Sex phone III
มันคงเป็นอาการที่ใครๆก็เป็นกันละมั้งมาเฟียคิดว่าอย่างนั้น อย่างเช่นนั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็ยิ้มขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำอะไรก็เป็นว่ามีแต่รอยยิ้ม อะไรที่แสนจะเครียดแค่ไหนก็ยังยิ้ม...
สุขใจ...ที่สุด
คืนนี้จะไม่มีเสียงของกวินผ่านลำโพงเครื่องสวยอีก เพราะเจ้าตัวฝากข้อความไว้แล้วว่าวันนี้หยุด... ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องฟัง... แต่ไอ้ที่ทำให้นั่งยิ้มอยู่ได้ตลอด เขินจนล้มตัวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโซฟาก็เพราะไอ้เสียงเพลงที่เจ้าตัวร้องเอง อัดจากที่ห้องส่งสถานีวิทยุแล้วเอามาให้เขา
ก็พอจะเดาๆ ได้บ้างว่าอีกฝ่ายก็คงจะคิดเหมือนกัน ก็ท่าทางออกขนาดนั้น แต่ก็แอบเผื่อใจไว้เสมอว่า อาจจะแค่คิดไปเองอะนะ... ใครจะไปคิด...โอยยย...
กำลังอยู่ในโลกส่วนตัวเองดีๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มาเฟียยิ้ม ปล่อยให้มันเข้าสู่ระบบฝากข้อความ
“ทานข้าวเย็นหรือยังครับ... ทานพร้อมกันมั้ย?” กำลังคิดถึงอยู่นะ โผล่มาอย่างเร็วเลยนะ...
ผู้ชายคนนี้...อ่อยหรือไงนะ...
มาเฟียอมยิ้ม ก่อนจะเดินไปที่เครื่องรับ แล้วกดโทรออก...
“ผม กวินครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวกรับสาย กรุณาโทรกลับมาใหม่ หรือฝากข้อความไว้นะครับ”ติ๊ดดด...
“มีอะไรทานบ้างล่ะ... อยากดื่มโค้ก...”
ไม่นานหลังจากวางสาย อีกฝ่ายก็ฝากข้อความกลับมาอีกว่า...
“ไม่มีหรอก...คุณครับไม่มีอะไรทานเลยเหรอ? ฝนตกไม่ได้ออกไป ไม่มีอะไรในตู้เย็นด้วย” สรุปโทรมาชวนเพราะตัวเองกำลังจะอดตาย?
โอ้ย... อย่ามาอ้อนได้มั้ย...
หลงนะว้อยยยยย
“ผม กวินครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวกรับสาย กรุณาโทรกลับมาใหม่ หรือฝากข้อความไว้นะครับ”ติ๊ดดดดดด....
“มีแต่ขนม เดี๋ยวจะเอาไปไว้ที่ตู้รับนะ...
เฮ้ย!!!” มาเฟียร้องเสียงดังเมื่อยู่ ไฟในบ้านของตัวเองก็มืดลงเสียอย่างนั้น...
อะไรกันเนี่ย...
พอมองไปที่บ้านข้างๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน
อย่าบอกนะว่า เป็นทั้งหมู่บ้านน่ะ....
เอาอีกแล้ววววว... ฝนตกหนักทีไร เป็นต้องไฟดับ
เซ็ง...
มาเฟียวางโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะเดินฝ่าความมืดไปในห้องครัวที่ตัวเองแทบจะไม่ใช้ทำอะไรนอกจากชงกาแฟ เเล้วเปิดตามลิ้นชักได้เทียนเล่มเล็กๆ มาสองเล่ม เขาเดินเอาเทียนมาวางที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะสะดุ้ง เพราะเสียงเคาะประตูบ้าน?
“คุณครับ...” เสียงที่ดังตะโกนอยู่นั้นทำเอาเขานิ่งค้าง...
กวิน...
กวินมา!
“คุณครับ...เปิดประตูให้ผมหน่อย ผมเปียกไปหมดแล้ว หนาวด้วย” ร่างสูงเพรียวเกิดอาการตื่นเต้น สั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
กวินมาหาเขา...เสียงที่ได้ยินก็ไม่ได้ผ่านโทรศัพท์แล้ว อยู่แค่บานประตูกั้น
แล้วเขาจะทำยังไงดีล่ะตอนนี้...ดูสิเสื้อผ้าก็เป็นชุดธรรมดา...แล้ว...หน้าตาก็...
โอ้ยยยยย...เวรแล้ว....
“คุณครับ” เสียงนั้นละห้อยจนน่าสงสาร อะไรอีกละ “จะไม่เจอผมจริงๆเหรอ?” คิดไปโน่น
เขาแค่ตื่นเต้นว้อยยย
“ไม่อยากเจอผมเหรอ?” เอ่อะ... “คุณครับ”
“กำลังจะเปิด” นั่นแหละ พอรู้ตัวก็พูดออกไปแล้ว...
ก็...ก็ ดูเขาทำเสียงอ้อนเซ่.... ดับดิ้นไปเลย!
มาเฟียเปิดประตูหน้าบ้านจนได้ และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ...
....มนุษย์เสื้อกันฝนใส่แว่นเนิร์ดที่ยิ้มแฉ่งรอเขาอยู่...
ไหนบอกเปียก ไหนบอกหนาว?...
อีกแล้วนะ กวิน!
“กลับไปเลยยยยยย” มาเฟียว่าเสียงหนัก ก่อนจะตั้งท่างับประตูใส่หน้า แต่ขอโทษตั้งใจบุกมาหาขนาดนี้เรื่องอะไรจะกลับง่ายๆ กวินดันและรีบแทรกกายผ่านประตูเข้ามา...
“โกหก”
“ผมเปล่านะ”
“ไหนบอกเปียก”
“ก็นี่ไง” กวินใช้มือข้างหนึ่งชี้ที่เสื้อกันฝนของตัวเอง
“ไหนบอกหนาว”
“หนาวจริงๆ นะ” ว่าแล้วก็ทำท่าสั่นๆ
อร้ากกกก...น่ารักไปปะ?
“ถอดเสื้อไปน้ำมันหยด” เขาไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งจริงๆ นะ แต่...
อีกฝ่ายมันกวนประสาทเขาใช่ปะ?
“งื้อ..อะไรน่ะ มาทงมาถอด” กวินเย้า ทำท่ากอดอกประหนึ่งว่าตัวเองกำลังจะโดนมาเฟียลวนลามอย่างนั้น และแน่นอนว่า...ท่าทางนั้นมัน...โคตรจะน่ารัก
แต่...
ใช่เวลา?
“หิวจนหน้ามืดหรือไงกวิน”
“ความจริงผมแอบอยากหน้ามืดตอนมองคุณครับนะ”“อะไรนะ?” เขาไม่ได้หูหนวกหรอกนะ แต่ไอ้ที่ได้ยินน่ะมัน... คิดไปไกลนะว้อย!
“....” กวินไม่ตอบ แต่พยายามถอดเสื้อกันฝนออกจากตัว แล้วหันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน เพราะความมืดที่ยังไม่ค่อยชิน
“เอามานี่มา” มาเฟียแย่งเอาเสื้อพลาสติกในมือของอีกฝ่ายมาวางไว้ที่ชั้นวางของใกล้ๆ กับชั้นวางรองเท้า เขาเพิ่งสังเกตว่ากวินถือถุงพลาสติกมาด้วย...
“ผมเอาเทียนมาด้วย” ว่าแล้วก็ยิ้มเผล่ อย่างน่ารัก...
งื้อ...อย่ามาโปรยเสน่ห์แถวนี้นะ
“เข้ามาสิ” ร่างเพรียวลมเชิญแขกยามวิกาลเข้ามาในบ้านแบบจริงจัง เขาเดินนำกวินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่มีเทียนจุดอยู่แค่สองเล่ม...
“คิดถูกที่ผมเอาเทียนมาด้วย"
“มันหมดพอดีไม่ได้ดูก่อนออกไปซื้อของ ที่นี่ไฟดับบ่อยมาก”
“คงมีปัญหาที่หม้อแปลงหน้าหมู่บ้านแหละ ผมอุตส่าห์บอกอยู่ทุกวี่วันว่าพายุจะเข้าๆ ก็ไม่มีใครเชื่อผม”
“เป็นกรมอุตุฯ หรือไงกวิน”
“ผมเป็นคนที่คุณครับบอกว่าชอบต่างหาก”ก็ถ้าจะมาทำให้เขินขนาดนี้นะ...
“กลับไปเลย” กวินมุ่ยหน้ากับคนที่พูดประโยคนั้น ส่งตัวเองเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวเล็กของห้องรับแขก ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมก่อนจะยักคิ้วแผลบใส่คนที่นั่งอยู่ที่โซฟาใหญ่อีกฝั่ง...
"เรื่องอะไรจะกลับ” ก็เป็นซะอย่างนี้... ใครจะไปคิดว่าเป็นคนที่พูดอะไรได้เยอะแยะขัดกับหน้าตา...
“เป็นคนนิสัยอย่างนี้หรอกเหรอ?”
“ผมนิสัยน่ารักกว่าหน้าตาครับ” ก็ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หน้าใสๆ ตาซื่อๆ ยิ้มหวานๆ แว่นเนิร์ดทรงเก๋ เสื้อโปโลสีขาวนั้นละก็...จะตบให้ดิ้นตายเลย...
มาเฟียไม่พูดอะไรอีก... ก็กลัวว่า ถ้าพูดอะไรไปอีก จะโดนย้อนให้หัวใจทำงานหนักกว่าเดิม... สุดท้ายก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบคลุมทั่วทั้งบ้าน...พร้อมกับเปลวเทียนที่ส่องสว่างมากขึ้นเพราะกวินจุดเทียนหอมที่ตัวเองหอบเอามาด้วย...
แสงสลัวไหววูบไปมา เหมือนกับอารมณ์ความรู้สึกของคนที่นั่งเอนตัวกับโซฟานุ่ม กลิ่นหอมของมันอบอวนให้เคลิ้มฝัน...
“มีเยอะเหรอ?”
“ของเพื่อนที่ทำงานครับ” มาเฟียเหลือบมองที่นั่งอีกฝั่งของโซฟาตัวที่ตนนั่ง ย้ายมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เนียนนะ...
“เพื่อนเหรอ?”
“ครับ...เขาจัดรายการช่วงกลางวันเสียส่วนมากครับ” มาเฟียพยักหน้า เท้าคางของตัวเองกับที่วางแขนเหลือบมองอีกคนที่นั่งพิงพนักโซฟาเป็นระยะ...
กวินไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม... ความจริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะชวนคุยอะไรให้มากมายหรอก แบบ...ไหลไปตามน้ำ ยิงมุกสดไปเรื่อย...
พอเงียบลงก็เป็นอันหาเรื่องคุยไม่ถูกเหมือนกัน...
มันไม่ได้คุยกันยากนักหรอก เพียงแต่ที่ผ่านมา...ไม่มีใครพูดอะไรกันก่อนเองต่างหาก มัวแต่เขินกันไปอายกันมา... เป็นไงล่ะ พอจะอะไรจริงจัง ก็ไปกันไม่ถูก
เปลวเทียนสลัวไปไหววูบไปมา กลิ่นหอมอ่อนโชยอบอวน...เสียงสามลม พายุกับพัดอยู่ด้านนอก มันเด่นชัดเลยว่าแทบจะทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน...
กวินเหลือบไปมองร่างที่เอนซบอยู่ที่มุมโซฟา... ก็เลือกนั่งกันไป เอาซะไกลคนละฝั่งโซฟา แต่ว่า... จะขยับเข้าหายังไงล่ะ
ที่คุยได้จ้อยๆ ก่อนหน้านี้มันก็เกินความคาดหมายแล้วนะ หรือจะต้องใช้มุกเนียนอีก? จะเนียนยังไงล่ะ?
วินาทีที่ครุ่นคิด เป็นช่วงจังหวะที่สายตาของอีกฝ่ายหันมาพอดี...
คุณจำความรู้สึกครั้งแรกที่ได้สบตาคนที่แอบชอบได้หรือเปล่าทั้งสองคนไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นยังไงในตอนนั้น เพราะตอนนี้ที่รู้สึกได้ก็คือ... ใบหน้ามันรู้สึกชาๆ เย็นเยียบ ก่อนจะเริ่มระอุร้อนขึ้นมาที่ละนิด ริมฝีปากก็ต้องเม้มให้แน่นเข้าไว้เพราะถ้าเกิดเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ มันจะดูออกหน้าออกตาไปมั้ย?
มาเฟียจึงได้แต่หลบสายตาซุกหน้ากับท่อนแขนแอบยิ้มอยู่อย่างนั้น ส่วนกวินก็แค่ก้มหน้านั่งเท้าแขน แล้วยิ้มออกมา
มันเหมือนปั๊บปี้เลิฟ แต่ทั้งคู่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ว่าเคยผ่านอารมณ์แบบนี้มาก่อนเสียเมื่อไหร่ แค่กับคนๆที่นั่งอยู่คนละมุมตอนนี้มันทำให้รู้สึก ตื่นเต้นพร้อมทั้งสงบนิ่งได้ในเวลาเดียว....
“ฟังเพลงมั้ย?”
“ไฟดับ” มาเฟียตอบทันที
“ไอพอดไม่ต้องใช้ไฟฟ้านะจนกว่าแบตจะหมด” นั่นไง...ไหลไปได้ทุกช่องสิน่า...
แต่ที่ทำให้มาเฟียสะดุ้งน้อยๆ ก็คือ...ไม่รู้ว่าตอนไหนที่อีกฝ่ายขยับมาอยู่ใกล้ๆ จนสามารถเอาหูฟังใส่หูให้เขาข้างหนึ่ง พอขยับตัวลุกขึ้นเลยกลายเป็นว่าอยู่ห่างกันแค่คืบ ทั้งที่ตอนแรกห่างกันเป็นเมตรๆ
เพิ่มจากความเงียบงันก่อนหน้าคือเสียงเพลงเพราะๆ ที่ได้ยินในหู กับระยะห่างที่ไม่คิดว่าจะได้อยู่ใกล้กันแค่นี้... น้ำหอมที่ใช้กลิ่นอะไรนะ หรือว่าจะเป็นกลิ่นจากเทียนหอมที่อุตส่าห์หอบมา
“เราใกล้กันแค่นี้เอง” กวินยกมือขึ้นทำท่าความห่างของทั้งคู่ แค่ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ “เห็นด้วยมั้ย?” มาเฟียพยักหน้า....แต่กวินกลับส่ายหน้า
“แต่ผมไม่เห็นด้วย”
“ทำไม? พูดเองนะ” ถามไปแล้วก็เกิดอาการอยากตบปากตัวเองเมื่อเห็นท่าทางยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย...
“ก็จริงๆ แล้วเราอยู่ห่างกันแค่นี้” กวินทำท่าคืบมือ ยิ้มกริ่มให้กับมาเฟียที่เอนตัวไปพิงพนักโซฟา “ถ้าจะให้ใกล้เท่านี้” ขยับปลายนิ้วให้ใกล้เท่าระยะเดิมแรก
“เราก็ต้องใกล้กันมากกว่านี้สิ”
“อย่ามาเนียน” มาเฟียยิ้มใช้ฝ่ามือผลักมือของพ่อหน้าหวานที่ทำมึนจะเนียนเข้ามาใกล้อีกออกด้วยอารมณ์โคตรจะเขิน
“ผมก็เนียนตลอดล่ะ ดูสิผิวอย่างเนียน” ไม่พูดเปล่ายื่นแขนมาตรงหน้าของมาเฟียจนเขาต้องยกมือขึ้นแตะๆ พิสูจน์
“แน่ะ...แตะอั๋งผม” มาเฟียถึงกับตาโตเมื่อได้ยินแบบนั้น ผลักแขนของพ่อตัวแสบออกไปอีก
“นายบอกให้ดู”
“ก็บอกให้ดู แต่คุณครับแตะ” ทั้ง มึน ทั้งเนียน ทั้งกวน!
“ไปไกลๆ เลย”
“เรื่องอะไร เนียนมาขนาดนี้ละ” ยอมรับกันแบบหน้าซื่อตาใสตามแบบฉบับของกวินเลยว่า...เขามันจอมเนียนเลยล่ะ
“เด็กอะไรวะ”
“ผมจะยี่สิบสามแล้วครับ”
“ก็อ่อนกว่าฉันอยู่ดี ตั้งปีหนึ่ง”
“คุณครับแก่ว่างั้น?”
“กวิน”
“ครับ^^” ไอ้เด็กหน้าเป็น!
“แค่ปีเดียว”
“มันก็ตั้ง365วันนะครับ” ไม่ไหวแล้วว้อยยย มาเฟียฟาดเพี๊ยะเข้าที่แขนของกวิน อีกฝ่ายก็สู้สิ เรื่องอะไรจะยอมเป็นกระสอบทราย
ตีกันไปกันมาก็เป็นอันสะดุดกึก เมื่อซาวด์หวานๆ ดังแทรกเข้ามาในหู....
It's been a long and winding journey, but I'm finally here tonight
Picking up the pieces, and walking back in to the light
In to the sunset of your glory, where my heart and future lies
There's nothing like that feeling, when I look into your eyes...
เมื่อสายตาได้สบกัน รอยยิ้มอ่อนๆ ที่เผยขึ้น ความอ่อนหวานที่สื่อออกมานั้นมันไม่ยากหรอกที่จะทำให้อีกฝ่ายยิ้มตอบออกมา... ความหมายที่หวานซึ้ง ที่เคยจำได้ขึ้นใจ มันกลับกระท่อนกระแท่นในความทรงจำ คงเพราะห้วงเวลาที่แสนหวานที่ได้ยิน
My dreams came true, when I found you
I found you, my miracle...
คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ใครจะไปคิดกันล่ะ ว่าเพื่อนข้างบ้าน จะกลายมาเป็นคนในใจ เพียงเพราะการเฝ้ามองกันและกันและฟังเสียงผ่านระบบฝากข้อความ...
If you could see, what I see, that you're the answer to my prayers
And if you could feel, the tenderness I feel
You would know, it would be clear, that angels brought me here...
จริงหรือ...หากความรู้สึกนี้ไม่ได้หลอกตัวเอง...ความจริงแล้วพ่อเพื่อนบ้านของเขาคือคนที่ถูกส่งมาเพื่ออยู่เคียงข้างเขา
รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่มีให้กัน โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร...
Standing here before you, feels like I've been born again
Every breath is your love, every heartbeat speaks your name...
ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างรับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกลมหายใจ ทุกจังหวะของหัวใจที่กระหน่ำรัวสลับกับหนักหน่วง แต่กลับเข้ากันได้ทั้งสองดวง...อย่างเป็นธรรมชาติ... ราวกับถูกปั้นแต่งมาเพื่อกันและกันแล้ว
My dreams came true, right here in front of you, My miracle...
If you could see, what I see, you're the answer to my prayers
And if you could feel, the tenderness I feel
You would know, it would be clear, that angels brought me here...
“บอกแล้วไงว่าเราอยู่ใกล้กันนิดเดียวเชื่อผมหรือยัง...คุณครับ” น้ำเสียงหวานนุ่มนั้นมันทำให้เขาหน้าร้อนผ่าว ไม่ว่าจะฟังผ่านคลื่นวิทยุ เครื่องรับหรือแม้แต่อยู่ต่อหน้ากันแบบนี้...เมื่อเรียกร้องชื่อของเขา... เหมือนกับชื่อของเขามีไว้ให้คนๆ นี้เอ่ยถึงเพียงคนเดียว
Brought me here to be with you,
I'll be forever grateful (oh forever Faithful)
My dreams came true
When I found you, My miracle...
มันคือท่อนที่เขาชอบที่สุด ใช้คำว่ารักที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกมากมายกับท่อนนี้ เมื่อได้ฟังและสบตากับอีกฝ่าย....ตรึงทุกอย่างให้หยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อสายตาส่งผ่านความนัยที่หมายความเช่นเดียวกับที่หูกำลังได้ยินเนื้อเพลง...
“นึกถึงหน้าคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า...คุณครับ” มาเฟียส่ายหน้ายิ้มบางๆ
“กำลังมองอยู่ต่างหาก...” กวินยิ้มหวาน ขยับเคลื่อนกายเข้าไปใกล้อีกนิด...นิดเดียวจริงๆ นะ
แต่...ทั้งสองร่างก็ชะงักนิ่งค้าง...กลับเข้าสู่โหมดแห่งความเป็นจริงที่ทำเอาต้องสะอึกหัวเราะ
“แบตไอพอดของผมหมด”
“เลือกหมดได้ถูกเวลาจริงๆ” แถม...
พรึบ!!!แสงไฟในตัวบ้านส่องสว่างขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทำเอาเปลวแสงสลัวของเทียนไร้ประโยชน์ไปเดี๋ยวนั้น
“นี่ก็เลือกมาได้ถูกเวลาเกินไปแล้ว” กวินบ่นอุบอิบ ขยับกายนั่งให้ดีกว่าเดิม แน่นอนว่ามาเฟียนั้นดีดตัวเองกลับไปนั่งท่าเดิมทันทีที่ไฟมานั่นแหละ...
จะดับต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้...
ใบหน้าหวานถูกเท้าด้วยฝ่ามือ มองไปยังเครื่องเสียงที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมไปหยิบรีโมทย์มาเปิดการทำงานของมันที่ค้างอยู่เพราะไฟดับ ไม่ถึงนาทีเสียงเพลงที่เจ้าของบ้านฟังก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้น
ไม่มีซาวด์ดนตรี ไม่มีท่วงทำนองที่เพราะพริ้ง มีเพียงเสียงหวานนุ่มที่คนฟังถึงกับหน้าแดงพร้อมๆ กันแต่ต่างความรู้สึก...
คนหนึ่งหน้าแดงเพราะถูกจับได้ว่า วันทั้งวันเอาแต่ฟังเพลงที่อีกฝ่ายตั้งใจอัดมาให้... อีกคนก็หน้าแดงเพราะเขินกับความบ้าของตัวเองที่ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน...
สุดท้าย ก็เป็นหนุ่มหน้าหวานนั่นแหละที่คิดอะไรประหลาดขึ้นมาได้อีก ก็ในเมื่อมันเขินอยู่แล้วก็ควรดับความอายด้วยความเขินที่มีมากกว่า...ดังนั้น...
เสียงของเขาจึงเปล่งออกมา แข่งกับเจ้าลำโพงที่ทำงานอยู่
‘If you could see, what I see, you're the answer to my prayers
And if you could feel, the tenderness I feel
You would know, it would be clear, that angels brought me here...
Yes they brought me here...
If you could feel, the tenderness I feel...
You would know, it would be clear, that angels brought me here...’
มันเกินจะห้ามใจตัวเองแล้ว... สายตาที่จดจ้องมองแผ่นหลังของคนที่นั่งเท้าศอกอยู่นั้นมันอ่อนหวานแค่ไหนคงไม่มีใครรู้หากไม่มาเห็นเอง แต่สิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกตอนนี้มันยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด...
มาเฟียขยับกายเคลื่อนเข้าไปใกล้แผ่นหลังนั้น เกยคางไหล่ไหล่แข็งแรงและสอดอ้อมแขนโอบกระชับเอวสอบของหนุ่มหน้าหวาน
กวินไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขยับตัวหนี แต่เขากลับหยุดร้องเพลง... มันไปต่อไม่ได้แล้ว หัวใจของเขากำลังเต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง เสียงของเขาอาจจะสั่นมากกว่านี้... ถ้าหากยังร้องหรือพูดอะไรออกไป...
สิ่งที่ทำได้ก็คือ...หลับตานิ่งๆ หูฟังเสียงเพลงที่ถูกตั้งให้รีพลีสเอาไว้ ทุกความรู้สึกจดจ่ออยู่กับจังหวะการเต้นรัวของหัวใจคนที่โอบกอดเขาจากด้านและของตัวเอง...
“หัวใจเต้นแรงมาก”
“ครับ” กวินตอบแค่นั้น ก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของมาเฟียให้มาทาบที่อกข้างซ้ายของตัวเอง “เต้นแรงมากจริงๆ”
“กวิน” เรียกด้วยเสียงสั่นแผ่วพร้อมกับเผลอจิกปลายนิ้วลงที่แผงอกแข็งแรงที่มีเสื้อโปโลขว้างกั้นผิวเนียน กระชับอ้อมแขนและเบียดกายเข้าแนบชิด…ไม่ไหวจะทนนะ...
กวินพลิกกายหันมาหาเจ้าของอ้อมกอด สอดแขนรอบเอวที่ดูจะบางเหลือเกิน จดจ้องมองสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะยิ้ม
พรึบ!....แสงสว่างหายไปเหลือแต่เปลวไฟของเทียนหอม ทำเอาทั้งสองคนสะดุ้งแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง...
“อีกกี่นาที”
“ไม่รู้สิ อาจจะไม่มาอีกก็ได้...” กวินนิ่งคิดกับคำตอบนั้น ไม่มาเลยก็ดีนะไฟฟ้าน่ะ มาพรุ่งนี้เลยเถอะ...
ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงรอยยิ้มเปื้อนหน้าที่มอบให้กัน รู้ตัวอีกทีก็คือหน้าผากก็แตะกันเบาๆ ปลายจมูกไกล่เกลี่ยกันไปมาราวกับจะหยอกล้อซึ่งกันและกัน
ใบหน้าของแต่ละคนต่างมองไม่ชัดเจน เพราะระยะห่างที่แทบจะเรียกว่าแนบชิดนั้น...
คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะ ถ้านี่จะเป็น
คืนแรกที่ได้คุยกันแบบจริงๆ จังๆ
คืนแรกที่อยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้
เป็นคืนแรกที่จะมีจูบแรก...กับคนที่รัก
..............................
...................
............
......
....
....
น่ารักเนอะ