ตอนที่ 7
เขาว่าความรักที่ไม่มีอุปสรรค ย่อมไม่อาจนับได้ว่าเป็นรักแท้
ปารมีอ่านประโยคสุดท้ายในหนังสือแล้วก็มาหวนคิดถึงตัวเอง สำหรับตนเองและวสุธาจะนับว่ารักกันได้ไหม เมื่อเรื่องของเรื่องมันไม่ได้เริ่มต้นจากความรัก จนตอนนี้ปารมีก็ไม่แน่ว่าได้รักไปแล้วหรือยังกันแน่
“ไอ้ที่ไม่รู้ไม่แน่ใจนี่นับเป็นอุปสรรคของความรักด้วยไหมนะ”
บ่นกับตัวเองอย่างไม่คิดอะไร แต่คนที่เข้ามาได้ยินกลับคิดไปไกลเสียแล้ว
กลอนที่แวะมาเที่ยวหาเพื่อนหยุดอยู่ข้างหลังเมื่อได้ยินเสียเพื่อนบ่น ก่อนจะถอยฉากหายไปเงียบๆ เปลี่ยนความตั้งใจ เดินออกจากบ้านใหญ่ไปที่โรงพยาบาลแทน
แน่ล่ะว่าที่ไปโรงพยาบาลนี้ กลอนไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือมีใครเจ็บไข้ได้ป่วยจนต้องไปเยี่ยมเยียนดูอาการหรอก
กลอนก็แค่คิดว่า บางทีเรื่องที่ตัวเองกำลังคิดจะทำอาจจะต้องมีที่ปรึกษา และดูเหมือนหมอเอจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
กลอนไปถึงโรงพยาบาลในไม่ช้า พร้อมทั้งบอกเล่าความคิดของตัวเองให้หมอเอฟัง
อุปสรรคนั้นนำมาซึ่งรักแท้ และหากไม่ได้รัก หมดรัก หรือรักกันไม่มากพอ ก็จะนำมาซึ่งความแตกแยก แต่มันเป็นเหมือนข้อพิสูจน์รักแท้ที่ดี ทั้งสองคนจึงไม่ลังเลเลยที่จะสร้างอุปสรรคให้กับวสุธาและปารมี
...........................................
สามวันหลังจากนั้น ทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติ หากเย็นของวันที่สี่นั้นเอง วสุธาก็ได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อเห็นผู้มาเยือน
ผู้หญิงต่างวัยสองคนที่วสุธาไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก อย่างน้อยๆ ก็ไม่คิดว่าจะเจอด้วยการที่อีกฝ่ายมาหาเขาถึงบ้าน ทั้งสองคนมีผมสีทองออกน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าอมเขียว ผิวขาวแตกต่างจากคนเอเชียอย่างเห็นได้ชัด
“สวัสดีครับคุณลิลลี่ คุณลูซี่ ไม่ทราบว่าถึงนี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
ใครได้ฟังคงเดาได้ไม่ยากว่าวสุธาไม่ได้ต้อนรับคนทั้งคู่นัก แม้ว่าทั้งคู่จะได้ชื่อว่าเป็นแม่และน้องสาวของภรรยาผู้ล่วงลับก็ตาม
ปารมีที่เดินตามออกมาพร้อมเด็กๆหยุดยืนมองผู้มาเยือนด้วยความสงสัย
หญิงสูงวัยที่วสุธาเรียกว่าลิลลี่ปรายตามองวสุธาอย่างไม่เป็นมิตร ก่อนประมองเลยมาถึงปารมีและเด็กๆ สายตาที่ไม่เป็นมิตรยิ่งกว่ามองมาที่ปารมี ก่อนจะอ่อนแสงลงยามจับจ้องไปที่เด็กทั้งสาม
“ทำไมฉันจะมาไม่ได้ ยายจะมาเยี่ยมหลานนี่มันผิดตรงไหน”
วสุธาหน้าตึงไปกับสิ่งที่ได้ยิน หากไม่ติดว่าเขาเองก็ยังให้เกียรติอีกฝ่ายในฐานะแม่ของเลวี่ วสุธาคงจะเชิญทั้งสองออกจากบ้านไปตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว
“ผมไม่คิดว่าคุณจะมาเพราะอยากเห็นหลานหรืออยากเจอหลานอย่างที่ว่าหรอกนะครับ เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณคงมาเสียนานแล้ว คงมาตั้งแต่เลวี่ติดต่อไปตอนพวกเขาเกิด หรือไม่ก็มาในตอนที่ผมติดต่อไปเรื่องเลวี่ ไม่ใช่อยู่ๆก็มาแบบนี้ๆ”
ย้อนได้ถูกจุดจนคนฟังหน้าเสียไปนิด ก่อนจะกลับมาเชิดใส่อย่างเดิม
ปารมีมองภาพเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ แตกต่างจากเด็กๆที่ทำหน้า ‘เย็นชา’ ไม่ต่างจากพ่อตัวเองสักนิดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“เข้าบ้านเถอะครับคุณปาม”
ปฐพีเอ่ยชวนโดยไม่สนใจจะเข้าไปไหว้หรือแนะนำตัวใดๆกับคนทั้งสอง ถึงแม้จะฟังภาษาอังกฤษที่ทั้งคู่ใช้คุยกันได้ไม่เข้าใจนัก แต่ปารมีก็พอจะเดาได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
“แต่ว่า....”
ไม่ทันได้แย้ง เด็กๆทั้งสามก็ดันตัวปารมีเข้าบ้านไปเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้มาเยือนทั้งสองมองด้วยความไม่พอใจยิ่งขึ้น
“นี่สอนหลานชายฉันยังไง นี่คงจะสั่งสอนให้คิดว่าตัวเองดีอยู่ฝั่งเดียวล่ะสิ”
หญิงสูงวัยเอ่ยอย่างไม่พอใจ วสุธาฟังแล้วยิ่งเพิ่มความเข้มในสายตาและน้ำเสียง
“พวกเราไม่ใส่ร้ายใครให้ลูกฟังหรอกครับ แต่เราไม่โกหก พูดแต่ความจริงก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวอีกคนที่เงียบมานานเดินออกมาข้างหน้ามองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่เขยท่เธอไม่อยากจะยอมรับด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ติดจะรังเกียจและดูถูกไม่ต่างจากผู้เป็นแม่นัก
“เราจะไม่อ้อมค้อม เราต้องการหลานทั้งสามคนกลับไปกับเรา”
วสุธามองหน้าอีกฝ่าย แล้วยิ้มเย็นส่งไปให้จนทั้งคู่ต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างลืมตัว
“พูดง่ายจังนะครับ อยากได้ก็จะมาพาไป แล้วผมต้องยกลูกๆของตัวเองให้ตามที่พวกคุณต้องการหรือไง พวกคุณเชิญกลับไปเถอะ ผมไม่รู้หรอกนะว่าอะไรหรือใครไปดลใจให้พวกคุณมา แต่ผมพูดตรงๆว่าที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ เชิญครับ ผมคงไม่ต้องให้ยามมาเชิญหรอกนะ”
คนฟังหน้าตึงไปทั้งคู่ อยากจะโวยวายแต่ไม่กล้าด้วยเกรงสายตาของอีกฝ่ายอยู่มาก ทั้งคู่ย่ามใจในช่วงแรกที่เหมือนวสุธาจะยอมอ่อนให้ แต่ทั้งคู่ไม่รู้หรอกว่า วสุธาเห็นว่าลูกชายตัวเองยืนอยู่จึงไม่อยากแสดงความก้าวร้าวต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นยายของลูกชายให้เห็น ไม่ใช่กลัวว่าจะเสียภาพพจน์ของตัวเอง แต่กลัวว่าลูกชายจะทำตามต่างหาก ขนาดวสุธาไม่เคยบอกเล่าอะไร ลูกชายทั้งสามยังรู้เลยว่าที่บ้านฝั่งแม่ของตนเองนั้นไม่ต้อนรับวสุธาและลูกๆนัก และนี่คือเหตุผลที่เด็กๆไม่สนใจผู้มาเยือนเลย แม้อีกฝ่ายจะกล่าวหาว่าเป็นเพราะวสุธา วสุธาก็ไม่คิดจะแก้ตัวด้วยไม่เห็นความจำเป็น
อยากเข้าใจยังไงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ในเมื่อทั้งสองคนไม่ถือว่าเป็นครอบครัว ญาติ หรือเพื่อน แล้ววสุธาจะต้องสนใจทำไมกัน
ทั้งสองคนจากไปโดยเร็วเมื่อวสุธาพูดจริงทำจริง เขาแจ้งยามให้มาเชิญทั้งคู่ออกไปและห้ามไม่ให้ทั้งสองคนเข้ามาในบ้านอีก ไม่ว่าใครจะบอกให้ปล่อยเข้ามาก็ห้าม นอกจากตัวเขาเองเท่านั้นจะเป็นคนอนุญาต วสุธาพูดประโยคแรกๆให้ผู้มาเยือนได้ยินอย่างไม่คิดเกรงใจ ส่วนอันหลังนั้นเขาบอกยามหลังจากที่ทั้งสองได้กลับไปแล้ว
จากนั้นก็เดินเข้าบ้านอย่างเอื่อยๆ เขาเงยหน้ามองพระจันทร์แล้วบ่นพึมพำเบาๆขอโทษหญิงสาวผู้เป็นที่รักซึ่งจากไปแล้ว
พอเดินเข้ามาในบ้านเห็นเด็กๆนั่งเล่นกันอยู่โดยมีตาหวานนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างพอใจเมื่อโดนเหล่าพี่ชายหยอก ปารมีที่นั่งอยู่บนโซฟาหันมามองวสุธาอย่างไม่สบายใจแต่วสุธาก็หลบสายตาอีกฝ่ายแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องทำงาน
นั่นทำให้ปารมีอดขมวดคิ้วไม่ได้ และโดยที่เด็กๆไม่ทันรู้ตัว ปารมีก็เดินตามวสุธาไปที่ห้องทำงานเสียแล้ว
..................
ปารมีเคาะห้องเบาๆและไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาตก็เดินเข้าไปตามความเคยชิน วสุธาเพิ่งตั้งรูปๆหนึ่งลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะหันหน้ามามองปารมี แล้วถอนหายใจออกมาเหนื่อยๆ
ร่างเล็กเหลือบสายตามองรูปที่อีกฝ่ายหยิบขึ้นมามองแล้วเห็นว่าเป็นรูปหญิงสาวที่กำลังยิ้มสวยส่งให้กล้อง หญิงสาวผู้เป็นที่รัก หญิงสาวที่แม้จะจากไปแล้วแต่ไม่เคยเลือนหายไปจากใจคนตรงหน้า หญิงสาวที่ทำให้วสุธาผู้เยือกเย็นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไม่ต้องการเหตุผล โกรธจนทำร้ายปารมีได้โดยไม่มีลังเลใจสักนิด หญิงสาวที่ปารมีเคยโดนตะโกนใส่หน้าว่า ‘ไม่มีทางมาแทนที่ได้’
ดูเหมือนวสุธาจะไม่รู้ตัวว่าปารมีกำลังคิดอะไร เพราะแค่พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้เป็นปกติก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากแล้ว
“คุณปามมีอะไรหรือเปล่า”
คนโดนถามพยายามเก็บกักความรู้สึกประหลาดๆ ความเจ็บหน่วงๆในใจเอาไว้แล้วสบตาอีกฝ่าย
“ผมแค่อยากมาถามคุณให้แน่ใจว่าคุณไม่เป็นไร”
“ผมไม่เป็นไร”
ตอบโดยไม่ต้องคิดสักนิด ปารมีขบริมฝีปากแน่น
“คุณไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงทำท่าแบบนั้น คุณคนนั้นเขาเป็นคุณยายของเด็กๆใช่ไหมครับ ดูเหมือนทั้งคุณและเด็กๆจะไม่ค่อยชอบเขานัก เขามาทำอะไรหรือครับ”
วสุธาถอนหายใจ พูดตรงๆว่าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ อย่างน้อยๆก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้
“เขาแค่มาเยี่ยม”
ตัดบทได้ไม่มีเหตุผลจนปารมีเริ่มจะโกรธนิดๆ ร่างบางนั่งลงตรงข้ามวสุธาก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ อย่างที่ไม่เคยทำ
“ถ้าแค่มาเยี่ยมทำไมกลับเร็วนัก ทำไมไม่เชิญเข้าบ้าน ทำไมไม่ให้เด็กๆเข้าไปทักทาย ผมไม่ได้โง่นะคุณ”
วสุธาหลบสายตาอีกฝ่าย ไม่อยากตอบคำถามและเหนื่อยเกินกว่าจะคิดว่าต้องพูดอย่างไรปารมีจึงจะเข้าใจ หากเพราะไม่ทันคิดเขาจึงพูดประโยคที่ทำให้ทั้งห้องเงียบลงไป ทำให้ปารมีหยุดถามเรื่องทุกอย่างอย่างที่เขาต้องการได้จริงๆ แต่มันเป็นการหยุดที่เกิดขึ้นเพราะความเสียใจ คนฟังเสียใจ คนพูดเองก็เสียใจที่พูดออกไป ประโยคเดียวของวสุธาที่ทำให้ปารมีลุกออกไปจากห้องอย่างง่ายดาย ประโยคที่ว่า
“คุณไม่ต้องรู้หรอก เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณ”
................................................
ปารมีกลับมานั่งดูเด็กๆเล่นกับตาหวานเงียบๆ ไม่นานวสุธาก็ตามออกมาอีกคน ร่างสูงนั่งลงข้างปารมีอย่างที่เคยทำเสมอ แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ปารมีจะหันมายิ้มให้ก่อนจะกลับไปสนใจเด็กๆต่อ คราวนี้ไม่เพียงไม่หันมามองหน้าวสุธาสักเพียงนิด ยังลุกขึ้นทันทีที่วสุธานั่งลงแล้วลงไปนั่งรวมกับพวกเด็กๆเสียอย่างนั้น
วสุธาถอนหายใจเบาๆ อันที่จริงเขารู้สึกเหนื่อยใจมากอยู่แล้วเมื่อเจอกับแม่ของภรรยาผู้ล่วงลับ แล้วก็ยิ่งต้องมาเหนื่อยเพิ่มเพราะต้องมาง้อปารมีอยู่ตอนนี้ แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อวสุธาผิดเองที่พูดไม่คิด เขารู้ตัวว่าพูดไม่ดีออกไปจึงต้องการมาพูดทำความเข้าใจกับอีกฝ่าย แต่ปารมีไม่ได้ให้ความร่วมมือในการปรับความเข้าใจเลย แล้วยิ่งเห็นชัดเมื่อวสุธาพาตัวเองลงไปนั่งข้างล่างกับเด็กๆด้วย ปารมีก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องครัวทันที วสุธามองตามหลังบางๆนั้นไป กำลังคิดจะลุกขึ้นเดินตามแต่ก็หันมาเจอเหล่าลูกๆที่จ้องมองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไรครับ”
วสุธาพูดกับเด็กๆก่อนที่ปฐวีจะเป็นคนถามขึ้น
“คุณพ่อทะเลาะกับคุณปามหรือครับ”
วสุธาเอียงคอเหมือนจะถามว่าเด็กๆรู้ได้อย่างไร
“เมื่อกี้คุณปามบอกว่าวันนี้จะไปนอนกับพวกผม”
วสุธาหันขวับไปมองทางครัวแทบจะทันที เริ่มจะโกรธอีกฝ่ายขึ้นมานิดๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เด็กๆจับได้ แต่เพราะอีกฝ่ายจะหนีเขาไปนอนห้องอื่นต่างหาก คิดว่าวสุธาจะยอมง่ายๆหรือไง
“ตกลงทะเลาะกันหรือครับ”
ธรณินลูกชายคนเล็กเอ่ยถามพลางส่งสายตาเหมือนคนจะร้องไห้มาให้
“เปล่าครับ พวกพ่อไม่ได้ทะเลาะกัน”
เด็กๆทั้งสามพยักหน้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเด็กๆทั้งสี่ เพราะตาหวานเองก็โดนธรณินจับโยกคอเบาๆให้พยักหน้าไปพร้อมกัน
“งั้นคุณปามก็โกรธ”
“แต่เมื่อกี้คุณปามบอกว่าไม่ได้โกรธคุณพ่อนะ”
ดูเหมือนปารมีจะโดนซักมาก่อนแล้ว วสุธาฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าปารมีโกรธตนนั่นล่ะถูกต้องแล้ว
“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมต้องไม่นอนกับคุณพ่อล่ะ ไม่ได้ทะเลาะกันด้วย”
ปฐพีทำหน้าคิดนิดๆก่อนจะหันไปบอกคนอื่นๆ
“คุณปามไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้ทะเลาะกับคุณพ่อ แต่จะไปนอนกับพวกเราแถมยังไม่คุยกับคุณพ่อแบบนี้ สงสัยคุณปามต้องงอนคุณพ่อแน่ๆเลย””
หลังจากที่ได้ยินพี่ใหญ่สรุป เด็กๆอีกสองคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยตามความคิดนั้น ก่อนจะหันกลับมามองคุณพ่อของตนที่นั่งเขี่ยแก้มตาหวานเล่นอยู่
“แล้วทำไมคุณพ่อยังไม่ตามไปง้ออีกล่ะครับ”
คนโดนถามแกมสั่งเลิกคิ้วขึ้นนิดๆด้วยความสงสัยว่าลูกๆของตนไปเอาเรื่องงอนง้อมาจากใคร
“เวลาอากลอนเดินหนีไป อาไม้จะพูดว่าโดนงอนอีกแล้ว อาไปง้ออากลอนก่อนนะครับ แบบเนี้ย แล้วก็รีบตามอากลอนไปเลย”
ปฐวีบอกพร้อมทำเสียงเลียนแบบอาตัวเองให้ดูเป็นการประกอบด้วย วสุธาส่ายหน้าช้าๆกับนิสัยของน้องชายคนเล็กที่ชอบแกล้งคนรักให้งอนก่อนจะไปง้อให้อีกฝ่ายมาคืนดีด้วย
เมื่อโดนลูกชายยุส่งแบบนี้ วสุธาก็พาตัวเองไปที่ห้องครัวเพื่อไปง้อคุณปามตามที่เด็กๆต้องการ แม้จะบอกกับตัวเองว่า ที่ตัวเองทำนี้ไม่เรียกว่าง้อแต่มันคือการมาอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจก็เถอะ
.....................................
ปารมีเหม่อมองไปที่หน้าต่างห้องครัวระหว่างที่รอน้ำร้อนเดือดเพื่อชงนมให้หลานชาย เขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าวสุธาได้เข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกก็ตอนที่อีกฝ่ายเดินมาใกล้แล้วกดน้ำใส่แก้วเพื่อรอให้อุ่นสักนิดก่อนนำไปชง
ความเงียบเข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ปารมีอยากเดินหนีไปจากที่นี่แต่ก็ติดว่าคนตัวสูงกว่าที่กำลังทำท่าตั้งใจชงนมให้ตาหวานนั้นยืนขวางทางเอาไว้
“คุณจะไปนอนกับเด็กๆหรือ”
วสุธาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนซึ่งแน่นอนว่าปารมีไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
“ผมไม่ให้ไปหรอกนะ”
ปารมีค้อนควับทันทีที่ได้ยินที่อีกฝ่ายบอก ในที่สุดก็ทนไม่ได้จึงต้องเอ่ยปากพูดด้วย
“ผมจะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของผม”
วสุธายิ้มนิดๆเพราะในน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ได้เย็นชาห่างเหินเหมือนเมื่อตอนที่เขาไปตามกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ติดจะสะบัดๆสักนิดให้รู้ว่าไม่พอใจ หรือที่เด็กๆบอกว่าคุณปามของเด็กๆกำลังงอนจะเป็นเรื่องจริง
“เรื่องของคุณคนเดียวที่ไหนกัน คุณไม่นอนกับผมมันก็ต้องเป็นเรื่องของผมด้วยสิ”
หากลูกน้องหรือเพื่อนฝูงได้มาเห็นวสุธาในรูปแบบนี้คงได้ตกใจไปตามๆกัน เพราะสำหรับคนอื่นๆ วสุธาไม่เคยพูดจาเข้าข่ายกวนประสาทเชิงหยอกเล่นแบบนี้เลยสักนิด แต่ถ้าถามปารมีเหรอ ต้องบอกว่าเห็นจนชิน
“หึ ตัวผม ผมจะไปนอนที่ไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับคุณ”
โดนย้อนมาแบบนี้ วสุธาก็อดรู้สึกเจ็บนิดๆไม่ได้เหมือนกัน ดูเหมือนปารมีจะเอาคืนที่วสุธาว่าไปที่ห้องทำงานนั่นเสียแล้ว
ก็แน่ล่ะ วสุธาไม่รู้หรอกว่าปารมีเสียใจมากแค่ไหน สำหรับปารมีนั้นเขาเริ่มจะยอมรับว่าวสุธาและเด็กๆเป็นครอบครัว เริ่มจะวางตัวเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน เป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน และเพราะห่วงใยใส่ใจปารมีจึงมองเห็นท่าทางไม่สบายใจของอีกฝ่าย ที่เข้าไปถามถึงผู้มาเยือนใช่ว่าจะเพราะปารมีอยากสอดรู้เรื่องของวสุธาเสียที่ไหน เขาก็แค่เป็นห่วง เลยอยากแบ่งเบาเรื่องหนักอกของวสุธามาบ้าง ถึงแม้ปารมีจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนเก่งหรือฉลาดมากพอจะช่วยวสุธาแก้ไขปัญหา แต่ก็อยากให้วสุธาปรึกษา อย่างน้อยๆก็ให้ได้ระบายอะไรๆออกมากับตน ให้วสุธาได้สบายใจขึ้นบ้าง
แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเขา กันเขาออกไปให้ห่างแบบนั้น จะไม่ให้ปารมีเสียใจได้อย่างไร
ในขณะที่วสุธาสามารถก้าวเข้ามาใกล้ปารมีได้ทุกเมื่อเพราะแม้จะยังกลัวแต่ปารมีก็พยายามเปิดใจรับ แต่สำหรับวสุธาแล้ว เขากันปารมีไว้ ปิดใจเสียอย่างนี้ แล้วจะมาบอกว่าตนเป็นคนรักไปเพื่ออะไร
“เรื่องของผมคุณเข้ามาจัดการได้เต็มที่ กำหนดนั่นนี่ตามใจ แต่เรื่องของคุณผมไปยุ่งด้วยไม่ได้ แตะอะไรไม่ได้สักนิด ทำแบบนี้ คุณจะให้ผมคิดยังไง”
คนฟังนิ่งไป เริ่มคิดถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านๆมา วสุธาจัดการทุกอย่างให้ปารมีตามความคิดของตัวเองจริงๆอย่างที่อีกฝ่ายว่า แม้ส่วนมากปารมีจะเต็มใจและไม่ได้ต่อว่าอะไร แต่มีบางเรื่องอย่างเช่นเรื่องเงินหรือเรื่องของใช้ของอีกฝ่ายกับตาหวานที่ปารมีกับเขามักจะต้องเถียงกันแทบทุกครั้ง แต่มันก็มักจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เพราะปารมีรู้ว่าเขาหวังดี และเขาก็รู้ว่าที่ปารมีต่อต้านก็เพราะเกรงใจและไม่อยากรบกวน
เป็นวสุธาเองที่มักพูดเสมอว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องเกรงใจหรือรบกวนให้เก็บพับไปได้เลย และเพราะเหตุนี้ ปารมีถึงได้ยอมลงให้ทุกครั้ง
“ผมขอโทษ”
วสุธาถอนหายใจออกมาหลังจากที่พูดคำนั้น ทำให้ปารมีเริ่มโกรธจริงจังเพราะคิกว่าอีกฝ่ายขอโทษไปอย่างนั้นเองเพื่อให้เรื่องมันจบ ร่างบางตั้งใจจะเดินออกไปจากห้องครัวเสียเพราะไม่อยากพูดคุยกับวสุธามากไปกว่านี้ แต่วสุธาไม่ยอม
ก่อนที่จะได้เดินผ่านไปปารมีรู้ดีว่าต้องเข้าใกล้อีกฝ่ายมากแค่ไหน ปารมีถึงได้ยืนอยู่ในครัวไม่ไปไหนจนได้พูดคุยกับวสุธา แต่ในขณะนี้ ปารมีไม่คิดจะคุยเสียแล้ว หากเพราะต้องเดินเข้าใกล้นี่เองวสุธาจึงได้มีจังหวะคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้ เขารั้งอีกฝ่ายด้วยการกอดทั้งตัวจากด้านหลัง ทำเอาคนโดนกอดที่กำลังโกรธๆตกใจจนลืมโกรธไปชั่วขณะ
“คุณ..ปล่อยนะ”
ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ คนกอดก็ยิ่งกอดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนปารมีรู้ว่ายังไงก็หนีไปไม่พ้น จึงได้ยอมยืนนิ่งๆให้อีกฝ่ายกอดเอาตามใจ และเมื่อไม่ขัดขืน วสุธาก็คลายอ้อมกอดที่กอดเสียจนแน่นลงเล็กน้อย จนมันกลายเป็นอ้อมกอดเบาๆที่อ่อนโยน อ่อนโยนเสียจนปารมีลืมคิดจะหนีห่างไปแม้มีโอกาส
วสุธาซบใบหน้าลงที่ไหล่บางเงียบๆ แล้วทั้งห้องก็ตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง
“ผมขอโทษจริงๆ ในห้องทำงานนั่นผมไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆหรอกนะ”
น้ำเสียงของวสุธาจริงจังจนปารมีต้องนิ่งฟัง
“ผมแค่กำลังเหนื่อยและไม่อยากนึกหรือพูดถึงพวกเขา ผมไม่ได้ตั้งใจจะกันคุณออกไปจากเรื่องนี้หรอก”
ปารมีเองก็พอจะเข้าใจในจุดนี้ และเพราะเหตุนี้สำหรับเด็กๆจึงมองว่าปารมีแค่งอน ไม่ได้โกรธ ก็ปารมีแค่งอนและน้อยใจเท่านั้นเองจริงๆนี่นา
“ผมผิดที่ใช้คำพูดไม่คิดปัดไปง่ายๆแบบนั้น ทำให้คุณต้องเสียใจ”
เขารู้ว่าปารมีเสียใจ น้อยใจ เพราะปารมีไม่ได้ปิดบังอารมณ์ของตัวเองไว้เลย ทั้งสีหน้าและแววตาตอนที่อยู่ในห้องทำงานนั้น มันทำเอาเขาอยากจะย้อนเวลากลับไปไม่ให้ตัวเองพูดประโยคนั้นออกมา แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ทำได้มีเพียงมาขอโทษอีกฝ่ายในสิ่งที่ได้พูดไป และทำความเข้าใจกับอีกฝ่ายก็เท่านั้น
แม้จะยังเหนื่อย แต่วสุธาไม่อยากให้เรื่องมันค้างคา เขารู้ว่ายิ่งนานไปหากไม่คุยกันให้เข้าใจ เรื่องราวมันก็จะยิ่งมีแต่แย่ลง
“ผมขอโทษและอยากให้คุณยกโทษให้ ผมจะไม่ทำมันอีก”
ถ้าปารมีพยักหน้าตกลงตอนนี้จะมีคนว่าปารมีใจอ่อนง่ายไปไหม แต่ถึงจะว่าปารมีก็ต้องยอมรับเท่านั้น เพราะเจ้าตัวพยักหน้ารับคำขอโทษของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว
“ผมขอแค่คุณอย่าทำอีก อย่าพูดเหมือนผมกับคุณไม่เกี่ยวข้องกันอีก ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้น ไม่อยากคิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
วสุธากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง ไม่ใช่แค่ปารมีหรอก วสุธาเองให้ลองคิดว่าปารมีเห็นตนเป็นคนอื่น แค่คิดก็รู้สึกโมโหขึ้นมาแล้ว
“คุณปาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะพูดหรือทำอะไร ขอให้คุณจำและนึกไว้เสมอว่าคุณเป็นคนรักของผม เป็นคุณปามของเด็กๆ เป็นครอบครัวของผมและเด็กๆ คุณเป็นหนึ่งในจอมไตร คุณมีพวกเราทุกคน”
ปารมีรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม มือเรียวยกขึ้นมาจับแขนของอีกฝ่ายที่กอดตนไว้ ทั้งคู่กอดกันอยู่อย่างนั้น และคงจะกอดกันนานกว่านี้หากเด็กๆทั้งสี่คนจะไม่เข้ามาในห้องครัว
“ตาหวานหิวนมแล้วครับ”
ปฐพีที่อุ้มตาหวานเข้ามาเป็นคนบอก พร้อมกับปฐวีที่จูงมือธรณินซึ่งกำลังขยี้ตางัวเงียเพราะง่วงนอน
วสุธาปล่อยตัวปารมีอย่างง่ายดายเมื่ออีกฝ่ายดันตัวออก
ใบหน้าเนียนเป็นสีแดงเรื่อเมื่อคิดว่าเด็กๆเห็นภาพตัวเองกอดกับวสุธา แต่เด็กๆกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้กันสักคำ ซึ่งมันช่วยไม่ให้ปารมีเขินมากไปกว่านี้
สรุปแล้วปารมีกับวสุธาก็พาเด็กๆเข้านอนโดยที่ปารมียังคงกลับไปนอนที่ห้องเดิม ห้องของปารมีกับวสุธา
..............................................
มีต่อข้างล่างค่ะ