(ครึ่งหลังครับ)
“ถามก็ไม่ตอบ พิลึก” คะน้ายิ้มน้อยๆ แต่ก็บ่นอุบถึงการปรากฏตัวของทิม แต่ชายหนุ่มเอาแต่นิ่งเฉยไม่ทำอะไรสักอย่าง แถมยังหันมาส่งสายตาหงุดหงิดใส่อีกคำรบ “ว่างมากไปเปล่า อินดี้ใช่ไหม มาติสต์ๆ เท่ๆ ที่ตลาดสดให้สาวๆ กริ๊ดเล่นๆ หรือไงกัน”
“ไม่ถามสักเรื่องจะขาดใจไหม?” ทิมหันมาส่งเสียงดุ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปมหนาบนใบหน้าที่ฉาบไปด้วยระเรื่อสีของแดดยามเย็น
“ก็นะ” คะน้าถอนหายใจพรืด จะว่าไปมันก็เรื่องส่วนตัวของทิม ไม่รู้ว่าตัวเองจะพลั้งเผลอไปก้าวก่ายทำไม เสียงถอนหายใจของคะน้าทำให้ทิมหันกลับมามองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนจะเริ่มทำท่าลุกลนประหลาด
“ก็ ...รอ” เสียงพูดราวกับรำพึงกับตัวเองดังแว่วในอากาศที่บางเบา แม้ว่าจะฟังดูชอบกลและค้างคาไม่รู้เรื่อง หากแต่คะน้าตัดใจไม่คิดจะไปก้าวก่ายใดๆ กับเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายให้หงุดหงิดใจอีก ว่าแล้วจึงขอตัวลาจากทิมเพื่อกลับบ้าน
“งั้นขอตัวกลับก่อนนะ” คะน้าหันไปลาแล้วก็เดินดุ่มๆ จากไปโดยไม่คิดจะฟังว่าคนตัวสูงเป็นเสาไฟฟ้าจะโต้ตอบอะไร
ทว่าเสียงฝีเท้าที่ดังกรอบแกรบอยู่เบื้องหลังทำให้คะน้าหันกลับมามอง ดูเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ที่อยู่ๆ ทิมก็เดินตามเขามาหน้าตาเฉย นึกโมโหอยากจะด่าว่าจะมาเพื่อกวนประสาทกันไปถึงไหน แต่นึกแล้วก็ไม่อยากจะสู้รบปรบมืออะไร หลายวันมานี้ เขาเองก็เหนื่อยและหนักมาพอแล้วกับอะไรมากมาย คะน้าอยากจะพักและพยายามไม่สนใจ หากแต่ทิมกลับเร่งฝีเท่าขึ้นมาเดินข้างๆ แล้วเดินคียงกันไปเรื่อยๆ จนจวนจะถึงที่จอดรถ
“อะไรอีกล่ะครับ” คะน้าลอบถอนใจเบาๆ แล้วหันกลับมาด้วยความจำนน ยอมแล้วทุกอย่าง ไม่อยากจะผิดใจอะไรกับใคร ยิ่งลึกๆ นั้นรู้ดีว่าทิมคือคนที่ตัวเองรู้สึกมากมายขนาดนี้ด้วย ยิ่งแล้วใหญ่
“ก็จะกลับบ้านแล้วไม่ใช่หรือไง” ทิมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มออกอาการหงุดหงิดโดยไม่ปิดบัง
“เออ ก็จะกลับเนี่ย” คะน้าถอนหายใจเซ็งๆ นึกหงุดหงิดกับตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปรู้สึกพิสวาสกับคนแบบนี้ได้ยังไง ว่าแล้วก็เดินดุ่ยๆ ไปที่รถตัวเอง แต่แรงรั้งที่ข้อมือเหนี่ยวให้ไม่ไปไหน
“ก็มาสิ” ทิมส่งเสียงด้วยความขัดใจ
“อะไร” คะน้าหันมาตั้งคำถามด้วยความงง นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้ว ทิมยังจูงมือคะน้าเดินไปอีกทางจนเจ้าตัวบ่นด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ “อะไรเล่า”
“ก็... มารับ” ทิมเงยหน้าแล้วเสมองไปด้านอื่น เสียงทุ้มนั้นเบาจนแทบไม่มีน้ำหนัก ผิดกับมือที่กุมเกาะจนแน่นกระชับราวกับกลัวจะหนีหายไปไหน คะน้ามองมือของอีกคนที่เกาะกุมฝ่ามือของตัวเองแน่น รู้สึกว่าระบบหัวใจของตัวเองจู่ๆ ก็ทำงานหนักขึ้นมาอย่างประหลาด
“...กลับบ้านกัน”
“...แต่”
คะน้าแย้งขึ้นมาด้วยเสียงที่ดูจะแผ่วกว่าทุกครั้ง ไอ้แก่ของเขาจอดอยู่ที่นี่ จะให้ทำยังไง แต่เมื่อเผชิญกับสายตาคู่นั้น ดูเหมือนถ้อยคำมากมายที่อยากแจกแจงก็กลืนหายกลับเข้าไปในลำคอ เพิ่งรู้ว่าดวงตาคู่นั้นมันเล่นกลได้ สายตาที่มองเห็นนั้นไม่ได้ออกคำสั่งอย่างก้าวร้าวแบบที่เคยคุ้นตา มันดูเป็นแววตาที่ทอแสงอ่อนโยนราวกับจะร้องขอจนคะน้าไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
“...กลับกันนะ”
นึกอยากจะตบหัวตัวเองให้คะมำ สัญญาไม่เป็นสัญญาสักครั้ง ตั้งใจอะไรไว้ ไม่รู้ทำไม ถึงเวลาไม่เคยทำได้อย่างที่วาดหวังไว้สักที เครื่องปรับอากาศในรถเมอร์เซเดสเย็นฉ่ำ เบาะหนังสีครีมที่นุ่มราวกับจะดูดซับความเมื่อยล้าจากชีวิตประจำวันไปหมดสิ้น ทว่าหากปราศจากเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ พาหนะคันใหญ่คงเหมือนกับรถที่ไม่มีคนนั่งอยู่ เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งนิ่งๆ และผลัดกันลอบมองอีกฝ่ายไปมา หลายครั้งที่สายตาทั้งคู่มาประสานกันโดยบังเอิญ หากแต่ต่างฝ่ายต่างก็รีบเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ...ทั้งๆ ที่เมื่อวันก่อน ยังเถียงขึ้นมึงขึ้นกูไม่ยอมกันอยู่เลย
“เดี๋ยวจะให้คนมาเอารถให้ เข้าใจไหม” เป็นทิมที่เลือกจะเป็นฝ่ายทำลายกำแพงแห่งความเงียบก่อน คิดแล้วก็หน่ายใจ ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าแต่กลับออกคำสั่ง หรือไม่ก็สอนเขาประหนึ่งคะน้าเป็นเด็กน้อยทุกครั้งไป
“ครับ ขอบคุณนะ” แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองก็บ้าจี้รับคำแบบนี้ไปเสียบ่อยครั้ง
“เราน่ะเลิกขับรถได้แล้วรู้ไหม เห็นหรือเปล่าว่ารถมันติดเต็มถนน” ทิมหันไปมองคะน้าราวกับเป็นความผิดที่ทำให้รถติดขัดเต็มท้องถนนได้อย่างหน้าตาเฉย คะน้าถึงกับต้องหันขวับกลับมาจ้องหน้าอุทธรณ์คนที่ขับรถอยู่
“แต่บางที ผมก็ต้องไปทำธุระที่ไหนๆ บ้าง” มันใช่เรื่องไหมที่จู่ๆ ทิมจะมาพิพากษาว่าเป็นความผิดเขาแบบนี้ และที่สำคัญตอนนี้ เขาก็นั่งอยู่บนรถของทิมด้วยซ้ำ
“ก็เอาไว้บอกล่วงหน้าสักวันสองวันแล้วกัน มันน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ แล้ววันไหน ถ้างานผมยังไม่เสร็จก็รอหน่อย” ทิมหันมาแย้งก่อนจะชะงักตัวไปเล็กน้อยเมื่ออีกคนจ้องเขม็ง “ม..มองอะไร กระจกอยู่ข้างหน้า มองทางไปนู้น”
คะน้าอ้าปากค้าง ทิมตีเนียนแล้วยังเกรียนแตกได้อย่างเหลือเชื่อ “แต่ผมไม่ได้ขับรถอยู่นะ”
“ก็ช่วยกันมอง คิดจะเอาเปรียบกันใช่ไหม” ทิมหันมาทำหน้าหงุดหงิดใส่ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าทิมคิดจะทำอะไรอยู่ แต่หูแดงๆ กับท่าทางแบบนั้น มันก็ยากที่จะอดนึกสนุกไม่ให้ต่อปากกลับไหว
“ก็...”
“เงียบ! ไม่ต้องพูดแล้ว เสียสมาธิ ตกลงตามนี้”
หากแต่คนอายุน้อยกว่านั้นเกรียนกว่าจะคาดคิด ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถึงไหน ทิมก็รีบรวบรัดตัดความจนคะน้าที่ถึงกับค้างเติ่งเพราะไปต่อไม่ถูก ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่รถจะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าในเขตคอนโด
และทันทีที่รถจอดนิ่งสนิท คะน้าก็จ้ำอ้าวลงจากรถ ไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณทิมให้พอเป็นพิธี พอออกห่างจากทิม กำลังใจก็กลับมาอีกครั้ง ความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นยังคงอยู่ ไม่กี่นาทีในรถเล่นเอาคะน้านึกอยากจะล้มเลิกความตั้งใจเป็นร้อยครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกหวั่นไหว ยิ่งยากกับตัวเองทุกวันที่จะห้ามใจไม่ให้รู้สึกอะไรกับทิม ใจมันสั่นทั้งๆ ที่ทิมไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แต่บทเรียนจากความผิดพลาดกับตุลนั้นมันหนักหนา ยังไงคะน้าก็ยังมีความรู้สึกว่าคงผิดกับตุลมากมาย ถ้าหากไม่กี่วันที่ลดสถานะเหลือแค่ความเป็นเพื่อนแล้วเขาจะกลับมาสดชื่นรื่นเริงกับทิมแบบนี้ ไหนจะสิ่งที่ผักกาดเป็นห่วงอีก คะน้าตั้งมั่น ...นับจากนี้ จะไม่เผลอหวั่นไหวอะไรกับคนเพศเดียวกันอีก ถ้าจะมีแฟนกับเขาสักคน ชายหนุ่มหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นผู้หญิงน่ารักๆ สักคนให้ป๋าและแม่ ให้เจ้ผักกาดได้เบาใจ แต่การจะบรรลุธรรมนั้น ย่อมต้องมีมารผจญ ยิ่งเป็นจอมมารในคราบของคนที่ยืนล็อคกุญแจรถอยู่นั้นยิ่งนักหนา
“รอขึ้นไปด้วยกันเลยสิ วันนี้พี่ผักกาดไปงาน คงกินกันสองคนที่ห้อง”
กินกันสองคนที่ห้อง ...ไม่ได้คิดไปไกลนะ แต่คำพูดบ้าบออะไรจะกำกวมได้ขนาดนั้น แต่เอาไว้ก่อน ประเด็นคือไปสนิทสนมกับเจ้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงขนาดรู้ว่าจะไปไหนๆ ทั้งที่น้องชายแท้ๆ อย่างคะน้ากลับไม่รู้แม้แต่น้อย ...หรือว่าจะอำ? คะน้าหลิ่วตาด้วยความเคลือบแคลง
“ลองโทรไหม” อาการที่หน้าคงจะออกไม่น้อย คนที่เห็นจึงหยิบโทรศัพท์ตัวเองยื่นมาตรงหน้าจนแทบจะทิ่มลูกตาแบบนั้น ลองถ้าทิมลงทุนทำขนาดนี้แปลว่าคงได้คุยกับผักกาดแล้วจริงๆ คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง อะไรทำให้คนแบบทิมเปิดเผยความรู้สึกตัวเองกับเจ้ได้ขนาดนั้น แล้วอะไรที่ทำให้ผักกาดก็ไปเสวนาพาทีตอบเสียราวกับสนิทสนมมานาน
คะน้ายังนึกแปลกใจที่สุดท้ายก็เดินตามทิมขึ้นมาง่ายๆ ทั้งที่การจะแยกตัวไปซื้ออาหารทานเองแบบที่ผ่านๆ มาก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย เมื่อมาถึงห้อง ทิมก็หายตัวเข้าไปในครัวพร้อมบอกว่าขอเวลาสำหรับทำอาหารจานเดียวง่ายๆ มากินประทังความหิวไปอีกมื้อ คะน้าไม่ได้เดินสำรวจความยิ่งใหญ่ของเพนท์เฮาส์ที่กว้างขวางของทิม หากแต่เลือกจะนั่งลงที่โซฟายาวสีอ่อนในห้องรับแขกซึ่งกรุรอบด้วยชั้นหนังสือขนาดใหญ่แทนผนังกั้น ห้องของทิมก็เช่นกัน ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างกับผู้เป็นเจ้าของเท่าไหร่ แม้ว่าคะน้าจะเคยมาบนนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ขึ้นมา ก็ให้ให้ความรู้สึกประทับใจในความหรูหราตระการ ติดจะทึ่งที่ลำพังแค่ห้องกินข้าวก็ใหญ่กว่าพื้นที่ของมาสเตอร์รูมบวกกับห้องนอนของคะน้าและผักกาดรวมกันเสียแล้ว
เจ้าของห้องโผล่ออกมาอีกครั้งกับอาหารฝรั่งจานโตขนาดทานคนเดียวคงยากจะหมด เพิ่งจะรู้ว่าสำหรับทิมแล้ว สปาเก็ตตี้คาร์โบนาราซอสจัดอยู่ในหมวดของอาหารทำทานง่ายๆ เพื่อประทังชีวิต เพราะเท่าที่คุ้นเลาๆ ดูเหมือนว่าจะต้องแยกเอาเฉพาะไข่แดงล้วนๆ ตีเข้ากับวิปปิงครีม และชีสเพื่อมาทำตัวซอส ซึ่งยังไม่นับรวมกับการผัดเบคอนที่หั่นเป็นชิ้นจิ๋วให้กรอบหอม แต่ก็เอาเถอะ จะบ่นอะไรในเมื่อตัวเองก็ทำไม่เป็น ที่ห้องรับแขก ทิมวางสปาเก็ตตี้จานโตลงตรงหน้าของคะน้า ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องเลือกที่จะทานแบบง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตรองจริงๆ จึงเลือกที่จะสำเร็จโทษความหิวบนโต๊ะรับแขกที่นี่ ไม่ใช่บนโต๊ะอาหารแบบที่ควรจะเป็น ทิมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้ววางอุปกรณ์ต่างๆ ช้อนก็มี ส้อมก็มี แม้แต่เกลือหรือพริกไทยดำ ทิมก็ยังอุตส่าห์ยกลงมาวางให้จนครบ แต่มันยังขาด ...มันขาดอะไรไปบางอย่าง
...ทำไมถึงมีแค่จานเดียว?
“เป็นผู้ชาย หัดกินให้ง่ายอยู่ให้ง่าย มีช้อนมีส้อมก็กินไป เครื่องปรุงก็มีให้แล้ว เห็นไหม?” ทิมโวยวายโหวกเหวกเมื่อเห็นคะน้าจ้องมองอาหารจานโตตรงหน้าแล้วหันมาทำตาเขม่น
กินง่ายอยู่ง่ายเหรอ ข้าวเปล่าร้อนๆ กับไข่ดาวหนึ่งฟองก็กินได้ แม้แต่ข้าวคลุกน้ำปลา คะน้าก็ไม่เกี่ยง แต่ไอ้สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่าอุดมไปด้วยแฮมและเบคอนสุดหรูนี่มันไปด้วยกันกับการกินง่ายอยู่ง่ายของคุณทิมไหม?
...ไม่ให้กูกินช้อนส้อมเดียวกันไปเลยล่ะ หืมม?
คะน้าหันไปส่งสายตาเขม่นเข่นเขี้ยวใส่ แน่นอนว่าเจ้าตัวทำไม่รู้ไม่ชี้ใส่แบบทุกครั้ง เห็นส้อมแหลมๆ ในมือแล้วนึกอยากจะหันไปจัดการความเจ้าเล่ห์แทนที่เป็นอาหารหอมกรุ่นตรงหน้า หากแต่กลิ่นหอมๆ ของอาหารฝีมือทิมไม่เคยปรานีใคร แม้แต่เจ้ผักกาดที่อยู่ในอารมณ์หดหู่สุดๆ ยังต้องปราชัย แล้วกระต่ายผู้หิวโหยอย่างคะน้าจะมีอะไรเหลือ ทันทีที่คำแรกเข้าปาก คะน้าก็แทบลืมทุกอย่าง ความรู้สึกที่ว่าอาหารไทยของทิมอร่อยแล้วนั้น เทียบกับฝีมือของทิมในอาหารฝรั่งแล้ว รสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย อาจจูดได้ว่าเทียบชั้นกับร้านอาหารชื่อดังในย่านสุขุมวิทได้ด้วยซ้ำ
...คำแรก ลืมความหิว
...คำที่สอง ลืมรสชาติอาหารกล่องไมโครเวฟที่ฝากท้องประจำ
...คำที่สาม ลืมไปได้เลยร้านอาหารหรูหราไหนๆ ก็ตามที่เคยทานมา
...คำที่สี่ ชักจะลืมในความชิดใกล้ แขนชิดแขน หัวไหล่เบียดหัวไหล่
...และคำต่อๆ ไป ก็ลืมไปหมดแล้วซึ่งปณิธานที่หมายมั่นไว้ในใจ
“คำสุดท้าย แฟนหน้าตาดีเว้ยยย!”
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยชนะทิมใสๆ ในสักเรื่อง แต่เรื่องกินคะน้าไม่เคยแพ้ใคร นัดล้างตาจากร้านอาหารฝรั่งเศสนั้นต้องมีเคลียร์ แน่นอนว่าผลเป็นยังไง มันก็เห็นๆ กันอยู่ ...คำสุดท้าย อร่อยกว่าคำไหนๆ คะน้าเอานิ้วโป้งปาดริมฝีปากตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยในชัยชนะ แล้วหันไปยักคิ้วให้กับทิมเป็นการโชว์เหนือ
...อีกฝ่าย ยักคิ้วกลับเช่นกัน แถมยิ้มตาพราวซะปากจะฉีกไปถึงหู“คำสุดท้ายนั่น...” ทิมยกมือขึ้นตบบ่าคะน้าเบาๆ “ขอบใจมากนะ”
...อึ้ง
...เรียกว่าอึ้ง
...คะน้าอึ้งไปสักห้าวินาทีกว่าจะพอเริ่มจับทางในความนัยนั้นถูก คนอายุมากกว่าเริ่มตีโพยตีพาย นึกย้อนเวลาได้จะไม่เปิดช่องให้ทิมย้อนคืนได้ คิดแล้วก็อยากจะเอานิ้วล้วงคอให้สำรอกคำสุดท้ายนั้นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“เดี๋ยว! ไม่เคยบอกเลยนะ อย่ามาตู่เว่ย!!!” คะน้าโวยวายออกมาอย่างเสียรู้ ร้อนวาบไปทั้งหน้า รู้สึกทั้งโมโหตัวเอง โมโหทั้งเพทุบายของอีกฝ่าย น่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่พูด ทิมที่ทำท่าจะขโมยตัก ทำไมจู่ๆ กลับกลายเป็นแกว่งส้อมวนเล่นในอากาศแล้วผิวปากเล่นเอาเสียดื้อๆ
“บอกอะไร” คนอายุน้อยกว่าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“บอกว่าเป็นแฟ...” คะน้าชะงักกึก! อีกแล้ว! เกือบไปแล้ว!!! “โว้ยยย! แล้วมึงขอบใจเรื่องอะไรเล่า” ทิมหันมาทำตาดุใส่ “ก็... ก็แล้วพูดจู่ๆ ขอบใจเรื่องอะไรล่ะ หมายถึงอะไร...ครับ” ปลายประโยคเติมขึ้นมาหลังจากเห็นตาดุๆ คู่นั้น คนที่อยู่ตรงหน้าพยักหน้าหงึก
“ขอบใจที่กินจนหมด จะได้เอาจานไปล้างเสียที” ทิมยักคิ้วแล้วยกจานขึ้น รอยยิ้มเล็กๆ แอบกระตุกขึ้นที่มุมปาก ยิ่งมองก็ยิ่งขัดใจ “ว่าแต่คิดว่าอะไรล่ะ ไหนจะพูดว่าอะไร พูดมาให้จบสิ รอฟัง”
เคยมีคนพูดกับคุณมึงไหม ว่าคุณมึงเป็นคนที่กวนประสาทมาก เจ้าเล่ห์สุดๆ ห่านเอ้ย! มึงไม่ต้องมายิ้มหวานใส่กูเลยนะไอ้ทิม เดี๋ยวมึงจะโดนเหนี่ยว! คะน้ากระฟัดกระเฟียด ทั้งหมดก็ได้แต่คิดในใจ
“ว่าไง?”
“อะไรอีก ไปล้างจานก็ไปล้างไป” โดนคนหงุดงหิดไล่ ทิมก็ส่งยิ้มหวานให้อีกครั้งแล้วเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องครัว คะน้าลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์ กระนั้นก็ไม่วายเอามือลูบพุงที่แน่นของตัวเองป้อยๆ อย่างไรก็ตาม มันเป็นอาหารมื้อที่อร่อยมากๆ ในหลายวันที่ผ่านมานี้จริงๆ ...แต่ขอโทษที ไม่มีมิตรแท้ในสนามรบ เสร็จมื้ออาหาร ปณิธานที่หมายมั่นก็กลับคืนมาใหม่
“กลับก่อนนะ ขอบใจมาก” คะน้าส่งเสียงไปทางห้องครัวแล้วเดินไปกดลิฟต์ เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีเสียงปิ๊งก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ขยับเปิดออก คะน้ายิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี รู้ดีว่าทิมคงจะไม่พอใจอยู่ไม่น้อยแน่ๆ ที่จู่ๆ คะน้าก็ชิ่งหนีมาแบบนี้ ม่านเหล็กอลูมิเนียมขัดเงาซึ่งกรุไปด้วยไม้ค่อยๆ เคลื่อนตัวปิดจนแนบแน่นก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวลงสู่เบื้องล่าง คะน้าผิวปากอย่างอารมณ์ดี
...อยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้องของตัวเองที่ชั้นสามสิบสองด้วยความสุขใจอย่างเป็นที่สุด เปิดประตูเข้าห้องไปก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผักกาดนั่งอยู่กับกองเอกสารพะเนินที่โต๊ะกินข้าว ด้านข้างมีกล่องอาหารไมโครเวฟจากร้านสะดวกซื้อที่พร่องลงไปครึ่งหนึ่ง ผักกาดเงยหน้าขึ้นมามองน้องชายแล้วเอ่ยทักทาย
“เจ้! กลับมาถึงเมื่อไหร่เนี่ย” ผักกาดเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกว้างให้กับน้องชาย
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยังน่ะต่าย วันนี้ที่ตลาดวุ่นเหรอ กลับซะดึกเชียว”
“แล้วเจ้ไม่ได้ไปงานกลับบ้านดึกเหรอ”
“เปล่านี่ ถึงแต่เย็นแล้ว เจ้แค่เอางานกลับมาทำที่บ้านเอง”
หญิงสาวก้มหน้าทำงานต่อ หากแต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่ดังกว่าทุกครั้งทำให้ผักกาดเงยหน้าขึ้นมามองน้องชายที่เดินหน้าบอกบุญไม่รับซึ่งเพิ่งเดินผ่านไป ไม่บ่อยที่คะน้าจะมีอาการแบบนี้ ...นับครั้งได้ นับได้จริงๆ เพราะน้อยมากๆ ผักกาดลองครุ่นคิดถึงสาเหตุ สักพักก็พอจะเริ่มคาดเดาปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ชนิดที่ว่าไม่ใช่ก็คงจะใกล้เคียง หญิงสาวหัวเราะพรืดออกมาลั่นจนต้องยกมือขึ้นปิดปากแล้วพยายามอดกลั้นจนเป็นยิ้มน้อยๆ ออกมา ผักกาดเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พักความเหนื่อยล้าจากงาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกระจกหน้าต่างบานใส พระจันทร์บนท้องฟ้าสว่างนวลตา ตั้งแต่เด็กจนถึงเมื่อไม่กี่วันมานี้ คะน้ามักพูดอยู่เสมอว่ามีกระต่ายอยู่บนดวงจันทร์
...ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าสงสารนะ เพราะมันคงต้องอยู่ตัวเดียวหญิงสาวจ้องมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าแล้วยิ้มน้อยๆ ...เห็นทีว่า นับจากนี้ กระต่ายตัวน้อยจะไม่ได้เหงาอยู่ตัวเดียวบนดวงจันทร์เอาเสียแล้ว
“ป๋าจ๋า แม่จ๋า ไม่รู้ว่าถ้ารู้ ป๋ากับแม่จะว่ายังไงเหมือนกัน”
ผักกาดวางปากกาในมือ แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินช้าๆ มาเกาะที่ขอบหน้าต่าง แสงสีเหลืองอ่อนซึ่งเกือบจะเป็นวงกลมเต็มวงฉายเด่นไปพร้อมกับแสงดาวที่ดูระยิบระยับงามตา
“หนูว่ามันแปลก ...แต่ก็ดูเข้าท่าดี”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฮ่าๆๆ เห็นไหมว่าคนแต่งก็ไม่ได้โหดเหี้ยมตลอดเวลานะครับ
สำหรับตอนที่ลงไปคงตาลายเหมือนกัน เห็นแล้วก็ตกใจ เพราะมันค่อนข้างยาว
แต่คิดว่าคงจะอ่านได้แบบไม่อึดอัดอะไร อาจมีอมยิ้มน้อยๆ พอเป็นพิธี
ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยในการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนธรรมด๊า...ธรรมดาแล้วกันเนอะ
+1 ให้กับทุกๆ คอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอด
และตามธรรมเนียม คนแต่งขอกอดเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคนเลยเนอะ 555