kagehana : คราวนี้ก็หวานต่อเนื่องค่ะ มุมิกันไปก่อนเนอะ
มีเรื่องประกาศค่ะ
เนื่องจากเรื่อง Scar ตราบาปไร้รอยเลือน จริงๆแล้วเป็นเรื่องสุดท้ายของซีรีย์นี้ ที่ประกอบไปด้วย My all , Rainny day ความทรงจำใต้เองาฝนพรำ และ Scar ตราบาปไร้รอยเลือน
และจากพลอตไว้ที่จะเฉลยปมปัญหาของเรื่องScarนั้น จะมีตัวละครสำคัญในเรื่อง My all เข้ามาเกี่ยวข้อง
เราเลยเอาเรื่อง My all มาโพสท์ไว้ในเล้าค่ะ ยังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ
กดตามไปเลยค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34136.0
(จริงๆแล้วเป็นโฆษณาแฝง ฮ่าๆๆ)
ส่วนเรื่องเรนนี่เดย์ที่เป็นเรื่องกลางในซีรีย์ เราเคยโพสท์แล้วแต่ขอให้ลบไปเนื่องจากรีไรท์ใหม่ เพราะฉะนั้น...อีกไม่นานเรนนี่เดย์จะเอามารีโพสท์อีกทีค่ะ
//////////////////////////////////////
-20-
ร่างสูงค่อยๆเลื่อนรถเข็นที่มีเด็กหนุ่มนั่งอยู่อย่างช้าๆผ่านประตูบ้านใหญ่เข้าไป ก่อนที่จะปัณวิทย์จะกลับบ้าน ชยางกูรได้สั่งในคนมาทำทางลาดสำเร็จรูปในทุกที่ที่มีบันได พอพากลับมาจริงๆเลยสามารถเข็นขึ้นมาได้อย่างสะดวกสบาย
“คิดถึงบ้านป่ะ”
“ก็... อืม คิดถึงฟูกับฝุ่น....” เด็กหนุ่มเอี้ยวศีรษะมาตอบพร้อมรอยยิ้ม
“คิดถึงเตียง.....”
“ถ้าไม่ติดว่าโรงบาลไม่ให้เอาเข้า จะพาไปเยี่ยมซะหน่อย”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวป่วยกันหมด” เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะนึกไป เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่ดูจะป่วยง่ายกว่าสัตว์เล็กอื่นๆ
“พักนี้ดูหงอยๆไป แต่เผลอแว้บเดียวก็ขี่กันอีกแล้ว” ชยางกูรหัวเราะ เมื่อเช้าที่เขาเข้าไปจัดห้องให้ก่อนไปรับ ก็เห็นเจ้าฟูถูกขี่อยู่บนพื้นห้องแล้ว
“กระต่ายมันขี้เหงาพอๆกะขี้เอาน่ะแหละ”
...ก็เหมือนคน...
ปัณวิทย์หัวเราะเสียงดังขึ้น
“ตัวผู้ทั้งคู่แท้ๆนะนั่น”
“ตัวผู้แล้วไง...ผู้ชายก็มีอะไรกันได้ ไม่เห็นแปลก ดีซะอีก ไม่ท้อง...” ชยางกูรพูดเสียงบุ่ยแล้วเข็นรถเข็นเข้ามาในลิฟท์
ทันทีที่ประตูลิฟท์ปิดลง ร่างสูงก็ก้มลงขโมยจูบรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรานะ เด็กดื้อ”
เด็กดื้อที่ว่าแทบกัดปากตัวเองเมื่อรู้สึกว่าอยากให้อีกฝ่ายจูบอีกครั้ง ไม่อาจปฏิเสธความในใจของตัวเองได้ว่านอกจากคิดถึงกระต่ายสองตัวนั่นแล้ว ยังคิดถึงความอบอุ่นยามที่ได้สัมผัสกันอีกด้วย
“... ไม่ได้ดื้อ... ซะหน่อย”
ระหว่างที่ลิฟท์เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นที่สูงขึ้น ร่างสูงที่ยืนอยู่กลับโน้มตัวลงมากอดคนรักที่นั่งอยู่ในรถเข็นแล้วจูบแผ่วๆย้ำอีกทีบนกลีบปากบาง
“ดื้อสิ...ทำหน้าว่าอยากจูบอีกแต่ไม่ยอมพูดเนี่ย”
“ใครทำ--?! ไม่มี” ปัณวิทย์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกจับได้แบบนั้น คิ้วขมวดเข้ากันพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าของตัวเองที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เป็นแบบไหน
“นี่ถ้าอยู่ในห้องจะจับจูบให้หายอยากเลย” เขายืดตัวขึ้นเมื่อประตูลิฟท์เปิด แล้วเดินเข็นออกมาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด
“จะกอดปันแน่นๆ จะหอมให้คุ้ม เอาคืนช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน” เขากระซิบเบาๆ
“แค่เดือนเดียว อย่าพูดอะไรไร้สาระน่า” เด็กหนุ่มทำเสียงขุ่นทั้งๆที่รู้ว่าใบหน้าร้อนขึ้นขนาดไหน
“ตั้งเดือนนึงต่างหาก” เขาเปิดประตูห้องให้กว้างออกแล้วเข็นรถเข็นเข้าไปในห้องส่วนตัวปัณวิทย์... ที่กลายเป็นห้องของเขาในช่วงที่เจ้าตัวไม่ได้กลับมา
“ฟู..ฝุ่น..ใครมาแน่ะ”
เจ้ากระต่ายอ้วนกลมสองตัวที่ได้กลิ่นคุ้นเคยก็รีบกระโดดเข้ามาหาเจ้านายของตัวเอง ใช้เวลาไม่นานก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนฝ่าเท้าที่มีเฝือกล้อมอยู่พลางเงยหน้ามองหมายจะกระโดดขึ้นมานั่งบนตักอย่างเคย
“ว่ายังไงครับ ฟู ฝุ่น กระโดดขึ้นมาไม่ได้นะครับ ปันเจ็บอยู่นะ”
“ไม่ได้นะครับฟู ฝุ่น คนนี้ของพี่เดฟ ไปขี่กันเองไป” ชายหนุ่มทำเสียงอ่อนหวานล้อเลียนปัณวิทย์แล้วดุนก้นกลมๆที่นั่งอยู่ตรงเฝือกให้ลงไป
“ไปรอที่เตียงไป พวกอาหารสำรอง”
“เลิกเรียกว่าอาหารสำรองได้แล้วไอ้พี่เดฟบ้า” คนเจ็บหันไปโวยใส่แล้วมองกระต่ายสองตัวที่ดูจะฟังคำสั่งของชยางกูรรู้เรื่องพากันกระโดดไปที่เตียง
'พี่บ้า'ไม่ฟังเสียงบ่น เขาจอดรถเข็นตรงที่ว่างแล้วช้อนตัวคนตัวเล็กกว่าเหมือนเวลาอุ้มเจ้าสาว
“อย่าดิ้นนะ หมอบอกห้ามขยับเยอะ” น้ำเสียงที่ปั้นให้ดุยังมีอาการหลุดออกมาปน
เขาแกล้งเดินช้าๆ พลางจรดจมูกลงบนแก้มขาวๆของปัณวิทย์ ก่อนจะพาร่างในอ้อมกอดวางลงบนเตียงนุ่ม
พออีกฝ่ายปฏิบัติให้ราวกับเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่ต้องทะนุถนอมแบบนี้ปัณวิทย์ก็โต้ไม่ออก
...จะทำให้เขินไปถึงไหนกันวะ!!!!!
“ง่วง... จะนอนแล้ว” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็พูดได้แค่นี้
“ไม่ให้นอน” พอวางได้ปุ๊บ ชยางกูรก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนอนข้างๆแล้วดึงเข้ามากอดไว้
จมูกโด่งซุกในเรือนผมกลิ่นหอมหวานในขณะที่ริมฝีปากแตะจุมพิตที่เส้นผมนับครั้งไม่ถ้วน
“รักปันนะ....”
“ร... รู้แล้วน่า” เขาทำเสียงขุ่นขึ้นมาอีกพลางเอี้ยวใบหน้าหลบ ร่างกายที่บาดเจ็บยังไม่หายทำให้ขยับตัวไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่
“ย้ำบ่อยๆ..ปันจะได้ไม่ลืม” ชยางกูรทัดเส้นผมสีทองที่ตกระใบหน้าไว้ข้างหูแล้วโน้มกายลงคลอเคลียจมูก สูดกลิ่นแก้มหอมๆ
ความอบอุ่นของร่างกายที่ถ่ายทอดสู่กัน...ไม่เท่าความอบอุ่นในหัวใจ
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นานที่ได้เจอกัน แต่ความผูกพันที่ฝังรากลึกกลับเป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้คนที่เคยเจ็บช้ำกับความรักอย่างชยางกูร ถูกลบเลือนด้วยความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน
“...อย่าทิ้งพี่นะ...” เสียงทุ้มเอ่ยอ้อนด้วยความรักอันท่วมท้น
“.... ไม่ทิ้ง...” เขาตอบรับเสียงอ่อนขณะยอมโอนอ่อนตามสัมผัสแผ่วเบา แขนข้างที่ไม่บาดเจ็บจนต้องใส่เฝือกค่อยๆยกขึ้นมาก่อนจะแนบฝ่ามือลงข้างแก้ม
“อย่าทิ้งกัน... ก็แล้วกัน”
“....สัญญา..” ชยางกูรเลื่อนแขนมาแล้วเอามือวางไว้บนเฝือกสีขาวที่มีรอยเขียนเล่นของอาธิปและศิวะ
นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างมองสบกับนัยน์ตาเรียวคมเชิดนิดๆของปัณวิทย์ ก่อนที่จะรู้ตัว..ริมฝีปากก็แตะลงแลกจูบหวานหวาม..ซ่านไปถึงหัวใจ
ขอเพียงแค่นี้ บางทีนี่อาจจะพอแล้วก็ได้สำหรับเขา หากไม่ต้องคิดถึงเรื่องของพลภัทรอีกเลยได้คงยิ่งดี ทว่าลึกๆในใจก็ยังหวังที่จะได้รับความรักจากคนที่เคยเรียกว่าพ่ออยู่
แต่ในตอนนี้ ความรักที่ชยางกูรมอบให้นั้นโอบล้อมเอาไว้จนอบอุ่น
...แล้วคงมีสักวัน ที่จะอยู่ได้ด้วยความรักจากชยางกูรเพียงคนเดียว
//////////////////
“หลบไป---หลบหน่อย---” เสียงเป็ดๆของอาธิปดังขึ้นในทุกทางที่เดินผ่าน เด็กหนุ่มเข็นปัณวิทย์ตัดผ่านทางแถวนักเรียนที่แหวกให้อย่างสบายอารมณ์ โดยที่มีศิวะซึ่งวันนี้โดดซ้อมตามมาด้วย
“ไม่ต้องเสียงดังก็ได้เว้ยอัฐ คนมองหมดแล้วสัด” ปัณวิทย์เอ่ยปรามเพื่อนของตัวเองเมื่อพบว่าสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เขาด้วยความแปลกใจ
“ไม่ได้เว้ย เดี๋ยวพวกมันเหยียบเท้ามึง กูก็ซวย โดนพี่เดฟด่าฐานไม่ดูแลเมียรักเขาให้ดีๆ” หนุ่มหน้าตี๋แล้บลิ้นทะเล้น โดยมีแบคกราวน์เป็นหนุ่มนักกีฬายืนส่ายหัว
“เชี่ยอัฐ กูก็อายด้วย...หุบตูดเหอะมึง”
“เมียรักเหี้ยอะไรไอ้อัฐ ไม่เลิกนะมึง” แม้จะอยากตบหัวเพื่อนตัวดี แต่ก็ทำได้แค่ขู่เท่านั้น
“โอ๋ๆ กูล้อเล่น แต่เออ..กูมีข่าวมาบอก-- วันก่อนกูเห็นน้องแพนผู้จัดการชมรมบาสลากไปอัฐสารภาพรักอยู่ กูไม่ได้แอบฟังนะเว้ยแต่กูได้ยินเอง เพื่อนกูแม่งเสือกเนื้อหอมกับผู้ชายซะงั้นอ่ะ ห่า..หน้าอย่างไอ้ซายน์แม่งมีดีตรงไหนวะ แค่สูง เรียนเก่ง “ อาธิปพูดอย่างเป็นต่อพลางยักคิ้วล้อเลียน
“ว่าไงไอ้ปัน ในฐานะผู้มีประสบการณ์มาก่อน ให้มันคบกันดีเปล่าวะ” อาธิปถามโดยไม่สนใจศิวะที่ขมวดคิ้วอยู่
“อ้าว มาถามอะไรกูวะ ไอ้ซายน์ชอบก็คบดิ” ปัณวิทย์ตอบหน้าตาเฉย แต่เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ จะบอกไม่ให้คบหรืออะไรก็ดูจะแย่ไปสำหรับตัวเองที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“... ก็ไม่ได้ดีนักหรอก แต่ถ้ามึงชอบก็คบ”
“กูก็ไม่ได้อะไร..แต่แบบ..ยังไม่ได้ปฏิเสธ” ศิวะอ้ำอึ้ง...เขาไม่ได้ชอบรุ่นน้องคนนั้น แต่ไม่ได้รังกียจถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าแล้ว
“ห่า คบไปเลยมึง เปิดโลกใหม่ เผื่อติดใจ”
“สัด มึงก็พูดได้ดิ่ มึงก็หาผู้ชายมาคบดิ่...เรื่องความรู้สึกมันไม่ใช่เล่นๆนะเว้ย ใช่ไหมปัน” ศิวะถามคนที่น่าจะเข้าใจที่สุดในที่นี้
“เดี๊ยะไอ้อัฐ มึงโดนผู้ชายเอาสักทีไหม กูจะได้รอสมน้ำหน้า” เขาหันไปพูดกับเพื่อนหน้าตี๋ที่ยังลอยไปมาไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“เรื่องแบบนี้แม่งไม่เล่นแล้ว...”
“กูขอหล่อๆรวยๆนะเว้ย ยาจกกูไม่เอา กูจะให้แม่งเลี้ยงกูทุกวันเลย” อาธิปพูดกลั้วหัวเราะแล้วจอดรถเข็น
“พี่เดฟมารอแล้วมึง หน้าที่ตัวประกอบหมดแล้ว”
อาธิปและศิวะยกมือไหว้ชยางกูรที่เดินเข้ามา ชายหนุ่มผมทองก้มหัวพร้อมยิ้มรับ
“เป็นไงมั่งปัน วันนี้เจ็บขาป่ะ”
“ไม่เจ็บ... จะเจ็บก็เพราะไอ้อัฐนั่นแหละ พูดมาก” คนเจ็บที่ว่าไม่เจ็บแล้วรีบโยนความผิดไปให้เพื่อนข้างหลังทันที
“วันนี้มีเค้กปะ”
“ยังไม่ได้ซื้อมา พอดีเพิ่งเลิกประชุม” เหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผากบอกได้ดีว่าคนมารีบร้อนแค่ไหน
“ไปกินกันไหม ชวนอัฐกับซายน์ด้วยสิปัน”
“ไม่เอา แม่งปากหมา ไม่ได้กินเค้กดีๆแน่” เพราะไม่อยากเปิดเผยตัวตนของตัวเองยามอยู่กับชยางกูรให้เพื่อนเห็นชัดๆเท่าไหร่นัก ถึงได้ตอบปฏิเสธเช่นนั้นไป
“พวกมึงไม่ชอบเค้กใช่ปะ”
“โคตรชอบเลยว่ะ” อาธิปเดินเข้าไปแกล้งควงแขนชยางกูรแล้วซบไหล่
“พี่เดฟฮะ น้องอัสซี่อยากกินเค้กด้วยอ่ะฮะ ไปด้วยได้ม้า---”
ยังไม่ทันที่คนถูกเกาะจะได้หัวเราะหรือพูดอะไร ศิวะกลับเป็นฝ่ายดึงคอเสื้อให้มือปลาหมึกหลุดออกมาแทน
“เชี่ยอัฐ น่ารักตายอ่ะ มึงกลับกะกูเนี่ยแหละ เป็นไม้กันหมาน้องแพนให้กูหน่อย...มึงอย่าไปเสือกเรื่องผัว-- เอ่อ..เรื่องครอบครัวเขา” เพราะอาธิปเอาแต่พูดว่าเป็นผัวเมีย..เลยเกือบจะหลุดปากออกไปตามแล้ว
“โห่ยซายน์ เอากูเป็นไม้กันหมาเดี๋ยวแม่งก็ไปลือแปลกๆ ว่ามึงเอากูเป็นแฟนหรอกสัด” อาธิปว่าพลางดึงคอเสื้อตัวเองให้เข้าที่อย่างเดิม
“มึงอิจฉาที่ซายน์เนื้อหอมอะดิอัฐ” ปัณวิทย์ถือโอกาสนี้เอาคืนบ้างเล็กน้อย
“เออ..แม่ม ดีกว่ากูเท่าไหร่กันเชียว ทั้งสาวทั้งหนุ่มตามกันเป็นแมลงวันตอมขี้” อาธิปบ่นติดตลก
“ก็สูงกว่ามึง เรียนเก่งกว่า หน้าตาดี นักกีฬาโรงเรียน จบป่ะ”
ชยางกูรได้แต่ขำกับท่าทางของเพื่อนทั้งสองของปัณวิทย์ที่ดูจะกินกันไม่ลง ร่างสูงเข็นค่อยๆแล้วก้มตัวลงช้อนร่างปัณวิทย์มาไว้ในอ้อมแขน
“เฮ้ย อุ้มทำไม!!” ปัณวิทย์รีบร้องโวยวายทันทีเมื่ออีกฝ่ายช้อนตัวขึ้นไว้
“โหพี่เดฟฮะ ทำแบบนี้ต่อหน้า น้องอัสซี่เสียใจนะฮะ” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ดูจะยังสนุกสนานไม่เลิก
“ก็ปันเขาเดินไม่ได้ อัสซี่อย่าเสียใจนะครับ” ชายหนุ่มทิ้งสายตาขี้เล่นก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“สรุปให้เพื่อนไปด้วยหรือเปล่า” ชยางกูรกระซิบข้างหูปัณขณะที่พาใส่รถ
“ไม่ให้ไป! ไม่กินแล้วด้วยเค้กน่ะ” เด็กหนุ่มทำเสียงเข้มพลางขมวดคิ้วหากันแทบจะทันที
“พวกมึงกลับบ้านไปเลยไป กูไม่ให้ไป จะกลับบ้านนอนแล้ว”
“โหย มีงอนนะมึงเดี๋ยวนี้” อาธิปยิ้มขำ
“กูไม่ไปก็ได้วะ อยู่เป็นไม้กันหมาไอ้ซายน์ก่อน...เหี้ยแม่ง หล่อเดือดร้อนเพื่อน”
ศิวะนึกขำกับคำนิยามของไอ้หน้าตี๋เพื่อนเขา ชายหนุ่มกอดคอคนเตี้ยกว่าไว้พลางดึงไม่ให้ไปแกล้งได้
ชยางกูรพับรถเข็นแล้วเอาใส่หลังรถ มือใหญ่จับศีรษะคนรักโยกเล่น
“เออ กลับบ้านดีๆนะปัน” ศิวะพูดแล้วโบกมือให้
“พวกมึงด้วย เจอกันเว้ย” เด็กหนุ่มยิ้มกวนก่อนจะกดเลื่อนกระจกให้ปิดลง และทันทีที่กระจกเลื่อนปิดสนิท เขาก็หันมาหาคนที่กำลังออกรถทันที
“บ้าหรือเปล่า ใครให้อุ้ม”
“ไม่มีใครใช้ อุ้มเอง” ชยางกูรยักไหล่แล้วตอบกวนอารมณ์อีกฝ่ายเล่น
“อย่าอุ้มต่อหน้าคนดิ” ปัณวิทย์ทำปากเบ้แล้วแสร้งหันหน้าหนีออกไปอีกทางเพื่อแสดงออกให้ชัดเจนว่าไม่ชอบใจ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ปันขาหักไงเลยเป็นข้ออ้างอุ้มได้ ถ้าขาไม่หักก็แปลกตาย” รอยยิ้มละมุนแตะลงบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มลูกครึ่ง
“คราวหลังไม่ทำแล้วก็ได้ แต่เวลาไม่มีคนอยู่ขอทำให้นะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเว้าวอน
“....ร... รู้แล้วน่า” เขาเอ่ยตอบก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วลง
“วันนี้จะสระผม.....”
“คร้าบบ เดี๋ยวจะปรนนิบัติให้อย่างดี เอาให้สะอาดทั่วทั้งตัวเลย” ชยางกูรหันไปหาระหว่างที่ติดไฟแดงแล้วขโมยหอมรวดเร็ว
“แถมเป่าผมให้ด้วยเอ้า”
“อือ..... จริงๆป่วยแบบนี้ก็ดีนะ เหมือนเป็นราชาเลย” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องทำอะไรเอง อยากป่วยนานๆแล้วสิ”
“ไม่เอาหรอก....ป่วยก็ดีจะได้ดูแล แต่ไม่ป่วยดีกว่าเพราะว่า.........” นัยน์ตาสีสวยมองฟ้องความนัย
“อดใจจะกอดไม่ไหวแล้ว รับรองว่าหายเมื่อไหร่....ไม่รอดแน่!”
“งั้นจะป่วยไปอีกนานๆเลย” ปัณวิทย์ยิ้มกว้างก่อนจะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
To Be Continued.....