแตกคว้าข้อมือของเพื่อนซี้มากุมไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เผื่อผีสาวสวยนั่นลอยเข้ามาใกล้แล้วเค้าวิ่งไม่ออก คาโอรุจะได้ช่วยหิ้วไปด้วย
“โธ่เอ๊ย… นึกว่าอะไร”
ยูที่ตอนแรกก็งงว่าผีสาวตนนี้โผล่มาได้ยังไง พอแหงนหน้ามองเพดานก็ถึงบางอ้อ โปรเจคเตอร์รุ่นจิ๋วกับกล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่หลังโคมไฟบนเพดานคือคำตอบทั้งหมด
“ก็แค่ภาพโฮโลแกรมน่ะ ไม่ใช่วิญญาณจริงๆซะหน่อย”
มือปืนหนุ่มขยับปืนในมือตั้งท่าเหนี่ยวไกเล็งไปที่เป้าหมาย แต่ก่อนที่เค้าจะลั่นไกยิงกล้องเจ้าปัญหาที่ทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ มือที่ไวกว่าก็คว้าต้นแขนเค้าไว้
“มาห้ามฉันทำไม มาซาฮิโกะ” ยูหันไปทำหน้าเคืองใส่รุ่นน้อง
“อย่าเพิ่งยิงนะครับ ท่านเจ้าอาวาสเคยสอนผมเสมอว่าให้มองทุกอย่างรอบตัวเป็นหนทางแก้ปัญหา ภาพโฮโลแกรมรูปผีที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้า คงไม่ได้ทำไว้แค่ขู่ให้คนกลัวเพียงอย่างเดียวแน่ มันน่าจะมีปริศนาอะไรสักอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น”
มาซาฮิโกะขยับเข้าไปเผชิญหน้ากับผีสาว ตอนนั้นเองที่ทุกคนเพิ่งนึกออก ลืมไปสนิทเลยว่าไอ้หมอนี่เป็นนักบวช ผีก็ต้องเจอกับพระ เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อจริงๆ
“ขอถามหน่อยว่าจะเข้าไปข้างในได้ยังไง?”
นัยน์ตาสีแดงก่ำของฝีสาวค่อยๆเลื่อนมาจับที่ผู้สนทนา สมาชิกทุกคนลุ้นระทึก รอว่าผีปลอมตัวนี้จะพูดจาโต้ตอบกับคนเป็นๆได้หรือเปล่า

‘ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม เจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งใด’
ผีสาวส่งเสียงเยือกเย็นเอ่ยถาม เล่นเอาบรรดาสมาชิกที่ไม่เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์ถึงกับงงกันเป็นทิวแถว

“ก็มาหาเพื่อนน่ะสิ ถามได้… โอ๊ย!”
เจ้าฮิโระที่พอหายกลัวปุ๊บก็ปากเสียปั๊บ แต่ดันตอบคำถามไม่ตรงกับโปรแกรมที่ตั้งไว้ ผีสาวเลยปล่อยแสงเลซอร์ยิงเฉียดไรผมร่วงลงมาหนึ่งกระจุก

‘ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม เจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งใด’
เจ้าหล่อนถามอีกครั้ง

“ยัยป้าเนี่ยท่าทางจะพูดกันไม่รู้เรื่องแฮะ พูดเป็นอยู่ประโยคเดียวหรือไง”

เปรี้ยง!

ปากมอมๆของมันส่งผลให้เกิดแสงเลเซอร์ลูกใหญ่ยิงผ่าเข้ามากลางวง จนแต่ละคนกระโดดม้วนตัวหลบกันแทบไม่ทัน
“นายน่ะหัดหุบปากไว้บ้างก็ได้นะฮิโระ พูดมากนักเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ซวยกันหมดพอดี”
โนะอิดุด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเหลือทน ก่อนจะหันไปทางนักบวชหนุ่มที่กำลังยืนละเหี่ยใจเต็มที่
“มาซาฮิโกะ… ลองใช้รหัส ‘HOPE’ ดูซิ”
“ยัยป้านั่นจะฟังภาษาอังกฤษออกเร้อ” ฮิโระไม่วายขอแจม
“หุบปาก!!” เพื่อนพ้องน้องพี่พร้อมใจกันหันมาด่า มันถึงได้รีบยกมือขึ้นมาปิดปากไว้หมับ
มาซาฮิโกะขยับเข้าไปใกล้ผีสาวอีกหน ดวงตาสีแดงก็เลื่อนมาจ้องพร้อมกับถามคำถามเดิมอีกรอบ

‘ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม เจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งใด’

“ความหวัง”

นักบวชหนุ่มให้คำตอบ ทุกคนลุ้นระทึกและเตรียมตัวหลบลำแสงเลเซอร์กันเต็มที่ ผีสาวชะงักไปนิด ก่อนจะแปรสภาพจากใบหน้าขาวซีดน่ากลัว กลายเป็นนางฟ้าที่แสนอบอุ่น ดวงตาเป็นสีของแผ่นดิน ริมฝีปากขับสีชมพูระเรื่อ สองมือที่เคยกรีดเล็บยาวขู่ก็กลายเป็นนิ้วเรียวที่น่าสัมผัส แม้แต่ชุดไว้ทุกข์ของเจ้าหล่อนก็ยังเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง ราวกับนางฟ้าของจริงลงมาจำแลงให้เห็นเป็นๆยังไงยังงั้น
“ว้าว!” เจ้าฮิโระดีดนิ้วเปาะ “ว่าแล้วมั้ยล่ะ”

‘เจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการในดินแดนแห่งนี้ แต่ต้องเลือกเส้นทางไปสู่สิ่งที่หวัง ข้าขอถามอีกครั้ง… เจ้าจะเลือกนรกหรือสวรรค์’

พอจบคำถามจากนางฟ้า มาซาฮิโกะก็หันไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆ โนะอิทำท่าคิดหนัก แต่ยังไม่ทันมีใครพูดอะไร ไอ้ตัวปากหมาก็ดันโพล่งไม่ดูตาม้าตาเรืออีกจนได้
“แหงแซะ… ก็ต้องเลือกทางไปสวรรค์อยู่แล้ว ใครจะโง่เลือกลงนรก บ้าหรือเปล่า” ฮิโระทำหน้าภาคภูมิใจเต็มที่ ทั้งที่โนะอิกำลังจ้องมันตาถลน นี่ถ้าไม่เกรงใจน้องชายสุดที่รักล่ะก็ คงโดดเข้าไปฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆสังเวยเจ๊นางฟ้านั่นไปแล้ว

‘เจ้าจะได้สิ่งที่ปรารถนา ณ บัดนี้’

นางฟ้าผายมือมาทางด้านซ้าย พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่พักใหญ่ ประตูที่ถูกซ่อนอย่างแนบเนียนอยู่บนพื้นก็เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ แล้วนางฟ้านำทางก็ค่อยๆสลายหายไปพร้อมกับไฟจากเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ดับพรึ่บ
“นายทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า ถ้าเราลงไปเจอกับดักล่ะก็นายต้องรับผิดชอบ เข้าใจมั้ยฮิโระ” โนะอิขู่จริงไม่ได้ขู่เล่น ทำเอาไอ้ตัวแสบถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ๊แกจะบ้าจี้รับคำตอบง่ายขนาดนั้น ทีเมื่อกี้ยังปล่อยพลังเปรี้ยงๆอยู่เลย ฉันก็เผลอพลั้งปากไปน่ะสิ” ฮิโระรีบแก้ตัว
“เอาน่า… น้องมันคงไม่ตั้งใจหรอก บางทีสิ่งที่ฮิโระเลือกอาจจะถูกก็ได้ พวกเราเองก็คิดไม่ออกอยู่แล้วนี่ว่าจะไปทางไหน มีคนตัดสินใจให้อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะนะ” ยูช่วยแก้ต่างให้อีกคน
โนะอิสะบัดหน้ากลับไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินตามโฮตารุที่ส่องไฟสำรวจเส้นทางรออยู่แล้ว

ทางเดินที่นำลงไปสู่ชั้นใต้ดินค่อยๆสว่างขึ้นเป็นลำดับ ประตูด้านบนถูกปิดสนิททันทีที่พวกเค้าเข้ามากกันครบถ้วน ราวกับมีใครบางคนคอยจับตาดูอยู่ โฮตารุดับสวิตซ์ไฟฉายรุ่นจิ๋วเมื่อนำทางมาถึงห้องโถงที่สว่างไสว
“ไม่มีใครเลยแฮะ”
คาโอรุเดินนำไปข้างหน้าเล็กน้อย ถ้องโถงที่หรูหราแต่กลับไม่มีใครเฝ้าอยู่เลยสักคน มันออกจะผิดปกติเกินไปกับองค์กรที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง Death Flowers
“ระวังนะ… นี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้ ฉันกับโฮตารุจะนำหน้าไปก่อน มาซาฮิโกะดูท้ายด้วย ส่วนพวกนาย…” ว่าแล้วหางตาสวยๆของรุ่นพี่ก็เขม่นไปหาไอ้ตัวดีอีกรอบ “หุบปาก แล้วเดินตามยูไปเงียบๆ”
ฮิโระทำหน้ามุ่ยแต่ก็ต้องรับคำสั่ง ถึงจะเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจแค่ไหน แต่เค้าก็ต้องยอมรับในประสบการณ์ที่เหนือชั้นกว่าของรุ่นพี่ โดยเฉพาะโนะอิที่โชกโชนอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เล็ก
ถัดจากห้องโถงก็เป็นทางเดินกว้าง มีกล้องวงจรปิดคอยจับตาดูเป็นระยะ พวกเค้าเดินทางด้วยความระมัดระวังเพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าอาจจะโดนจู่โจมได้ตลอดเวลา
“มันจะเงียบเกินไปแล้วนะ เดินมาตั้งนานยังไม่เจอแม้แต่มดสักตัว พี่นายพาหลงทางหรือเปล่าก็ไม่รู้” ฮิโระกระซิบเสียงถามคาโอรุเบาๆเพราะกลัวรุ่นพี่จะได้ยิน
“เฉยเหอะน่า นายก็เห็นแล้วนี่ว่ามันมีทางอยู่แค่ทางเดียว แทนที่นายจะกังวลเรื่องหลงทาง นายเอาเวลามากังวลว่าเราจะเจออะไรตรงทางออกดีกว่า”
“เฮ้อ… งั้นก็เถอะ เดินมาร่วมชั่วโมงแล้วนะ” ว่าแล้วไอ้ตัวแสบก็เท้าแขนยันผนัง “เราน่าจะพัก… เฮ้ย!!!”
จู่ๆฝาผนังด้านที่มันพิงอยู่ก็สั่นสะเทือน จากนั้นกว่าที่นักฆ่าจอมกวนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สายเกินไปแล้ว
“ว้าก!!!!”
ฝาผนังกลตีพลิกกลับอย่างรวดเร็ว ดูดเอาตัวฮิโระไปอีกด้าน แต่ก่อนที่มันจะปิดตาย คาโอรุก็รีบโดดเข้าไปคว้าตัวเพื่อนรักเอาไว้ ก่อนจะหล่นลงไปยังอีกฝั่งของประตูกลด้วยกัน
“คาโอรุ!!” โนะอิจะคว้าตัวน้องชายไว้ แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว
“เฮ้ย!!”
มือปืนสองคนที่เดินนำหน้าไปไม่กี่ก้าว ก็ถูกประตูกลจากเพดานเลื่อนลงมาปิดกั้นตัดขาดกับพวกโนะอิ ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายที่สุด ทีมสมาชิกที่หมายใจจะต่อสู่ร่วมกันอย่างเหนียวแน่น กลับถูกแยกออกเป็นสามทีมโดยไม่ตั้งใจซะแล้ว


ตุบ!

เสียงก้นของนักฆ่าหนุ่มแลนดิ้งลงพื้นไม่เป็นท่า ก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมายืนทรงตัวอีกครั้ง
“โอ๊ย! เจ็บเป็นบ้า”
ฮิโระบ่นไปด้วยลูบก้นที่จ้ำเบ้าไปด้วย ตอนนั้นเองที่แสงไฟเล็กๆจากไฟฉายของคาโอรุก็สว่างขึ้น มันยังคงห่วงสำรวจสวัสดิภาพของตัวเอง จนลืมมองหน้าเพื่อนซี้ที่กำลังซีดสนิท
“ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย ว้า! พี่มิสึกิก็ไม่ทิ้งแผนที่ไว้ซะด้วย แย่ชะมัด” เจ้าตัวดีบ่นไปเรื่อย แต่เริ่มได้กลิ่นคาวเลือดทะแม่งๆโชยมาติดจมูก จึงเงยหน้ามองคู่หู “อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะคาโอรุ อย่าบอกนะว่ากลัวหลงทาง มากับฉันรับรองวางใจได้ จมูกฉันดีกว่าหมาซะอีก รับรองตามพวกรุ่นพี่ทันแน่”
คาโอรุที่กำลังเครียดจัดตวัดหางตามองเขม่นไอ้ตัวแสบ “ถ้านายจมูกดีอย่างที่โม้จริง ก็แหกตามองข้างหน้าบ้างสิ เจ้าฮิโระงี่เง่า!”
กะว่าจะไม่ด่ามันแล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้ทุกที คาโอรุเลยได้แต่ยกมือกุมขมับดับอารมณ์เครียด
ฮิโระเกาหัวแกรกที่จู่ๆก็โดนด่าโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเค้าก็มาเจอเหตุผลตัวเบ้อเร่อที่ยืนเรียงหน้าสลอนอยู่อีกฝั่งเมื่อเค้าหันกลับไปมอง

พระเจ้า!!

นี่พวกเค้าโดนเตะลงมาในทุ่งหญ้าแอฟริกาหรือไงเนี่ย ทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด มันถึงได้ละลานตาไปหมด อย่างกับยกละครสัตว์มาไว้ในออฟฟิศหรูยังไงยังงั้น
“ยินดีต้อนรับสู่ห้องอนุบาลสัตว์เลี้ยงของ Death Flowers”
เสียงจากจอมิเตอร์ยักษ์บนฝาผนังดังออกมาพร้อมแสงไฟที่สว่างจ้าไปทั่วห้อง ภาพชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสูทสีขาวกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาหรู ราวกับกำลังชมการแสดงละครสัตว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ คาโอรุเบ้หน้า ถึงไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันเป็นใคร ‘ลิลลี่’ ยมทูตตัวร้ายประจำองค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย
“พอดีช่วงนี้ทางองค์กรกำลังขาดงบ พวกนี้ก็เลยต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ มีอาหารตกถึงท้องแค่วันละมื้อเท่านั้น เดิมทีมีเป็นร้อยตัวเชียวนะ แต่พวกมันกินกันเองจนเหลือแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ฉันว่าพวกมันคงดีใจที่มีเพื่อนใหม่มาเยี่ยมถึงที่”
เซกิเหยียดรอยยิ้ม สัตว์ทั้งหลายในห้องเมื่อเห็นเหยื่อแล้วก็แข่งกันส่งเสียงคำรามกึกก้อง รอบๆบริเวณมีซากสัตว์นอนตายเกลื่อนกลาด ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนคาโอรุแทบเก็บอาการคลื่นไส้ไว้ไม่อยู่
“ฝั่งตรงข้ามมีทางออก เลี้ยวซ้ายสองทีก็จะเจอลิฟท์ขนของ พวกนายกดลงไปที่ชั้น G9 พอเจอเจ้าหน้าที่เค้าก็จะพาพวกนายไปเจอคนที่อยากพบ”
“ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง จะรู้ได้ไงว่าพอเราไปถึงแล้วไม่เจอกับดัก” คาโอรุตะโกนถาม
“ฉันไม่โกงอยู่แล้ว เพราะฉันไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น พวกนายแค่มีหน้าที่ผ่านตรงนี้มาให้ได้ก็พอ ถ้ารอดออกมาได้โดยที่ร่างกายยังครบสามสิบสอง พวกนายก็จะรู้ว่าฉันเป็นคนรักษาสัญญาแค่ไหน”
“ล้างคอรอได้เลยไอ้บ้า ฉันไปเชือดนายถึงที่แน่ คอยดูเถอะ!” ฮิโระตะโกนขู่บ้าง
“หึ… อย่าดีแต่ปากก็แล้วกัน ฉันจะรอต้อนรับพวกนายอย่างสมศักดิ์ศรีเลย”
จอมอนิเตอร์ถูกตัดสัญญาณไปแล้ว มันคงชะล่าใจว่าพวกเค้าคงไม่มีทางผ่านด่านสัตว์เลี้ยงของมันไปได้ แต่มัน… ก็รู้จักนักล่ากับนักฆ่าแห่งสี่ตระกูลเทพน้อยไปซะแล้ว
คาโอรุดึงพัดประจำตัวออกมาสะบัดขู่ ตอนนี้บรรดาสรรพสัตว์สารพัดชนิดเริ่มแยกเขี้ยวขู่และเดินตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเค้า
“ฮิโระ… นายมั่นใจแค่ไหน ถ้าไม่จำเป็นฉันยังไม่อยากใช้ไม้ตายเลย พับผ่าสิ”
“โอ๊ย… ไม่ต้องหรอกเพื่อน ถ้าไม่ใช่ผีกับหนู อะไรฉันก็โอเคทั้งนั้น” ฮิโระดึงไหล่คู่หูออกมายืนด้านหลัง แล้วหักข้อนิ้วดังกร๊อบ “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายพกเครื่องรางอะไรมา แต่แค่มือเปล่านี่แหละที่จะพานายออกไปจากที่นี่ให้ได้ อย่าลืมนะ… ว่าฉันมาจากตระกูลเสือขาวจ้าวแห่งสัตว์ป่า ก็ให้มันรู้ไปว่าฉันจะแพ้สัตว์เดรัจฉานกิ๊กก๊อกพวกนี้”

เปรี้ยง!!

เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่มันโม้จบ นักฆ่าคนเก่งก็กระโจนเข้าไปหาฝูงสัตว์ป่าอย่างบ้าคลั่งเหมือนไม่เสียดายชีวิต ยอมอุทิศตนไปเป็นอาหารมันง่ายๆซะงั้น คาโอรุได้แต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก ภาพเลือดที่พุ่งกระเซ็นอาบผนังไปทั่วบริเวณ กับเสียงโหยหวนที่ร้องประสานกันระงม คือสิ่งสุดท้ายที่นักล่าหนุ่มได้ประจักษ์ต่อสายตาในห้องโถงแห่งนั้น

อีกฟาก… โนะอิกับมาซาฮิโกะจำเป็นต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิม แต่สิ่งที่เค้าได้พบในห้องโถงเดิมกลับไม่ใช่ภาพก่อนที่พวกเค้าจะจากไป
…กองทหารนับร้อยตั้งป้อมเรียงแถวหน้ากระดาน ในมือถืออาวุธสงครามครบชุด เตรียมพร้อมจู่โจมผู้บุกรุกตลอดเวลา…
โนะอิเห็นทีแรกก็ตกใจ แต่ก็พอจะทำใจไว้แล้วว่าต้องมาเจอกับอะไรที่ไม่ธรรมดาที่นี่ เค้าจึงตั้งตัวได้มั่นคง ไม่แสดงความหวั่นไหวออกมาให้เห็น พอแอบชำเลืองมองรุ่นน้องที่ยืนอยู่ด้านหลัง ท่าทางของมันยังคงเยือกเย็นสงบนิ่ง แสดงว่าควบคุมตัวเองได้ดีไม่แพ้กัน
“เอากองทหารทั้งกองมาต้อนรับแขกสองคน มันไม่เอิกเกริกไปหน่อยหรือไง”
โนะอิค่อนขอด เค้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้ตัวการใหญ่ต้องจับตาดูอยู่ที่ไหนสักแห่ง และก็คาดไม่ผิดซะด้วย เมื่อจอมิเตอร์ยักษ์ฝั่งตรงข้ามเปิดสัญญาณภาพขึ้นมาทันควัน
“ยินดีต้อนรับ… สำหรับแขกผู้ทรงเกียรติของท่านผู้นำ การต้อนรับแค่นี้เราถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” เซกิยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่มันยียวนกวนประสาทจนโนะอิพ่นควันออกหู
“มิสึกิกับไทกิอยู่ที่ไหน?”
“โอ้! ยังไม่ถึงเวลาที่นายจะถามคำถามนี้กับฉันหรอก” ลิลลี่ปีศาจส่ายหน้า “ฉันมีองครักษ์ด่านหน้าที่จะเล่นกับนายห้าสิบคน แต่ละคนยิงแม่นยิ่งกว่ามือปืนแชมป์โลกซะอีก ด้านหลังพวกนั้นมีประตูทางออก ถ้านายผ่านมาได้ก็เลี้ยวขวาสองครั้งจนกระทั่งเจอบันได ลงไปที่ชั้น G9 นายจะเจอรีเซฟชั่นของฉันอยู่ที่นั่น หล่อนจะพานายไปพบคนที่อยากพบ แล้วอย่าเอาแต่บุกกองหน้าจนเพลินล่ะ ระวังหลังไว้หน่อยก็ดี แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”
‘ระวังหลัง?’
โนะอิเหลียวมองกลับหลังก็ยังเห็นมาซาฮิโกะยืนนิ่งอยู่กับที่ ตอนแรกคิดว่าจะมีกองทหารอีกกองเข้ามาล้อมไว้ซะอีก มันคงแค่ขู่ให้เค้าเสียขวัญซะล่ะมั้ง
“ฉันก็จะบอกนายไว้อย่าง เมื่อไหร่ที่หงส์เทพติดปีก… มันก็ผงาดขึ้นท้องฟ้าเหมือนกัน”
“หึ… แล้วเราก็จะได้รู้กัน ว่าหงส์จะโดนยิงร่วงจากฟ้าหรือเปล่า”
คำทิ้งท้ายจากลิลลี่หายวับไปพร้อมภาพจากจอมอนิเตอร์ องครักษ์มือปืนทั้งห้าสิบนายกระชับอาวุธสังหารในกำมือเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากหัวหน้า โนะอิถอยไปตั้งหลัก มือข้างหนึ่งแอบล้วงเข้าไปใต้เสื้อโค้ตพร้อมรับมือ
“มาซาฮิโกะ… พอฉันให้สัญญาณนายก็รับกระโดดหลบให้สูงที่สุด หรือไม่ก็หาที่หลบตามมุมผนังนะ”
รุ่นน้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรุ่นพี่หันหน้ามาบอกแผนการคร่าวๆ เค้าขยับตัวถอยไปที่มุมหนึ่งของห้อง รอดูจังหวะว่ารุ่นพี่คนเก่งจะแผลงฤทธิ์อะไรออกมากันแน่
“พร้อม!!”
เสียงตะโกนจากตัวหน้าหน่วยที่ยืนอยู่หัวแถวสั่งเสียงดังลั่น
“เตรียม!!”
ปากกระบอกปืนทุกประบอกเล็งมาที่โนะอิ ดวงตาสีฟ้าสดจ้องเขม็งไปที่เป้าหมายทั้งห้าสิบคน ในมือที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมคว้าอาวุธไว้แน่น
“ยิง!!!!!”

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

ฟุ่บ!!

เสียงปืนรัวกระหน่ำสลับกับขนนกสีแดงสดที่ปลิวว่อนไปทั่วห้องเป็นภาพที่น่าทึ่งเหลือเกิน เหมือนดวงตะวันสีแดงเฉิดฉายท่ามกลางท่านหมอกที่ขุ่นมัว เสียงปืนซาลงแล้ว ควันจากเขม่าปืนก็ค่อยๆจางหาย ขนนกลอยละล่องอ้อยอิงปลิวตกบนพื้นอย่างเชื่องช้า และกว่าที่นักบวชหนุ่มจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านเมื่อครู่ก็จบลงซะแล้ว
องครักษ์ทั้งห้าสิบคนที่ถูกการันตีว่าแน่นักหนานอนสลบเหมือดไม่เป็นท่า บนคอมีขนนกสีแดงสดปักคาอยู่ นั่นคงจะเป็นเข็มยาสลบ มาซาฮิโกะหยิบอันที่ใกล้ที่สุดขึ้นมาดูก็พบว่าใช่อย่างที่คิด เค้าแอบซุกขนหงส์เพลิงไว้ใต้เสื้อคลุมหนึ่งอัน
“แย่จัง… พัดที่ฉันอุตส่าห์หยิบมาใช้แก้ร้อน ในที่สุดก็พังจนได้” โนะอิคล้อยตามองเส้นขนนกที่ร่วงเกลื่อนด้วยความเสียดาย ในมือเล็กๆยังถือก้านพัดโล้นๆเพราะขนทั้งหมดถูกใช้ซัดไอ้พวกนี้จนสลบ
“นั่นเพราะรุ่นพี่เก่งเกินไปต่างหาก เก่ง… มากกว่าที่ผมเคยประเมินไว้เยอะเลย”
ถึงน้ำเสียงจะแสดงความชื่นชม แต่ดวงตาของมาซาฮิโกะกลับเย็นชาไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกนั้นสักนิดเดียว โนะอิฟังแล้วทะแม่งๆหูแต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เพราะปกติไอ้หมอนี่ก็พูดน้อยต่อยหนักเป็นนิจอยู่แล้ว
“ฉันว่าเรารีบไปต่อดีกว่านะ ป่านนี้พวกคาโอรุกับยูไม่รู้เป็นไงบ้าง เราควรจับตัวไอ้หัวหน้าของพวกมันให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จะได้…”

ฟุ่บ!

เส้นขนเส้นเดิมที่เคยล้มยักษ์ทั้งห้าสิบจนสลบเหมือด ย้อนกลับมาทำร้ายเค้าได้อย่างแสบสันที่สุด เส้นประสาททั้งตัวค่อยๆชาไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าจนไม่อาจฝืนประคองตัวยืนได้เอง แต่ก่อนที่เค้าจะล้มลงไป มือของคนที่ทำร้ายก็ปราดเข้ามาประคองตัวเค้าได้ทันเวลาพอดิบพอดี
“รู้สึกยังไงบ้างครับ ที่ต้องโดนอาวุธของตัวเองทำร้ายแบบนี้”
ใบหน้าที่ส่งยิ้มมาให้ในยามนั้นไม่เหมือนนักบวชเด็กดีที่เค้าเคยรู้จัก มันทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งกวนประสาท จนไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นมาซาฮิโกะคนเดิม
“นะ… นาย…” โนะอิพยายามใช้สติสุดท้ายประคองตัวไว้ให้นานที่สุด แต่ก็เปล่งเสียงพูดมาได้แค่นั้น
“อย่าพยายามฝืนเลยโนะอิ นายน่าจะรู้ถึงอานุภาพอาวุธประจำกูลไฮบาระดีที่สุดนะ” มาซาฮิโกะอุ้มตัวรุ่นพี่ที่เบาหวิวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน “ขอโทษทีนะที่ต้องทำแบบนี้ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณเซกิเป็นผู้ชนะ แต่รับรองผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายพี่แน่ หลับให้สบายเถอะ ผมจะพารุ่นพี่ไปที่ห้องรับรองที่ดีที่สุดขององค์กร”
“นาย… เป็น… ใครกัน… แน่” โนะอิเม้มริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมเพื่อเรียกสติที่กลังจะดับวูบคืนกลับมา
“อย่าทำแบบนั้นสิครับ ปากสวยๆเดี๋ยวก็ช้ำหมดพอดี” รุ่นน้องยิ้มกว้าง “หนึ่งในทรีโอการ์เดี้ยน (Trio Guardians) หรือหัวหน้าองครักษ์ทั้งสาม ผมคือ… White Guardian หัวหน้าองครักษ์ตัวจริงประจำตัวท่านเซกิ”
ความจริงที่รับรู้ทำให้ดวงตาสีฟ้าครามวาวโรจน์ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะยาพิษประจำตระกูลที่อาบไว้บนเข็มหงส์เพลิงช่างให้ผลที่ร้ายกาจเหลือเกิน ร่างเล็กๆฟุบหับคาอกกว้าง ไม่มีแรงจะพยศหรือต่อต้านเค้าอีกแล้ว
มาซาฮิโกะกระชับตัวรุ่นพี่เข้ามากอดแน่นขึ้น สัมผัสกับความอบอุ่นที่แนบชิดจนไม่อยากให้จางหายไป มือเรียวค่อยๆไล้ไปตามแก้มบางใส ความฝันที่รอมานานแสนนานกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว

“เฮ้! เพื่อน… กอดรุ่นพี่แล้วทำหน้าตากรุ้มกริ่มแบบนั้น มันเสียมารยาทนะรู้มั้ย”

เสียงที่แว่วดังมาจากช่องประตูไม่ใช่คนที่เค้าคาดหวัง แต่กลับเป็นคนที่ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่ ดวงหน้าของนักบวชหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถอยกลับไปตั้งหลักที่ประตูอีกด้าน
…Black Sakura…
ยมทูตดำประจำองค์กร ได้คืนชีวิตกลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 31 More Than Friendship

“บ้านฉันนะเลี้ยงหมาป่าสิบสองตัว เสือดาวเก้าตัว เสือชีตาร์อีกหก สิงโตอีกสี่ แล้วที่เจ๋งสุดคืออะไรรู้มั้ย…”
นักฆ่าตัวดีหันมายิ้มกริ่มอวดความแน่ พร้อมกับเล่นทายใบ้คำปริศนา เล่นเอาคนที่นึกทึ่งมันมาหมาดๆ กำลังจะเปลี่ยนใจนึกหมั่นไส้แทน
“เสือขาวเบงกอลไงล่ะ” ฮิโระทำหน้าหงุดหงิดที่เพื่อนซี้ไม่เล่นด้วย “นี่ยังไม่นับรวมหมีขาว แพนด้า ช้างแอฟริกา และโอ๊ย! นับไม่ถ้วน… จนป่านนี้นะฉันยังจำชื่อพวกมันได้ไม่หมดทุกตัวเลย”
“บ้านนายเป็นคณะละครสัตว์หรือไง ถึงต้องอุปการะสิงสาราสัตว์มากมายขนาดนั้น” คาโอรุแขวะกลับ “อ๋อ… ฉันก็ลืมไปว่ามี ‘ลิง’ เป็นหัวหน้าคณะ”
ฮิโระหยุดเดินแล้วขมวดคิ้วมุ่น ทั้งที่คาโอรุพอกัดเสร็จปุ๊บก็รีบจ้ำหนีปั๊บ ก่อนที่คนความรู้สึกช้าจะรู้ตัวซะก่อน
“เอ… บ้านฉันไม่มีลิงซะหน่อย นายเอาอะไรมาพูด” มันคิดอยู่พักใหญ่แล้วในที่สุดก็ถึงบางอ้อว่าโดนกัดเต็มๆคำ “เฮ้ย! นี่นายหลอกด่าฉันเหรอ”
“ใช่แล้ว เพิ่งรู้ตัวเหรอเจ้าลิงน้อย” คาโอรุหัวเราะร่วน ก่อนจะกระโดดนำขึ้นไปบนบนลิฟท์ แล้วแกล้งกดปิดประตูจนฮิโระเกือบโผตามเข้าไปแทบไม่ทัน
“เล่นบ้าๆ เกือบจะโดนลิฟท์หนีบตายแล้วเห็นมั้ยเนี่ย”
“อ้าว… ก็ไหนคุยนักคุยหนาว่าเก่ง”
“นั่นมันคนละเรื่องกัน…”

ตึง!!

จู่ๆลิฟท์เจ้ากรรมก็ดันมาชะงักทั้งที่เพิ่งลงไปถึงแค่ชั้น G3 เท่านั้น ไฟในลิฟท์ดับพรึ่บ รอบด้านมืดสนิท ฮิโระลนลานกลอกตามองไปรอบๆ อีหรอบนี้มันชวนให้ขนลุกดีนักแล
“คะ… คาโอรุ ทำไมจู่ๆลิฟท์มันถึงหยุดล่ะ” นักฆ่าที่เพิ่งประกาศความกล้ามาหมาดๆเสียฟอร์มหมดรูป มือที่สั่นเทารีบโผเข้าเกาะแขนเพื่อนซี้ไว้แน่น
“เงียบๆก่อน” คาโอรุส่งเสียงดุ ก่อนจะแนบแก้มเงี่ยหูฟังที่ประตู “รู้สึกข้างนอกจะมีการต่อสู้กันนะ”
“ใครเหรอ?” ฮิโระรีบถาม
“ก็อยู่ด้วยกัน แล้วฉันจะรู้มั้ยล่ะ” คาโอรุดุไปอีกรอบ มันนะ… เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังมีหน้ามากวนประสาทอีก “อาจจะเป็นพวกรุ่นพี่ก็ได้ นายมาช่วยฉันหน่อยเร็วเข้า เราจะงัดลิฟท์ออกไป”
สองเพื่อนซี้จับประตูคนละด้าน จากนั้นก็ออกแรงงัดเต็มที่ ข้างนอกยังมีเสียงตูมตามโครมครามเป็นระยะ แต่แล้วทันใดนั้นเองแสงไฟก็ติดอีกครั้ง แล้วลิฟท์เจ้ากรรมก็ค่อยๆเลื่อนลงไปยังจุดหมายปลายทางเดิม
“เดี๋ยว!!” คาโอรุทุบประตูดังปังแต่ก็ไร้ผล
“ช่างมันเถอะน่าคาโอรุ มันลงไปต่อก็ดีแล้วนี่ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ในนี้ไง” ฮิโระช่อยปลอบทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเพื่อนมันหงุดหงิดเรื่องอะไร ถึงต้องไประบายอารมณ์กับประตูลิฟท์แบบนั้น
“แต่ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลยนะฮิโระ ฉันเป็นห่วงพี่โนะอิ” นักล่าคนเก่งทรุดฮวบลงไปที่พื้น พร้อมกอดเข่าทำท่าคิดหนัก
ฮิโระทิ้งตัวลงไปนั่งข้างๆ เอื้อมแขนดึงไหล่คาโอรุเข้ามาโอบไว้
“พี่นายออกจะเก่ง… เค้าคงไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างก็ยังมีพี่ๆคนอื่นอยู่ด้วย พวกเค้าไม่มีทางแพ้ใครอยู่แล้ว”
คำปลอบรู้สึกจะไม่เข้าไปกระแทกหูมันสักนิด เพราะคาโอรุยังเอาแต่นั่งซึมทำหน้าเครียดอย่างกับมีใครตายแล้วอย่างนั้น จากมือที่ตั้งใจจะกอดปลอบอย่างทะนุถนอม เลยต้องเรียกสติโดยการตบหัวสักป้าบ
“โอ๊ย! ฮิโระ! นี่นายมาตีฉันทำไม” คาโอรุรีบโวยใหญ่ แต่คนข้างๆกลับเอาแต่ยิ้ม พร้อมกับวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของเค้า
“ถ้าแม้แต่นายซึ่งเป็นน้องชายยังไม่เชื่อใจเค้า แล้วใครจะเชื่อเค้าล่ะ นายไม่ต้องห่วงมากนักหรอก พี่โนะอิและพี่ๆคนอื่นๆต้องเอาตัวรอดได้แน่ สิ่งที่นายกับฉันทำได้ตอนนี้คือไปที่ห้องบัญชาการ อัดเจ้าลิลลี่ปี่ศาจนั่นให้น่วม แล้วช่วยไทกิออกมา”
คำปลอบโยนแม้จะฟังดูบ้าบิ่น แต่ก็กลั่นออกมาจากความรู้สึกข้างใน ใครบอกว่ามันไร้สาระ อันที่จริงมันเป็นคนมีสาระมากกว่าคนที่จริงจังอย่างเค้าซะอีก ใบหน้าที่เคร่งเครียดมาตลอดของนักล่าจึงค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เค้าดันตัวเพื่อนซี้ออกแล้วยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง
“อ้าว… จะมัวอึ้งอยู่ทำไมเล่า ก็นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราต้องเตรียมตัวสู้ แล้วนั่งบื้ออยู่อย่างนั้นมันจะได้เรื่องมั้ยล่ะ”
ฮิโระลุกพรวดตามขึ้นมาหลังจากโดนเหน็บอีกยก หนอย… ยังมีหน้ามาว่าคนอื่น ทีเมื่อครู่ตัวเองนั่งซึมเค้ายังไม่บ่นสักคำ
“ฉันพร้อมเสมออยู่แล้ว”
“ถึงไหนถึงกัน”
นักล่าสบตากับนักฆ่า ก่อนจะตบมือทำสัญญาว่าจะสู้ด้วยกันจนถึงที่สุด

อีกด้านหนึ่งของประตูลิฟท์ ในชั้น G3…
“จะเลิกวิ่งไล่จับกันได้หรือยัง ฉันเพิ่งหายป่วยนะ เห็นใจกันบ้างสิ”
ไอ้บ้าที่ตามตื๊อไม่เลิกยืนยิ้มแป้นแล้นดักรออยู่ตรงหน้าลิฟท์ นี่ขนาดเค้าใช้ทางลับหนีลงมาที่ชั้นล่างก็ยังสลัดมันไม่พ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนมันก็ดักหน้าได้หมดอย่างกับเงาตามตัว
“ของนั่นน่ะ… ถ้าหนักมากก็วางลงก่อนสิ หิ้วไปหิ้วมาด้วยแบบนี้ นายไม่หนักบ้างหรือไง” อดีตท่านหัวหน้าและเพื่อนซี้แซวอีกรอบ จนคนที่วิ่งหนีจนเหนื่อยชักอารมณ์เสีย
“คิดว่าฉันโง่นักหรือไงมิสึกิ ถ้าฉันวางพี่โนะอิลงเมื่อไหร่ นายก็จะแย่งไปน่ะสิ” มาซาฮิโกะตะคอกไปอีกรอบ บ่าข้างขวาเริ่มล้าเพราะคนที่เคยเบาแสนเบาตอนนี้กลับหนักอึ้งจบแทบไม่อยากแบกรับอีกต่อไปแล้ว
มิสึกิส่งยิ้มอีกรอบ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาโดยเปิดช่องว่างให้โจมตีเต็มที่ แสดงความจริงใจว่าเค้าไม่เคยคิดที่จะตอบโต้หรือต่อสู้กับมาซาฮิโกะเลย
“อย่างฉันคงไม่ต้องแย่งกับนายให้เสียเวลาหรอก เพราะเค้าตัดสินใจนานแล้วว่าจะเลือกใคร”
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!”
มาซาฮิโกะถอยไปตั้งหลักอีกหลายก้าวเพราะยังไม่วางใจ ถึงยังไงมันก็คือ ‘แบล็คซากุระ’ ถ้าพลาดแม้แต่ก้าวเดียว เค้านั่นแหละที่ต้องดับ
“ถึงยังไงฉันก็ต้องกันตัวพี่โนะอิไว้ก่อน เพื่อให้ท่านเซกิเป็นฝ่ายชนะพนัน”
“เฮ้อ… เรื่องนั้นก็อีก” มิสึกิถอนใจด้วยความเซ็ง “ฉันก็นึกสงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าทำไมคนซื่อบื้ออย่างเจ้าริวถึงได้เป็นมือขวาของเซกิ ที่แท้มันก็เป็นแค่ตัวแทนซ่อนผู้พิทักษ์ที่แท้จริงอย่างนายนี่เอง”
“นายจะเอายังไงก็ว่ามา ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลาหรอกน่า”
“งั้นก็วางพี่โนะอิลงก่อนสิ ฉันรับรองจะไม่แตะต้องเค้าจนกว่านายจะยอมฟังฉัน”
“หึ… ฉันไม่เชื่อใจนายขนาดนั้นหรอกนะ”
มิสึกิส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของเพื่อน “ทำไมทุกคนถึงชอบบังคับให้ฉันสู้นักนะ ทั้งๆที่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากทำร้ายใครเลย”
แค่เพียงชั่วพริบตาเดียว… ทั้งที่เค้าก็จ้องจับตาดูมันอยู่ตลอดเวลา มันกลับใช้ความเร็วที่เหนือชั้นกว่าพุ่งเข้ามาหา ความหนักแสนหนักที่เคยแบกไว้บนบ่ากลับเบาหวิว นักบวชหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ได้แต่มองดูมันอุ้มเอารุ่นพี่คนเก่งไปวางไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง เพื่อให้พ้นจากรัศมีการทำลายล้างกรณีที่เค้าสองคนต้องปะทะกัน
ใบหน้าเรียวใสยังคงหลับพริ้ม แต่เปลี่ยนจากที่เคยเคร่งขรึมเป็นสงบลงทันตา ราวกับรู้ว่าอ้อมแขนที่ประคองอยู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว
มิสึกิลูบแก้มคนหลับเบาๆ “รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ แล้วจะมารับ”
“เข้ามาสิ ฉันพร้อมแล้ว!” ภาพบาดตาบาดใจนั้นทำให้มาซาฮิโกะตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแบล็คซากุระ แต่เค้าก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“ถ้านั่นจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้นายยอมฟังฉันได้” มิสึกิถอนใจเฮือกยาว วันนี้อุตส่าห์มามือเปล่าเพื่อหวังจะเจรจากับมันโดยสันติ แต่คงจะไม่ได้เรื่องซะแล้ว
มาซาฮิโกะพุ่งจู่โจมตวัดขาฟาดเข้าไปเต็มแรง โดนแผลเก่าของมิสึกิจนต้องถอยไปตั้งหลัก และกลิ้งตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดตอนที่คู่ต่อสู้กระโดดตามลงมาซ้ำ หมัดขวาตรงหมายจะเสยปลายคางเพื่อปิดเกม แต่มิสึกิก็ไวพอที่จะรับได้ทัน
“เมื่อไหร่นายจะเลิกอ่อนข้อให้ฉันซะที คิดจะดูถูกกันหรือไง!”
“ถ้าดวลกันที่อื่นฉันจะสู้กับนายเต็มที่แน่ แต่ถ้าต้องเล่นไปตามเกมงี่เง่าของเจ้าเซกิล่ะก็ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
มิสึกิสวนหมัดเข้าใส่ เพื่อนซี้ก็รับได้อย่างเฉียดฉิว มือที่ต่างฝ่ายต่างรับกันและกันไว้บีบแน่นราวกับจะป่นกระดูกให้เป็นผุยผง มาซาฮิโกะซัดเข่าเข้าใส่เต็มท้อง มิสึกิก็สวนด้วยแข้งฟาดเข้าใส่เต็มสีข้างจนจุก ทั้งคู่แลกหมัดเข้าใส่กันหมัดต่อหมัด จนเวลาผ่านไป… ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
มาซาฮิโกะง้างหมัดเตรียมซัดใส่หน้าคู่ต่อสู้อีกครั้ง ดวงตาของมันยังคงแน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหว… ไม่อาฆาต… ไม่เคยคิดอยากทำร้าย… ทั้งๆที่เพื่อนอย่างเค้าคอยหักหลังและทรยศมันมาตลอด นักบวชหนุ่มน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะลดหมัดลงแล้วทรุดฮวบลงกับพื้น แล้วต่อยระบายอารมณ์แทนหน้าของมัน
“ทำไม… มิสึกิ คนอย่างนายถ้าคิดจะฆ่าฉันมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ แล้วทำไมถึงต้องทำอะไรโง่ๆยืนชกกันเหมือนเด็กๆด้วย”
“แล้วนายล่ะ ฉันเปิดช่องว่างให้จู่โจมตั้งเยอะ ถ้านายคิดจะฆ่าฉันจริง ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้มายืนแลกหมัดกับนายแบบนี้หรอก” มิสึกิยังคงยิ้มเหมือนเช่นที่เคยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปให้ “ลุกขึ้นมาเถอะมาซาฮิโกะ เราสองคนเป็น ‘เพื่อน’ กัน ไม่ใช่เหรอ…”
มาซาฮิโกะมองมือข้างนั้นด้วยสายตาที่ลังเลชั่วครู่ แต่ความรู้สึกบางอย่างจากความเชื่อใจในส่วนลึก ทำให้เค้ายอมคว้ามือข้างนั้นเอาไว้ แล้วยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“ฉันทรยศทั้งนาย ทรยศทั้งซุย…” นักบวชหนุ่มกัดฟันแน่น “นายไม่แค้นฉันบ้างเลยหรือไง”
“มาสะ… ฉันอยู่ในองค์กรนี้มาก่อนนาย อยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบมากกว่านาย ฉันเข้าใจคำว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ ดี ยิ่งนายเป็นผู้พิทักษ์ของเซกิ เชื่อขนมกินได้เลยว่าคนอย่างมันไม่ปล่อยให้นายใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ ความรู้สึกที่ผ่านมาไม่ใช่สิ่งหลอกลวง วันที่พวกเราสามคนพบกัน วันนั้นทั้งฉันทั้งนายเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เรามีเพื่อนที่พึ่งพาได้และจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันตลอดไป”
“มิสึกิ”
มาซาฮิโกะมองหน้าเพื่อนด้วยความตื้นตัน มิสึกิก็ยังเป็นมิสึกิ… ที่โกรธใครไม่เป็นและพร้อมที่จะให้อภัยทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ตาม
“ฉันขอโทษ”
นั่นคือคำๆเดียวที่ทดแทนทุกสิ่งก่อนที่ผู้พ่ายแพ้ในความเป็นเพื่อนจะเบือนหน้าหนี เค้าไม่รู้หรอกว่ามันจะใช้ลบล้างความผิดที่ผ่านมาได้หรือเปล่า เพียงแค่… อยากบอกคำที่ค้างคาใจมานานแสนนานให้มันรับรู้ก็เท่านั้น
มือใหญ่ตบที่บ่ากว้าง ทะลายกำแพงที่กั้นขวาง ที่นี่ไม่เคยมีศัตรูหรือเจ้านาย แต่จะมีเพียงเพื่อนตลอดไป
“ฉันกับคุณไทกิตกลงกันแล้วว่าจะล้มเซกิให้ได้ นายจะร่วมมือกับเรามั้ย”
มิสึกิถามตรงๆ การจะต่อกรกับลิลลี่ปีศาจจะต้องมีกำลังพลที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะคนที่ใกล้ตัวเซกิมากที่สุดอย่างมาซาฮิโกะ เค้าจะช่วยพลิกผันสถานการณ์ที่เสียเปรียบให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายเราได้มากทีเดียว
“ถ้าเราล้มคุณเซกิ สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนทรยศนะ”
“แล้วมันสำคัญตรงไหนล่ะ” มิสึกิถามกลับ
มาซาฮิโกะคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่หรอก… ถ้าเทียบกับเพื่อนอย่างนาย”
“ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าซุยยังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า”
“แน่นอน… ฉันเป็นคนส่งมันไปที่เกาะเซเรียวเอง ลูกน้องฉันไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งแน่”
“ได้งั้นฉันก็วางใจ”
มิสึกิหันกลับมาทางตัวปัญหาซึ่งยังคงหลับเป็นตาย แล้วแอบชำเลืองมองเพื่อนซี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้อึดอัดใจอยู่ แต่ก็ไม่กล้าเคลียร์กับมันตรงๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ล่อแหลมแบบนี้
“ไม่ต้องห่วงฉัน นายพาพี่โนะอิไปได้เลย ฉันรู้ว่าเค้าเลือกแล้ว ที่สำคัญ… พี่โนะอิจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้คุณไทกิชนะ นายเองก็วางแผนแบบนี้อยู่แล้วใช่มั้ย”
มิสึกิเดินกลับไปที่ตัวปัญหา ก่อนจะอุ้มขึ้นไว้บนบ่า
“ขอบใจนะมาซาฮิโกะที่เข้าใจพวกเรา นายเองก็ระวังตัวด้วยนะ เซกิไม่ใช่คนที่จะเชื่ออะไรง่ายๆซะด้วย”
ในเวลาชั่วพริบตาที่มันหันมาบอกลา ความมืดก็ได้ดูดกลืนมันไปพร้อมๆกัน นักบวชหนุ่มหันมาดูกล้องวงจรปิดที่ถูกทำลายจนยับ ตอนนี้ยังเหลืออีกด่านสำคัญที่ต้องผ่านไปให้ได้ นั่นก็คือ… รายงานเรื่อง ‘เหยื่อคนสำคัญ’ ที่ต้องเอาไปบอก White Lily


ติ๋ง… ติ๋ง…

เสียงหยดน้ำกระทบก้อนหินเหมือนแว่วดังมาจากที่ไกลๆ แต่เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อสติที่รางเลือนค่อยๆคืนกลับมา อากาศหนาวและชื้น พื้นดินก็เย็นเฉียบ มีเพียงไออุ่นเดียวที่คอยประคับประคองตัวเค้าอยู่ มือเรียวบางยกขึ้นมากุมขมับ รับรู้ได้ถึงแรงกระแทกจากเส้นเลือดที่เต้นตุบตับราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง แพขนตาหนาค่อยๆกระพือขึ้น ดวงตาสีฟ้าสดใสแต่ยังปรับภาพได้ไม่คมชัดก็เผยออกมาอีกครั้ง
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงทักจากคนที่สองทำให้สติที่เลือนลางตื่นตัวเต็มที่ หมัดขวาเหวี่ยงกะเสยปลายคางเต็มแรง ยังดีที่เค้าคว้าข้อมือเล็กๆนั่นไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงโดนเสยจนสลบเหมือดคาที่ไปแล้ว
“โอ้โฮ! ลองแม่นขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องห่วงแล้วมั้ง”
คำพูดกวนๆที่คุ้นหูทำให้โนะอิพยายามเพ่งสายตามองอีกครั้ง ถึงแม้รอบข้างจะมีแสงสว่างน้อยเต็มทีก็เถอะ และแล้วภาพใบหน้าของคนที่คิดถึงสุดหัวใจก็ค่อยๆปรากฏชัดต่อสายตาคู่สวย คนๆนั้นยังคงยิ้มให้ รอยยิ้มที่อ่อนโยนและเข้มแข็งไม่ว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายแค่ไหน เค้ายังคงจดจำได้ไม่มีวันลืม
“มิสึกิ!!”
รุ่นพี่รีบโผเข้ากอดรุ่นน้องตัวดี ร่างเล็กๆที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอมาก่อนก็สั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของคนรัก แม้จะจากกันไม่กี่สัปดาห์ แต่ความทรมานนั้นกลับยาวนานเหมือนชั่วชีวิต
“ฉัน… ฉัน…” โนะอิตื้นตันจนพูดไม่ออก ได้แต่สะอื้นเบาๆ
“ไม่ต้องพูดแล้วครับ พี่ปลอดภัยแล้ว ตราบใดที่ผมยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้แน่นอน”
“แล้วมาซาฮิโกะล่ะ?”
มิสึกินิ่งไปนิด ก่อนจะถอนใจเฮือกยาว “เค้าไปแล้ว… หมอนั่นรับปากผมแล้วว่าจะไม่รบกวนพี่อีก”
“ได้ไง! มันทำกับฉันขนาดนี้ ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่ อย่าให้เจออีกก็แล้วกัน ฉันนี่แหละจะฆ่ามันด้วยมือฉันเอง”
“พี่โนะอิ” มือใหญ่เอื้อมไปจับไหล่บางเพื่อให้เจ้าตัวเย็นลงบ้าง “ผม ซุย และมาซาฮิโกะ ถึงจะรู้จักกันไม่นาน แต่ก็เป็นเพื่อนที่ผมเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘เพื่อนแท้’ โดยส่วนลึกมาซาฮิโกะไม่ใช่คนเลวร้าย แต่เค้าเองก็เหมือนผม เมื่อเกิดมาในองค์กรก็ไม่มีทางเลือกให้ตัวเองมากนักหรอก เค้าต้องทำตามคำสั่ง และ… ส่วนหนึ่งก็คงจะทำตามความรู้สึกของตัวเองด้วย”
“แต่มันคิดจะ…” โนะอิจะยกเหตุผลสำคัญขึ้นมาอ้าง แต่ก็พูดไม่ออก เลยเลือกที่จะนิ่งไว้ดีกว่า
“ผมรู้… แต่หมอนั่นคงไม่ตั้งใจหรอก การที่ได้อยู่ใกล้ชิดคนที่ชอบมันห้ามใจยากมากนะพี่ ขนาดผมเองยังเกือบสติแตกตั้งหลายที”
โนะอิแกล้งเบือนหน้าหนี ถ้าขืนไปต่อความด้วยมีหวังคงไม่จบง่ายๆแน่
“ที่นี่ที่ไหน?”
นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบตวัดไปรอบๆ ทางเดินมืดคล้ายอุโมงค์ก่อด้วยผนังหินหยาบทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ตรงปลายทางด้านหนึ่งมีแสงสว่างลอดออกมารำไร ได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยกับหยดน้ำที่เซาะลงมาตามร่องหิน อากาศทั้งชื้นและเย็นยะเยือก แสดงว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ต้องมีแหล่งน้ำอยู่อย่างแน่นอน
“อุโมงค์ลี้ภัยทอดยาวอยู่ใต้ทะเลสาบ... นี่เป็นทางลับยามฉุกเฉิน แต่มันปิดตายมานานหลายสิบปีแล้ว มีผมเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ มันเชื่อมต่อกับคุกใต้ดินกับสุสานแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองโตเกียว” มิสึกิหยุดไปนิดแล้วทำตาปรอย “ผมขอโทษที่ต้องพาพี่มาหลบในที่โทรมๆแบบนี้ แต่ที่นี่เป็นที่เดียวที่จะรอดพ้นจากสายตาของเซกิ เราคงต้องรออยู่ที่นี่สักพักจนกว่าคุณไทกิจะกลับมา”
โนะอิเห็นรุ่นน้องทำหน้าหงอยก็แอบอมยิ้ม “จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก แค่ได้เจอมิสึกิอีกครั้งก็พอแล้ว”
สองแขนเรียวเล็กสอดกระหวัดแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง มือลูบไล้ตามแผ่นหลังอบอุ่นที่โหยหามาเนิ่นนานจนคนที่โดนกอดชักใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“หัวใจนายเต้นแรงมากเลยนะ” ดวงตาสีฟ้าสดเงยขึ้นมาสบมีแววล้อเลียน ทำเอาคนหน้าบางต้องรีบหันหนีเพราะไม่กล้าสบตาตรงๆ
“ก็… อากาศมันร้อนนี่ครับ” มิสึกิบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย
“ร้อนตรงไหนเหรอ ฉันว่าออกจะหนาวด้วยซ้ำ” คนขี้แกล้งซุกหน้าลงไปอีกแล้วโอบแขนรัดแน่นขึ้น จนพิกัดความอดทนของใครบางคนขาดสะบั้นในที่สุด
มือใหญ่ของรุ่นน้องรั้งตัวรุ่นพี่ออกจากอ้อมอก “พอเถอะ… อย่าทำแบบนี้อีกเลย”
“แต่ฉันอยากอยู่กับมิสึกิ!” รุ่นพี่ทำสีหน้าขึงขัง “ฉันอยากผูกพันกับมิสึกิให้มากกว่านี้ เพราะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งฉันทั้งนายเกือบพลาดหลายต่อหลายครั้ง ถ้าเซกิฆ่านายตั้งแต่ตอนนั้น หรือวันนี้… มาซาฮิโกะทำสำเร็จ เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกเลยก็ได้”
“แต่ถึงยังไงผมก็ทำไม่ได้ มันจะทำให้รุ่นพี่ลำบากทีหลังนะครับ โรคหัวใจของพี่จะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะทำให้ถึงตายได้นะ”
มือเล็กๆจับมือของคนดื้อมาทาบที่หน้าอก สัมผัสหัวใจที่เต้นอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว
“ถึงต้องตาย ฉันก็จะขออยู่ข้างมิสึกิ ถ้านายห่วง ‘หัวใจ’ ฉันอย่างที่ว่าจริง นายก็ควรจะรู้ว่าฉันต้องการอะไรมากที่สุด”
โนะอิกลั้นใจรอคำตอบ นานมากที่รุ่นน้องจอมซื่อบื้อเอาแต่อึ้งจนคนรอชักเริ่มหงุดหงิด แต่พอมันยิ้มออกมาเท่านั้น เค้าก็รู้ทันทีว่าคำตอบที่ได้รับคืออะไร
มิสึกิดึงตัวคนริเริ่มเข้ามากระซิบ “ขอเตือนไว้ก่อน ว่างานนี้ถึงพี่จะขอร้องให้หยุดผมก็จะไม่หยุดแน่ อย่านึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
คนใจกล้าแย้มรอยยิ้มท้าทาย “ไม่มีทางที่ฉันจะเสียใจ”
มือหยาบกระด้างเชยคางมนเข้ามาใกล้ ประทับริมฝีปากแผ่วเบาก่อนจะสอดลิ้นโลมเลียหาความหอมหวานจากข้างใน ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัด ต่างฝ่ายต่างรีบกอบโกยเอาความสุขที่ใฝ่ฝันหาเต็มที่ จนอุณหภูมิรอบข้างที่เคยเย็นเยียบกลับร้อนระอุขึ้นมากะทันหัน
“อื้ม… มากกว่านี้สิ”
เสียงหวานๆเว้าวอน ร่างสูงก็ไม่รอช้าที่จะตอบสนอง มือสองข้างเร่งปลดเสื้อผ้าที่เป็นสิ่งขวางกั้นเนื้ออุ่นๆ ส่วนริมฝีปากก็รุกไล่ลงตาตามซอกคอขาวระหงจนถึงแผ่นอกที่ประดับแต้มนูนสีหวาน มิสึกิแทบอดใจไม่ไหวกับความเย้ายวน เค้าใช้ลิ้นดุนเล่นจนชุ่มฉ่ำก่อนจะเขมือบเข้าไปจนมิด
“อ๊า!!” ร่างบางร้องครางทุรนทุราย ปากอุ่นที่แนบชิดดูดดุนด้วยความรุนแรงจนร่างกายแทบแตกออกเป็นชิ้นๆ สองแต้มบางชูชันขึ้นมารับ แต่นั่นก็ยังไม่พอเมื่อร่างกายโหยหามากกว่านั้น มือเรียวบางจึงกดศีรษะคนทำให้แน่นขึ้น ขยับไหวหน้าอกให้ได้รับสัมผัสที่เร่าร้อนนั้นอย่างอิ่มเอม
มือกร้านที่ซุกซนก็ค่อยๆไล่ลงไปเบื้องล่าง แตะต้องบางสิ่งที่กำลังแข็งขืนขึ้นมาตามมือที่สัมผัส ร่างสูงยอมละทิ้งจากกลีบกุหลาบสีหวานที่ถูกทึ้งจนช้ำ แล้วมองเป้าหมายต่อไปด้วยความพึงพอใจ
“พี่ตื่นตัวเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก”
แก้มขาวๆแดงซ่าน แต่สายตาเรียกร้องต้องการมากกว่านั้น ร่างสูงจึงถอดสิ่งขวางกั้นทุกชิ้นออกจนเปลือยเปล่า แยกขาเพรียวออกจากกันแล้วจับบางส่วนที่กำลังชื้นแฉะขึ้นมาลูบไล้แผ่วเบา
“อ๊ะ!” ร่างบางแอ่นตัวกระตุกเร่า ความอัดอั้นที่สะสมเต็มที่กำลังจะทะลักทลาย
“อย่าเพิ่งถึงสิครับ” ร่างสูงโน้มลงไปกระซิบอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมมีอย่างอื่นที่จะทำให้พี่ตื่นเต้นได้มากกว่านั้น”
ดวงตาเจ้าเล่ห์ยิ้มกรุ้มกริ่ม พลางกวาดสายตาไปทั่วพื้นรอบบริเวณเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง นัยน์ตาสีฟ้าครามมองตามด้วยความไม่เข้าใจ แล้วคนเจ้าเล่ห์ก็ยิ้มเมื่อหยิบก้อนหินสีขาวที่มีหยดน้ำแข็งจับเป็นก้อนขึ้นมา
“จะทำอะไร?” ร่างบางชักหวั่นใจ หมอนี่จะทำอะไรแผลงๆอีกล่ะเนี่ย แค่นี้ก็จะทนไม่ไหวแล้วนะ
“เดี๋ยวก็รู้”
มันทิ้งความสงสัยให้เป็นปริศนา แต่ไม่ช้าร่างบางก็ได้คำตอบ เมื่อก้อนหินเย็นๆที่อยู่ในมือถูกนำมาลูบไล้ตรงจุดสำคัญ ทำให้ส่วนที่อ่อนไหวอยู่แล้วกระตุกรัวอย่างยั้งไม่อยู่
“อ๊า!! ไม่…” แม้ปากจะประท้วงอย่างนั้น แต่สะโพกก็ยังเผลอขยับถูไถไปกับเจ้าสิ่งนั้น ความเย็นซาบซ่านกำลังจะแช่แข็งเค้าทั้งเป็น
“หึ หึ… ดูเหมือนพี่กำลังมีความสุขกับมันเลย” คนเจ้าเล่ห์แอบอมยิ้มกับภาพน่ารักตรงหน้า “แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ”
มิสึกิเพิ่มดีกรีความเจ้าเล่ห์โดยการหยดน้ำที่เย็นยะเยียบเข้าไปในส่วนปลายที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม หยดน้ำไหลซึมเข้าไปช้าๆผสมผสานกับละอองสีขาวขุ่นที่ใกล้จะล้นออกมาเต็มที่
“ไม่… พอแล้ว ฉะ… ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว” ร่างบางแอ่นตัวอีกครั้ง กล้ามเนื้อกระตุกรัวอย่างหนัก ก่อนจะพวยพุ่งสิ่งที่อัดอั้นจนรอบๆเต็มไปด้วยคราบขาวขุ่นชื้นแฉะ ส่วนเจ้าตัวก็นอนหอบถี่หมดแรง หัวใจเต้นถี่รัวเหมือนจะพุ่งออกมานอกอก
“อืม… น่ารักจัง” ร่างสูงเพ้ออย่างเผลอไผล ก่อนจะก้มลงไปโลมเลียความหวานจากส่วนปลายที่เพิ่งหมอบราบคาบ กระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ไล่ลงไปเก็บความหวานจากส่วนช่องทางคับแคบที่ตอดรับกับลิ้นอุ่นๆของเค้า
“อย่าทรมานกันแบบนี้ได้มั้ย”
คนใจร้อนส่งเสียงดุ ร่างสูงหัวเราะร่วน ก่อนจะตอบสนองโดยการยกสะโพกมนขึ้นมาคร่อมส่วนกลาง ความแข็งกระด้างจากกล้ามเนื้อซึ่งเสียดสีระหว่างช่องทางตรงนั้นทำให้ร่างเล็กๆถึงกับผวาและเตรียมจะถอยหนีโดยอัตโนมัติ แต่ก็ถูกฉุดลงไปอีก
“ผมบอกแล้วไง ว่าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว”
“ตะ… แต่ ขอฉันทำใจก่อนไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้!”
ร่างสูงบอกอย่างหนักแน่นและขึงขัง หลังจากที่ใช้เวลาเสียดสีจนเป้าหมายปล่อยน้ำออกมาหล่อลื่นพอประมาณแล้ว เค้าก็รีบกระแทกอาวุธสำคัญเข้าไปทันที
“อ๊ะ!!!” ความรู้สึกที่ไม่เคนสัมผัสมาก่อนทำให้ร่างกายแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ร่างบางฝืนกัดฟันผ่อนลมหายใจเพื่อให้มีอากาศหล่อเลี้ยงปอดได้อย่างพอเพียงในช่วงวิกฤติ เพราะเค้ารู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังทำงานหนักเหลือเกิน
“ทนอีกนิดนะ อีกเดี๋ยวก็จบแล้ว” ร่างสูงที่รับรู้ถึงความทรมานจากร่างเล็กๆที่เค้ากำลังเสพความสุข กระซิบเสียงบอกแผ่วเบา สองมือประคองใบหน้านั้นเข่ามาใกล้แล้วประทับจุมพิตเพื่อแบ่งปันลมหายใจให้แก่กันและกัน
ร่างสูงกระแทกรัวไม่ยั้ง ช่องทางคับแคบรัดแนบแน่นจนร่างกายแทบหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เค้าตัดสินใจกระแทกตัวเข้าไปครั้งสุดท้าย พร้อมทั้งกดสะโพกมนลงมาจนแน่น ปล่อยให้ทุกสิ่งถูกกลืนหายไปจนมิดสนิท แล้วปลดปล่อยความปรารถนาพลุ่งพล่านอยู่ในร่างเล็กๆที่สั่นเทา
“อื้ม”
ร่างสูงถอนตัวออกมาช้าๆ คราบบางส่วนที่ค้างคาอยู่ก็ไหลตามออกมา ร่างบางฟุบหน้านิ่งอยู่บนแผ่นอกกว้างซึ่งรอรับอยู่แล้ว แถมยังทิ้งคราบเปรอะเปื้อนอีกรอบไว้บนหน้าท้องของคนขี้แกล้ง
“เป็นไงบ้าง?” มิสึกิรีบถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรุ่นพี่คนเก่งหน้าซีดเซียวเหมือนไก่ต้ม
“ไม่… ไม่เป็นไร” โนะอิยังคงหอบอยู่ข้างๆ ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
มิสึกิหยิบนาฬิกาพกออกมาดู “เรายังพอมีเวลา… พี่นอนพักสักหน่อยเถอะครับ ถ้าได้เวลาเมื่อไหร่ผมจะปลุกเอง”
“นายรับปากนะว่าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นายต้องยังอยู่ข้างๆฉัน” รุ่นพี่ขอคำยืนยัน เพราะกี่ครั้งกี่หนแล้วที่มันชอบล่องหนไปโดยไม่บอกกล่าว
คนขี้แกล้งยิ้มบางๆ ก่อนดึงตัวคนรักเข้ามากอด
“แน่นอน… ผมจะไม่ยอมให้พี่อยู่ไกลตัวผมอีกแล้ว ผมสัญญา…”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน เพราะฤทธิ์ยาที่ยังค้างอยู่หรือเพราะความอ่อนล้าทางร่างกายก็ไม่รู้ ทำให้ดวงตาหวานปรือลงอีกครั้ง แล้วหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่น ซึมซับความสุขยาวนาน…
ก่อนที่เวลาแห่งการตัดสินจะมาถึง

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 32 Prisoner

…12.00 น…

เวลาเที่ยงตรงที่เค้าถูกไอ้บ้านั่นแกล้งตั้งโปรแกรมดีเลย์เครื่องให้ร่อนไปร่อนมาทั่วเกาะฮอนชู นอกจากจะลืมตัวซัดนักบินจนสลบเหมือดแล้ว กว่าที่เค้าจะเอาเครื่องลงจอดตรงที่หมายบนท่าเรือกรีนเบย์ก็ทำเอาเสียเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน
แต่ที่ทำให้อารมณ์เสียสุดๆเลยก็คือ… เรือสับปะรังเคที่กำลังจะล่มแหล่มิล่มแหล่ซึ่งลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ เป็นยานพาหนะลำเดียวที่จอดเทียบท่าอยู่ในท่าเรือสุดหรูแห่งนี้
‘ไอ้บ้าเซกิ!!’
ไทกิสบถในใจเป็นรอบที่พัน มันตั้งใจจะถ่วงเวลาเค้าชัดๆ นอกจากจะเอาเครื่องบินพาบินหลงทางไปทั่วแล้ว ยังบังอาจเอาไอ้เรือโกโรโกโสนี่มาให้ผู้นำอย่างเค้านั่งอีก แล้วชาติไหนเค้าถึงจะไปช่วยซุยได้ทันเวลาล่ะเนี่ย
“แถวนี้ไม่มีเรือสปีดโบ๊ทบ้างหรือไงนะ”
ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณ แต่ความหวังก็ริบหรี่เหลือเกิน เจ้าเซกิมันเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมกว่าที่คิด มันวางเกมนี้ไว้ตั้งแต่แรกเพื่อให้เค้าเป็นฝ่ายแพ้ แต่มันลืมคิดไปอย่าง… ว่าคนอย่างไทกิไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆอยู่แล้ว
“เรือสับปะรังเคกับว่ายน้ำข้ามเกาะ” กุหลาบแดงลูบคางชั่งใจคิดอย่างหนัก (ก็กล้าคิดเนอะ) “อืม… นั่งเรือไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
ไทกิกระโดดลงไปบนเรือยนต์ลำเล็ก เค้ามองไปที่เสกลวัดน้ำมันก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ประมาณคร่าวๆจากแผนที่ที่ได้มาคงจะหมดพอดีไปกลับ นั่นหมายความว่าถ้าเค้าหลงทาง ความหวังที่จะกลับไปช่วยเพื่อนๆก็ดับวูบทันที
‘ไม่! เราต้องทำได้’ ไทกิย้ำกับตัวเองอีกครั้ง
คลื่นทะเลยามเที่ยงวันดูสงบราบเรียบ เป็นสัญญาณที่ดีซึ่งจะนำพาชัยชนะมาให้แก่เค้า

เกาะเซเรียว… เป็นเกาะลับขององค์กรซึ่งตั้งอยู่ใจกลางทะเล ไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่ทั่วไป ห่างจากชายฝั่งประมาณ 40 ไมล์ และด้วยความเร็วเต่าของเจ้าเรือคู่ชีพลำนี้ ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางไปอีกเกือบสี่ชั่วโมง
‘คิดในแง่ดีไว้ไทกิ… อย่างน้อยแกก็ไม่หลงทางล่ะน่า’
เกาะนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเกาะร้างสนิท นอกจากต้นไม้กับหญ้าเหี่ยวๆแล้ว แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นหลงเหลืออยู่เลย แหงล่ะ… ก็น้ำเล่นท่วมโครมๆทุกเที่ยงคืนแบบนี้ สัตว์ประหลาดที่ไหนมันจะไปกล้าอาศัยอยู่ ไทกิคิดแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยรู้เลยว่านักโทษขององค์กรต้องถูกทรมานยังไงบ้าง นอกจากต้องถูกนำตัวมาให้พวกนักฆ่าฝึกหัดฝึกสังหารเป็นว่าเล่นแล้ว พวกที่ใช้การไม่ได้หรือป่วยก็คงจะถูกเอามาทิ้งไว้ที่นี่ และเพียงชั่วข้ามคืนก็คงจะถูกกลืนหายไปพร้อมคลื่นทะเลสีคราม
ไทกิพยายามสลัดความคิดที่สลดหดหู่ แล้วเพ่งสมาธิไปที่การตามหาซุยเพียงอย่างเดียว จากภาพในจอมอนิเตอร์ที่เซกิให้ดู คุกนั่นน่าจะเป็นคุกใต้ดินหรือไม่ก็ใต้หน้าผา เค้ารีบกางแผนที่โดยด่วน จากตำแหน่งที่ยืนอยู่เดินเลาะหาดลงไปทางทิศใต้จะเจอกับถ้ำใหญ่ใต้หน้าผา
‘บิงโก!’
ไทกิดีดนิ้วเปาะ พับแผนที่เก็บใส่กระเป๋าแล้วรีบรุดไปยังที่หมายทันที
เส้นทางไปสู่ถ้ำที่ว่าก็ช่างทรหดสิ้นดี มีแต่โขดหินระเกะระกะเต็มไปหมด ยิ่งทำให้การเดินทางยิ่งล่าช้าทั้งที่คนกำลังรีบจะแย่ ไทกิแหงนหน้ามองท้องฟ้า พระอาทิตย์สีแดงแจ๋ฉายระเรี่ยผิวน้ำ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะลาลับจากขอบฟ้าแล้ว
ในที่สุดเค้าก็เจอปากทางเข้าถ้ำ… หลังจากที่กลิ้งเกลือกจนเนื้อตัวชอกช้ำไปหลายตลบ เค้าก็เจอมันซ่อนอยู่หลังเกลียวเถาวัลย์รกทึบนี่เอง ไทกิเปิดไฟฉายส่องนำทาง ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและเงียบที่สุด ในถ้ำที่น่าจะวังเวงและเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย กลับดูดีกว่าที่คิดไว้มาก หินงอกหินย้อยที่พอกสะสมมานับพันปีฉาบด้วยแสงสีเขียวอ่อนเรื่อเรืองเหมือนเกล็ดมรกต ได้ยินเสียงสะท้อนก้องจากฝีเท้าที่เดินย่ำราวกับเสียงดนตรีขับขาน
‘นี่ที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ บางทีอาจจะเป็นสวรรค์สุดท้ายของนักโทษซึ่งถูกจองจำที่นี่ก็เป็นได้’
แต่ทว่า… สิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในกลับเป็นเหมือนประติมากรรมแห่งการประชดประชันของเหล่ายมทูต โดยการสร้างขุมนรกทับถมบนสรวงสวรรค์ที่สวยงามแห่งนี้
คุกโบราณ… ซี่กรงเหล็กจับสนิมเกรอะกรัง ประตูใหญ่แน่นหนาล็อคไว้ด้วยกุญแจและโซ่เส้นใหญ่ ตรงผนังหินทุกด้านมีคราบเกลือและเศษซากของหอยทะเลนานาชนิด นี่เป็นสิ่งยืนยันว่าเมื่อไหร่ที่น้ำทะเลขึ้นจนล้นเกาะ ผู้คนที่ถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้ต้องตายทั้งเป็นโดยที่ไม่มีแม้แต่หนทางให้ดิ้นรน

“ซุย!!”

ไทกิไม่รอช้า ทันทีที่พบร่างอ่อนล้าถูกตรึงด้วยโซ่เหล็กอยู่ภายใน เค้าก็รีบรัวปืนถล่มประตูแล้วพังมันออกไปจนพ้นทาง
“นายเป็นไงบ้าง?” ตัวแสบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาสีเข้มที่หลับอยู่ก็ค่อยๆปรือขึ้น ปรับกับแสงสว่างมัวซัวจากแสงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน ก็พบกับคนที่บังอาจปลุกเค้าขึ้นมาจากนิทรา
“ไทกิ”
ดวงหน้าคมคายนั้นยิ้ม จะว่าดีใจก็ดีใจ แต่หวั่นใจมากกว่า เพราะเค้ารู้ว่ามันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ จะต้องเป็นแผนชั่วของไอ้ลิลลี่ปีศาจนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย และไทกิก็คงจะติดกับมันเข้าให้แล้ว
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง กลับไปซะ!” ซุยกลั้นใจตะคอก จนคนทีอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก
‘อะไรฟะ! คนเค้าอุตส่าห์มาช่วย ยังมีหน้ามีดุ เดี๋ยวปั้ด! ปล่อยให้ไปลอยคอเล่นเป็นเพื่อนปลาวาฬซะเลยนี่’ ไทกิแอบบ่นในใจ
“ฉันก็มาช่วยนายน่ะสิ คิดว่าฉันจะมีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดถ่อสังหารมาดูพระอาทิตย์ตกดินไกลถึงคิวชูเลยหรือไง”
“ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่ควรมา เซกิอาจจะวางแผนล่อนายมาที่นี่ก็ได้”
ไทกิไหวไหล่ “เหรอ… ฉันไม่เห็นจะสนเลย”
จากนั้นไอ้ตัวดีก็ถือโอกาสเดินสำรวจไปรอบบริเวณ เดิมทีคิดว่าในนี้จะเต็มไปด้วยซากโครงกระดูกของนักโทษ แต่ผิดคาดที่ไม่มีเลยแม้แต่เศษเสื้อผ้าเก่าๆ บางที… ที่นี่อาจจะไม่ได้ถูกใช้มานานเป็นสิบยี่สิบปีแล้วก็ได้ เหนือขึ้นไปบนศีรษะมีช่องหินสี่เหลี่ยมขนาดแค่พอให้ศีรษะลอดออกไปได้ ตรงนั้นมีแสงสีแดงอมส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดเข้ามาสะท้อนกับหินสีมรกตดูโรแมนติกมาก
เวลาแบบนี้… บรรยากาศแบบนี้… ได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้… แผนชั่วก็เริ่มบังเกิดขึ้นในใจของกุหลาบตัวแสบ
“แต่นายมาก็ดีแล้ว ช่วยปล่อยฉันออกไปทีสิ”
ซุยมองไปที่ข้อมือซึ่งถูกโซ่พันธนาการไว้แน่น ไทกิมองตามแล้วขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เรื่องอะไรล่ะ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆซะที่ไหน”
คิ้วคมๆของซุยขมวดมุ่น “โอกาสอะไร?”
“ก็โอกาสที่จะแก้เผ็ดนายไง” ไทกิว่าแล้วก็เดินสำรวจรอบตัวคนที่ถูกพันธนาการแน่นหนา มือทั้งสองข้างขยับไม่ได้ แถมข้อเท้าก็ยังถูกลูกตุ้มเหล็กตรึงไว้ งานนี้บอดี้การ์ดจำเป็นอย่างมันหนีเค้าไม่รอดแน่
“นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นนะไทกิ รีบปล่อยฉันออกไปนะ”
“ยังหรอกซุย” ไทกิแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ที่แล้วมานายแกล้งเก๊กใส่ฉันตั้งเยอะ วันนี้แหละ… ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลย หึ… หึ… ทบต้นทบดอก”
“ไทกิ!!” เมื่ออ้อนดีๆมันไม่ยอมเชื่อฟัง ซุยก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็ง “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
“ไม่มีทาง” ไทกิยิ้มยั่ว มือเล็กๆค่อยๆป่ายขึ้นไปปลดกระดุมเสื้อร่างสูง
“ไทกิ… นายคิดจะทำอะไร?” ซุยมองตามมือเล็กๆ ชักจะหวั่นใจซะแล้วว่ามันจะทำอะไรกับร่างกายเค้ากันแน่
“หึ… หึ… ไม่บอก เดี๋ยวนายก็รู้”
ร่างบางยังยั่วไม่เลิก แถมยังถือวิสาสะโน้มคอเค้าลงมาจูบอย่างดุเดือด ปากเล็กๆขบเม้มไปตามริมฝีปากร้อนผ่าวของร่างสูง จากนั้นก็ใช้ลิ้นดุนจนเผยอออก แล้วดูดดื่มความรักอย่างโหยหา จนคนที่ต่อต้านยังเกือบเผลอใจเคลิ้มไปกับมันด้วย
“อื้ม… นายคิดจะทำอะไรฉัน?” ซุยถามอีกครั้งตอนที่มันถอนริมฝีปากออกไปแล้ว
“ฉันจะทำให้นายทรมานที่สุด แล้วลืมฉันไม่ลงจนชั่วชีวิตเลย”
เจ้าของฉายากุหลาบแดงท้าทาย ก่อนจะจับสาบเสื้อของร่างสูงเผยออกจนเห็นอกกว้างตึงแน่น ปุ่มนูนสองข้างยิ่งยั่วใจ พอไทกิเอื้อมมือไปลูบไล้ พวกมันก็แข็งขืนรับกับสัมผัสจากเค้าทันที
“อย่านะ…. ไทกิ อย่าทำแบบนี้” ซุยพยายามจะห้าม แต่มันก็ไม่ฟังแล้ว เมื่อปากเล็กๆก้มลงมาครอบครอง ขบเม้มปุ่มนูนจนแน่น เลียลิ้นระรัวเร้าอารมณ์จนกระเจิดกระเจิง อีกข้างก็ยังใช้มือลูบไล้พร้อมบดขยี้เบาๆ
“อ๊ะ…” ซุยเผลอส่งเสียงครางออกมาเป็นคำแรก พอรู้ตัวก็รีบกัดฟันไว้แน่น ไทกิได้ยินแล้วก็ยิ่งย่ามใจเลยรีบลุยต่อ เค้าใช้ลิ้นลิ้มเลียไล่ลงเรื่อยๆ พอถึงท้องน้อยก็เลียวนรอบสะดือจนร่างสูงยังสั่นสะท้าน
“พอเถอะ… ไทกิ สภาพฉันตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องอย่างว่าหรอก”
ซุยบอกจริงจัง ใช่สิ… มือก็ถูกมัดอยู่ ขาก็ขยับไม่ได้ ถูกปล่อยยืนเมื่อยอยู่ตั้งหลายชั่วโมงจนขาล้าไปหมดแล้ว มันยังมีหน้ามาแกล้งเค้าแบบนี้อีก
“แน่ใจเหรอ ว่านายไม่รู้สึก” ไทกิยิ้มกรุ่มกริ่ม เค้าไล่เลียต่ำลงมาอีก มือก็รูดซิปกางเกงร่างสูงแล้วส่งไปกองที่พื้นอย่างไม่ใยดี เหลือเพียงชั้นในบางจิ๋วที่กั้นสิ่งสำคัญเอาไว้เท่านั้น
นัยน์ตาสีเลือดของไทกิจ้องมองแท่งเรียวยาวที่แนบอยู่กับเนื้อผ้า ขนาดตอนที่มันสงบนิ่งยังเห็นชัดขนาดนี้ พอถูกปลุกขึ้นมาแล้วมันจะยิ่งขนาดไหน เค้าจึงไม่รอช้า รีบรุกต่อ ใช้ลิ้นเลียผ่านสิ่งกีดกั้น แค่เพียงไออุ่นและความชื้นที่ส่งผ่านเข้าไป ก็ทำให้กล้ามเนื้อแท่งหนาพุ่งผงาดผ่านอาภรณ์ชิ้นสำคัญออกมา
“อึก…” ซุยต้องผ่อนลมหายใจเป็นระยะ ตอนนี้เค้าต้องกลั้นใจอย่างหนักหน่วงไม่ให้เกิดอารมณ์ แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่เป็นใจเอาซะเลย เชื่อฟังแต่ไอ้เด็กไม่มีสัมมาคารวะนี่คนเดียว
ไทกิรูดปราการชิ้นสุดท้ายออก กล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นเต็มอัตราศึกก็พุ่งทะยานผงาดพร้อมขยายขนาดขึ้นอีกหลายเท่า
“ฉันจะดูซิ… ว่านายจะทนได้แค่ไหน” ไทกิโน้มเข้าไปกระซิบข้างหู แต่มือยังจับแน่นอยู่ที่เป้าหมาย ออกแรงรัดพร้อมกับรูดขึ้นลงอย่างเมามัน
“โอ้วว!” ซุยต้องร้องพร้อมกับสบถระบายอารมณ์ หน้าตาหล่อเหลาเริ่มบิดเบี้ยว เพราะแรงพิศวาสที่กระตุ้นร่างกายเค้าจนแทบระเบิด
“อะ… ฮ้า เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าท่านประธานปีสองก็ทำหน้าตาแบบนี้เป็นด้วย” ไทกิยิ้มอย่างย่ามใจ ก็ทุกทีมันจะเป็นฝ่ายแกล้งเค้าแล้วเยาะเย้ย วันนี้ล่ะเค้าจะได้แกล้งมันให้สมอยาก แล้วคอยดูหน้าตอนที่ความรักของมันทะลักทลายเต็มที่บ้าง ไทกิเร่งจังหวะเร็วขึ้น จนกล้ามเนื้อในมือร้อนฉ่า แต่มันก็ยังทนกัดฟันไม่ยอมปลดปล่อยออกมา ไทกิจึงเลือกใช้ไม้ตายสุดท้าย
“ทนเก่งนักนะซุย งั้นถ้าแบบนี้ล่ะเป็นไง” ร่างบางก้มลงไประหว่างต้นขา เห็นส่วนกลางแดงก่ำสั่นระริกระรี้จ่ออยู่ตรงหน้าก็คว้าหมับเข้าปาก คับมาก… ไทกิแทบจะสำลัก แต่ก็ฝืนกลืนลงไปทั้งแท่งจนได้ ทั้งดูดทั้งเค้นก็แล้ว แต่มันก็ยังไม่ยอมปลดปล่อย
ไม้ตายสุดท้ายจริงๆ…
แต่ไม่ค่อยอยากใช้เลย เพราะวิธีนี้นอกจากจะเปลืองตัวมากแล้ว เค้าอาจจะต้องทรมานจนคลั่งตามมันไปด้วย แต่ในเมื่ออย่างอื่นไม่ได้ผล เค้าก็ต้องใช้วิธีนี้
“เลิกเถอะไทกิ มันไม่สำเร็จหรอก ถ้าฉันไม่เต็มใจ นายก็ทำอะไรฉันไม่ได้”
“งั้นเหรอ”
ไทกิยักคิ้วแผล็บ ก่อนจะทำในสิ่งที่ซุยไม่ทันได้คาดคิด ก็มันเล่นปลดกางเกงของตัวเองลงไปกองจนล่อนจ้อน แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้
“อย่านะไทกิ” ซุยส่งสายตาสีเข้มปราม แต่มันก็ไม่เชื่อ ไทกิยกขาเพรียวกระหวัดรอบบั้นเอวรุ่นพี่ ทำให้ช่องทางบางอย่างแนบชิดเข้ามายิ่งขึ้น สัมผัสกับแก่นกายเร่าร้อนซึ่งกำลังสั่นเพราะเจอที่ๆถูกใจ
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะซุย” ร่างบางส่งสายตาหวานเชื่อม พร้อมประกบปากแน่น ตอนนี้สติของร่างสูงหลุดลอยไปแล้ว ไม่สนแล้วว่ามันจะทำอะไรกับตัวเค้า รู้แต่ว่าเค้ากำลังจะมีความสุขที่สุด จึงหลับตาพริ้มรอรับความหวานที่มันปรนเปรอให้ ไทกิยกสะโพกขึ้น จ่อตรงกับแท่งเนื้อเร่าร้อน แล้ว…
ผลุบ…
“อื้ม!” ร่างสูงครางในลำคอ เพราะยังถูกประกบปากไว้แน่น หน้าตาเริ่มเครียด ก็มันเล่นทรมานตัวเอง ซ้ำยังทรมานเค้าโดยการรัวสะโพกขึ้นลงให้สิ่งนั้นได้ลื่นไหลผ่านเข้าอออก พอแรงเสียดสีค่อยๆรุนแรงขึ้นเร็วขึ้น ต่างคนต่างก็ส่งเสียงกระเส่าประสานกันจนระงมไปทั่วห้องจองจำ
“อ๊า…” ซุยร้องออกมาอีกครั้ง ไทกิรีบถอนตัวออก ปล่อยให้สิ่งสำคัญพ่นครีมสีขาวขุ่นออกมาจนเปรอะไปทั่ว ก่อนจะค่อยๆหมดแรงแล้วก็ฟุบไปเอง แถมเจ้าตัวพอโดนรีดพิษจนหมด ก็เข่าอ่อนจนแทบจะยืนไม่ไหว
“ฉันชนะ” ไทกิยิ้มร่า แม้จะยังเจ็บสะโพกไม่หาย แต่แกล้งมันได้ก็ถือว่าสำเร็จ เลยยอมปล่อยมันออกจากพันธนาการ “ต่อไปก็หัดจำไว้ด้วย ว่าอย่ามารังแกฉันอีก”
คนที่กำลังเผลอหัวเราะร่วน แต่หารู้ไม่ว่ารุ่นพี่คนสำคัญพอหลุดจากโซ่ตรวนได้แล้วก็เริ่มแผลงฤทธิ์ คว้าเอวบางไว้หมับ
“นายจะทำอะไร!” ไทกิตาเหลือก ไหนเมื่อกี้มันหมดแรงแล้วไง แล้วทำไมถึงยังลุกขึ้นมาได้อีก
“นายนี่ก็ไม่เคยจำเลยนะไทกิ ฉันเป็นยังไงนายก็น่าจะรู้” ตอนนี้ร่างสูงยิ้มอย่างเลือดเย็น มองร่างบางในอ้อมกอดเพื่อเตรียมชำระแค้น
“เฮ้ย… อย่าน่า เราต้องรีบออกไปจากที่นี่นะ นายลืมไปแล้วหรือไง” ไทกิรีบหาทางกลบเกลื่อน
“ไม่ได้ นายมากระตุ้นอารมณ์ฉันก่อน ก็ต้องรับผิดชอบ แล้วตอนนี้ฉันก็อยากจะทำอะไรแบบนั้นอีกสักรอบแล้วด้วย”
“ไม่นะ!”
แล้วมันก็ร้องได้แค่นั้น ก่อนที่ร่างสูงจะจัดการแก้แค้นอย่างสาสม จนไทกิต้องสำนึกไปอีกนาน ว่าอย่าบังอาจเหิมเกริมล้วงคองูเห่าอย่างซุยอีกตลอดชีวิต

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 33 The Last Stand

22.00 น.

กึง!!

ลิฟท์แห่งโชคชะตาเลื่อนลงมาจนถึงชั้นสุดท้าย การตัดสินกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้า สองร่างหลบอยู่คนละฟากฝั่งของประตูลิฟท์ ในมือต่างกระชับอาวุธคู่ใจไว้แน่น คาโอรุหันไปสบตาเพื่อนซี้อีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้สัญญาณจู่โจมเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก

ปัง ปัง ปัง!!!!!!

กระสุนปืนที่รัวกระหน่ำแทนคำต้อนรับทำให้สองคู่ซี้กระเด็นไปหลบคนละมุมห้อง ไอ้บ้านี่… นอกจากจะไร้มนุษยสัมพันธ์แล้วยังนิสัยเสียสุดๆ อุตส่าห์เชิญแขกมาถึงบ้านทั้งที แทนที่จะต้อนรับด้วยน้ำชากับยูโร่คัสตาร์ดเค้ก มันกลับใช้ลูกปืนแทนของว่างซะงั้น มันน่าอัดให้น่วมจริงๆ พับผ่าสิ…
“ฉันผิดหวังนะ คิดว่านายสองคนจะเป็นคู่แรกที่มาถึงซะอีก กลับปล่อยให้ฉันรอตั้งนานสองนาน” ลิลลี่หน้าหวานที่ยืนเต๊ะท่าอยู่บนระเบียงเปรยขึ้น ฮิโระกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะแง้มหน้าออกจากเก้าอี้ที่กำบังช้าๆ
“ก็ไอ้บ้าที่ไหนล่ะดันหลอกให้เราสองคนเล่นไล่จับอยู่ในเขาวงกตชั้น G9 ตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะหาลิฟท์ลงมาชั้น G10 ได้ นายรู้มั้ยว่ามันเสียเวลาแค่ไหน” นักฆ่าตัวแสบประท้วง
“อ้าว… ก็ไหนคุยว่าเก่ง ไอ้เรารึก็นึกว่าเขาวงกตแค่นี้คงจิ๊บจ๊อยสำหรับพวกนาย ที่แท้ก็แค่พวกขี้โม้”
“ฮึ่ม! ปากดีนักนะแก จะเอาเลยมั้ยล่ะ ไอ้…”
“ฮิโระ!!” คาโอรุเบรกไว้ได้ทัน ก่อนที่ไอ้บ้านั่นจะกระโจนเข้าไปหาศัตรูแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนที่ทำเป็นประจำ
รอบๆห้องโถงกว้างคล้ายสังเวียนการต่อสู้ มีเก้าอี้นับพันวางเหลื่อมซ้อนกันเป็นแถววงกลม ชั้นบนยังมีระเบียงเป็นที่นั่งสำหรับแขกวีไอพีซึ่งลิลลี่ปีศาจยึดเป็นที่ปักหลัก แต่ที่ทำให้คาโอรุตกใจจนต้องรีบเบรกคู่ซี้เอาไว้ คือร่างสองร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเวทีตรงกลางห้องโถงนั่นเอง
“พี่ยู! พี่โฮตารุ!”
คาโอรุหน้าถอดสี จากที่เคยปะทะฝีมือกันแม้รุ่นพี่สองคนจะเคยพ่ายแพ้แก่เค้า แต่รับรองได้ว่าฝีมือเหนือชั้นไม่ธรรมดาแน่ แต่ที่ทั้งคู่ต้องมานอนจมกองเลือดโดยไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า มันหมายความว่ายังไง
“ไฮบาระ คาโอรุ… ฉลาด สุขุม สมกับข้อมูลที่ฉันได้รับ” เซกิเปรย แถมยังเอ่ยนามสกุลที่แท้จริงของเค้าได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แสดงว่ามันรู้มากใช่ย่อย “สองคนนั่นมาถึงตอนสามทุ่ม ก่อนหน้าพวกนายชั่วโมงเดียว แต่ใช้เวลาแค่ห้านาทีพวกมันก็จอดไม่เป็นท่าแล้ว นี่หรือมือปืนอันดับหนึ่งแห่งเกาะทะเลใต้ แค่ราคาคุยทั้งนั้น”
“พวกนั้นตายแล้ว?” ฮิโระตาเหลือก ก่อนจะตวัดไปถามไอ้ลิลลี่ตัวดี
“ยังมั้ง… แต่ฉันซัดไม่ยั้ง ถ้าไม่รีบพยาบาลก็คงไม่รอด”
“นายจะเอายังไง” คาโอรุพยายามหาทางเจรจา วินานี้ทีถึงออกไปลุยเดี่ยวกับมันซึ่งๆหน้าก็คงมีแต่ตายเปล่า แถมยังต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังทั้งชีวิตรุ่นพี่สองคน แล้วยังนักฆ่าบ้าเลือดนี่อีก เค้าต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด
“ฉันไม่สน ฮิโระ โซมะ เพราะไอ้หมอนี่จัดการง่ายยิ่งกว่าปลวกด้วยซ้ำ แต่ฉันสนใจนายมากกว่าคาโอรุ ลองมาสู้กับฉันตัวต่อตัวมั้ยล่ะ ในปืนของฉันมีกระสุนหกนัด ถ้านายหลบลูกกระสุนฉันได้ทั้งหมด จะยอมปล่อยออกไป ทั้งพวกนายและพวกที่นอนปางตายนั่นด้วย”
“อย่านะคาโอรุ อย่าเชื่อมันเด็ดขาด” ฮิโระพยายามห้าม แต่จากสายตาที่มันส่งมาให้คงไม่ฟังใครแล้ว
“ฉันต้องสู้ฮิโระ เพื่อทุกคน เพื่อไทกิ และ… ก็เพื่อนายด้วย”
ดวงหน้าสวยใสยิ้มให้บางๆ แต่มันชวนให้หดหู่ใจพิกล ราวกับว่าเค้าจะไม่มีทางได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกแล้วชั่วชีวิต
“ไม่นะ! คาโอรุ!!!”
ช้าไปแล้ว… แม้เสียงของเค้าจะกึกก้องเพียงใดก็ไม่อาจทัดทานมันไว้ได้ นักล่าจากตระกูลหงส์ทองกระโจนเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว พัดสีแดงเพลิงในมือกรีดสะบัดรับกระสุนนรกนัดแรกที่พุ่งลิ่วเข้ามาหา

เปรี้ยง!

ยังหลบได้…
คาโอรุกลิ้งตัวหลบไปอีกทางโดยใช้เก้าอี้ในฮอล์เป็นที่กำบัง มองพัดคู่กายที่ทำจากโลหะพิเศษมีรอยไหม้จนเกือบทะลุ
‘ไทเทเนี่ยม’
มือเล็กๆหยิบกระสุนที่กลิ้งตกอยู่ใกล้ๆขึ้นมาดู กระสุนที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ นี่ถ้าโดนจังๆสักนัด มีหวังหงส์อย่างเค้าได้บินกลับบ้านเก่าแน่ๆ
“นี่เพิ่งนัดแรก อย่าลืมสิว่าเรายังเหลือเวลาสนุกอีกตั้งห้านัด” เซกิขยับไกในกระบอกปืนแล้วเตรียมเล็งใส่เป้าหมาย
“ใครจะยอมให้แกทำแบบนั้น!”
นักฆ่าบ้าเลือดเตรียมกระโจนเข้าไปช่วยเพื่อน แต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยแผ่นกระจกหนาซึ่งเลื่อนลงมาจากเพดานปิดกั้นล้อมเวทีเอาไว้ ตอนนี้สมรภูมิจึงถูกแบ่งเป็นสองด้าน ฮิโระถูกกันอยู่อีกฝั่ง ในขณะที่เพื่อนถูกจำกัดพื้นที่ให้สู้กับมันตัวต่อตัว
“แก!! ไอ้ลิลลี่ปีศาจ!! เอากระจกสั่วๆนี่ออกไปนะเฟ้ย” ฮิโระตะโกนลั่น เสียงที่ร้องออกไปไม่สามารถผ่านกระจกหนาซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษ แต่ก็ผ่านทางไมโครโฟนขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่โดยรอบ
“นายน่ะนั่งดูอยู่ตรงนั้นดีกว่า ฉันจะให้นายได้ชมการต่อสู้ที่จัดขึ้นเพื่อนายโดยเฉพาะ รับรองว่านายจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต” ดวงหน้าปีศาจแสยะยิ้มเหี้ยม “รอชมวินาทีสุดท้ายของคนรักให้ดีก็แล้วกัน โซมะ ฮิโระ”

เปรี้ยง!

กระสุนอีกหนึ่งนัดตัดผ่านเก้าอี้จนเศษหนังกระจุยกระจาย ในขณะที่นักล่ายังไวพอกลิ้งตัวหลบได้ทัน
“คิดจะหลบอย่างเดียวเหรอไฮบาระ คาโอรุ ไม่เอาน่า… นายมีฝีมือมากกว่านี้ ฉันรู้” เซกิพยายามยั่วโมโห แต่อีกฝ่ายก็เยือกเย็นเกินกว่าที่มันจะล่อลวงได้ง่ายๆ
“นายบอกให้ฉันแค่หลบกระสุนหกนัดนี่ ไม่ได้บอกให้สู้ด้วยซะหน่อย เรื่องอะไรฉันต้องเสี่ยงด้วยล่ะ บ้านฉันทำธุรกิจนะ อะไรที่ไม้คุ้มทุนไม่ยอมเสี่ยงฟรีๆอยู่แล้ว”
“หึ… ร้ายนักนะ” เซกิยิ้มบางๆ “อันที่จริงถ้าไม่ใช่ศัตรู นายเป็นคนแรกที่ฉันอยากได้มาเป็น Guardian แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ฉันไม่ชอบเลี้ยงหมาที่ทำตัวพยศ”

ปัง!

เซกิซัดไปอีกลูก แต่คราวนี้เส้นขนนกเหล็กสีแดงตวัดสวนกลับ เฉียดแก้มขาวๆเป็นรอยข่วนจนเลือดไหลซิบๆ
“จำไว้ซะด้วย… ว่าฉันไม่ใช่หมา!” คาโอรุตะโกนท้ากลับ
ยมทูตแตะรอยเลือดที่แก้มออกมาดู ดวงหน้าหวานเหี้ยมกรีดรอยยิ้มเย็นชา
“นั่นสินะ… ถึงจะเป็นนกหรือหมา นายก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่น่ารักเอาซะเลย” ยมทูตลั่นไกรวดเดียวสองนัดติดกัน คาโอรุกลิ้งตัวหลบแทบไม่ทัน นัดสุดท้ายยกพัดขึ้นมารับได้อย่างหวุดหวิด
แต่มันก็สายเกินไปซะแล้ว…
หลังจากที่เค้าถูกล่อให้หลงกลด้วยลูกปืนสองนัด ไอ้ลิลลี่ปีศาจที่เคยปักหลักอยู่บนระเบียงก็ใช้ความเร็วที่เหนือชั้นกว่ากระโดดลงมาประชิดตัว ใบหน้านั้นอยู่ห่างไม่ถึงคืบพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความตายที่ชั่วร้ายที่สุด
“ลาก่อน… หงส์ผู้พิทักษ์แห่งมิยางิ”

ปัง!!!

เสียงปืนนัดสุดท้ายลั่นผ่านพัดสีแดงเพลิงที่เจ้าตัวพยายามยกขึ้นมาปกป้อง กระสุนไทเทเนี่ยมทะลุทะลวงไปตัดขั้วหัวใจจนเลือดพุ่งซ่านกระเซ็นเป็นสายอาบอาวุธคู่ใจ ดวงตาสีเขียวสดดับวูบ ก่อนจะล้มลงไปกองรวมกับอีกสองคนที่พ่ายไปก่อนหน้า

“คาโอรุ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ฮิโระตะโกนลั่นจนฮอล์ทั้งฮอล์แทบถล่ม ภาพที่คนรักค่อยๆร่วงลงไปต่อหน้าต่อตาเหมือนสิ่งที่กระชากดวงใจเค้าออกไปทั้งเป็น นักฆ่าไม่อาจควบคุมสติตัวเองได้อีกแล้ว กระจกที่ปิดกั้นค่อยๆเลื่อนออกราวกับต้องการล่อลวงพยัคฆ์ร้ายให้เดินเข้าสู่กับดักมืดที่วางไว้
“มาสิ… ฉันรอนายอยู่แล้ว พยัคฆ์ขาวแห่งคามาคุระ”
ยมทูตยืนปักหลักท้าทายเหนือร่างหงส์ฟ้าที่ตัวเองเพิ่งยิงร่วงไป หยาดน้ำตาที่นองหน้ากลบดวงตาสีทองจนมืดมิด มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรและจู่โจมใครอยู่

เปรี้ยง!

ปืนอีกกระบอกซึ่งถูกชักออกมายิงตวัดผ่านแขนและขา แต่ก็ไม่อาจหยุดราชสีห์ที่บ้าคลั่งตัวนั้นได้ มันยังคงพุ่งเข้ามาหาเค้า ดาบในมือวาดเป็นวงกว้าง ตวัดเฉือนฝากรอยแผลเป็นทางยาวตรงหน้าอกให้ยมทูตปีศาจต้องรำลึกไปชั่วชีวิต
‘แข็งแกร่ง’
เซกิต้องเซถลาถอยไปหลายก้าว มองดูราชสีห์บ้าเลือดตัวนั้นด้วยความพึงพอใจ
“นายเป็นคนที่สองที่เรียกเลือดจากฉันได้ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ชอบเลี้ยงเสือ เพราะมันไม่เคยเชื่อง”
ปากกระบอกปืนในมือจ่อยิงอีกครั้งทันทีที่มันสวนเข้ามาหาตรงๆ เสียงปืนรัวกระหน่ำหมดทั้งหกนัด หยุดคมดาบที่จ่อประชิดคอหอยไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนที่ผู้พิทักษ์คนที่สองจะร่วงลงไปนอนกองเคียงคู่คนรักเป็นรายต่อไป

“อึก…”
ไทกิทรุดฮวบ จู่ๆหัวใจมันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาไม่มีสาเหตุ มองท้องฟ้าที่ก่อตัวดำทะมึนก่อนพายุจะมาอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“ไทกิ… เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?” ซุยที่ทำหน้าที่ขับเรือใช้มือข้างหนึ่งประคองคนรัก
“ไม่รู้สิ… อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ เหมือนมีคนเอามีดมาแทงยังไงยังงั้น” ว่าแล้วมันก็เม้มปากแน่น ดวงตาที่รื้นมองซุยอย่างเศร้าๆ “มันเหมือนมีใครมากระชากหัวใจฉันออกไปซุย ฉันไม่สบายใจเลย ฉันเป็นห่วงคาโอรุกับฮิโระจริงๆนะ”
“พวกนั้นแข็งแกร่ง คงไม่เป็นไร… นายอย่าห่วงนักเลย” ซุยพยายามปลอบ แม้ตัวเค้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าทุกคนจะสามารถฝ่าด่านหินด่านนี้ไปได้หรือเปล่า
“เราจะไปทันเวลามั้ย?” ไทกิมองดูท้องฟ้าที่มืดสนิท ดวงดาวถูกซ่อนอยู่ภายใต้ม่านหมอกดำทะมึนของเมฆฝน เวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงยามแล้ว ไม่รู้เลย…
“ตอนนี้สี่ทุ่มสิบนาที จากแผนที่ที่นายให้มาคิดว่าอีกราวๆสิบห้านาทีเราก็ถึงท่าเรือแล้ว จากนั้นก็หาเครื่องบินเจ็ทสักเครื่อง บินแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงสนามบินนาริตะแล้ว
‘มันก็จะยากไอ้ตอนหาเครื่องบินเจ็ทนี่แหละ เจ้าเซกิมันคงไม่ใจดีขนาดเอามาประเคนถึงที่หรอก’
คิดๆแล้วไทกิก็ยิ่งหวั่นใจ แต่จะมัวกังวลไปก็เท่านั้น เค้าต้องมองทางข้างหน้าแล้วภาวนาขอให้ตัวเองไปถึงทันเวลา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ที่ท่าเรือกรีนเบย์ยามค่ำยิ่งเงียบสงัด ได้ยินเสียงหวูดเรือจากที่ไกลโพ้น สองคนจอดเรือเทียบท่าขึ้นขึ้นฝั่ง แล้วแยกย้ายกันออกหารถยนต์หรือยานพาหนะอื่นๆที่เร็วพอจะนำพาไปที่สนามบินคิวชู
เวลางวดเข้ามาทุกขณะ พวกเค้าไม่เหลือเวลาให้ยื้ออีกแล้ว!

“หึ… นี่เหรอสี่ผู้พิทักษ์ ที่แท้ก็แค่พวกลูกเจี๊ยบไม่ไม่มีน้ำยา เล่นด้วยไม่ทันไรก็ตายซะแล้ว”
เซกิเดินเข้าไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง ใช้เท้าเขี่ยร่างฮิโระขึ้นมาก่อน แม้จะโดนยิงเข้าเป้าหลายจุดแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่ ตายยากตายเย็นสมเป็นจ้าวป่าจริงๆ ส่วนอีกคนแม้จะโดนจังๆที่หัวใจ มันก็ยังบังอาจลืมตาสีเขียวครามขึ้นมาจ้องหน้าเค้าอีกจนได้
“ฮิโระ…”
เสียงแผ่วๆที่แทบจะไม่มีแรงเหลือพอจะพูดได้แล้วเรียกหา และยังพยายามตะเกียกตะกายเข้าไปใกล้ สองมือชุ่มไปด้วยเลือดตระกองกอดหัวสีทองนั้นเอาไว้ นัยน์ตาเลื่อนลอยของนักฆ่าก็ปรือขึ้นอีกครั้ง พอเห็นแล้วว่าเป็นใครก็รีบคว้าเข้ามาโอบ
“ฉันขอโทษ… ที่ปกป้องนาย… ไม่ได้… คาโอรุ” นั่นคือเสียงสารภาพจากใจ พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ทดแทนความรู้สึกจากใจทั้งหมด
มือเล็กๆบีบมืออุ่นๆนั้นไว้แน่นแล้วยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร… ฉันดีใจที่ได้ตายพร้อมนาย ฉันไม่เสียใจหรอก”
ดวงตาสีเขียวตวัดไปมองรุ่นพี่ที่ยังคงจับมือกันไว้แน่น แม้จะไม่ได้สติแต่สองมือก็ไม่เคยปล่อยให้อีกฝ่ายต้องโดดเดี่ยว ถึงตายเราก็จะไม่ทอดทิ้งกันและกัน… คาโอรุคล้อยตามองยมทูตอีกครั้ง ราวกับจะเย้ยหยันให้มันตระหนักถึงความเดียวดายอ้างว่างแม้จะยังมีลมหายใจอยู่ก็ตาม
‘ท้ายที่สุดนายจะตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่เหลือแม้แต่หัวใจที่จะรัก ฉันขอทำนาย…’ คาโอรุปรามาสในใจ
แต่ยมทูตดูไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ไม่ว่ามันจะเข้าใจสายตาคู่นั้นหรือไม่ก็ตาม แต่การที่ต้องมายืนดูคนรักตายเคียงคู่กันไม่ใช่สิ่งที่มันคาดคิดเอาไว้เลย
“ในเมื่ออยากตายมากขนาดนั้นฉันก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ไปลงนรกเถอะ… ทั้งคู่นั่นแหละ!!”
ปืนในมือถูกเหนี่ยวไกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้จ่อยิงประชิดขมับ หมายใจว่ามันต้องไม่มีทางรอดขึ้นมากวนประสาทเค้าอีกแน่ๆ

กริ๊ก…

“เดี๋ยวก่อน!”
กรรมการห้ามทัพเข้ามาทันเวลา พร้อมกับร่างที่กระโจนออกมาจากมุมมืดในเส้นทางลับ ทำเอาคนที่กำลังเลือดขึ้นหน้าอารมณ์เสียเอาการ ร่างนั้นคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ บนหัวไหล่มีรอยแผลยาวเป็นทางพร้อมเลือดที่ไหลซึม เรียกร้องความสนใจให้ยมทูตละสายตาจากเหยื่อตรงหน้าได้ชะงัด
“หืม… มาซาฮิโกะ อย่าบอกนะว่านายแพ้ไฮบาระ โนะอิ” เซกิขมวดคิ้วมุ่นพร้อมคาดคั้น
นักบวชหนุ่มส่ายหน้า “เปล่าเลย… ผมจับตัวรุ่นพี่ได้แล้ว ตอนนี้ขังอยู่ในห้อง แต่ตอนสู้กันผมได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย”
“แล้วนายทำอย่างที่ฉันสั่งหรือเปล่า?”
มาซาฮิโกะอ้ำอึ้ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ทำแล้ว…”
“โกหก!” เซกิกระชากคอนักบวชหนุ่มขึ้นมาพร้อมบีบแน่นจนเค้าแทบหายใจไม่ออก “อย่าตบตาฉันมาซาฮิโกะ… ฉันรู้ดีว่าสายตาเร่าร้อนของคนที่เพิ่งผ่านการมีเซ็กซ์โดยการขืนใจคนอื่นมันเป็นยังไง!”
ดวงตาสีอิฐว่างเปล่าวาวโรจน์ จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้า มาซาฮิโกะถอดใจยอมแพ้ เพราะรู้ว่าไม่มีทางต้านทานคนตรงหน้าได้เลย
“คะ… เค้าหนีไปได้…” นักบวชหนุ่มอึกอัก “มีคนมาช่วย”
“ใคร!! ใครที่มันกล้าทำแบบนั้น!!”

“ฉันเอง”

ร่างหนึ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะเจอมันที่นี่ กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนระเบียงวีไอพีตรงตำแหน่งเดิมของเค้า
‘ดูจากสภาพและสายตานั่น มิสึกิ… คงทำหน้าที่แทนมาซาฮิโกะไปเรียบร้อยแล้ว’
“หึ… นายก็ยังชอบแส่ไม่เข้าเรื่องเหมือนเดิมนะมิสึกิ” เซกิเหน็บไปก่อน
“ก็มันเป็นหน้าที่ฉัน ปกป้องคุณไทกิ ขัดขวางทุกคนที่คิดจะทำร้ายท่าน หน้าที่ง่ายๆแค่นี้นายยังไม่รู้อีกหรือไง” คนถูกเหน็บยังทำหน้าเป็น
“แล้วหนูตัวสุดท้ายของฉันอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ฉันรับรองว่าไม่มีใครแตะต้องเค้าได้ ถึงนายจะใช้คนทั้งองค์กรก็หาเค้าไม่เจอหรอก ระหว่างนี้นายมาเล่นกับฉันฆ่าเวลาไม่ดีกว่าเหรอ”
มิสึกิกระโดดจากระเบียงลงไปยังเวทีกลาง แล้วเดินเข้าไปท้าเพื่อนร่วมองค์กรซึ่งๆหน้า
“นายรู้มั้ยว่าถ้า ไฮบาระ โนะอิ มาไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้น” เซกิถามตรงๆ
“คุณไทกิจะแพ้พนัน นายจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ และคุณไทกิก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ในองค์กรนี้ตลอดไป”
“ดูเหมือนนายเองก็รู้ดีนี่นา เพราะฉะนั้นทางที่ดีมอบตัวโนะอิให้ฉันดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเลยเวลาเที่ยงคืนแล้วมันมาไม่ทันล่ะก็ คุณไทกิสุดที่รักของนายนั่นแหละที่จะตกที่นั่งลำบาก”
“เงื่อนไขของนายคือการที่สมาชิกทุกคนได้พบคุณไทกิไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณไทกิไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้เรา special members มาอยู่กันพร้อมหน้าก็ไม่มีประโยชน์ พูดตรงๆคือฉันจะถ่วงเวลานาย ยื้อลมหายใจของทุกคนจนกว่าคุณไทกิจะกลับมา”
“มันมาไม่มันหรอก มันจะจมอยู่กลางทะเลพร้อมคนรักของมันนั่นแหละ!”
ดวงตาสีเลือดวาวโรจน์ เผลอตัวเผยธาตุแท้ออกมาจนได้ สายตาที่ชิงชังไม่เคยลบเลือน มันฝังล้ำลึกยากจะถอดถอน มิสึกิได้แต่ทำใจ คงมีเพียงสิ่งเดียวที่จะหยุดความแค้นในใจของเซกิได้ นั่นก็คือ… ความตาย
“ฉันเพิ่งรู้จาก ‘คนๆหนึ่ง’ ถึงสิ่งที่คุณเคโตะเคยทำกับนาย ฉันเสียใจจริงๆ”
คำเปรยเศร้าๆจากเพื่อนซี้ทำเอาเซกิตาแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้บ้านี่มันสู่รู้มาได้ยังไง ในเมื่อคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ถูกเค้าส่งไปปรโลกหมดแล้ว
“นายนี่มันชักจะแส่เกินความจำเป็นจริงๆมิสึกิ ถ้าคิดว่าการเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อสายเลือดชั่วๆนั่นแล้วคุ้มค่าล่ะก็ ฉันก็จะสงเคราะห์นายเอง” เซกิชักปืนกระบอกสุดท้ายออกมา “จงตายไปพร้อมความภาคภูมิใจในความจงรักภักดีของนายเถอะมิสึกิ!!”
กระสุนนัดแรกยิงเข้าใส่ตรงๆ แต่มิสึกิก็ไวพอที่จะหลบได้ทัน คราวนี้เค้าต้องไม่พลาด ถ้าไม่นับอาการบาดเจ็บที่เพิ่งหายมาหมาดๆ ด้วยฐานะยมทูตต้องยอมรับว่าเค้าทั้งคู่ฝีมือสูสี มิสึกิหยิบปืนของตัวเองออกมาเตรียมแลกกันนัดต่อนัด
“ฝากทุกคนด้วยมาซาฮิโกะ ส่วนหมอนี่ฉันจะจัดการเอง” ยมทูตดำยังมีเวลาหันไปสั่งเสียกับเพื่อนซี้ที่ลำบากใจจะรับคำสั่งเต็มแก่ แต่พอเห็นรุ่นน้องอ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาทองขาดน้ำ จิตใต้สำนึกในความเป็นนักบวชก็ทำให้เค้าไม่อาจละทิ้งคนที่กำลังจะตายได้
“นายเองก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน” มาซาฮิโกะพยายามลากทุกคนหลบลงไปหาที่กำบังใต้เวที แล้วปล่อยโอกาสให้พวกยมทูตทะเลาะกันเองจนหนำใจ
 มิสึกิหันมาเผชิญหน้าคู่ต่อสู้อีกครั้ง “นายเสียเปล่าไปหนึ่งลูกแล้วนะเซกิ คราวนี้เตรียมตัวหลบให้ดีก็แล้วกัน”
ลูกปืนมฤตยูนัดแรกถูกส่งออกไป สวนกับลูกสีเงินอีกนัดที่รัวตามมาติดๆ ไฟทั้งห้องถูกดับพรึ่บ นอกจากเสียงปืนที่รัวกระหน่ำกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแล้ว มาซาฮิโกะที่ดูแลพวกพ้องอยู่ในความมืดก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย…

“โธ่เว้ย!! ไม่มีรถหลงผ่านมาทางนี้บ้างเลยหรือไงนะ”
ไทกิที่กำลังจะประสาทเสียเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น ส่วนซุยที่แม้จะร้อนใจไม่แพ้กันก็ยังทำใจเย็นยืนโบกรถต่อไป
“เว้ย!! ฉันไม่รอแล้ว” กุหลาบแดงตัดสินใจแน่วแน่ ก่อนจะตัดสินใจเดินจ้ำอ้าวไปตามถนนที่ทอดยาวริมชายหาด
“นายจะทำอะไรไทกิ อย่าบอกนะว่าจะเดินไปโตเกียว”
“ก็ใช่น่ะสิ” ไทกิหันไปค้อน “นายจะให้ฉันอยู่เฉยแล้วให้เพื่อนๆไปเสี่ยงตาย ฉันทำไม่ได้หรอก”
“แล้วนายคิดว่าเดินไปต้อยๆแบบนี้จะทันช่วยพวกนั้นหรือไง”
“ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละ!”
สองคนยังคงยืนเถียงกันอยู่พักใหญ่ ในตอนนั้นเองเฮลิคอปเตอร์ลึกลับก็ได้ร่อนลงจอดกลางท่าเรือ ซุยรีบกระโจนไปปิดปากไอ้ตัวแสบ ก่อนจะลากลงไปหลบข้างทาง
ร่างสูงกระโจนลงจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วตะลีตะลานวิ่งพล่านตามหาใครบางคนทั่วท่าเรือ
“ท่านไทกิครับ! ท่านไทกิอยู่ที่ไหน!”
“วายะ”
ไทกิสะบัดมือของซุยออกจากปาก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาองครักษ์คู่ใจอย่างร่าเริง พอสองคนเจอหน้าไทกิก็เผลอกระโดดกอดคอวายะจนแน่น จนใครบางคนที่เฝ้าดูอยู่ชักมีอารมณ์ฉุนขึ้นมาตะหงิดๆ
“วายะมาได้ไง ไหนไอ้บ้าเซกิบอกว่าส่งนายไปอเมริกาไม่ใช่เหรอ”
“ก็เกือบจะไปแล้วครับ แต่มีคนโทรมาบอกให้ผมมาช่วยคุณก่อน ผมก็เลยรีบมาที่นี่”
“ใครกัน?” กุหลาบแดงขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนแรกผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่เป็นห่วงคุณไทกิก็เลยยอมมาตามคำสั่ง แล้วก็เจอจริงๆซะด้วย”
“หมอนี่ใคร?” ซุยเข้ามาโอบไหล่ไทกิวางมาดเป็นเจ้าของเต็มที่ มองไอ้หน้าหล่อที่บังอาจมายืนคุยกะหนุงกะหนิงกับคนรักของเค้า ท่าทางเวลามันหึงทำให้ไทกิอดขำไม่ได้
“โอ๊ย! นายก็คิดไปได้ คงยังไม่เคยเจอกันล่ะสิ นี่คือ Red Guardian มือขวาฉันเอง ชื่อ ซาโตชิ วายะ” ไทกิแนะนำให้รู้จัก “ส่วนนี่ ซุย เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนฉันเอง”
“สวัสดีครับ” วายะโค้งตัวให้ ดูๆไปก็มารยาทดีไม่เลวแฮะไอ้หมอนี่ “คุณไทกิรีบขึ้นเฮลิคอปเตอร์เถอะครับ ผมเพิ่งได้รับโค้ดลับจากยูอิ โค้ดนั่นก็คือ …ANGEL…”
“ANGEL!!” ไทกิตาเหลือก
“โค้ดนั่นทำไมเหรอ?” ซุยยังไม่เก็ทมุกของพวกองค์กรนี้เท่าไหร่
“ANGEL มาจากคำว่า Death Angel เป็นโค้ดที่แสดงความนัยถึงยมทูต ถ้าเมื่อไหร่ที่คนในองค์กรใช้คำๆนี้ นั่นแปลว่ายมทูตกำลังลงมือทำภารกิจด้วยตัวเอง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นเจ้าเซกิแน่ๆ”
“ผมกลัวจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ” วายะชักหวั่นใจนิดๆ
“นายหมายความว่าไงวายะ?”
“Angel ที่ว่าอาจเป็น Double Angels ก็ได้ ถ้าคุณเซกิลงมือ คุณมิสึกิเองก็คงไม่อยู่เฉยแน่”
“โธ่เว้ย! ทำไมถึงชอบทำอะไรไม่ปรึกษาฉันนะ” ท่านผู้นำชักจะเดือดขึ้นมาจริงๆซะแล้ว “รีบไปเถอะวายะ ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้าเซกิจะเคยอาละวาดแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันนี่แหละจะเป็นคนปิดเกมของมันเอง”
ทั้งสามคนรีบรุดขึ้นเครื่อง จากนั้นก็ตรงดิ่งสู่มหานครโตเกียว เวลาเส้นตายที่ลิลลี่ขีดไว้จวนเจียนจะหมดเต็มที พวกเค้าจะไปทันหรือไม่
หรือว่า… ลมหายใจของเพื่อนคนสุดท้ายจะหมดลงก่อนกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 34 Prayer (Part I)

‘ไม่ไหว… ใกล้จะถึงลิมิตเต็มทนแล้ว!’

อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตูที่ถูกปิดกั้นไว้ กำลังมี ‘ไอ้บ้า’ คนหนึ่งอาละวาดไม่ลืมหูลืมตา เสียงระเบิดดังตูมตามราวกับฟ้าถล่ม เหล่าสมาชิกพิเศษรวมตัวกันลุ้นระทึกอยู่ในอุโมงค์คับแคบ ไม่รู้ว่าประตูโบราณคร่ำครึนี่จะทนทานได้สักกี่น้ำ ไหนยังต้องพยาบาลเพื่อนพ้องน้องพี่ที่บาดเจ็บปางตายอีก พวกเค้าจะรอดไปจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่… ไม่รู้เลย
สองมืออบอุ่นประคองร่างที่เย็นชืดไว้ในอ้อมอก ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดของคนที่อยู่ตรงหน้าทำให้เจ้าตัวไม่สบายใจเป็นอย่างมาก มันหลับตานิ่งสนิท… ถึงลมหายใจที่แผ่วเบาจะสงบลงแล้ว แต่ท่าทางทรมานจากอาการบาดเจ็บก็ดูจะไม่ทุเลาเบาบางลงเลย
“คาโอรุ”
มืออุ่นตบเบาๆที่แก้มเพื่อเรียกสติอีกครั้ง ยิ่งเวลาที่มันหลับยาวนานเท่าไหร่ ยิ่งกระชากหัวใจพี่ชายคนนี้ให้ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
“นายจะหลับไม่ได้นะ ฉันสัญญากับท่านพ่อแล้วว่าจะดูแลนายให้ดีที่สุด ถ้านายเป็นอะไรไป แล้วฉันจะมีหน้าไปพบท่านพ่อได้ยังไง”
ดวงตาสีเขียวครามปรือขึ้นช้าๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเลือนรางเหลือเกิน แต่เสียงที่ได้ยินชัดเจน จึงจำได้ว่าความอบอุ่นแบบนี้ก็ไม่เหมือนใคร มีพี่ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พี่… โนะอิ…” เสียงแผ่วเบาเรียกหา “ฉันน่ะ… ฉัน… คงไม่ไหวแล้ว พี่… ฝากขอโทษ… พ่อ กับคาน่อน… ให้ด้วยนะ”
“ไม่!!” โนะอิกระชากตัวน้องชายเข้ามากอดไว้แน่น น้ำตาไหลพรากเหมือนจะขาดใจตายตามมันไปซะให้ได้ “นายต้องเข้มแข็งเข้าใจมั้ย ที่ผ่านมาเคยเจออุปสรรคยากลำบากแค่ไหนนายก็ไม่เคยยอมแพ้ แล้วถ้านายตายตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต่อสู้ด้วยกันมามันจะมีความหมายอะไร พี่ไม่ยอมหรอกนะ… คาโอรุ นายต้องอยู่กับพี่ เข้าใจมั้ย!!”
โนะอิตะโกนเสียงดังลั่น จนคนที่ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่ที่ประตูคร่ำครึหน้าอุโมงค์ต้องหันกลับมาดูอีกครั้ง พอเห็นสภาพรุ่นพี่คนเก่งกอดน้องชายสุดที่รักพร้อมกับร่ำไห้ไม่หยุด เค้าก็รู้สึกสะเทือนใจจนต้องเข้ามาช่วยปลอบด้วยอีกแรง
“พอแล้วโนะอิ” มือใหญ่วางบนไหล่บอบบางเพื่อให้หายสั่น “ฉันขอคาโอรุนะ ส่งเค้ามาให้ฉันเถอะ”
มิสึกิถือวิสาสะฉกตัวคนเจ็บจากอ้อมแขนพี่ชายที่ดูจะไม่ค่อยเต็มใจให้นัก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองไปอีกฟาก เห็นมาซาฮิโกะยังคงพยาบาลรุ่นพี่สองคนอย่างขะมักเขม้น ส่วนอีกคน… ยังนอนขดตัวสั่นระริกอยู่อีกมุมหนึ่งของอุโมงค์ ท่าทางจะอาการสาหัส มิสึกิจึงตัดสินใจอุ้มคาโอรุไปวางไว้ใกล้ๆ
“นายคิดจะทำอะไร?” โนะอิตามมาสมทบ ทั้งที่เค้าพยายามจะช่วยน้องชายเต็มที่ แต่หมอนี่กลับฉกออกมาหน้าตาเฉย
“เงียบๆก่อนเถอะครับ” มิสึกิหันไปดุ “เราต้องช่วยทั้งสองคน เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่งเกิดตายขึ้นมา รับรองได้เลยว่าอีกคนไม่รอดแน่ ถ้าอยากให้คาโอรุมีกำลังใจต่อสู้ เราก็ต้องให้เค้ารู้ว่ายังมีอีกคนที่ต้องการกำลังใจจากเค้า”
มิสึกิปลุกคาโอรุให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าที่ซีดเซียวก็ลืมตาตอบรับ หากก็อ่อนล้าเต็มที่ คงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“คาโอรุ ฟังฉันนะ… นายช่วยหันไปดูข้างๆหน่อยได้มั้ย หมอนี่ตั้งแต่ถูกลากเข้ามาในอุโมงค์ก็ยังไม่ฟื้นเลย เค้าอาการสาหัสมาก สิ่งเดียวที่จะยื้อมันออกมาจากประตูนรกได้ก็คือนาย ได้โปรด… ช่วยฮิโระด้วยเถอะนะ”
ตาสีเขียวหันไปมองตามที่บอก สภาพเพื่อนซี้นอนขดตัวกอดเข่าสั่นระรัวราวกับนอนอยู่ในทุ่งน้ำแข็ง บาดแผลส่วนใหญ่ถูกพันไว้แล้ว แต่ก็ยังมีเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาตลอดเวลา มันคงโดนไปหลายนัด ถึงจะแกร่งแค่ไหน แค่แบบนี้มันก็มากเกินไป นักล่าคนเก่งได้แต่ร้องไห้เงียบๆ ในเวลานี้เค้าจะช่วยอะไรมันได้… ไม่มีทางเลย
“ฉัน… ฉันทำไม่ได้…” คาโอรุกลั้นใจเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ไม่มีใครช่วยมันได้หรอก อย่างมาก… เค้าก็จะตัดใจตายพร้อมมัน ก็เท่านั้น
“งั้นเหรอ” มิสึกิยิ้มเหี้ยม “งั้นก็ดูนี่”
ยมทูตดำกระชากตัวเสือน้อยที่อุตส่าห์นอนขดตัวจำศีลขึ้นมาจากพื้นอย่างไร้ความปรานี จนสองพี่น้องได้แต่มองตาเหลือก เจ้าฮิโระไอเป็นเลือดสองสามครั้ง ก่อนจะฝืนลืมตาข้างหนึ่งเพื่อดูว่าใครที่บังอาจมารบกวนการหลับของเค้า
“ฉันเจ็บนะ… จู่ๆมากระชากคอกันแบบนี้ได้ไง”
ไอ้ตัวแสบโวยเท่าที่พอจะมีเรี่ยวแรงเหลือให้โวย แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อรุ่นพี่ที่เคยเป็นมิตรที่สุดกลับชักปืนออกมาจ่อขมับ เตรียมทำตัวสมเป็นยมทูตส่งเค้าสู่ยมโลก
“ละ… ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วนะพี่” ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดสนิท ก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามตะเกียกตะกายถอยตัวหลบไปชิดฝาผนัง
“นายมองตาฉันก็น่าจะรู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น เตรียมใจไว้เถอะฮิโระ แบบนี้จะทำให้นายสบายกว่า ดีกว่าต้องมานอนทรมานเสียเลือดจนตาย”
สายตาที่มองออกมาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆด้วย เป็นครั้งแรกที่นักฆ่าเพิ่งประจักษ์ถึงความน่ากลัวของเหล่ายมทูต กลิ่นไอการฆ่า สายตาที่ต้องการทำลายล้าง เปลี่ยนคนคุ้นเคยให้เป็นอีกคนเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มิสึกิสับสวิตซ์ตัวเองเข้าสู่โหมดยมทูตของแท้ ในมือขยับไกปืนดังกริ๊ก ฮิโระกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วหลับตาเตรียมรอรับชะตากรรม
“หยุดนะ!”
มือเล็กๆที่แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้วฝืนยกขึ้นมาปัดกระบอกปืนจนกระเด็นไปอีกทาง ใบหน้าสวยๆโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ส่งสายตากระหายเลือดพอๆกับคนที่คิดจะลั่นไกใส่คนรักของเค้า นี่ถ้าองค์กรคิดจะแต่งตั้งยมทูตคนที่สี่ล่ะก็ ก็คงจะเป็นมันนี่แหละที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด
“นายคิดจะทำบ้าอะไร! ถ้าแตะต้องฮิโระ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ คอยดู!” คาโอรุลืมความเจ็บตวาดใส่รุ่นพี่อย่างเหลืออด สีหน้าเหี้ยมๆของซากุระค่อยๆคลายลงเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ขี้เล่นดังเดิม
“เห็นมั้ย… นายเองก็ไม่อยากให้เค้าตายซะหน่อย แล้วทำไมถึงถอดใจยอมแพ้ซะล่ะ พวกนายแค่บาดเจ็บนะ ยังไม่ตาย ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ไม่ควรยอมแพ้”
มิสึกิถอนใจอีกเฮือก คำพูดนี้มันเสียดแทงใจตัวเองชอบกล ครั้งหนึ่งก็เคยสู้และอยู่เพื่อใครสักคน ถึงแม้ตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกของความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ฉันเคยก้าวขาเฉียดประตูนรกมาแล้วหลายครั้ง ฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แต่ไม่มีอะไรที่มนุษย์อย่างเราจะทำไม่ได้ถ้ายังมีความหวัง ถึงแม้นายจะไม่อยากอยู่เพื่อตัวเองก็ควรอยู่เพื่อฮิโระ และฮิโระเองเค้าก็จะอยู่เพื่อนายด้วยเหมือนกัน”
มิสึกิตบไหล่แถมท้ายแล้วถอยไปเฝ้าหน้าประตูต่อ ปล่อยให้เจ้าสองตัวเคลียร์กันเอง เค้าได้ยินเสียงทะเลาะกันเบาๆก่อนจะเงียบไป คงไม่ต้องห่วงอีกแล้ว… เพราะอย่างน้อยทั้งคู่ก็จะอยู่เพื่อเป็นความหวังของอีกคน
“นายโอเคนะ?” มือเล็กๆที่ไม่รู้มาอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไหร่แตะไหล่คนกำลังเหม่อ
มิสึกิมองหน้าคนที่เป็นห่วงแล้วยิ้มบางๆ “โอเคเรื่องไหนล่ะ”
“เอ๊ะ! อย่ามาย้อนฉันนะ นายรู้อยู่แล้วว่าฉันถามเรื่องอะไร หรือจะต้องให้กระตุ้นแผลที่เจ็บคราวก่อนสักป้าบถึงจะจำได้” โนะอิทำหน้ามุ่ย ก่อนจะแกล้งดึงเสื้อคนขี้แกล้งขึ้นเตรียมจะกระแทกสักทีเพื่อกระตุ้นความทรงจำ แต่แล้วเค้าก็ต้องเป็นฝ่ายผงะไปเอง เมื่อแผลเก่าที่ว่ามันไม่ได้เป็นแผลเก่าอีกต่อไปแล้ว
“เงียบๆไว้ อย่าเพิ่งเอ็ดไป ผมยังไม่อยากให้ใครรู้ แค่นี้ทุกคนก็เสียขวัญมากพอแล้ว” มิสึกิยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นทั้งๆที่กระสุนไทเทเนี่ยมฝังคาอยู่ในเนื้อ จากนั้นก็ดึงเสื้อหนังตัวหนาลงมาปิดไม่ให้ใครเห็น
“นายโดนยิงตั้งแต่เมื่อไหร่?” โนะอิรีบคว้าแขนเข้ามาถาม
“ก็ตอนที่สู้กับมันนั่นแหละ แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่เป็นไร จะช่วยพี่กับทุกคนออกไปจากที่นี่ให้ได้แน่นอน ผมสัญญา”
คนดื้อหันกลับไปคุมเชิงที่หน้าประตูต่อ เสียงระเบิดยังดังตูมตามไม่ขาดสาย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ประตูนี้หนาเป็นเมตรก็คงจะถูกทำลายในไม่ช้า โนะอิมองไปที่แผลตัวปัญหาซึ่งยังคาใจเค้าอยู่
“นายจงใจให้มันยิงใช่มั้ย นายกับหมอนั่น…”
“ผมกับเซกิเป็นเพื่อนกัน” ยมทูตหันมาอธิบาย ท่าทางรุ่นพี่คงตื๊อไม่เลิกแหงๆถ้าไม่ยอมเคลียร์ให้เข้าใจ “เค้ามีเหตุผลที่ต้องแค้นคนรอบข้าง และผมก็มีส่วนทำให้เซกิต้องเป็นแบบนี้ ผมมีหนี้ติดค้างเค้าอยู่… ผมต้องชดใช้”
น้ำเสียงที่บอกออกมาเหมือนต้องการระบายความอัดอั้น บาปที่ตราตรึงอยู่ในใจไม่อาจลบเลือนหาย ความทุกข์ของเพื่อน ความทุกข์จากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ถ้าเพียงแต่ในวันนั้นคนที่ไปอิตาลีไม่ใช่เค้า ถ้าเซกิไม่เสียสละให้ บางทีคนที่โชคร้าย… อาจจะเป็นเค้าเองก็ได้
แต่ความในใจของมันคงลึกซึ้งมากเกินไป หิมะแห่งไฮบาระจึงไม่เข้าใจ โนะอิทำหน้างอนก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งพิงผนังอยู่คนเดียวเงียบๆที่มุมๆหนึ่ง

ตูม!!

แล้วฝันร้ายก็มาเยือนจนได้…
เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องจนสะกดทุกคนในอุโมงค์ให้หยุดนิ่ง เหมือนเสียงของซาตานที่สั่นคลอนขวัญและกำลังใจของทุกคนให้ยิ่งถดถอย แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น… คือเสียงนรกที่ว่ามันไม่ได้มาจากประตูอุโมงค์ด้านหน้า แต่มาจากเพดานด้านบน
“แย่แล้ว!”
มิสึกิตะโกนลั่นทันทีที่เห็นหยดน้ำค่อยๆไหลปรี่มาตามรอยร้าวบนเพดาน ด้านบนเป็นทะเลสาบ เพดานคงไม่ได้ถูกสร้างให้หนาและแข็งแกร่งเท่ากับประตูด้านหน้า ถ้าโดนระเบิดถล่มสักสองสามลูกก็คงจะทานไม่ไหวเหมือนกัน
“ตามฉันมา รีบหนีออกไปจากที่นี่ เร็วเข้า!”
มิสึกิรีบกระตุ้นทุกคน มาซาฮิโกะปลุกรุ่นพี่ที่หลับอยู่ คาโอรุฉุดแขนฮิโระขึ้นมาจากพื้น หลังจากนั้นก็ประคองกันออกไปอย่างทุลักทุเล มิสึกิจำใจต้องปลดรหัสประตูด้านหน้า แล้วสิ่งที่รออยู่ก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้ พวกเค้าถูกต้อนให้จนมุมในที่สุด
“ไง… พวกหนูสกปรกทั้งหลาย ยอมมุดหัวออกจากท่อน้ำแล้วเหรอ”
คำทักทายของมันกวนประสาทไม่เคยเปลี่ยน แถมด้านหลังยังมีองครักษ์ยืนเรียงซ้อนแถวอยู่เป็นร้อย ชนิดกะจะจับตายไม่ให้ใครหนีรอดได้สักคน
“อุตส่าห์ยกโขยงออกมารับตั้งเยอะ ไม่เอิกเกริกไปหน่อยเหรอเซกิ” มิสึกิยังออกปากแซวอย่างใจเย็น
“สำหรับนายฉันถือว่าน้อยไป แล้วไหนจะหนูตายยากพวกนั้นอีก ตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าต่อให้ใช้ทหารทั้งกองทัพมาขวาง จะหยุดพวกนายได้หรือเปล่า”
“งั้นจะสู้กันต่อจากเมื่อกี้มั้ยล่ะ เรายังไม่รู้ผลแพ้ชนะเลยนี่ ตัวต่อตัว… ไม่เกี่ยวกับคนอื่น” มิสึกิท้า
“หึ…” เซกิเบ้ปาก “ให้สู้กับคนที่ถอดใจยอมแพ้แต่แรกอย่างนาย ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันว่าทางที่ดีนายหลีกไปแล้วมอบตัวคนพวกนั้นให้ฉันดีกว่า ฉันอยากจะจบเกมนี้เต็มทนแล้ว”
“จบแล้วนายจะได้อะไรขึ้นมาล่ะเซกิ?” ซากุระถามจากใจจริง ถ้าทุกคนตายหมดแล้วมันจะได้อะไร จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วให้กลับมาเหมือนเดิมหรือก็ไม่ใช่ มีแต่จะทับถมความแค้นให้กับคนที่ต้องสูญเสียก็เท่านั้น
เซกินิ่งงันไปอีกครั้ง ราวกับถูกน้ำเย็นสาดโครมใส่หน้าด้วยคำถามที่ไม่คาดฝัน นั่นสิ… ถ้าทุกคนตายแล้วเค้าจะได้อะไร แต่เค้าก็ถลำลึกเกินกว่าจะถอยกลับไปเริ่มต้นที่จุดเดิมได้แล้ว ดวงตาสีอิฐเงยหน้ามองอดีตเพื่อนซี้อีกหน ดวงตาที่เหือดแห้งไม่หลงเหลือมิตรภาพอยู่ในหัวใจแม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่เคยมีให้
“สิ่งที่ฉันจะได้ก็คือความสะใจไงเพื่อน ถ้าฉันพินาศ… คนอื่นก็ต้องพินาศเหมือนกัน!”
ใบหน้าแข็งกร้าวบอกชัดว่ามันเอาจริงแน่ คราวนี้พวกเค้าไม่มีทางให้หนีแล้ว มิสึกิแอบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
…23.53 น…
คงได้แต่ภาวนาให้จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดกลับมาถึงทันเวลา เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งเดียวที่จะเหลือเป็นอนุสรณ์ให้ท่านผู้นำของเค้าดูต่างหน้า ก็คือหลุมฝังศพของเพื่อนๆนั่นเอง
เซกิสะบัดเสื้อคลุมเดินหันหลังกลับ แล้วสั่งเสียงดังลั่นต่อหน้าทหารองครักษ์ทุกคน
“ฆ่าทุกคน! อย่าให้เหลือรอดไปได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง ปืนทั้งร้อยกระบอกก็ถูกวางขึ้นพาดบ่า เสียงกริ๊กๆดังรับจังหวะเป็นระลอก ทหารทุกคนเล็งเป้าหมายไปที่จุดเดียวกัน เพื่อนพ้องน้องพี่สมาชิกพิเศษแห่งโรงเรียนรินคังล้อมวงจับมือกันไว้แน่น
แต่ในขณะที่ทุกคนหลับตาเพื่อเฝ้ารอวาระสุดท้าย พายุขนนกสีแดงก็ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ พุ่งเข้าไปปักคอหอยทหารนับสิบจนล้มสลบเหมือดกันระนาว พวกที่เหลือยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบลดปากกระบอกปืนลงแล้วถอยร่นไปตั้งหลักใหม่ ลิลลี่สีเลือดหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
ตรงหน้า… ซึ่งกำลังยืนพิทักษ์เพื่อนพ้องไว้อย่างเข้มแข็ง คือรุ่นพี่คนสำคัญที่สุด หมากตัวสุดท้ายที่จะจบเกมนี้ก่อนที่ไทกิจะมาถึง
“ยอมโผล่หัวออกจากรังจนได้นะ ไฮบาระโนะอิ ฉันคิดว่านายจะเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง แล้วปล่อยเพื่อนๆมาตายซะอีก”
“วางใจได้เลย ฉันไม่ขี้ขลาดเหมือนนายหรอก ดีแต่ลอบแทงคนอื่นข้างหลัง แน่จริงก็มาดวลกับฉันตัวต่อตัวสิ”
“เก่งนักเหรอ ได้เลย… ฉันนี่แหละจะสอยพวกนกยโสโอหังให้ร่วงทั้งรังเลย!”
หงส์เพลิงกล้าท้าทายยมทูตซึ่งๆหน้า เซกิปั้นสีหน้าเย็นชา คราวนี้ต่อให้เอากองทัพทั้งกองมาขวางก็คงหยุดมันไม่ได้ เพราะสิ่งเดียวที่จะดับความกระหายของยมทูตคือต้องสังเวยด้วยเลือดเท่านั้น
“อย่า!!!!!”
มิสึกิพยายามตะโกนห้ามตอนที่รุ่นพี่คนสำคัญโผเข้าไปขวางยมทูต ดาบสีแดงเพลิงตวัดด้วยความรวดเร็วหมายปลิดชีพเป้าหมาย แต่โนะอิก็พลาดครั้งสำคัญเมื่อเซกิยอมสังเวยมือหนึ่งข้าง รับใบดาบด้วยมือเปล่าก่อนจะกระชากหงส์เพลิงเข้ามาหาตัว ปืนอีกกระบอกในมือลั่นไกทะลุขั้วหัวใจจนเลือดสาดกระเซ็นเป็นละอองฝอย
“พี่โนะอิ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
คาโอรุตะโกนสุดเสียง เค้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเค้า ขาที่อ่อนแรงพยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองไปรองรับร่างของพี่ชาย แต่ทว่า…. ก่อนที่หิมะสุดท้ายจะร่วงโรย มันก็ได้หล่นลงสู่อ้อมแขนคนที่รักสุดหัวใจ
“ห้ามเลือด! ต้องรีบห้ามเลือด!!!” มิสึกิทำอะไรไม่ถูก มือไม้มันสั่นไปหมด พยายามกดบาดแผลที่เลือดไหลพุ่งเป็นสาย แต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมหยุด
“มิ… สึกิ…” มือเย็นๆยกขึ้นมาจับแขนคนดื้อเอาไว้
“อย่าเพิ่งพูดได้มั้ย พี่ยังเจ็บอยู่นะ หัดรู้ตัวซะบ้างสิ!” รุ่นน้องขึ้นเสียงตวาดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เลือดบ้านี่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมหยุดไหล หน้าตาของคนเจ็บก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ หัวใจยิ่งทำงานไม่ดีอยู่ จะทนได้สักแค่ไหนยังไม่รู้เลย
“พอแล้ว… นาย… ทำดีที่สุดแล้ว” โนะอิพยายามบอกสิ่งสำคัญสุดท้าย คว้าข้อมือของมันขึ้นมาให้ดูเวลาบนหน้าปัด จากนั้นก็เบือนหน้าไปที่ประตู
…23.59 น…
กับคนอีกสองคนที่โผล่เข้ามาสมทบได้อย่างเฉียดฉิว ทุกคนเงยหน้ามองตาม เซกิหน้าซีดเผือด ไม่อยากเชื่อว่าเกมที่ตัวเองวางแผนไว้เป็นอย่างดีจะล่มไม่เป็นท่า
“เรา… ชนะแล้ว” โนะอิย้ำอีกครั้ง “เราอยู่พร้อมหน้า… เราได้พบไทกิ… เราชนะ และนายเอง… ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อใครอีกแล้ว นี่เป็น… เงื่อนไข… ที่เซกิตั้งขึ้นมาเอง มันแพ้ มันต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่… นาย”
“ไม่…” มิสึกิอยากร้องให้ขาดใจแต่ก็ร้องไม่ออก ความเสียใจมันอัดอั้นจนบีบหัวใจเค้าให้ตายทั้งเป็น
“พี่โนะอิ! ทุกคน!”
ไทกิที่ยังไม่ทันตั้งตัวกับสภาพที่เกิดขึ้น พอเห็นเพื่อนๆบาดเจ็บระนาว กับโนะอิที่กำลังยื้อลมหายใจสุดท้ายกับมัจจุราช ก็ยิ่งทำให้เค้าเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ซุยเดินตามเข้ามาติดๆนั่งล้อมวงรวมกับเพื่อนๆรอบตัวโนะอิซึ่งอาการปางตาย
ดวงตาสีฟ้าสดสบตาคนรักอีกครั้ง มือเปื้อนเลือดลูบแก้มที่มองลงมาแผ่วเบา
“ช่วยยิ้มให้ฉันอีกครั้งได้มั้ย ฉันอยากเห็น… มิสึกิยิ้ม… ก่อนที่จะไม่ได้เห็นอีก”
“อย่าพูดแบบนี้…”
มิสึกิพยายามห้ามแต่ก็พูดต่อไม่ได้ เมื่อริมฝีปากถูกปิดสนิทด้วยจูบที่นุ่มละมุน ความหวานที่มอบให้กับความรักครั้งสุดท้าย ถูกทดแทนด้วยสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียว ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง แม้ต้นคอที่ถูกโน้มลงมาจะคลายลงแล้ว แต่รสสัมผัสที่ยังติดค้างอยู่บนริมฝีปากก็ยังไม่เสื่อมคลาย
โนะอิยิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา

“ฉันรักมิสึกิ… และจะรักตลอดไป”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะร่วงลงมาซบในอ้อมอก เสียงลมหายใจรวยระรินขาดห้วงหายไป แล้วหัวใจดวงเดียวก็แหลกสลายไปต่อหน้าต่อตาซากุระผู้ทระนง
“พี่!!!! ไม่นะ!! ไม่เอา… พี่ตื่นขึ้นมาสิ อย่าทิ้งฉันไปแบบนี้”
คาโอรุกระชากตัวพี่ชายออกจากอ้อมแขนคนกำลังช็อก แล้วเอาเข้ามากอดไว้แน่น แต่สิ่งที่ทำให้เค้าต้องเปลี่ยนใจรั้งร่างบอบบางนั้นออกมาอีกครั้ง ก็คือเสียงตึกตักที่ดังเป็นจังหวะถึงแม้จะแผ่วเบาอย่างที่สุดก็ตาม
“ยังเต้นอยู่…” คาโอรุละล่ำละลักทั้งน้ำตา “หัวใจพี่… ยังเต้นอยู่”
ทุกคนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รีบกระวีกระวาดตรวจให้แน่ใจอีกครั้ง ไทกิแนบหูฟังเสียงหัวใจก็ยังได้ยินชัดเจน ยัง… ยังหรอก ยังพอมีทางช่วย หงส์เพลิงก็คือฟินิกซ์ นกอมตะในตำนานจะดับง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง
“รีบพาเค้าออกไป ใกล้ๆกันนี้มีศูนย์พยาบาลขององค์กร ถ้าผ่าตัดตอนนี้ต้องช่วยเค้าได้แน่”
ไทกิบอกทุกคน แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาเคลื่อนออกจากตำแหน่ง ทหารทั้งกองที่เหลืออยู่ก็เข้ามาล้อมพวกเค้าเอาไว้ แล้วไอ้หัวโจกที่ไม่เคยยอมรับกับคำว่าพ่ายแพ้ก็ออกมายืนเต๊ะท่าเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“อย่าหวังว่าจะมีใครได้ออกไปจากที่นี่ พวกนายทุกคนต้องตายด้วยมือฉัน!!”
ปากของมันยังกวนประสาทไม่เลิก แต่มันเกินขีดจำกัดที่ทุกคนจะรับไหว ในเมื่อมันไม่เคยรักษากติกา พวกเค้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมของมันอีกต่อไป
“พวกนายออกไปก่อน ข้างหลังมีทางลับ วายะกับยูอิรออยู่แล้ว ส่วนฉัน… ขอซัดไอ้หมอนี่ให้หายบ้าก่อนแล้วจะตามไป” ไทกิหันไปสั่งเพื่อนๆ แล้วก็ไม่เคยได้อย่างใจ เมื่อซุย คาโอรุ ฮิโระ และอีกคนที่ตั้งสติได้เร็วกว่าที่คิดก็ก้าวตามมายืนสมทบเคียงข้าง
กุหลาบแดงหันกลับไปมองแบบเคืองๆ “พี่มิสึกิ… พี่ต้องช่วยพี่โนะอิไม่ใช่เหรอ จะมายืนเก๊กอยู่ตรงนี้ทำไม”
มิสึกิอุ้มรุ่นพี่คนสำคัญไปฝากให้เป็นภาระของนักบวชหนุ่ม ก่อนจะเดินกลับมาสมทบกับท่านผู้นำ
“เฮ้! หมายความว่ายังไง” มาซาฮิโกะโวยลั่น แค่ต้องดูแลพี่ปีสามสองคนก็สาหัสพออยู่แล้ว นี่ยังเอาคนใกล้ตายมาให้เค้ารับผิดชอบอีก พวกนี้มันบ้าชัดๆ
“ฉันเชื่อใจนายนะมาซาฮิโกะ ระหว่างนาย ยูอิ และวายะ นายเป็นคนที่รู้จักเส้นทางหลบหนีดีที่สุด และคงเป็นคนที่พวกองครักษ์ฝ่ายขาวให้ความเคารพมากที่สุดด้วย นายต้องพาพี่โนะอิไปหลบยังที่ปลอดภัยได้แน่ ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“โธ่เว้ย! พวกนายนี่มันบ้าชัดๆ” นักบวชหนุ่มสบถออกมาอย่างเหลือทน ก่อนจะจำใจลากรุ่นพี่สามคนหนีออกทางลับด้านหลัง
“แล้วพวกนาย…” ไทกิมองไปทางสองเพื่อนซี้บ้าง แต่กลับโดนไอ้สองตัวนี้ยิงรัศมีน่ากลัวเข้าใส่ เป็นนัยว่าถึงไล่ให้ตายมันก็ไม่ไปแน่ ไทกิเลยได้แต่ส่ายหน้าปลงชีวิต “เออ… เกิดพวกแกซุ่มซ่ามตายขึ้นมา ฉันไม่รับผิดชอบนะเฟ้ย คนยิ่งจนๆอยู่ด้วย ไม่มีค่าทำขวัญชดเชยให้ใครหรอกนะจะบอกให้”
ฮิโระยิ้มแป้น ก่อนจะโอบแขนกอดไหล่ไอ้ตัวดีเข้ามาหา “ฉันก็ไม่ได้หวังจะให้นายมารับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ฉันแค้นที่โดนมันอัดอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก ถ้าไม่ได้แก้แค้นมัน ฉันนอนตายตาไม่หลับแน่”
“ฉันจะแก้แค้นให้พี่โนะอิ” คาโอรุลุกขึ้นมาชี้แจงเหตุผลของตัวเองบ้าง
“แล้ว?” ไทกิหันไปหาสุดหล่อที่ยืนเก๊กอยู่ข้างๆ
“ฉันเป็นบอดี้การ์ดนาย ลืมไปแล้วหรือไง” ซุยยืนยันคำเดิม ถึงแม้ที่ผ่านมาจะกลับตาลปัตรให้มันเป็นฝ่ายช่วยมาตลอดก็เถอะ
กุหลาบแดงอมยิ้มกริ่ม ใครบอกว่ามิตรภาพไม่มีจริงในโลก แม้ในยามที่คับขันเค้ายังมีเพื่อนร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ตั้งสี่คน แม้วันนี้ต้องตายก็จะไม่เสียใจเลย
“หึ… จะกี่คนก็เรียงหน้าเข้ามาเลย รับรองได้ฉันจะฆ่าไม่เหลือแน่”
“นายนี่มันพูดไม่เป็นคำพูดจริงๆพับผ่าสิเซกิ ไอ้หน้าไหนฮึ… ที่บอกฉันว่าถ้ามันแพ้มันจะยอมรับโทษทุกอย่างแต่โดยดี”
“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วคุณไทกิ ไหนๆผมก็โดนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ ผมก็จะขออาละวาดให้ถึงที่สุด อยากจับผมมากนักใช่มั้ย นั่นก็ต้องดูว่าพวกคุณแน่แค่ไหน”
ไทกิหันไปรอบๆด้าน ก่อนจะประกาศลั่นต่อหน้าองครักษ์ทุกคน
“ฉันขอประกาศใช้โค้ด ‘ANGEL’ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่อยากโดนลูกหลงก็ให้รีบออกไปจากห้องนี้ซะ”
ทหารที่ยังลังเลอยู่ตัดสินใจได้ในทันทีที่ผู้นำประกาศโค้ดลับสำคัญ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ภักดีต่อลิลลี่ยังยืนปักหลักพิทักษ์หัวหน้าของพวกเค้าอย่างเต็มที่
“พวกนายออกไปเถอะ ที่นี่ฉันจะจัดการเอง” เซกิบอกคนที่เหลืออยู่
ริวรีบคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้านาย “ขอให้พวกเราได้ต่อสู้ร่วมกับท่านเซกิเถอะครับ อย่าไล่พวกเราไปเลย พวกเรายินดีรับโทษพร้อมท่านเซกิ”
“ฉันไม่ต้องการใครทั้งนั้น ถ้าพวกนายยังไม่ออกไปล่ะก็ อย่าหาว่าฉันโหดก็แล้วกัน”
เซกิส่งสายตาสีเลือดข่มขู่ ซึ่งพวกเค้าเข้าใจดีว่าหัวหน้าคนนี้พูดจริงทำจริงเสมอ ริวจำใจต้องพาพรรคพวกออกไป ปิดล็อกห้องโถงที่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิเลือดในไม่ช้า โดยที่พวกเค้าได้แต่รอฟังข่าวอยู่ข้างนอกเท่านั้น
“แค่นี้คงพอใจแล้วใช่มั้ยคุณไทกิ” เซกิหันมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนสุดท้าย “งั้นก็มาเริ่มกันซะทีเถอะ ผมอยากให้ทุกอย่างมันจบสิ้นซะที”
“ฉันขอถามอีกครั้ง นายตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ยเซกิ?” ไทกิจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเดียวกัน แม้จะต่างสายเลือดกันแต่ก็ผูกพันยิ่งกว่าพี่น้อง ไม่ว่าจะดีหรือเลว เซกิก็คือพี่ชายที่ไม่อยากสูญเสียไป
ลิลลี่ใช้สายตาที่เย็นชามองตอบ ก่อนจะหลับตาลงซ่อนเร้นทุกอย่างอยู่ในส่วนลึกที่สุด ลบเลือนความทรงจำที่ดีออกไปเพื่อไม่ให้ตัวเองหวั่นไหว ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณแห่งยมทูตที่สมบูรณ์แบบ
“ดูเหมือนคุณเองก็ยังลังเลที่จะสู้กับผม งั้นเห็นทีผมคงต้องใช้วิธีลัดเพื่อให้คุณมีใจอยากจะสู้มากกว่านี้”
ดวงตาสีเลือดไล่มองผู้ร่วมรบทีละคน การต่อสู้ที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้แล้ว…

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 35 Prayer (Part II)

ดวงตายมทูตหยุดลงที่เหยื่อรายแรก… นักล่าแห่งมิยางิผวาเฮือก แต่ก็ยังฝืนใจยืนตั้งหลักเตรียมตัวรับการจู่โจม ครั้งนี้เค้าจะพลาดไม่ได้อีกเป็นอันขาด เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิต
“พร้อมจะลงนรกตามพี่ชายหรือยังล่ะหงส์ปีกหัก คราวนี้ฉันจะเด็ดปีกให้บินไม่ได้อีกตลอดชีวิตเลย”
เซกิพุ่งเข้าหาคาโอรุเป็นคนแรก ปืนไทเทเนี่ยมในมือเล็งเข้าหาเป้าหมาย คาโอรุขยับตัวตั้งหลัก ต่อให้เร็วแค่ไหนมันก็ต้องมีจุดอ่อนบ้างล่ะน่า ต้องหลบได้สิ… ดวงตาสีเขียวสดจับตาคู่ต่อสู้ไว้ไม่คลาดสายตา

เปรี้ยง!!

เสียงที่ดังก้องกังวานคราวนี้ไม่ได้มาจากกระบอกปืนมรณะ แต่เป็นเสียงซี่โครงบางๆปะทะกับหน้าแข้งของใครบางคนเข้าเต็มรัก จนเจ้าตัวกระเด็นหวือกลับไปและเกือบกระแทกกำแพง ดีที่มันยังคล่องแคล่วพอจะกระโดดม้วนตัวไปตั้งหลักใหม่ จากนั้นก็ส่งสายตาสีเลือดจ้องเหยื่อรายที่สองซึ่งยืนอวดขนหน้าแข้งที่เพิ่งฟาดใส่เค้ามาหมาดๆ
“มัวแต่โม้อยู่ได้ อย่าลืมสิว่าพวกเราทำงานกันเป็นทีมนะเฟ้ย” เจ้าฮิโระอวดฟันขาวยิ้มแฉ่ง ก่อนจะแกล้งปัดหน้าแข้งเยาะเย้ย
“หึ… ฝีมือกระจอกอย่างพวกนายต่อให้รุมฉันก็ไม่กลัวหรอก จะกี่สิบไฮบาระหรือโซมะก็เหมือนกันทั้งนั้น”
คราวนี้เซกิเล็งปืนไปที่ฮิโระบ้าง ก่อนจะโดนคู่ต่อสู้อีกฝั่งเข้ามาชาร์จเตะข้อมือจนปืนหลุดกระเด็น
“แถมเทนโนะให้อีกคน ถ้ายังคิดว่ากระจอก นายก็เตรียมตัวเตรียมใจตายได้เลย” ซุยท้าทาย พร้อมบุกเข้าประชิดตัวจนเซกิต้องหลบไปตั้งหลัก
ยมทูตยืนปักหลักอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ปืนอาวุธชิ้นสำคัญถูกปลดไปแล้ว แต่… มันยังไม่หมดพิษสงแค่นี้หรอก นัยน์ตาสีเลือดเยือกเย็นหันไปสบตากับยมทูตที่เหลืออีกสองคน ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหี้ยม
“คำถามนะมิสึกิ… อาวุธอะไรเอ่ยที่พวกเราถนัดมากที่สุด”
มิสึกิกับไทกิหันมาสบตากัน ก่อนที่รุ่นพี่จะเปรยออกมาเบาๆ
“ไม่จริงหรอก หมอนั่นคงไม่คิดที่จะใช้…”
“ระวัง!!!”
ไทกิตะโกนเตือนเพื่อนๆ แต่ช้าไปแค่เสี้ยววินาทีเดียว เมื่อแส้สีขาวถูกหวดเป็นวงกว้างตวัดพันรอบข้อเท้าบอดี้การ์ดจำเป็น ก่อนจะโดนเหวี่ยงทีเดียวกระเด็นไปชนนักฆ่าขี้โม้จนล้มระนาว
“ซุย! ฮิโระ!”
ไทกิกับมิสึกิร้องลั่น แล้วรีบปรี่เข้าไปประคองเพื่อนสองคนขึ้นมา อาการของซุยยังไม่เท่าไหร่ แค่หัวแตกกับแผลถลอกนิดเดียว แต่เจ้าฮิโระนี่สิท่าจะแย่ เพราะโดนซุยกระแทกโดนแผลสดที่หน้าท้องจนปริ
“โอ๊ย!”
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดที่ดังมาจากอีกฟากทำให้สี่สมาชิกใจหายวาบ ไอ้ตัวแสบมันเล่นทีเผลอจับคาโอรุเป็นตัวประกัน กระตุกแส้พันแน่นรอบลำคอระหง จนหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดจนน่าตกใจ
“แมลงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ” ลิลลี่จอมโหดแสยะยิ้ม “ว่าไงล่ะคุณไทกิ เริ่มมีใจอยากจะสู้ขึ้นมาบ้างหรือยัง หรือว่าต้องให้ผมเด็ดหัวไฮบาระ คาโอรุ เอาไปประดับที่ห้องให้คุณดูต่างหน้าก่อนดีล่ะ”
“แก! เซกิ… ปล่อยคาโอรุเดี๋ยวนี้นะ!” ไทกิชักเดือด “ถ้าแตะต้องเพื่อนฉันแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็ ต่อให้เป็นนายฉันก็ไม่ละเว้นแน่”
“งั้นก็มาเอากลับคืนไปสิ แต่เร็วหน่อยก็ดีนะ เพราะท่าทางหมอนี่คงทนได้อีกไม่นานนักหรอก”
“ยะ… อย่านะ ไทกิ…” คาโอรุพยายามร้องห้าม “มันตั้งใจจะยั่วนาย อย่าไปหลงกลมันเด็ดขาด… โอ๊ย!!”
เซกิกระตุกแส้รัดแน่นขึ้นจนคาโอรุต้องยกมือขึ้นมากุมที่ลำคอเพราะหายใจไม่ออก
“ฉันจะฆ่ามัน” ฮิโระโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนนึกอยากจะโดดเข้าไปขย้ำคอไอ้บ้านั่นเต็มแก่แล้ว
แต่ทว่า… ก่อนที่ทุกคนจะทำอะไรบุ่มบ่ามจนทำให้เพื่อนได้รับอันตราย ผู้ที่ถูกยัดเยียดให้รับผิดชอบทุกอย่างก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ
“คุณไทกิ” มิสึกิฉุดแขนท่านผู้นำเอาไว้
ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงมองตอบ ถึงเวลาแล้วที่เค้าต้องตัดสินใจ “ปล่อยฉันเถอะนะมิสึกิ ถ้าหมอนั่นไม่ได้สู้กับฉัน มันคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่ ฉันไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนอีกแล้ว”
“แต่ว่า…”
“ฉันรู้ว่าพี่ห่วงเรื่องอะไร”
ไทกิยิ้มบางๆ ก่อนจะโผเข้ากอดรุ่นพี่แล้วกระซิบบอกอะไรบางอย่าง มิสึกิทำท่ากระวนกระวาย ดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการของท่านผู้นำสักเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะหยุดดอกไม้บ้าเลือดอย่างเจ้าเซกิได้
“ระวังตัวด้วยนะคุณไทกิ” มิสึกิอดย้ำไม่ได้
รุ่นน้องที่เดินจากไปแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้ “พี่นั่นแหละที่ต้องระวัง อย่าเผลอปล่อยให้ใครซุ่มซ่ามทำฉันผิดแผนซะล่ะ”
“หมอนั่นคิดจะทำอะไร?” ซุยรีบกระชากแขนเพื่อนซี้เข้ามาถาม เค้ามองดูไทกิที่เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับลิลลี่อย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“เดี๋ยวนายก็รู้ ดูต่อไปเถอะ… งานนี้จะออกหัวหรือก้อย ฉันเองก็จนปัญญาจะเดาแล้วเหมือนกัน”
สองยมทูตประจันหน้า เซกิยอมคลายแส้ออกจากคอนักล่าแห่งมิยางิ ไทกิรีบโผเข้าไปรับเพื่อน คาโอรุไอจนกระอักเลือด ถึงอาการจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็มีสีเลือดขับขึ้นบนใบหน้าบ้างแล้ว ไทกิถึงค่อยถอนใจอย่างโล่งอก
“ไทกิ…” คาโอรุเรียกชื่อเพื่อนรัก กุหลาบแดงก็รีบคว้าตัวเพื่อนเข้ามากอดไว้
“พวกนายต้องพลอยเดือดร้อนเพราะฉันเสมอเลย ขอโทษนะคาโอรุ… นายไม่ต้องต่อสู้เพื่อฉันอีกแล้ว พักให้สบายเถอะเพื่อน”
เพียงชั่วพริบตาที่เพื่อนรักกำลังงงว่ามันพล่ามอะไรออกมา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ คุณชายสายน้ำกับลูกชายคนเดียวแห่งตระกูลนักฆ่า ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ในมือของมิสึกิมีกลีบดอกซากุระสีดำ แต่ในมือของมัน… เจ้าไทกิ… มีดอกกุหลาบสีแดงสดบานสะพรั่ง แต่หนามของมันกลับปักอยู่ที่ข้อมือของเค้า
มือข้างนั้นชาปลาบราวกับท่อนหิน ก่อนที่ความง่วงงุนจะแล่นปราดขึ้นมาเรื่อยๆจนทำให้เปลือกตาหนักอึ้งแทบลืมไม่ไหว
“นะ… นาย…” คาโอรุล้มลงแต่ก็ถูกรับไว้ ภาพรอยยิ้มของไทกิกำลังจะเลือนหายไป มันพาเค้ากลับมานอนรวมกับเพื่อนๆ ทิ้งมิสึกิไว้เป็นผู้พิทักษ์เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยที่สุด
“สั่งเสียกันเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” เซกิกระตุกแส้เตรียมรับมือไทกิ
กุหลาบแดงเงยขึ้นช้าๆ พร้อมยิ้มบางๆที่มุมปาก “นายนั่นแหละที่ต้องสั่งเสีย ไม่ใช่ฉัน”
พอสิ้นคำท้ารบ แส้สีดำที่ถูกซ่อนอยู่เนิ่นนานก็ถูกดึงออกมาตวัดรั้งกับแส้สีขาวที่ลิลลี่หมายใจจะฟาดใส่ไทกิ แต่ด้วยความเร็วและฝีมือที่เหนือชั้นพอกันทั้งคู่ แส้สลับสีขาวดำก็ถูกเหวี่ยงออกเป็นวงกว้าง เห็นเป็นเพียงประกายแลบแปลบปลาบยามที่พวกมันปะทะกัน
ดวงตาข้างหนึ่งพยายามขืนขึ้นมาดูการต่อสู้ เร็วเหลือเกิน… เร็วจนดูไม่ทันเลยว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ ขนาดบางแห่งมีหยดเลือดกระเซ็นเป็นทางก็ยังไม่มีใครยอมรามือ พวกยมทูต… ถ้ามันไม่สู้จนตายไปข้าง ก็คงไม่คิดจะหยุดใช่มั้ย คิดแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอดๆ มือข้างหนึ่งใกล้จะหายชาแล้ว เพราะกลีบซากุระผ่านเสื้อหนังเข้ามาได้ไม่ลึกนัก ยังพอขยับตัวได้… เค้าต้องหยุดพวกมัน

เปรี้ยง!!

เซกิฟาดแส้ไปโดนรูปปั้นหินจนแตกกระจาย เป็นจังหวะที่ไทกิได้โอกาสกระโดดหลบออกไปตั้งหลัก การต่อสู้ถูกหยุดลงชั่วคราว เท่าที่เห็นพวกมันต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลย แขนซ้ายของไทกิคงหักไปแล้ว ที่ท้องของเซกิก็มีรอยกรีดจากแส้ยาวเป็นทาง แต่สิ่งที่พวกมันเหมือนกันมากที่สุด… คือดวงตาสีเลือดแดงก่ำกับความกระหายที่จะฆ่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ซุยเบิกตากว้าง มองดวงตาน่าสะพรึงกลัวที่เค้าจะไม่มีวันลืมในวันที่บุกตึกซันไชน์
…ยมทูตกุหลาบแดง… มันได้ตื่นขึ้นมาเต็มตัวแล้ว
“แย่ล่ะสิ”
ซุยได้ยินเสียงมิสึกิที่ยืนอยู่ข้างๆสบถเบาๆ มันเองก็คงไม่สบายใจนักที่ผู้นำเปลี่ยนไปแบบนี้ และถ้ามันเก่งจริงอย่างราคาคุย ใครล่ะจะหยุดมันได้ แขนข้างที่เจ็บมีเลือดไหล แต่มันก็ยังยกขึ้นมาเลียแผล็บราวกับชอบอกชอบใจเสียเต็มประดา
“หึ หึ หึ… แกมันรนหาที่เจ้าชนชั้นสวะ ข้าจะฉีกเนื้อแกออกทีละชิ้น เอามาสังเวยให้กับความโอหังของแก ที่กล้าบังอาจรบกวนการหลับใหลของข้า”
เสียงสยดสยองน่าสะพรึงกลัวของมันขู่ขวัญคนทั้งห้องจนสั่นสะท้าน ไม่เพียงแค่สีตาที่เปลี่ยนไป แต่นิสัยใจคอของมันก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นั่นไม่ใช่ไทกิ…
“Spirit of Death… มีอยู่จริงๆเหรอเนี่ย” มิสึกิกัดฟันแน่น เค้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่าที่ปล่อยให้ไทกิเปิดสวิตซ์ที่น่ากลัวนี้ขึ้นมา
กุหลาบแดงคือดอกไม้ราชัน แต่ในความงามก็ซ่อนคมหนามอันตราย สูบเลือดเนื้อวิญญาณหล่อเลี้ยง กลายเป็นปีศาจร้ายที่กระหายความตายในนาม ‘Spirit of Death’ มันสืบทอดโดยสายเลือด มันจะสิงสู่เพื่อสูบความกระหายในการทำลายล้างจนกว่าเจ้าของจะตาย
แต่ทั้งๆที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจอยู่แท้ๆ เซกิก็ไม่มีแววตาหวั่นไหวแม้แต่น้อย ดวงตาสีเลือดยิ่งมั่นคง ขยับแส้ในมือมาถือไว้มั่น ถ้ากุหลาบแดงคือซาตาน ลิลลี่ก็ไม่ต่างกัน… ‘White of Phantom’ คือสีขาวต้องคำสาป ดังเช่นปีศาจที่แปดเปื้อนบนความบริสุทธิ์ของมนุษย์
ปีศาจกับซาตาน… ถ้ามาเจอกันโลกคงกลายเป็นนรก
“นายคิดจะหยุดมันยังไงล่ะ Black Destiny” เจ้าเซกิหันมาถามมิสึกิที่ยืนชั่งใจคิดอย่างหนัก “หรือจะมาร่วมทำลายทุกอย่างให้พังพินาศพร้อมพวกเรา ฉันก็ไม่ขัดหรอกนะ”
“ฉันไม่ไร้สติเหมือนนายหรอกนะเซกิ ฉันเคยบอกแล้วว่าจะช่วยพวกนายสองคนให้ได้ ฉันก็จะทำให้ได้”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” เซกิขำกลิ้งชนิดไม่ได้เข้ากับบรรยากาศตึงเครียดตอนนี้เลย “นายจะหยุดฉันกับปีศาจร้ายตัวนั้นด้วยอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะใช้ดวงของนาย”
มิสึกิส่ายหน้าช้าๆ แม้ความหวังจะริบหรี่เต็มทนแต่เค้าก็ยังเชื่อว่ามันต้องมีหนทาง
“ดวงของฉันของช่วยอะไรพวกนายไม่ได้หรอก แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น นายคอยดูสิ”
“ฮึ… ฉันไม่งอมืองอเท้ารอโชคชะตาเหมือนนายหรอกนะมิสึกิ ฉันนี่แหละจะหยุดวงจรอุบาทว์ของผีห่าซาตานตัวนี้เอง เพื่อที่มัน… จะได้ไม่ไปทำร้ายใครอีก”
เซกิตวัดแส้ในกำมือเป็นระลอกคลื่นที่หนักหน่วงรุนแรง ฟาดเข้าใส่ร่างของปีศาจร้ายนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ยอมหลบ สักก้าวก็ไม่ยอมถอยหนี ทั้งที่เนื้อทุกบริเวณที่โดนแส้แตกยับเลือดสาดเป็นสาย แต่มันก็ยังก้าวฝ่าคลื่นมหากาฬเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต
แส้ในมือถูกหยุดไว้ด้วยแขนข้างที่หัก พวกมันยืนประจันหน้าห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตร ก่อนที่ซาตานจะเป็นฝ่ายกรีดยิ้มเหี้ยม ใช้มือเปล่าข้างที่เหลือแทงที่หน้าอกจนเกือบทะลุขั้วหัวใจ
“โอ๊ย!” เซกิทรุดฮวบลงบนพื้น เลือดไหลปรี่นองแต่มันก็ไม่ยอมแพ้
“เซกิ!!”
มิสึกิรีบโดดเข้าไปขวางก่อนที่มัจจุราชจะสังหารลิลลี่ให้ตายคามือ ไทกิคงไม่ต้องการให้เรื่องราวทุกอย่างลงเอยแบบนี้แน่ ถ้าเค้ารู้ตัวขึ้นมาต้องเสียใจถ้าเซกิต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอง
กุหลาบแดงเปลี่ยนเป้าหมาย มองจ้องมายังบุคคลที่สามที่กล้าเข้ามาขัดขวางการไล่ล่าของมัน เนตรสีเลือดเบิกกว้าง ทำเสียงฟืดฟาดไม่พอใจ ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าหาหมายจะเรียกเลือดมาสังเวยเป็นรายต่อไป
“อึก…”
มิสึกิยกมือขึ้นมาตะกายคอซึ่งถูกรัดแน่นด้วยแส้เส้นหนา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งรับได้ เพียงชั่วพริบตาที่เค้าหันไปหาเซกิ กุหลาบแดงบ้าเลือดก็กระโดดขึ้นคร่อม แล้วกระตุกแส้พันรอบคอหมายจะรัดให้กระดูกแหลกคามือ
“อยู่นิ่งๆนะมิสึกิ ฉัน… จะหยุดมันเอง”
เซกิยังซ่อนปืนอีกกระบอกไว้ใต้เสื้อคลุม มันชักออกมาเล็งตรงขั้วหัวใจของไทกิพอดิบพอดี นัดเดียวเท่านั้น… วัดใจกันไปเลย!
“ยะ… อย่านะ… เซ… กิ” มิสึกิพยายามร้องห้าม แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว
“กลับลงนรกไปซะไอ้ปีศาจ!!!”
กระสุนสังหารพุ่งตรงดิ่งไปที่เป้าหมาย เสียงกรีดอากาศดังลั่น แต่ทว่า… ก่อนที่มันจะเข้าทำร้ายร่างที่บริสุทธิ์ กระสุนนัดวัดใจของเซกิก็ถูกหยุดลงด้วยหัวใจของคนอีกคน
ร่างนั้น… ร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา มือที่ชาดิกพยายามฝืนยกขึ้นมากุมหน้าอกแต่ก็ไม่อาจหยุดสายเลือดที่พวยพุ่ง ฝีมือของลิลลี่… เคยแม่นยังไงก็แม่นไม่เคยเปลี่ยน ขนาดไม่ตั้งใจก็ยังฝังกระสุนอันตรายตรงตำแหน่งเดียวกับที่เคยยิงโนะอิได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน
“ซุย!”
มิสึกิเพ้อออกมาเท่าที่ยังพอมีเสียงให้พูด แต่มัจจุราชที่ยังนั่งคร่อมตัวเค้าอยู่นั้นดูมันจะช็อกยิ่งกว่า ดวงตาสีเลือดเบิกกว้างบ่งบอกอาการสับสน แส้ในมือร่วงผล็อยปลดปล่อยอิสระให้ซากุระ ก่อนจะตีอกชกตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกำลังต่อสู้กับจิตใจในส่วนลึกที่ขวางกั้นมันอยู่

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ไทกิตะกุยผมตัวเองด้วยความคุ้มคลั่ง เดาไม่ออกเลยว่ามันรู้ตัวแล้วหรือยังไม่รู้ตัวกันแน่ ร่างที่โชกเลือดพยายามตะเกียกตะกายเข้าไปหาเพื่อคืนสติดึงคนรักของเค้ากลับคืนมา
“ไท… กิ” มือใหญ่จับมือเล็กๆที่พยายามสลัดๆเค้าออก ดวงตาสีเข้มเว้าวอนเพื่อให้มันหยุดฟังเค้าสักนิด “พอได้แล้ว… อย่ามันให้มันครอบงำนาย นายไม่ต้องเคยต้องการฆ่าใครหรอก ฉันรู้…”
“ออกไป!!! แก…. ตาย… ตายแน่ โอ๊ย!!”
กุหลาบแดงตวาดเสียงขู่ แต่แล้วจู่ๆมันก็ปวดหัวรุนแรงจนต้องบีบขมับตัวเองเอาไว้
“ไม่!!! เจ้าชนะข้าไม่ได้ ต้องฆ่า… ต้องฆ่ามัน!!”
อาวุธสังหารถูกคว้าขึ้นมาอีกครั้ง ตวัดพันรอบลำคอของคนตรงหน้า นัยน์ตาสีเข้มจ้องลึก จนมือเล็กๆที่ตั้งใจจะรัดคอให้ตายต้องชะงัก
“ไทกิ…” ซุยยิ้มบางๆ “ฉันจะไม่โทษนายถ้านายจะฆ่าฉัน ถ้าหาก… นั่นจะเป็นทางเดียวที่ปลดปล่อยนายได้”
คุณชายสายน้ำหลับตาลงเตรียมรอรับความตายจากมัจจุราช ในมโนสำนึกมีภาพความทรงจำที่สวยงามจากกุหลาบแดงที่เคยกล่อมเค้าด้วยความรัก ที่ผ่านมาต้องเป็นภาระมันนับครั้งไม่ถ้วนทั้งๆที่เค้าควรเป็นผู้คุ้มกันมันแท้ๆ แต่ครั้งนี้… จะเป็นการชดใช้ ไทกิจะต้องทิ้งวิญญาณปีศาจและปรับความเข้าใจกับเพื่อนที่ดีที่สุดของมันอีกครั้ง เค้าเชื่ออย่างนั้น
“เอาสิ… เอาเลย ฆ่าคนรักของคุณด้วยมือตัวเอง อยากจะรู้นักว่าถ้าคุณได้สติคืนมาแล้วคุณจะคุ้มคลั่งแค่ไหน” เซกิท้าทาย นี่มันมากกว่าแผนที่เค้าวางไว้ แต่ก็ดีแล้ว… ในเมื่อเค้าต้องเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคุณค่าของชีวิต ไทกิก็ต้องพบกับความสูญเสียใหญ่หลวงนั่นเช่นกัน
“เค้าไม่ทำหรอก” มิสึกิที่แอบลุ้นอยู่เปรยบ้าง “ซุยเป็นคนเดียวที่เคยหยุด Spirit of Death ได้ ครั้งนี้เค้าก็ต้องทำได้”
“ไม่มีทาง… ปีศาจนั่นไม่เคยมีหัวใจให้ใคร มันมีแค่ความอยากกระหายเท่านั้น สิ่งที่จะดับความพลุ่งพล่านของมันได้มีแค่สองอย่าง…” เซกิเม้มปากแน่นแล้วก็จบประโยคซะดื้อๆ แสดงสีหน้าปวดร้าวอย่างเห็นได้ชัด
“ความตายกับความปรารถนาที่เร่าร้อนของมนุษย์” มิสึกิต่อให้พร้อมแอบสังเกตสีหน้าของอดีตคู่หู “แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่จะล้างคำสาปแห่ง Red Rose ได้ มีมากกว่าสองสิ่งนั้นแน่นอน”
“นายไม่รู้อะไรก็อย่าพล่ามดีกว่า!”
เซกิโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจ้องมิสึกิตาเขียวปั้ด เพื่อนก็เลยเลี่ยงที่จะต่อความแล้วจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของ Red Rose เงียบๆ
กุหลาบแดงจ้องเหยื่อตรงหน้าเขม็ง มือเริ่มกระตุกรัดแส้ให้แน่นขึ้นอีกครั้ง ซุยหายใจขัดแต่ก็ไม่ตอบโต้ เวลาแต่ละเสี้ยววินาทีช่างทรมานเหลือเกิน แสงสว่างหายไปแล้ว เสียงเอะอะวุ่นวายที่เคยทำให้หนวกหูก็ไม่ได้ยินอีก อากาศรอบกายก็ช่างหนาวเย็นนัก
พอแล้ว… เค้าทรมานเหลือเกิน

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ไอ้ตัวดีสลัดแส้ทิ้ง น้ำตาร่วงผล็อยเป็นเผาเต่าทั้งๆที่ดวงตายังขับสีเลือด ดูเหมือนมัจจุราชที่กำลังร้องไห้ได้อย่างน่าสมเพชที่สุด มันคว้าร่างซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบอก
“ซุ… ซุย…”
มันพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อ แต่ก็ต้องฝืนกับสิ่งที่ต่อต้านอยู่ภายในจนร่างเล็กๆสั่นไม่หยุด
‘ฆ่ามันสิ… นายอยากฆ่ามัน’
เสียงในใจร้องสั่ง
“ไม่…”
‘นายไม่มีทางชนะฉัน นายเกิดมาเพื่อฆ่าเท่านั้น ฆ่ามัน!’
“ฉัน… จะไม่ฟังเสียงของแก… อีกต่อไปแล้ว!!”
ไทกิควักดอกกุหลาบแดงอาบยาพิษที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมปักลงตรงหัวใจ ความเย็นยะเยือกจากยาพิษอันตรายค่อยๆแทรกซึมไปตามกระแสเลือด เสียงนรกในใจหายไปแล้ว ร่างเล็กๆจึงฟุบลงบนตัวของคนที่หมดสติไปก่อนหน้า
ปรากฏการณ์ที่เหนือความคาดหมายนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาสองยมทูต เซกิเบิกตากว้าง ในขณะที่มิสึกิพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่
“ไม่จริง… เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเอาชนะ Spirit of Death ได้” เซกิยังไม่อยากจะเชื่อ
“Prayer Heart… หัวใจแห่งความปรารถนา คุณไทกิมีความพิเศษกว่า Red Rose ทุกๆคนที่ผ่านมา เค้าไม่ได้มีเพียงวิญญาณที่กระหายในการฆ่า แต่ยังมีจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่ปรารถนาให้เป็นจริง”
“นายรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก?” เซกิสะบัดหน้าไปหาจอมหลักการที่พ่นความรู้ออกมาเป็นชุดๆ
“ก็เพิ่งรู้… จากคนๆหนึ่ง” มิสึกิลอบถอนใจเบาๆ
“จะยังไงก็ตาม ฉันต้องฆ่ามัน จะไม่ยอมปล่อยให้มันตายสบายๆแบบนี้หรอก”
เซกิยังไม่ยอมรามือจากการแก้แค้น เค้าขยับไปหาสองร่างที่นอนกอดก่ายกันหมดสติ ขยับไปปืนในมือเตรียมส่งสองคู่รักลงสู่ยมโลก ดวงตาสีอิฐส่องประกายแน่วแน่ เค้ารอโอกาสนี้มานานแสนนานเหลือเกิน ถึงเวลาที่ความแค้นจะได้รับการสะสางแล้ว
“ลาก่อน… ท่านผู้นำ”
“อย่า!!!”
มิสึกิจะโดดเข้าไปห้าม แต่ก็ถูกขัดขวางด้วยมีดสีทองที่ถูกขว้างมาเฉียดไรผมไปแค่เสี้ยวเดียว
‘ใคร… ใครกัน?’
เด็กหนุ่มมองไปยังระเบียงชั้นบน แสงสว่างจากดวงไฟริบหรี่ค่อยๆเผยให้เห็นบุคคลสามคนที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนนั้น หนึ่งในนั้นเค้าจำได้เพราะเพิ่งคุยกันมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ส่วนอีกสองคนก็ดูคุ้น เพราะคล้ายมิตรที่เค้ารู้จัก
“ปล่อยเค้าเถอะมิสึกิ ถ้าอยากฆ่าซะขนาดนั้นก็อย่าไปห้ามเค้าอีกเลย” หญิงสาวแสนสวยเป็นคนร้องห้าม ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินลงมาที่กลางห้องโถงอย่างใจเย็น
“แต่คุณริเอะ… คุณจะปล่อยให้เซกิฆ่าคุณไทกิไม่ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นเรื่องยุ่งๆต้องตามมาไม่หยุดหย่อนแน่”
ริเอะถอนใจ “เฮ้อ… มิสึจัง ถึงเธอจะห้ามเค้าได้ตอนนี้ เค้าก็ต้องหาโอกาสฆ่าไทกิอีกอยู่ดี พอแล้วล่ะ… ฉันไม่อยากเห็นลูกตัวเองต้องหนีหัวซุกหัวซนอีกแล้ว ปล่อยเซจังทำตามใจเถอะมิสึ ถ้าเค้าคิดว่าการฆ่าไทกิแล้วจะทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ฉันก็ไม่ห้ามหรอก”
หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินไปสมทบกับเพื่อนอีกสองคนซึ่งเข้าไปดูอาการลูกๆของตัวเองอยู่
“ว่าไง… เคียว… เรียวเฮ… เด็กสองคนเป็นไงบ้าง”
ไฮบาระ เคียว ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองลูกรักในอ้อมแขนแล้วก็ชักจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่จะอาละวาดมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียฟอร์มคุณพ่ออีกคนที่ขนาดเห็นลูกนอนพะงาบๆปางตายยังหัวเราะชอบใจเหมือนดูละครตลก
“โอ๊ย… เจ้าสองตัวนี้มันไม่ตายง่ายๆหรอกริจัง ลูกฉัน… ฉันเลี้ยงมาเองกับมือ ฉันรู้ว่ามันทนทายาดแค่ไหน แต่ลูกเจ้าเคียวไม่รับประกันนะ ท่าทางจะไก่อ่อนเหมือนพ่อของมัน ฮ่าๆๆๆๆ”
“ใช่สิ… ใครจะใจกล้าบ้าไร้สติเหมือนลูกนาย ท่าทางจะได้เชื้อบ้าจากพ่อมาหมดจดแบบไม่ต้องสงสัย”
“พูดแบบนี้ต่อยกันเลยดีกว่ามั้งเคียว” เรียวเฮท้าชก กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยพูดจาน่าฟัง ไอ้บ้านี่…

ปัง ปัง ปัง!!!!!

คนหงุดหงิดที่ยืนฟังเสียงกวนประสาทอยู่นานแล้วยิงปืนขู่ขึ้นไปบนเพดาน เรียกสายตาทุกคู่ให้กลับไปสนใจมันอีกครั้ง
“แหม… เธอสองคนทำเซจังอารมณ์เสียจนได้” ริเอะยิ้มขำ
“ก็เจ้าหนูนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย นายว่ามั้ยล่ะเคียว” เรียวเฮส่ายหน้า
ริเอะเดินตรงเข้าไปหา ลิลลี่ถอยตัวหนีเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมหันปากกระบอกปืนที่เล็งจ่อหัวไทกิไปที่อื่น
“อ้าว… ยังไม่จัดการอีกเหรอเซจัง แบบนี้มันผิดวิสัยเธอนะ หรือว่าคิดจะเปลี่ยนใจ”
“ไม่มีทาง!!” เซกิหันมาตวาด ก่อนจะขยับปืนเตรียมยิงอีกครั้ง มิสึกิลุ้นใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าโพล่งอะไรออกมาตอนนี้ เพราะเชื่อว่าริเอะต้องมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแน่ๆ
“ไทกิตายก็ดีนะ” ริเอะเปรยเบาๆ “เค้าจะได้ไม่ต้องทนทรมานกับวิญญาณมรณะนั่นเอง ยิ่งได้มาตายพร้อมคนรัก แถมยังทำให้เพื่อนที่ดีที่สุดอย่างเธอสมหวัง ฉันว่าเค้าคงมีความสุข”
คุณแม่ทิ้งท้ายประโยคซึ่งทำให้มือที่ขาวซีดเริ่มสั่นเพราะความลังเล
“ไม่จริง… คนอย่างมันมีแต่จะสมน้ำหน้าฉันต่างหากที่ต้องตกต่ำขนาดนี้”
“ถ้าเธอคิดแบบนั้นฉันก็จนใจ เอาเลย… ฆ่าเค้าเลย ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายเมื่อฆ่าไทกิแล้ว เธอจะเหลืออะไร”
ริเอะเดินหันหลังหนีไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง มิสึกิเบือนหน้าหนีตาม ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเซกิคิดอะไรอยู่ในใจ ความแค้นจะกลบความดีงามที่เคยมีมาจริงๆเหรอ คนอย่างเซกิ… จะไม่มีวันกลับตัวได้แล้วจริงๆงั้นเหรอ

เปรี้ยง!

จบแล้วทุกสิ่ง…
ในปืนนัดสุดท้ายที่ลั่นออกไปความรู้สึกทั้งหมด จบทั้งเกม ทั้งเงื่อนไขทุกอย่างที่มันตั้งไว้
“เซกิ!!!”
มิสึกิตกใจหน้าซีดเผือด รีบโผเข้าไปรับร่างที่ทรุดฮวบลงบนพื้นพร้อมกับสำรวจบาดแผลบนร่างกายของมันอย่างรวดเร็ว ไม่มี… ไม่มีกระสุนนัดนั้น มันไม่ได้ยิงตัวเอง มิสึกิถึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คนในอ้อมกอด แทนที่มันจะออกอาการโกรธแค้นหรือคุ้มคลั่งอย่างที่ใครๆคาดไว้ นัยน์ตาสีแดงอิฐกลับนองไปด้วยน้ำตาซึ่งปริ่มไหลออกมาไม่หยุด
…ซาตานที่เกาะกินชีวิตของกุหลาบแดงถูกสลายไปฉันใด ปีศาจแห่งความแค้นในใจของลิลลี่สีขาวก็ย่อมจางหายไปเมื่อนั้น…
“มิสึกิ” เซกิยึดอกอุ่นกว้างจากเพื่อนซี้เป็นที่พึ่งพิง เมื่อก่อนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไทกิถึงชอบที่ตรงนี้ เค้าเพิ่งจะรู้… เพราะว่ามันอบอุ่นแบบนี้นี่เอง
“นายกลับมาเป็นคนเดิมแล้วใช่มั้ยเซกิ ฉันดีใจจริงๆ” ซากุระน้ำตาซึมเพราะตื้นตัน ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการที่ผู้นำของเค้ายังอยู่และเพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนตลอดไป
“มันคงไม่สายเกินไปใช่มั้ย ที่ฉันจะพูดว่า… ขอโทษ”
เซกิรั้งตัวออกมาช้าๆแล้วมองหน้าอดีตคู่หูด้วยความกังวล เค้าก่อเรื่องใหญ่หลวงไว้ตั้งมากมาย ขนาดคนรักของเพื่อนก็ยังคิดจะฆ่าได้ลงคอ มันจะยอมให้อภัยเค้าง่ายๆเหรอ
มือใหญ่ตบบนบ่าเพื่อนพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ฉันไม่เคยโกรธนาย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ปล่อยให้นายไปอเมริกาคนเดียว ทั้งๆที่ใจจริงนายอยากไปอยู่กับอาจารย์ที่อิตาลี ถ้าวันนั้นนายไม่เสียสละให้ฉัน เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นกับนายหรอก”
“เธอสองคนไม่ผิดหรอก” ริเอะเดินเข้ามาลูบหัวเด็กทั้งสอง “ถ้าไม่ใช่เซกิ ก็ต้องเป็นมิสึกิที่โชคร้าย คนที่ผิดจริงๆก็คือเคโตะต่างหาก ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้ปีศาจตัวนั้นครอบงำทำลายชีวิตคนรอบข้างจนพินาศ”
“คุณรู้เรื่องนี้มาตลอด” เซกิขมวดคิ้ว
ริเอะพยักหน้าเนิบๆ “วันนั้นฉันคิดจะหนีออกจากองค์กรก็จริง แต่พอคิดว่าไทกิต้องอยู่คนเดียวก็อดสงสารเค้าไม่ได้ ฉันจึงย้อนกลับไปที่ห้อง แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป เคโตะทำลายเธอ ฉันช็อกจนทำอะไรไม่ถูก เลยได้แต่หนีไปตามที่ต่างๆเพื่อทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“แต่คุณก็กลับมา”
“ฉันกลับมาเพื่อสะสางเซกิ ถ้าฉันไม่ยุติเรื่องนี้ จะต้องมีคนอีกมากที่พบโชคร้ายเหมือนเธอ”
คุณแม่วัยสาวเบือนหน้าไปหาลูกรักซึ่งยังคงหลับใหลไม่ได้สติ บาดแผลกับพิษแค่นี้คงไม่ทำให้ไทกิถึงกับตายหรอก ซุยด้วยอีกคน เด็กสองคนกำลังต่อสู้เพื่อให้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
“ผมจะพาเค้าสองคนไปที่สถานพยาบาล ที่นั่นมีหมอเก่งๆอยู่หลายคน รับรองอีกไม่นานคุณไทกิต้องลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิมแน่” มิสึกิออกปากอาสา
“ขอบใจจ้ะมิสึ ถ้าไงก็ฝากบอกไทกิจังเค้าด้วยนะว่าแม่คิดถึง”
“คุณริเอะไม่ไปด้วยเหรอครับ”
ริเอะส่ายหน้า “พอเห็นหน้าเค้าทีไรฉันก็อดคิดถึงเคโตะไม่ได้ ฉันยังไม่พร้อมจะเจอเค้าตอนนี้หรอก แต่สักวันหนึ่งเมื่อจิตใจเข้มแข็งขึ้น คนแรกที่ฉันจะมาหาก็คือลูกรักคนนี้แน่นอน”
คุณแม่ประทับจูบบนแก้มลูกรัก จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นภาระของมิสึกิต่อไป
“เห็นมั้ย… ทุกอย่างย่อมคลี่คลายได้” เรียวเฮแอบกระซิบกับคุณพ่อขี้หวง
“มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ย่อมอยู่เหนือกว่าความบาดหมางทั้งปวง” เคียวเปรยเบาๆ
นักฆ่าจอมเจ้าเล่ห์อมยิ้มกริ่ม “ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดมาจากปากคนไร้สัมพันธภาพอย่างนาย”
“ฉันน่ะมีสัมพันธภาพกับคนที่ดีกับฉันเสมอ แต่อย่างนาย… คงต้องรอชาติหน้า”
“โอ๊ย… จะกี่ชาติฉันก็ไม่ขอญาติดีกับนายหรอก คนอะไรขี้เก๊กเป็นบ้า ไม่เมื่อยหน้าบ้างหรือไงฟะ รู้แล้วน่าว่าหล่อ ไม่ต้องมาเก๊กให้ดูตลอดเวลาก็ได้”
นักฆ่ากัดคำนี้เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจนักล่าจนอดยิงตาเขียวใส่มันไม่ได้ แต่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพราะรู้ดีว่าถ้าเผลอตีฝีปากกับคนขี้ตื๊ออย่างมัน มีหวังสามวันสามคืนก็คงเถียงกันไม่จบ
สองคุณพ่อกับหนึ่งคุณแม่จากไปแล้ว เหลือเพียงภาระที่ให้เหล่าคนหนุ่มสานต่อ
ท้องฟ้าดำทะมึนถูกคลี่คลายด้วยแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง วันคืนที่เลวร้ายผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะมีเพียงวันใหม่ที่สดใสรอพวกเค้าอยู่เท่านั้น…

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 36 บทส่งท้าย (The Time of The Rose)

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น… เวลาก็ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว แต่ผมคิดว่าคงไม่มีใครลืมเลือนเรื่องราวน่าตื่นเต้นระทึกขวัญในวันนั้นได้อย่างแน่นอน
ผมฟื้นขึ้นอีกครั้งในสถานพยาบาลขององค์กร ตามตัวมีแต่รอยเข็มเย็บกับผ้าพันแผลรุงรังไปหมด เวลาเดินไปส่องกระจกทีไรก็อดตกใจไม่ได้ เหมือนเห็นมัมมี่ลูกครึ่งแฟรงเก้นไสตล์ยังไงยังงั้น ถ้าผู้กำกับฮอลีวู้ดมาเจอเข้า เค้าคงจ้างผมไปเล่นหนังหวีดสยองภาคสี่อย่างไม่ต้องสงสัย
เจ้าฮิโระเป็นคนแรกที่หายก่อนเพื่อน แค่สามวันก็ลุกขึ้นมาเต้นเหย็งๆ เขย่าเตียงผมจนปวดหัวจี๊ดๆไปหมด แต่รู้มั้ยฮะ… อะไรที่ทำให้จอมซ่าอย่างมันจ๋อยสนิท ก็ตอนที่มันไปเต้นบนเตียงคาโอรุ แล้วเผลอกระโดดล้มทับไปโดนแผลของคาโอรุจนปริแล้วต้องเข้าห้องผ่าตัดรอบสองนั่นแหละ เจ้าฮิโระก็ซีดสนิท ทำตัวเรียบร้อยผิดหูผิดตาเลย เพราะกลัวว่าคาโอรุจะงอน แค่คาโอรุเค้าก็งอนสั่งสอนมันไปยังงั้นแหละฮะผมว่า อีกไม่นานพอหายดี สองคนนี้ก็คงกลับมากัดกันได้เหมือนเดิม
แต่คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคงจะเป็นพี่โนะอิ รายนี้คุณหมอเพิ่งตรวจเจอโรคหัวใจ เลยได้ผ่าตัดพร้อมๆกับเอากระสุนออกในคราวเดียว ตอนแรกหมอทุกคนก็ส่ายหน้าว่าคงไม่รอดแล้ว แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริงๆ เพราะวันที่พี่โนะอิผ่าตัดแล้วต้องการเลือด พวกเราแห่กันไปให้หมอตรวจกรุ๊ปเลือดกันใหญ่ แต่กลายเป็นของพี่มิสึกิคนเดียวที่เข้ากับพี่โนะอิได้ และคงเพราะได้เลือดและกำลังใจจากพี่มิสึกิ อาการของพี่โนะอิถึงดีวันคืนขึ้นทุกวัน ถึงจะหลับไปนานถึงสามสัปดาห์เต็มๆ แต่พอเค้าฟื้นขึ้นมาแล้วยิ้มให้พวกเรา ไม่อยากบอกเลยว่าตอนนั้นพวกเรารู้สึกโล่งอกแค่ไหน โดยเฉพาะพี่มิสึกิที่ยอมเสียน้ำตากอดพี่โนะอิร้องไห้ไม่หยุดเลย
ส่วนซุย… (แอบอมยิ้มนิดๆ) หมอนี่ร้ายมาก แกล้งหลับไปตั้งอาทิตย์กว่า ทำผมเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กว่าจะมารู้ทีหลังว่าโดนต้ม ก็ตอนไปเห็นคาตาตอนแอบซุบซิบวางแผนหลอกผมกับเจ้าฮิโระนั่นแหละ ผมเลยลงโทษไม่คุยด้วยตั้งหลายวัน กว่าจะมาสารภาพผิดได้ก็ท่ามากซะ แต่ตอนนี้เราก็เข้าใจกันดีแล้วฮะ ผมขี้เกียจโกรธใครนานๆ กลัวไอ้ซาตานตัวนั้นมันจะกลับมาครอบงำจิตใจผมอีก ปรื๋อ… คิดแล้วก็ยังสยองไม่หายเลยนะครับเนี่ย

คุณแม่ครับ… คุณแม่ได้เจอเซกิบ้างหรือเปล่า?

ตั้งแต่วันนั้น พอพี่มิสึกิบอกว่าเซกิสำนึกได้และกลับตัวเป็นคนเดิมแล้ว ผมดีใจมากที่สุดเลย แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเค้าถึงไม่ยอมเจอหน้าผม ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับเซกิตั้งมากมาย อยากจะขอโทษเค้า อยากได้ยินคำขอโทษจากปากเค้า แต่ทำไม… เค้าถึงไม่ยอมให้โอกาสผมได้ปรับความเข้าใจกับเค้าบ้าง

แม่ครับ…

วันนี้ผมจะไปเยี่ยมพ่อนะครับ พ่ออยู่คนเดียวที่อเมริกานานแล้วคงเหงามาก ผมจะไปขอโทษพ่อ และจะบอกพ่อด้วยว่ารักพ่อมากแค่ไหน คุณแม่เองก็คงอยากบอกคุณพ่อแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ยครับ

                        คิดถึงแม่มากที่สุด
                                 ไทกิ

ปล. ซุยจะเดินทางไปพร้อมผมด้วย แม่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากเจอแม่ด้วย ที่โรงแรมไฮบริสตั้น ผมจะรอแม่นะครับ



จดหมายถึงแม่ถูกส่งไปหลายวันแล้ว ตอนนี้เค้ามาอยู่ที่อเมริกา ดินแดนที่เค้าเติบโตมาและถูกขังอยู่ในกรอบของคำว่า ‘ฆ่า’ แต่ตอนนี้เค้าเป็นอิสระแล้ว จึงไม่อยากคิดถึงเรื่องเลวร้ายพวกนั้นอีก
เช้าวันที่สามในลอสแองเจลลิส พวกเค้ามาที่สุสานลับขององค์กรเพื่อมาเยี่ยมหลุมศพของเคโตะ
“นายอยู่คนเดียวได้นะ” ซุยถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับตวัดเสื้อคลุมสวมให้กันหนาว
“อื้ม… ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แถวนี้มีแต่คนของฉันทั้งนั้น รับรองความปลอดภัยล้านเปอร์เซ็นต์”
ไทกิขยิบตาให้ ก่อนจะแอบแวบไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อเงียบๆคนเดียว
หลุมศพของพ่อดูโดดเดี่ยวอ้างว้างเหลือเกิน ในรัศมีสองร้อยเมตรนอกจากต้นไม้กับสวนดอกไม้แล้วก็ไม่มีหลุมศพของคนอื่นอีกเลย
‘พ่อเป็นผีคงเหงาน่าดูเนอะ ไม่มีเพื่อนคุยเลยสักคน’
ไทกิแอบคิดเล่นๆในใจ ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วเอื้อมมือไปลูบป้ายหลุมศพที่สลักชื่อพ่อ


THE GREAT OF THE RED
                     
    NOMURA KEITO


“พ่อ… ผมกลับมาแล้วนะ”
เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก
“พี่มิสึกิเล่าความจริงทุกอย่างให้ผมฟังแล้ว ตอนแรกผมก็โกรธพ่อมากที่ทำกับเซกิขนาดนั้น เซกิเค้าไม่เหมือนผมกับพี่มิสึกิ เค้าเป็นเด็กหนุ่มที่ยังต้องการไล่ล่าความฝันของตัวเองและรักใครสักคน ในวันที่พ่อทำลายเค้าผมถึงเข้าใจดีว่าเซกิจะเสียใจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็โทษพ่อไม่ได้… เพราะผมรู้ดีว่าเวลาที่ปีศาจนั่นครอบงำและผลักดันให้เราทำอะไรสักอย่างที่เราไม่อยากทำ มันเจ็บปวดซะจนผมเองอยากจะฆ่าตัวตายตั้งหลายครั้ง”
ไทกิปาดน้ำตาที่เริ่มจะปริ่มๆตรงขอบแก้ม
“พ่อก็แค่อยากหนีจากความเจ็บปวดทุรนทุรายถึงทำกับเซกิแบบนั้น แต่ว่า… หลังจากนั้นล่ะครับ พ่อทำเพื่ออะไร” ไทกิข่มตาลงเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล “เมื่อก่อนผมไม่เคยเข้าใจความคิดของพ่อ จนทุกวันนี้ก็ไม่เคยเข้าใจ ผมสงสัยมาตลอดว่าที่พ่อแต่งงานกับแม่และอยู่ด้วยกันจนกระทั่งมีผมเกิดออกมา ในเสี้ยวหัวใจของพ่อเคยรักแม่กับผมบ้างมั้ย นั่นเป็นสิ่งที่คาใจผมมาตลอด แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรู้คำตอบนั่นอีกแล้ว เพราะคุณแม่บอกว่า ‘ไม่ว่าพ่อจะรักแม่หรือไม่ แต่ทุกๆวันที่แม่ได้อยู่กับพ่อ แม่มีความสุขมากที่สุด’ ผมจึงเลิกค้นหาคำตอบและยอมปล่อยวางทุกอย่าง เพื่อให้ความทรงจำที่เหลือระหว่างพ่อกับผมมีเพียงรอยยิ้มและความสุขเหมือนอย่างที่แม่จดจำเท่านั้น”
ไทกิปาดน้ำตาแล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะวางช่อกุหลาบดอกโตไว้หน้าหลุมศพ ความในใจทุกอย่างได้พูดออกไปหมดแล้ว ถึงแม้คนที่ตายไปแล้วจะไม่ได้ยินอีกเลยก็ตาม
“ผมรักพ่อนะครับ”
ไทกิก้มหน้าจูบบนหลุมศพแผ่วเบา
“และก็… วันหลังผมจะมาเยี่ยมใหม่”
กุหลาบแดงยืดตัวขึ้นเดินหันหลังกลับ แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีในชุดสูทสีขาว พร้อมช่อดอกลิลลี่สีขาวในอ้อมแขน เค้าก้าวเข้ามาต่อหน้าหลุมศพเคียงข้างไทกิ คุกเข่าลง วางดอกไม้ใกล้ช่อกุหลาบแดง หลังจากนั้นก็ทำการคำนับตามแบบธรรมเนียมญี่ปุ่น ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอึ้งกิมกี่อยู่กับที่
“เซกิ?”
ไทกิต้องขยี้ตาหลายรอบเพราะกลัวว่าจะโดนผีอำกลางวันแสกๆ แต่ภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่หายไป นี่ต้องเป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน เซกิกลับมาแล้ว… กลับมาแล้วจริงๆ
“ลูกน้องผมบอกว่าคุณไทกิอยู่ที่นี่ ผมก็เลยแวะมาดู คุณไทกิสบายดีนะครับ” เซกิทักทายเรียบๆ แต่ในน้ำเสียงแฝงความห่วงใย เพราะยังคงลอบมองอาการบาดเจ็บของไทกิตลอดเวลา
“เซกิ… ฉะ… ฉัน…” ไทกิพูดไม่ออก ทั้งๆที่คิดไว้ว่าพอเจอหน้ากันต้องมีเรื่องให้คุยมากมายก่ายกอง แต่แล้วพอเอาเข้าจริงๆกลับพูดไม่ออก ใบ้กินซะอย่างนั้น
“ผมน่ะพยายามลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ วันนี้ที่มาพบคุณไทกิเพราะมีบางเรื่องที่อยากจะบอก” เมื่อผู้นำไม่พูด เซกิก็เลยชิงตัดหน้าพูดก่อน “ผมจะขอสละตำแหน่ง White Lily และปลอดตัวเองไปอยู่สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณไทกิจะอนุมัติให้ผมได้มั้ยครับ”
“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้... สิงคโปร์น่ะเหรอ?” ไทกิถามกลับ พื้นที่แถวนั้นเค้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนน้อยมากจึงไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่
เซกิส่ายหน้าพร้อมกับอมยิ้ม “เมืองไทยน่ะครับ ผมอาจจะไปอยู่บนภูเขาหรือไม่ก็เกาะไหนสักเกาะ”
“เมืองไทยเนี่ยนะ! กันดารจะตาย นายจะอยู่ไหวเร้อ” ไทกิทำหน้าเบ้
“หึๆๆ คุณไทกิไม่รู้อะไร เมืองไทยสวยมากนะครับ ตอนที่คุณไม่อยู่ผมแอบไปเที่ยวบ่อยๆ ทุกครั้งที่ได้ไปยืนใต้แสงแดดบนชายหาด มันทำให้จิตใจของผมสงบลงได้อย่างประหลาด”
ไทกิทำตาซึม ป่านนี้ก็คงจะรั้งไม่ได้แล้วสินะ คนเราเมื่อพบกันก็ต้องจากลา เพียงแต่ครั้งนี้มันออกจะกะทันหันเกินไปหน่อย ถึงยังทำใจไม่ได้
“แล้วเซกิจะไปนานแค่ไหนล่ะ?”
“ยังไม่รู้… อาจจะเป็นตลอดชีวิตก็ได้”
“เซกิ!” ไทกิผวาคว้าข้อมือเพื่อนที่ดีที่สุดเอาไว้ เซกิเข้าใจความหมายเลยเอื้อมมือขึ้นไปลูบหัวน้องรักเบาๆ
“ผมก็บอกว่าแค่อาจจะ… บางทีถ้าสบายใจเมื่อไหร่ก็ผมอาจกลับญี่ปุ่นก็ได้”
“สัญญานะว่านายจะกลับมา”
คำขอร้องของไทกิทำให้เซกินิ่งไป เจ้าตัวทำท่าคิดหนัก ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วพยักหน้ารับเนิบๆ
“ผมต้องไปแล้ว ไฟลท์แรกที่จองไว้จะออกตอนเก้าโมงเช้า นี่ก็อีกแค่ชั่วโมงเดียว ผมไม่อยากตกเครื่อง ขอลาคุณไทกิตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
เซกิโค้งตัวคำนับโดยไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสที่จะให้ไทกิบอกลา เค้าเดินหันหลังจากไปเงียบๆ แต่ยังไม่ทันพ้นจากทางเดินเค้าก็หยุด แล้วพูดคำๆหนึ่งกับไทกิเบาๆ
“ขอโทษ”
คำพูดเพียงคำเดียวที่ทลายกำแพงทุกอย่าง ไทกิพุ่งสุดตัวไปกอดพี่ชายที่เค้ารักมากที่สุดเอาไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบแก้มโดยไม่คิดที่จะกลั้นเอาไว้
“นายไม่ไปไม่ได้เหรอ ฉันอยากให้เซกิอยู่ด้วยกันจริงๆนะ ฉันฝันมานานแล้วว่าเราสามยมทูตจะได้อยู่กันพร้อมหน้า แต่แล้วทำไมนายจะต้องไปด้วย ฮือๆๆๆๆ”
มืออุ่นๆเอื้อมมาจับแขนคนดื้อที่กอดเค้าไว้ “เพราะผมมีความฝันไงครับ คุณไทกิเองก็มีความฝัน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกของผมอยู่แล้ว”
ไทกิมองลึกเข้าไปในดวงตาสีอิฐที่มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ก็เข้าใจในทันที เค้ายอมปล่อยมือข้างนั้นไป พร้อมกับบอกลาด้วยรอยยิ้มที่มาจากส่วนลึกของจิตใจ
“ฉันจะไม่ปลดนายออกจากตำแหน่ง White Lily หรอก เพราะตำแหน่งนี้มีเพียงนายคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสม แต่จะลงโทษให้นายไปฟื้นฟูสาขาที่เมืองไทยให้ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับสาขาที่อเมริกาหรือญี่ปุ่นให้ได้ และถ้าทำได้เมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมาให้ฉันเห็นหน้า แบบนี้ตกลงมั้ย”
นั่นเป็นเงื่อนไขที่เซกิไม่เคยคิดมาก่อน ไทกิก็ยังเป็นไทกิ… ที่มีเรื่องให้เค้าแปลกใจอยู่เสมอ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่คุณก็อย่าลืมนะว่าผมน่ะระดับไหน อีกห้าปีสิบปีเกิดสาขาเมืองไทยยิ่งใหญ่กว่าญี่ปุ่น ผมไม่รู้ด้วยนะ”
“โอ๊ย… ข้ามศพฉันกับมิสึกิไปก่อนเถอะ แล้วค่อยโม้”
สองคนจับมือล่ำลากัน จากนั้นลิลลี่สีขาวก็ออกเดินทางสู่บ้านที่อบอุ่นหลังใหม่ของเค้า

ไทกิยืนอยู่เหนือสวนดอกไม้หลากชนิด กุหลาบ ลิลลี่ เดซี่ ทิวลิป ซากุระ และอีกมากมายที่ไม่เข้ากันเลย แต่สุดท้าย… พวกมันกลับมาอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว
“คิดอะไรอยู่ ฮึ?” คนชอบฉวยโอกาสแกล้งเข้ามาโอบทางด้านหลัง “อย่าบอกนะว่าคิดถึงไอ้บ้าที่เพิ่งจากไปเมืองไทย บอกไว้ก่อนว่าฉันหึงจริงๆด้วย”
ไทกิแจกศอกเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้ “แอบฟังคนอื่นเค้าคุยกันยังไม่พอ ยังคิดมากไม่เข้าเรื่อง แบบนี้ฉันหนีไปเมืองไทยกับเซกิดีมั้ยนะ”
ไอตัวดียักคิ้วกริ่ม แต่อีกคนไม่รับมุกด้วย มันสลัดแขนออกแล้วเดินงอนไปซะดื้อๆ
“เฮ้ย! ซุย!” ไทกิรีบวิ่งทั่กๆตามไปง้อ “นี่นายโกรธจริงป่าวเนี่ย ไม่เอาน่าพี่… ฉันก็แค่พูดเล่นๆ อย่าจริงจังนักสิ”
ไอ้ตัวดีทำหน้าจืดสนิท ก็คุณชายสายน้ำแกเคยโกรธใครเล่นๆซะเมื่อไหร่ ยิ่งทำหน้าตาขึงขังแบบนี้ด้วย ไทกิชักจะเสียวสันหลังขึ้นมาตะหงิดๆ
“ฉันก็แค่ไม่ชอบให้นายอยู่กับใครนอกสายตาฉัน”
“ก็ถ้าไม่ชอบ… ต่อไปไม่ทำแล้วก็ได้” เจ้าตัวดีทำเสียงอ่อยๆ
“แน่นะ?” ซุยใช้เสียงเข้มคาดคั้น
“แน่สิ… ถ้าซุยไม่ชอบฉันไม่ทำก็ได้ นายอยากให้ทำอะไรก็บอกมา ฉันยอมทำให้หมดเลย” คราวนี้ไทกิยอมทุ่มหมดตัว จะใจแข็งไม่ยกโทษก็ให้มันรู้ไปสิน่า
“งั้นเข้ามาใกล้ๆซิ”
คนขี้เก๊กยังเก๊กมาดดุ จนไทกิต้องยอมขยับเข้าไปใกล้โดยไม่เต็มใจ
“ใกล้กว่านี้อีก ยืนห่างขนาดนั้นแล้วฉันจะบอกนายได้ยังไง”
“โอ๊ย… อะไรกันนักกันหนาเนี่ย” ไทกิเกาหัวแกรกๆ แต่ก็ยอมเดินเข้าไประชิดตัว “เอ้า! มีอะไรจะบัญชาก็รีบๆพูด… อื้ม!?”
เสียงโวยวายถูกดักไว้ด้วยริมฝีปากอุ่น มันเล่นฉวยโอกาสทีเผลอคว้าเอวบางไปกอดไว้แน่น ก่อนจะบรรจงจูบอย่างหวานซึ้งที่สุด ดวงตาสองคู่สบประสาน บ่งบอกความในใจโดยไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก มือเล็กๆจึงค่อยถือวิสาสะป่ายปีนขึ้นไปโน้มคอคนขี้เก๊กลงบ้าง จูบมอบประสานความรักของกันและกันต่อหน้าความยินดีของดอกไม้ทั้งมวล

สีดำ… แห่งการพิทักษ์
สีขาว… แห่งความบริสุทธิ์
สีแดง… แห่งความรักนิรันดร์

Red Rose จะอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล…

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Special Chapter Snowflake (Mizuki X No-i)

ทั้งสองคนยังทำงานอยู่ที่สภาพิเศษจนค่ำ สมาชิกคนอื่นๆกลับหอกันหมดแล้ว แต่งานของหัวหน้าซีเนียร์ก็ยังไม่เสร็จ
มิสึกิเหลือบตามองที่เก้าอี้ตรงกันข้าม งานของเค้าเสร็จแล้วและกำลังเก็บเข้าแฟ้ม แต่ทางโน้นสิน่าเป็นห่วงเพราะกำลังเร่งทำงานจนหน้าเครียดใหญ่เลย
“ผมว่าพี่เก็บไว้ทำพรุ่งนี้บ้างก็ได้นะครับ งานมันไม่หนีไปไหนหรอก”
“ไม่ได้!” คนดื้อปฏิเสธเสียงเด็ดขาด “ฉันไม่อยากให้มีงานค้าง นายจะกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันเหลือตรวจทานอีกแค่ประมาณสามสิบหน้าก็เสร็จแล้ว”
สามสิบหน้า!! พระเจ้า… ขนาดช่วยกันทำทั้งสภายังใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง แต่นี่พี่แกเล่นบอกว่า ‘แค่สามสิบหน้า’ รุ่นน้องสุดจะทนจนต้องเดินอ้อมไปแย่งงานมาจากมือรุ่นพี่คนเก่ง
“พอเถอะพี่โนะอิ นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วนะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“ไม่!” รุ่นพี่ยังดื้อไม่เลิก คว้างานกลับคืนมาทำต่อ
มิสึกิพยายามข่มใจนับหนึ่งถึงสิบ โอบแขนอ้อมไปวางไว้บนหัวไหล่อีกด้านเพื่อไม่ให้จำเลยหนีพ้น
“ไม่ไปด้วยกันแน่นะ… พี่รู้มั้ยผมนะเวลาหิวมากๆจนหน้ามืดแล้วอยากกินอะไรมากที่สุด”
โนะอิชักจะร้อนๆหนาวๆ ทั้งสายตาท่าทางของมันเอาจริงแน่ ไม่ใช่แค่จะขู่เล่นๆซะแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังวางฟอร์มทำดื้อจนถึงที่สุด
“นายอยากไปก็ไปสิ ขาไม่ได้ติดกันซะหน่อย”
“เหรอ” มิสึกิยักคิ้วกริ่ม ก่อนจะโน้มลงไปกระซิบใกล้ๆ “งั้นจะช่วยให้มันติดกันซะทีดีมั้ย”
แขนที่มีกำลังเหนือกว่าฉุดกระชากลากถูร่างบางมาที่โซฟา ก่อนจะผลักลงไปแล้วกดจนดิ้นไม่หลุด
“คิดจะทำอะไรมิสึกิ!!”
“ผมรู้ว่าพี่เก่ง ชอบบ้าพลังโหมงานไม่ยอมเลิก ผมก็แค่อยากช่วยลดความดื้อด้านของพี่ลงบ้างก็เท่านั้น ถ้าหมดแรงเมื่อไหร่คงยอมกลับไปพักดีๆใช่มั้ย”
“นี่! นายพูดอะไร?”
คราวนี้คนหน้าด้านฉีกยิ้มกว้าง “ก็ทำอย่างที่เคยสัญญาไว้ ต่อจากคราวที่แล้วไงครับ”
ร่างสูงใช้การกระทำแทนคำตอบ บดเบียดร่างกายเข้าไปแทรกระหว่างเนื้อที่นุ่มนิ่ม มือเร่งปลดกระดุมอย่างว่องไวแล้วจูบลงไปบนแต้มสีแดงปลั่ง แรงดึงดูดจากริมฝีปากทำให้อีกข้างแข็งขืนขึ้นมาโดยอัตโนมัติแม้จะยังไม่ได้รับการสัมผัสก็ตาม
“อา… อย่านะ! นายก็รู้ว่าร่างกายฉันเป็นยังไง คิดจะฆ่ากันหรือไง” โนะอิโอดครวญและหวังอย่างยิ่งว่ามันจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่
“ไม่ต้องห่วง ผมรู้ลิมิตของพี่ดี ทุกอย่างจะจบก่อนที่พี่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ”
คำมั่นสัญญาที่ให้พร้อมกับความสุขที่ปรนเปรออย่างเต็มที่ โนะอิเริ่มตาลาย หัวใจเต้นรัวหนักหน่วงราวกับเครื่องจักรที่กำลังโหมทำงานอย่างหนัก มือหยาบกระด้างล้วงลึกเข้าไปสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ตรงแกนกลางจนกระทั่งมันตื่นตัว มือเล็กๆผวาจิกขอบโซฟาไว้แน่นตอนที่ขาเพรียวถูกแยกออก แล้วบางอย่างก็ล่วงล้ำเข้ามาข้างในจนช่องทางแทบขาดยับเยิน
“เจ็บ…”
โนะอิกัดฟันแน่นน้ำตาเอ่อคลอ ร่างกายที่บอบบางอยู่แล้วกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง สัมผัสนั้นแนบแน่นเกินไป และก็ไม่คิดว่าตัวเองจะฝืนทำต่อไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“เอาออกไปเถอะมิสึกิ ฉันขอร้อง” รุ่นพี่กัดฟันอ้อนวอนอีกหน แต่พอลืมตามองหน้าคู่กรณีก็แทบจะเปลี่ยนใจกะทันหัน มิสึกิทำสีหน้าหน้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งหวานทั้งรัญจวนจากรสแห่งความสุขที่ได้รับ ร่างที่พันธนาการโน้มลงมาช้าๆ ยืนยันคำพูดที่ได้ลั่นวาจาไว้
“ถ้าเราสองคนทำพร้อมกัน อีกไม่นานก็จะจบแล้ว อดทนหน่อยนะ… โนะอิ”
ทั้งคู่สบตากันเงียบๆ ก่อนจะหลับตาลง แล้วปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่หัวใจเรียกร้องต้องการ มือกร้านขยับสะโพกมนเข้ามาประชิด บดเบียดความแข็งขืนเข้าไปจนสุด ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ส่วนหน้าของร่างบางตามความยาวจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมที่จะปลดปล่อย สะโพกที่แข็งแกร่งขยับเข้าออกเป็นจังหวะ เพิ่มความเสียวซ่านจนร้อนระอุไปทั่วทั้งบริเวณที่เชื่อมชิดติดกัน
“อ๊ะ! อา…”
ร่างบางส่งเสียงครางแผ่ว ทั้งความเจ็บปวดและความสุขสมกำลังจะฆ่าเค้าให้ตายทั้งเป็น แต่ถึงกระนั้นก็ยังขยับสะโพกรับจังหวะตามทุกครั้ง แท่งเนื้อหนาๆผ่านเข้าออกจนส่วนที่บอบบางที่สุดชอกช้ำ ไม่นานนัก… เมื่อคนที่อยู่ข้างบนกระแทกตัวเข้ามาจนสุด เค้าก็รู้สึกถึงไออุ่นๆที่พุ่งพล่านอยู่ข้างใน พร้อมๆกับความอุ่นที่ไหลเยิ้มออกมาจากส่วนปลายในกำมือของใครบางคน
“อื้อม”
มิสึกิซบหน้าลงไปแนบกับแก้มนิ่มๆของรุ่นพี่ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่รัวชัดเจนราวกับเสียงกลองในงานเทศกาลไม่มีผิด ร่างกายทั้งคู่ยังคงแนบชิดติดกันทั้งๆที่ร่างบางหอบจนแทบจะโกยอากาศเข้าปอดไม่ทันอยู่แล้ว มิสึกิยิ้มบางๆ ก่อนจะเชยคางมนเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตเพื่อแบ่งอากาศให้คนรักได้หายใจสะดวกขึ้น
“ทำไม… ถึงไม่ออกไปซะทีล่ะ” โนะอิเปรยถามตอนที่ค่อยๆคลายจากความทรมานจากการโหมใช้งานหัวใจอย่างหนัก มองดูบางส่วนที่ยังค้างคาอยู่ก็ไม่ค่อยสบายใจนัก
“ก็ผมอยากอยู่ตรงนี้นานๆนี่นา” คนเจ้าเล่ห์ส่งเสียงออดอ้อน พร้อมกับโอบแขนกอดรอบเอวบางแน่นขึ้น “อีกอย่าง… อยากให้มั่นใจด้วยว่าพี่จะไม่ดื้อกลับไปทำงานอีก”
“งั้นก็ออกไปเถอะ ฉันไม่ทำแล้ว”
“แน่นะ” มิสึกิหันมาคาดคั้นอีกรอบ
“ก็แน่น่ะสิ คิดว่าฉันในสภาพนี้จะทำอะไรได้อีกหรือไง”
มิสึกิยิ้มแป้น แล้วยอมถอนตัวออกมาในที่สุด จากนั้นหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดทำความสะอาดส่วนที่เลอะเทอะให้
“มะ… ไม่ต้อง! เดี๋ยวฉันทำเอง” โนะอิรีบปัดมืออกเพราะเกรงใจ
“ไม่เป็นไร ผมช่วยจะถนัดกว่านะ” คนหน้าด้านยังเช็ดต่อ แล้วฉุดร่างบางไว้ไม่ให้หนีอีกด้วย
“อ๊ะ!” ร่างบางต้องกัดฟันอีกรอบ ตอนที่นิ้วเรียวของอีกฝ่ายแทรกเข้าไปข้างใน แล้วถ่ายเทน้ำที่ยังค้างอยู่ออกมาจนหมด
พวกเค้าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะจัดการตัวเองและห้องจนกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
“จะกลับหอเลยมั้ย ผมจะไปส่ง” มิสึกิชวน
“ไม่ล่ะ… ฉันจะทำงานต่อ”
“หา!!” รุ่นน้องขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ที่เค้าอุตส่าห์ทำมาทั้งหมดยังสลายพลังงานของพี่แกไม่ได้อีกหรือไงเนี่ย
โนะอิส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ฉันล้อเล่นน่า ก็แค่จะหยิบไปทำต่อที่หอสักสองสามหน้าเท่านั้นแหละ ฉันยังอยากตายเพราะงาน ดีกว่าตายเพราะถูกนายแกล้ง”
“งั้นก็แล้วไป คิดว่าจะต้องลงมืออีกรอบซะแล้ว”
“ฝันเหอะ…” คนดื้อท้าทาย ก่อนจะเดินไปหยิบแฟ้มงานบางส่วนใส่กระเป๋า
มิสึกิปราดเข้ามาใกล้ ฉุดข้อมือขาวๆเดินลงจากตึกไปด้วยกัน ท่ามกลางทางเดินที่เงียบสนิท ยังมีเกล็ดหิมะบางๆโปรยปรายลงมาให้ชื่นฉ่ำหัวใจ
รุ่นน้องตัวดีแอบอมยิ้ม ใครบอกหิมะเย็นชืด… อันที่จริงอบอุ่นและหวานมากเลยต่างหาก


*-----*-----*-----*-----*-----* THE END *-----*-----*-----*-----*-----*

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
«ตอบ #84 เมื่อ17-05-2008 14:18:34 »

 :m13: หวัดดีค๊าบ ผมลงเรื่องนี้ให้จบแล้วนะค๊าบ

ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน และให้กำลังใจ
ขอบคุณคุณ foggy ที่อนุญาตและส่งเรื่องผ่านทางเมลล์มาให้
ขอบคุณเล้าเป็ดที่ให้บันทึกเรื่องดีๆจากนักเขียนดีๆ
ขอบคุณค่า น้ำค่าไฟด้วยงับ


ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
«ตอบ #85 เมื่อ18-05-2008 01:35:21 »

ลงทีเดียวจบเลย สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกเลยคับ

ขอบคุณน่ะคับสำหรับนิยายสนุกๆแบบนี้ อิอิ

ออฟไลน์ ren

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
    • " Welcome To Y Entertainment "
Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
«ตอบ #86 เมื่อ18-05-2008 09:34:20 »

อ่า..มาลงให้จนจบเลย  ขอบคุณมากนะคะที่นำนิยายสนุกๆมาให้อ่านกัน   :m1:

 


ออฟไลน์ poon_magic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
«ตอบ #87 เมื่อ18-05-2008 21:19:02 »

เคยอ่านเรื่งนี้ในเด็กดีแล้วจ้า  หนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  แต่พออ่านจบก็หาลิ้งค์ไม่เจอ  :sad2:

ขอบคุณที่เอามาลงใหม่น้า :oni2:

hasuzz

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
«ตอบ #88 เมื่อ20-05-2008 21:52:10 »

เคยอ่านเรื่องนี้จากเด็กดีแล้วรอบนึง
แต่ก็มาไล่อ่านรวดเดียวจบอีกรอบ อิอิ ชอบมากมาย

ขอบคุณที่เอามาลงเน้  o13

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
«ตอบ #89 เมื่อ20-05-2008 22:36:15 »

รุสึกว่าจะเคยอ่านเรื่องที่  foggy เขียนอะ 

มีเรื่องก่อนเรื่องนี้ จำด้ายว่าสนุกมาก

แล้ว ก็ แต่งก่อน เรื่อง Red Rose

เคยอ่านตอนยุ ที่ เด็กดีอะ


พี่Unn  <ขอเลียกพี่นะ>มีอีกเรื่องที่ foggy แต่งอะปะ

ช่วยเอามาลงให้หน่อยซิ    :m13:


แบบว่าอยากอ่านอะ  แต่ใน เด็กดี เรื่องนี่ ถูกลบ ไปแล้ว

แล้ว ก็ ขอบคุณมากนะค่ะที่เอาเรื่อง นี้ มาลง ให้    :m1:

เพราะมัน หา อ่าน ม่า ค่อย ด้ายแล้ว   :sad2:


 :bye2: :L2: :bye2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด