(ครึ่งที่เหลือครับ ต่อเลยนะ)
ทิมกลืนน้ำลาย สีหน้าดูลำบากใจ ข้อมือและวงแขนขยับไปมา “พี่ครับ มีอีกเรื่องที่ผมต้องขอโทษ ตอนนั้น... แผลต่างๆ บนตัวนั่น ผมหมายความว่า... คือมันไม่ได้เกิดจากปัญหากับพวกคนงานตามไซด์ ผมรู้ว่าจะทำให้เป็นห่วงแต่ผมอยากให้พี่เบาใจ ความจริงก็คือผมได้ข่าวมาว่าพวกมันวางแผนชั่วเอาไว้ เลยมาดูที่ตลาดตอนกลางคืนอยู่หลายวัน แล้วก็เจอพวกมันเข้า คิดว่าจัดการกับมันไปแล้วแท้ๆ ไม่คิดว่ามันจะไม่ยอมรามือ”
“บ้าจริง คิดไหมว่าถ้าเป็นอะไรไป... ทำไมถึงทำเพื่อคนอื่นมากมายขนาดนั้น” คะน้าน้ำตาซึมออกมา ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีใครที่เพื่อเขามากมายถึงเพียงนี้
“เคยบอกแล้วไงว่าอย่าร้องไห้” ทิมระบายรอยยิ้มแล้วลูบหัวคะน้าอย่างอ่อนโยน คะน้ารีบหลบสายตาคู่นั้นก่อนจะกลั้นความเอ่อชื้นเอาไว้ไม่อยู่
“พี่ครับ... สำหรับผม พี่ไม่ใช่คนอื่น พี่เป็นคนสำคัญ”ทิมพูดให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยิ่งเนิ่นนานคำสารภาพเหล่านั้นกลับมีแต่ทำให้หัวใจของคะน้าสั่นไหวอย่างแรงจนเหมือนจะหยุดเต้นเอาง่ายๆ เขาพยายามอย่างหนักในการวางตัวให้อยู่นิ่งๆ ทั้งที่ในใจกระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว
“ผมไม่ไว้ใจใคร ผมไม่รู้ว่าผมไว้ใจใครได้บ้าง ก็อย่างที่พี่เห็น ขนาดเขาวางแผนเผาตลาด ใครก็ยังหาเรื่องมาเอาผิดแทบไม่ได้ นับประสาอะไรกับชีวิตคน พี่ไม่ใช่คนโกหกที่เก่งเลย มันออกมาหมด พี่เป็นคนดีเกินกว่าจะทำเรื่องแย่ๆ แบบนั้นได้” ทิมกอดคะน้าแน่นแล้วผ่อนลมหายใจพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ
“แต่ผมทำได้ ...ทำได้ดีด้วย ละครตบตาเรื่องนี้ ถ้าจะมีใครสักคนเหมาะกับเป็นตัวโกงเป็นคนเลว ผมคิดว่าผมเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“นั่นไม่ใช่ความจริงเลย”
คะน้าแย้งขึ้นอย่างไม่รีรอ เขาคิดว่าบางทีน้ำตาพวกนั้นที่เริ่มเอ่อบนดวงตาทั้งคู่ ได้ละลายก้อนแข็งๆ ที่กัดกร่อนในใจมาเป็นเวลานานจนเกือบหมดไม่มีเหลือ ทิมส่งยิ้มให้เขา นั่นเหมือนกับรอยยิ้มในวันแรกที่คะน้าเห็นไม่มีผิด
“ขอบคุณนะครับ แต่รู้ไหม ผมอยากให้พี่เป็นพี่มากกว่าต้องฝืนตัวเองนะ ...และผมก็รักพี่ที่เป็นแบบนั้นด้วย” ทิมหยุดพักเพื่อสูดลมหายใจชั่วครู่ “แต่ผมก็พลาด สุดท้ายมันก็เกิดความสูญเสียขึ้น”
“มีคนบอกว่านายอยู่ที่นั่นตอนเกิดไฟไหม้”
“ผมพยายามดับไฟ แต่มันไม่สำเร็จ พวกมันวางแผนมาดี จุดเชื้อจากไฟฟ้าที่ทำให้ลัดวงจรด้วยฝีมือพวกมัน มีการวางเชื้อไฟในตลาดไว้มาก กว่าจะฟื้นตัวมาได้ ผมก็รีบโทรเรียกรถดับเพลิง แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ตัดไฟฟ้า และปลุกชาวบ้านละแวกนั้นให้ลุกขึ้นมาช่วยกัน ผมช่วยดับไฟอยู่ตรงต้นเพลิง พยายามติดต่อเรียกรถดับเพลิงจากเขตอื่นๆ แต่พอกลับมาทางเข้า ผมก็เห็นพี่อยู่กับ...หมอ”
เสียงของทิมหยุดอยู่แค่นั้น สั่นและดูคล้ายกับคนที่ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่น ร่างสูงนั้นดูเหมือนจะย้อนวัยกลับไปสู่ภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่เดียวดายในความมืดอีกครั้ง ทิมมองจ้องตรงไปกำแพงด้านหน้าที่ว่างเปล่า “ผมพยายามเชื่อมั่นในตัวพี่ รู้ทั้งรู้ว่าคนแบบพี่ไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ แต่ไม่รู้สิ ผมห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ ตอนที่ผมเห็นพี่ดูรูปเก่าๆ ที่ถ่ายกับมันในคอมฯ ผม... กลัว”
คะน้ายกมือลูบไปบนวงแขนของทิมเบาๆ ก่อนจะโอบทับเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี “ขอโทษที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นนะ ผมควรทำให้นายรู้สึกมั่นใจกว่านี้”
ทิมยิ้มหยันให้กับตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้น เอนหัวพิงไปบนกำแพงเย็นๆ นั่นอย่างยอมรับ “อย่าโทษตัวเองเลย ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้แว่นนั่นเอามากๆ แต่ผมก็ยอมรับนะ ...เขาเป็นคนที่ดีมากๆ เลย เทียบกับตัวผมแล้ว ไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย”
“ทิมมม...”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ตอนนี้ผมโล่งใจนะ อย่างน้อยผมก็พอจะช่วยพี่หรือทำอะไรเพื่อพี่ได้บ้าง ที่ผ่านมาผมได้แต่รู้สึกอิจฉาหมอนั่นมาโดยตลอด ตอนนี้ ผมก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าผมก็พอเป็นคนดีกับเขาได้เหมือนกัน พอได้ระบายอะไรๆ ออกมาตอนนี้มันก็โล่งดีนะ” ทิมยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย คะน้ามองรอยยิ้มนั้นแล้วคิดทบทวน เขาเองก็มีสิ่งที่อยากระบายออกมาเช่นกัน สิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจมาเนิ่นนาน สิ่งที่เขาอยากรู้แต่กลับไม่กล้าที่จะถามสักครั้ง
“มีเรื่องที่ผมคาใจอยู่มานานมากแล้ว พอจะบอกผมได้ไหม”
ทิมหันมาสบตาคะน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน “ได้สิครับ ไม่มีอะไรให้ต้องเล่นละครกันอีกแล้ว”
“มันเป็นเรื่องยากมากที่ผมจะเข้าใจ แล้วมันก็ทำให้อึดอัดใจมาโดยตลอด ถ้าเป็นไปได้ ก็จากฟังจากปากของนายเอง ตอนนั้น... นายจูบกับตุลไปทำไม”
ชายหนุ่มเงียบไปสักพักราวกับพยายามกลั่นกรองถ้อยคำต่างๆ ที่มีในใจเพื่อที่จะให้คำตอบตรงกับความรู้สึกจริงๆ ทั้งหมดที่มี “ผมไม่รู้ แต่มันไม่ใช่ความรักหรือความต้องการทางเพศ มีเหตุผลหลายๆ อย่างที่แม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูก”
“มีเวลาฟังอีกเหลือเฟือ ผมอยากรู้จริงๆ พูดมาตรงๆ เถอะทิม” ทิมนิ่งคิดอย่างตรึกตรอง ร่างสูงนั้นเงียบไปครู่ใหญ่ราวกับจะเลี่ยงพูดคำตอบที่ถูกถามนั้น
“...อิจฉา” ทิมตอบออกมาในที่สุด “ผมอิจฉาที่เขาคบกับพี่ในฐานะแฟน ผมไม่ยอมรับ รับไม่ได้ และผมจะไม่ยอมเลิกรา ผมจะทำทุกอย่างให้พี่กับเขาเลิกกัน”
“มันไม่เด็กไปหน่อยเหรอ”
คะน้าหันกลับมามองดูที่อยู่ด้านหลัง ทิมในตอนนี้เหมือนกับเด็กวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ ธรรมดา ไม่ได้ดูทันเกมธุรกิจ หรือคิดรอบคอบแตกฉานแบบทุกครั้ง สุดท้ายแล้ว ทิมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีแต่ข้อดีที่ดูเพียบพร้อมไปทุกอย่าง เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีด้านดีและด้านไม่ดีคละๆ กันไป และคะน้าเองก็ชอบกว่าที่ทิมจะเป็นอย่างนั้นมากกว่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์ไปทุกด้าน
“ผมขอโทษ ผมคิดว่าพี่รักผม ผมแอบมองพี่ทุกวันและไม่คิดว่าตัวเองมองพลาด ผมคิดว่าลึกๆ เราน่าจะชอบกัน แต่ทำไมพี่ถึงเลือกเขา ทำไมผมต้องช้าไปทุกที ให้ตายซะดีกว่า ผมเสียพี่ไปไม่ได้จริงๆ” ทิมระบายความรู้สึกที่อัดแน่นออกมาราวกับระเบิด
“เท่านั้นน่ะเหรอ” คะน้าถามพร้อมรอยยิ้ม จริงอยู่ที่เขาให้ความสำคัญกับคำตอบของทิมมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องจริงจังขนาดคอขาดบาดตาย เรื่องนิสัยเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไรแบบที่เขายอมรับไม่ไหว
“...ผมสับสน” ทิมระบายลมหายใจอุ่นๆ ออกมาอีกครั้ง “ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะ... คือยังไงดีล่ะ มันไม่เคยอยู่ในความคิดเลย การที่จะมารักผู้ชายด้วยกันแบบนี้ ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ถ้าผมจูบกับพี่แล้วรู้สึก แล้วผมจะรู้สึกกับคนอื่นอีกไหม จะว่ายังไงดีล่ะ ใครๆ ก็บอกว่าหมอตุลเป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ดูเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมจนน่าอิจฉาเลยล่ะ ถ้าผมชอบเพราะอยากลอง มันก็น่าจะทำให้ผมได้พบกับคำตอบที่ค้นหาหรือเปล่า”
“แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
คะน้าถามเสียงนิ่ง หากแต่ในใจรู้สึกขบขันอยู่พอสมควร เขาเองก็ผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาเช่นกัน ทั้งสับสน ลังเล คิดไม่ตก ผิดกันตรงที่ว่าตัวคะน้าดันเป็นฝ่ายถูกจู่โจมจากผู้ชายสองคนจนไม่ได้มีโอกาสไปคิดทำอะไรวุ่นวายแบบนั้น ถ้าเขามีแค่คนเดียวที่เข้ามา บางทีคะน้าอาจจะทำอะไรพิสดารกว่าทิมก็ได้ คนที่ต้องตอบคำถามทำหน้าแปลกประหลาด ทิมกลืนน้ำลายแล้วทำหน้าคล้ายอยากสำรอก
“เอาเป็นว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยได้ไหม มันไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย”
“ไม่ใช่ว่าจริงๆ อยากเปลี่ยนเรื่องเพราะรักตุลหรอกเหรอ ซื้อดอกกุหลาบสีแดงไปให้ที่ห้องพักด้วยนี่นา” คะน้ายังไม่เลิกเย้า อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เขายังสงสัย
“ช่วงนั้นผมต้องไปโรงพยาบาลทุกวัน ผมไปเยี่ยมแม่ที่อยู่โรงพยาบาล ผมก็แค่ซื้อดอกไม้ไปขอบคุณ ผมไม่ได้เล่าเพราะแค่ไม่อยากให้พี่เป็นกังวลแทน แต่มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยจริงๆ ผมสาบานได้ หมอก้อยเป็นหมอที่ดูแลคุณแม่ผมเอง” ทิมชูนิ้วสามนิ้วขึ้นมาเหมือนตั้งคำปฏิญาณ
“ตุลบอกว่ารู้จักกับนายมาก่อน”
คะน้าถามขึ้นอีกครั้ง ทิมเงียบสงบไปในทันที วินาทีนั้นคะน้ารับรู้ถึงความสั่นไหวที่อาจทำลายแม้คำสัญญาที่ทิมลั่นไว้ว่าจะพูดความจริงทุกอย่าง ...ไม่สิ ทิมพูดความจริงทุกอย่าง คะน้ารู้สึกได้ว่ามันเป็นความจริงนับตั้งแต่ต้น เพียงแต่ดูเหมือนว่าร่างที่กำลังสั่นไหวเล็กๆ ในตอนนี้ ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองต่างหากว่าจะยอมพูดทุกอย่างที่เป็นความจริงออกมาได้แบบที่ทำอยู่นี้
“นั่นสินะ หมอนั่นยังจำคนเลวๆ แบบผมได้จริงๆ ด้วย” ดวงตาสีดำคู่นั้นหม่นลงคล้ายกับย้อนตัวเองกลับไปในความทรงจำที่ถูกฝังไว้เนิ่นนาน คะน้านั่งนิ่งๆ เขาไม่ได้ตั้งใจรื้ออดีตขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือทำร้ายใคร
“จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดเรื่องอดีตเลย แต่มันสั่นคลอนความรู้สึกในใจ ทิม... ผมพอทราบว่าเคยมีผู้ชายมา... เอ่อ... ชอบนาย ตอนนั้น นายก็ประกาศตัวว่าเกลียดอะไรพวกนี้ รับไม่ได้ ซ้ำยังทำอะไรต่างๆ นานา” คะน้ามองลึกไปในม่านตาคู่นั้น และเห็นเพียงแค่สีดำที่ว่างเปล่า “สำหรับผมแล้ว อดีตไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ใครๆ ก็เคยมีเรื่องผิดพลาดที่ตัวเองก็ไม่อยากจดจำ แต่การแสดงออกว่าเกลียดแบบนั้น ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่า...นายเปลี่ยนไปแล้ว”
“นั่นสินะ ผมมันเลวจริงๆ” ทิมหยุดคำพูดเหมือนกับจะหยุดลมหายใจตัวเอง “...ในตอนนั้น ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่านภจะคิดแบบนั้น เราสนิทกัน ...หมายถึงเราเป็นเพื่อน เป็นเหมือนกับพี่น้อง รวมทั้งพี่ตุลด้วย พวกเขาดีกับผมมาก กับคนที่ไม่เคยมีใครแบบผมแล้ว... ตลกไหมนะ ผมคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องจริงๆ” ทิมยักไหล่แล้วยิ้มเศร้า
“วันนั้นเรากินเบียร์กัน มันก็เหมือนปกติทั่วไป แล้วจู่ๆ นภก็บอกเรื่องนั้นกับผม ผมตกใจและไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่เคยคิดอย่างอื่นกับนภไปมากกว่าเพื่อนหรือพี่น้อง ผมปฏิเสธ แต่นภบอกว่าจะรอ ผมไม่รู้ ผมไม่ชอบให้ความหวังใคร ยิ่งเขาไม่เลิก ยิ่งดีกับผมเท่าไหร่ ผมยิ่งทำให้เขาไปไกลๆ มากขึ้นเท่านั้น” เสียงทุ้มนั้นเนิบช้าลง
“ความมีน้ำใจ บางทีมันก็โหดร้ายไม่ใช่เหรอ เพราะมันจะทำให้เราเคยชินกับความสุขจนไม่อยากขาด และพอยิ่งนานก็ยิ่งถลำตัว ยิ่งผูกพัน”
คะน้าตรึกตรอง สิ่งที่ทิมคิดนั้นไม่ใช่เรื่องผิด หากปัญหาต่างๆ นั้นเปรียบกับโรคภัยที่ต้องกำจัดรักษา วิธีที่จะใช้รับมือกับปัญหาของคนเรานั้นก็คล้ายกับยาสารพัด มียามากมายให้เลือกใช้ให้เหมาะกับการวินัจฉัยของแพทย์เจ้าของไข้ที่มีความถนัดต่างกันออกไป วิธีการของทิมอาจดูเหมือนคนเลือดเย็น แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการจ่ายยาแรงที่ไม่เลี้ยงไข้ ทว่าเห็นผลชัดเจน กระนั้นคะน้าก็อดที่จะตั้งคำถามกับบางเรื่องไม่ได้
“แล้วทำไมถึงเป็นผม”“ถ้าถามว่าทำไมพี่ถึงดึงดูดผม ผมตอบได้อย่างไม่ลังเล พี่เป็นคนดี มีน้ำใจ พี่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร และอะไรอีกเยอะแยะ ...พี่ครับ มันมีเหตุผลมากมายที่ผมจะตอบและมันคงไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าพี่ถามว่าทำไมผมถึงรักพี่ ผมเองก็ตอบไม่ได้” ทิมไหวหน้าตัวเองไปมา นึกในสิ่งที่ค้นหาอยู่ไม่เจอจริงๆ “เชื่อไหมว่าเคยถามตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย ความรู้สึกมันบอกแค่ว่ามันใช่ล่ะมั๊ง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย”
“มันก็น่าจะมีเหตุผลอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ สิ่งที่แตกต่าง นิสัยใจคอ รูปร่างหน้าตาหรือเหตุผลอะไรสักอย่าง”
“การที่ผมจะรักพี่มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?”ทิมตอบด้วยเสียงนิ่ง เสียงทุ้มนั้นยังดังอย่างต่อเนื่อง “ถ้าวันหนึ่งรูปร่างหน้าตาแบบที่ชอบมันเปลี่ยนไป ถ้าวันหนึ่งพี่สูงขึ้น อ้วนขึ้นผอมลง ขาวหรือคล้ำกว่าเดิม ขี้บ่นหรือเงียบมากขึ้น ถ้าวันหนึ่งพี่เลิกชอบทำอะไรแบบที่ผมชอบ แล้วแบบนั้น ผมก็ต้องเลิกรักพี่สินะ” คะน้าอยากจะอ้าปากค้าน แต่เขาก็จนถ้อยคำ ทิมพูดเหตุผลได้น่าสนใจทีเดียว
“ความรักของผมไม่เคยมีเหตุผลเลย ผมแค่ชอบพี่ในแบบที่พี่เป็น”ชั่วขณะหนึ่งที่ทิมทำให้คะน้ากลับมารู้สึกประหลาดใจได้อีกครั้ง เขาพยายามเสาะหาหลักฐานบางอย่างว่านั่นคือการปั้นคำที่สวยหรูชวนฟังหรือคำสัตย์ หากแต่ผู้พูดนั้นกลับรักษาท่าทีที่เป็นธรรมชาติของตัวเองเอาไว้ได้อย่างจริงใจ จนคะน้าต้องยอมจำนนพร้อมกับหัวใจของตัวเองที่กำลังพองโตเหมือนรอเวลาระเบิด
“เกลียดผมหรือเปล่า บางทีก็ทำแต่เรื่องแย่ๆ ให้หนักใจ” คะน้าส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้ม ดูเหมือนนั่นจะทำให้สีหน้าของทิมดูโล่งใจขึ้น
“...นึกว่าจะถูกเกลียดเสียแล้ว
ทิมขยับตัวเล็กน้อยแล้วกระชับอ้อมแขน ริมฝีปากนั้นเบียดแนบเข้าด้านข้างของใบหน้าคะน้า กระซิบคำถามที่สงสัยด้วยน้ำเสียงที่เว้าวอน
“บอกผมทีได้ไหม พี่ยังรักคนๆ นี้อยู่หรือเปล่า”
คะน้ากดใบหน้าของตัวเองลงกับซอกคอของเจ้าของไออุ่นจากด้านหลัง รู้ตัวดีว่าร่างกายตัวเองกำลังร้อนผ่าวไปด้วยคำหวานที่ตรงเป็นขวานผ่าซาก และถึงแม้จะพยายามสะกดความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน ในใจก็ยังสั่นวาบ ...เขากำลังรู้สึกเขิน และมากด้วย
พูดมาได้ยังไงวะ? ไอ้หน้าด้าน ไม่รู้จักอาย“นั่นอยู่เหนือข้อตกลง ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
บางทีคะน้าก็รู้สึกว่าพักหลังๆ ตัวเขาเองกลับกลายเป็นคนมีจริตขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ และแปลกที่ความรู้สึกนี้จะเด่นชัดขึ้นทุกครั้งเวลาที่อยู่ต่อหน้าทิม หากแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ใคร่สนใจอะไรมากมาย ทิมยังส่งยิ้มหวานด้วยท่าทางที่กวนๆ แบบเดิมมาเช่นทุกครั้ง
“ผมเล่าให้ฟังทุกๆ เรื่องแล้ว ขอทวงสัญญาแล้วกัน”
“สัญญาอะไร”
คะน้าถามด้วยความรู้สึกสงสัยระคนกับความหวั่นใจเล็กๆ ทิมกระชับวงแขนตัวเองขึ้นอีกนิดแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจที่ผ่าวร้อน มือข้างนั้นลูบเบาๆ บนเส้นผมของเขา ทิมยิ้มอย่างอ่อนโยน
“จูบอีกทีได้ไหม”“ในหัวไม่มีเรื่องอื่นเลยหรือไงกัน?”
คำบ่นนั้นทำให้ทิมหัวเราะเสียงใส คะน้าถอนหายใจแล้วโน้มใบหน้าเข้าหาคนที่ร้องขอ ทิมทวงคำสัญญาด้วยริมฝีปากที่บดเข้าหาความนุ่มนวลนั้นเหมือนกับจะไม่ยอมให้สิ้นสุด ครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มต้น และเริ่มต้นอีกครั้งไม่จบสิ้น
เขาไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หากนี่เป็นครั้งสุดท้าย วันสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่ได้ คะน้าก็อยากตามใจตัวเองให้เต็มที่ เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านไปทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ...รวมไปถึงคุณค่าของเวลา คะน้าตอบรับทุกสัมผัสที่ผ่าวร้อนนั้นอย่างเต็มความรู้สึก ร่างกายจดจำทุกครั้งที่ริมฝีปากนั้นแนบชิดแล้วบดเน้นบนเนินปากของตัวเองราวกับจะไม่มีวันเลือนลืม เป็นเวลาหลายนาทีกว่าทั้งคู่จะได้พักหายใจหายคอ
“จะทำยังไงต่อไป” คะน้าเอนหัวพิงเข้ากับใบหน้าของคนที่อยู่ด้านหลัง ยังรู้สึกเหนื่อยเหมือนกับตัวเองหายใจไม่ทัน มือซ้ายของทิมคลายตัวออกจากอ้อมกอดแล้วมาบีบมือเขาไว้เบาๆ
“ไม่รู้เลย”
“แล้วเรื่องคุณธาดา กับบริษัทล่ะ” ทิมชะงักสีหน้าไปเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา
“เขาผิดจริง แต่ผมก็หวังว่าจะยังตกลงพูดจากันดีๆ ได้ มันไม่ควรเลยเถิดมาไกลขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่มันก็แล้วแต่พี่กับพี่ผักกาด ผมจะไม่ขัดขวางอะไรเลย แล้วแต่พี่ตัดสินใจเถอะครับ” นับเป็นสิ่งที่ทำให้คะน้าตั้งคำถามย้อนกลับสู่ตัวเอง หากแม้นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวเขา คะน้าก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าเขาจะทำตัวอย่างไร เขาเลียริมฝีปากตัวเอง พยายามนึกหาถ้อยคำที่เหมาะสมและไม่ทำร้ายความรู้สึกกันเกินไป จนแล้วจนรอด เขาก็หาทางเลี่ยงไม่ได้
“แม้ว่าพ่อของนายจะต้องติดคุก หรือบริษัทจะล่มอย่างนั้นหรือ”
ทิมพยักหน้ายอมรับ ดวงตาคู่นั้นเวิ้งว้างเหมือนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด “มันเป็นผลจากการกระทำของเขาเอง ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมควรทำคือดูแลคุณแม่กับพี่ แล้วก็พี่ผักกาดให้มีความสุข ...ส่วนพ่อ ผมไม่ได้ผูกพันกับความรู้สึกนั้นแต่ต้นแล้ว จะมีหรือไม่มี ความรู้สึกของผมไม่เคยบอกว่าตัวเองขาดอะไรไป”
คะน้าโบกมือหยุดคำพูดของทิมไว้แค่นั้น เพียงเท่านี้ทิมและเขาก็บอบช้ำจนเกินพอกับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้แล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่หรือเปล่า คำถามมากมายก็เพื่อเส้นทางหลังการอยู่รอดเท่านั้น และสิ่งที่คะน้าอยากรู้จากปากของทิม ก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนไปหมดแล้ว
“คิดว่ามันจะมีทางลับหรืออุโมงค์ใต้พื้นดินแบบในนิยายไหม ถึงเวลาคับขัน เราก็พบกับทางออกปริศนาให้รอดไปได้” สมมติฐานแปลกประหลาดของคะน้าที่เหมือนจะรำพันออกมาให้ตัวเองฟังมากกว่าจะแบ่งปันกับใครนั้นเรียกรอยยิ้มของคนที่ได้ยินจุดขึ้นอีกครั้ง ทิมส่งยิ้มกว้างมาให้เขา สบตาแล้วพูดความมั่นใจ
“เราจะรอด”คะน้าเบือนสายตากับมามองแล้วตั้งคำถาม “ทำไมมั่นใจแบบนั้น”
“ผมพูดแต่เรื่องจริง พี่ก็รู้แล้วนี่ว่าถึงจะถ่อย พูดเพราะๆ ไม่ค่อยเก่ง แต่ผมก็ไม่เคยโกหกสักครั้ง” ทิมยกมือซ้ายขึ้นลูบคางของตัวเองไปมา ดวงตาคู่นั้นกลับมาวับวาวอีกครั้ง
“ก็ใช่” คะน้ารับคำไปตามความเป็นจริง คิดทบทวนดูแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับปัญหาแทนเขาจนได้แผลกลับมา เหมือนกับว่าทิมจะไม่เคยโกหกเขาเลยสักครั้ง
“นั่นรวมไปถึงที่บอกว่าแค่เห็นก้นพี่ ผมก็แข็งได้แล้วด้วย”“อ้อ นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องจริงด้วยเหรอ”
คะน้าขืนหัวเราะในลำคอ แม้จนปัญญาจะต่อความแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแขวะขึ้นมาให้พอหายอาการประเภทขอสักนิด ทิมหันมาส่งยิ้มหวานแล้วทำหน้ากวนประสาท คะน้าจำดวงตาเจ้าเล่ห์นั้นได้ แววตาที่ให้ความรู้สึกอันตราย แต่ก็อดไม่ได้สักครั้งที่จะจ้องมอง
“ผมไม่โกหกพี่ ...จะพิสูจน์ก็ได้”
รอยยิ้มนั้น เจ้าเล่ห์ชะมัด! ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คิดแล้วก็แอบเซ็งตัวเองอยู่ไม่หาย ไม่น่าพลาดเขียนตอนพิเศษขึ้นมาเลย
ไม่อย่างนั้นมาถึงช่วงท้ายๆ นี่คงจะลุ้นกันมากกว่านี้ (แค่นี้ยังไม่พออีกเรอะ!!!)
อย่าพลาดตอนหน้านะครับ มาถึงบทสรุปแล้ว ลุ้นกันว่าเรื่องนี้จะจบแบบไหน
+ 1 สำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ พบกันใหม่คราวหน้าครับ
อาจจะช้าหน่อยนะ เหมือนว่าจะเริ่มยุ่งๆ นิดนึง แต่ก็ไม่เกิน 1 สัปดาห์แน่นอนครับ
ขอกอดทิ้งทวนสักหนึ่งที แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ