(ต่อเลยๆๆๆๆ)
“ถามจริงๆ เถอะ แกกับทิมทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
คะน้าชะงักไปกับสิ่งที่ผักกาดถามไม่น้อย นิสัยที่ตรงไปตรงมาของผักกาด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คะน้าจะรับมือ เพราะรู้ว่าไม่เคยโกหกผู้เป็นพี่สาวได้สำเร็จ
จึงเป็นเรื่องยากที่จะบิดเบือนอะไร ที่ดีที่สุดก็คือพยายามเรียบเรียงทุกสิ่ง
ในความคิดออกมาให้พี่สาวคนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงมากที่สุดนั่นเอง
“นิดหน่อยน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”
“คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กล่ะมั๊ง เพราะท่าทางของทิมมันไม่ได้เป็นอย่างที่แกพูดเลย
รู้ไหมว่าหลายวันมานี่ สารรูปมันดูแย่มาก ...ดูเหมือนจะแคร์แกมากเลยนะ”
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอก เจ้คิดมากไปเองแหละ”
ถึงปากจะพูดปฏิเสธ ไม่ใยดี แต่ข้างในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด
...ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยนับตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทิมจะเป็นยังไงบ้าง
“เจ้คิดมาก...หรือแกคิดน้อยไป”
คำพูดง่ายๆ ของผักกาดทำให้คะน้าชะงักไปแทบทันที
ชายหนุ่มก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของพี่สาว
“ต่าย... รู้ไหมบางทีแกก็จมอยู่กับความคิดอะไรๆ ของแกมากไป
แกเชื่อมั่นในความคิดของแก แล้วแกก็เชื่อว่าอะไรๆ มันเป็นไปอย่างที่แกคิด
แต่มันไม่ใช่ว่าแกจะคิดถูกเสมอ ความเกรงใจ ความกลัวที่จะทำร้ายจิตใจคนอื่นน่ะ
มันทำร้ายแกอยู่รู้ไหม คิดอะไรอยู่ทำไมไม่พูดออกมา แกรู้ไหมว่ามีใครกี่คนที่ห่วงแก”
“เจ้... ขอโทษนะ”
“คนที่แกควรจะขอโทษน่ะ ไม่ใช่แค่ฉันหรอก รู้อะไรไหม จันทูมันห่วงมากนะ
มันโทรมาบอกว่าพักหลังๆ แกดูเหม่อๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เจ๊เป็ดก็ด้วย
แม่สายใจอะไรนั่นอีก เขาห่วงแก แกทำตัวเป็นคนอมทุกข์ ไม่ร่าเริงเหมือนเคย
รู้ตัวหรือเปล่า” คะน้ารู้สึกชะงักไปทันทีที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านจากปากของพี่สาว
“แกรู้ไหม ที่ทิมมันมานั่งทำอาหารอย่างกับภัตตาคารให้ทุกวันเนี่ย
เพราะมันบอกว่าแกผอมลงไปมาก เพื่อนแกกลัวแกจะป่วยตาย มันอยากให้แกกินอะไรบ้าง”
คะน้ารู้สึกมึนเหมือนโดนค้อนทุบลงที่กลางหัว ไม่เคยรับรู้สิ่งต่างๆ
พวกนี้มาก่อนเลย ...ไม่เคยสะกิดใจ ไม่เคยคิดถึงจริงๆ
“แต่แกก็แบบนี้ ตาของแกมันมองแต่อะไรๆ ที่อยากมอง ไม่เคยเห็นคนอื่นหรอก
แกทำงานแล้วแกก็เพลินลืมกินทุกที อาหารมากมายที่เจ้กินแทนแก
ฟังสรรพคุณอาหารแต่ละจานแล้วปวดหัว วิตามินนั่นบำรุงสมอง
วิตามินนี่ช่วยเรื่องสายตาอะไรของมันไม่รู้ ตั้งแต่วันแรกๆ จนมาถึงวันนี้
มีมาทุกวันไม่เคยขาด ต้องมาฟังมันกำชับว่าอย่าลืมให้แกกินให้ได้ทุกวันๆ ยังไม่พอ
ยังต้องมาโกหกทุกวันอีกว่าแกนั่งกินอาหารจนหมดทุกจาน” ผักกาดหยุดนิ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ
“...ทั้งๆ ที่แกไม่เคยจะกินสักคำ”คำพูดที่ได้ยินแทบจะพลิกทุกอย่างจนเหมือนโลกหมุนย้อนกลับด้าน
ทุกสิ่งประดังประเดเข้ามาหักลบกลบย้อนความคิดที่ผ่านมาของคะน้าจนหมด
เคยนึกเอะใจกับลักษณะนิสัยของทิม แต่กลับไม่เคยเอะใจในความคิด
ทุกๆ วันคะน้าดำดิ่งอยู่กับอคติบ้าๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาจนทำให้ทุกอย่างมันเป็นไปแบบนี้
หัวใจที่เบาหวิวจนเหมือนกระดาษที่ปลิดปลิวกลับแห้งโหยโรยแรงยิ่งกว่าเดิม
แม้ว่าจะรู้สึกดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทิมทำไป หากแต่เมื่อมองย้อนไปถึง
ความคิดบ้าๆ ของตัวเองแล้ว คะน้าพบแต่เพียงความละอายใจ
“สองสามวันที่ผ่านมานี่ เจ้าเพื่อนเราดูแย่มากนะ เหม่อลอย ดูเหมือนคนไม่มีสติ
ถามอะไรก็ตอบแบบฝืนยิ้มไปเรื่อย บอกว่าทำสิ่งที่ผิดมากๆ กับเราเอาไว้
เป็นความผิดที่ร้ายแรงจนไม่น่าอภัย และทำให้เราเสียใจและผิดหวังมาก
เจ้จะไม่ถามหรอกนะว่าผิดใจกันเรื่องอะไร แต่อยากให้ต่ายดูตัวเองหน่อย
มองดูตัวเองบ้างว่าเราในตอนนี้ทำให้ใครเขาเป็นกังวลแค่ไหน”
“เจ้... ผม...”
“เอาเถอะ ไม่มีใครถือโทษอะไรหรอก ทุกคนแค่เป็นห่วงเราน่ะ ว่าแต่วันนี้
จะไปตลาดไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไป ให้จันทูมันทำไป” คะน้าพยักหน้ารับคำ
ความคิดและความรู้สึกในใจสับสนรวนเร จนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อสบตาของพี่สาวคะน้าก็ชะงักงัน
เป็นอีกครั้งที่คะน้าเป็นได้แค่ไอ้บ้าที่จมอยู่กับตัวเอง เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลย
กับดวงตาที่อิดโรยคู่นั้น มันแห้งผากและกล่ำแดง ผักกาดไม่ได้นอนหลับอย่างที่เขาเข้าใจ
หากแต่ดวงตาคู่นั้นบ่งชัดเจนว่าไม่ได้หลับพักผ่อนมาทั้งคืน ...และอาจจะหลายคืนแล้ว
คืนนี้ ผักกาดคงนั่งรอเขาอยู่ตลอด และเขาเอง ที่ทำให้พี่สาวคนเดียว
ที่เขารักยิ่งกว่าตัวเองต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้
“เจ้ไม่ได้นอนเลยใช่ไหม เจ้รอผมใช่ไหม” คะน้าถามเสียงสั่น
ผักกาดนั่งนิ่ง รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนใบหน้า
“ผม... ขอโทษ”
“น้องรัก พี่คนนี้ไม่เคยคิดโทษอะไรเราเลย ถึงเจ้จะไม่รู้เรื่องราวอะไรมากมายก็เถอะ”
ผักกาดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ที่ผ่อนคลาย
“คนเราเดี๋ยวนี้บางทีก็ใจร้ายเกินไป มองอะไรแต่แค่มุมมองของตัวเราเอง
จะโทษใครก็ไม่ได้ สังคมมันกระด้าง มันบีบให้หลายคนต้องใช้ชีวิตแบบนั้น
ลองคิดดูสิ เราจะด่าใครสักคนว่าแต่งตัวเชยไหม ถ้ารู้ว่านั่นคือเสื้อผ้าชุดแค่ชุดเดียวที่เขามี
จะมองพวกชนใช้แรงงานที่มาเดินห้างในเมืองที่เราเดินทุกวันด้วยท่าทางงกๆ เงินๆ ไหม
ถ้ารู้ว่านั่นคือวันเกิด คือวันพิเศษของเขา จะด่าลุงหรือป้าแก่ๆ
ที่ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นหนุ่มเป็นสาวว่าไม่เจียมสังขารหรือเปล่า
ถ้าเกิดว่าเขากำลังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อสู้กับมะเร็งระยะสุดท้าย
หรือเราด่าคนที่เดินอ้อยอิ่งขวางทางเดินที่คับแคบของเราไหม
ถ้าได้รู้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอคนนั้นเพิ่งโดนไล่ออกจากงาน”
“เราทุกคนรับรู้แค่ตัวตนของเราเองอย่างดีเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เราไม่เคยรับรู้เลยว่าคนรอบๆ ตัวเราพบเจอกับอะไรมาบ้าง”
“เจ้...”
“เราทุกคน หรือแม้แต่พี่ก็แค่พยายามเรียนรู้โลกในมุมมองอื่นๆ ดู
พยายามเข้าใจโลกที่น้องของพี่พบเห็น และพี่เอง
ก็อยากให้ต่ายน้อยของพี่ลองเรียนรู้โลกของคนอื่นๆ ดูด้วย
โลกใบนี้กว้างใหญ่มากเลยนะ มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกมากมายเลย”
“พี่ครับ” คะน้ายิ้มขึ้นน้อยๆ หากแต่ความรู้สึกนั้นอัดแน่นเต็มเปี่ยม “...ผมรักพี่นะ”
คะน้าลุกขึ้นแล้วเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพี่สาวด้วยความรู้สึกทุกอย่างที่มี
ผักกาดเองก็โอบน้องกลับเต็มวงแขนจนแน่นถ่ายทอดทุกความรู้สึกตอบกลับไปเช่นเดียวกัน
“มีกันแค่สองคน ไม่รักแกจะไปรักใคร” ผักกาดหอมแก้มคะน้าฟอดใหญ่
น้องชายที่ปกติจะเก้อเขินกับอะไรแบบนี้กลับหอมแก้มพี่สาวตัวเองกลับตาม
คะน้าหัวเราะด้วยความเก้อเขิน ผิดกับผักกาดที่เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เคลือบแฝงตกตะกอนในใจ
“ต่าย....”
“ครับ”
“เฮ้อ... ช่างเถอะ เจ้คงเพลียๆ คิดอะไรไปเรื่อย”
“อ้าว”
“ไม่มีอะไรหรอก เราน่ะเพลียไหม ไปพักก่อนเถอะ” ผักกาดวาดฝ่ามือ
แล้วตบลงบนแผ่นหลังของน้องชายเบาๆ ด้วยความห่วงใย
คะน้าผ่อนหายใจหนักๆ วันที่หนักหนาผ่านไปอีกวัน เขารักผักกาด รักป๊า รักแม่
รักกว่าใครๆ เหนื่อยจะล้าแค่ไหนแต่พอถึงบ้านทีไร คะน้าก็รู้สึกหายเหนื่อยทันที
“ขอบคุณนะ” คะน้าฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเอ่อชื้นด้วยความรักและยินดี
“ขอบคุณแกเหมือนกัน หลายครั้ง แกเองก็ดูแลเจ้”
“ปรับความเข้าใจกันซะอะไรที่พอยอมๆ กันได้ แล้วมาก็ให้มันแล้วไป
ตุลก็ด้วย เห็นสองสามวันนี้ดูแปลกๆ ไป ไม่ได้สดใสร่าเริงแบบเดิมๆ
เราสามคนทะเลาะหรือมีเรื่องผิดใจอะไรกันก็พูดกันดีๆ เถอะนะ ยังไงก็... เพื่อนกัน”
“ครับ” คะน้ารับคำของผู้เป็นพี่สาว แต่ในใจก็สะกิดกับปลายเสียงที่ดูสั่นไหวแปลกๆ
ชายหนุ่มขบคิดเรื่องราวมากมายตามข้อคิดของผักกาด
รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่จะต้องทบทวนอีกเยอะแยะ
จึงขอตัวแยกไปที่ห้องเพื่อเตรียมตัวและครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวบางอย่าง
หากแต่เสียงเรียกขานของพี่สาวทำให้ชะงักและหันกลับไปฟัง
“ต่าย... จริงๆ พี่ก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรมากมายกับเรื่องส่วนตัวของต่าย
แต่มีบางอย่าง ...อะไรบางอย่างที่มันติดอยู่ในใจ อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่มีแต่ความหวังดี”
คะน้าหยุดนิ่งและตั้งใจฟัง คาดเดาไม่ถูกว่าผักกาดจะพูดเรื่องเกี่ยวกับอะไร
“เราสามคน ...พี่หมายถึงต่าย ตุล แล้วก็ทิมมีอะไรกันหรือเปล่า”
ใบหน้าของผักกาดดูเครียดและจริงจังกว่าที่เคยเห็นทุกครั้งจนคะน้ารู้สึกใจไม่ดี
“หมายถึง... ปะ..เป็นแค่เพื่อนกันใช่ไหม ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมต่าย
เพราะถ้ามีอะไรมากกว่านั้น พี่คง...” ผักกาดค่อยๆ เดินมาที่หน้าประตูห้องของคะน้า
หญิงสาวยกมือเกาะที่ขอบประตูเหมือนยึดจับเอาไว้ไม่ไห้ไหวเอน
หากแต่ใบหน้ายังคงฝืนยิ้มอยู่ด้วยความเข้มแข็ง
“..พี่รับไม่ไหว”คะน้ายืนอึ้ง พอจะปะติดปะต่อและความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ผักกาดรู้สึกกังวลได้ในที่สุด
นานแค่ไหนแล้วที่ผักกาดรับรู้เรื่องราวและเก็บงำความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้เพราะความไว้ใจ
และเชื่อมั่นในตัวเขา นานแค่ไหนที่ผักกาดต้องทรมานกับคำถามในใจ
มันหนักอึ้งจนสุดท้ายต้องเอ่ยถามออกมา สีหน้าของหญิงสาวที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
บัดนี้ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวบอบบางตัวเล็กๆ แสนธรรมดาคนหนึ่ง
ดวงตาที่เคยฉายกล้าด้วยความมุ่งมั่นกลับระริกไหวด้วยความอ่อนแอ
คะน้ารีบเบือนสายตาออกไปด้านข้าง ไม่อาจทนเห็นภาพที่บีบความรู้สึกตรงหน้าได้
น้ำลายในลำคอตอนนี้เหนียวจนน่ารำคาญ
ระหว่างคำโกหกที่น่าฟังกับความจริงที่น่ารังเกียจ ไม่มีทางไหนที่ดูดีเอาเสียเลย
“ขอได้ไหม อย่าให้มันเกินเลยไปมากกว่าความเป็นเพื่อน”
ผักกาดพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าและดวงตาที่เริ่มเอ่อชื้น
หากแต่รอยยิ้มนั้นยังคงสว่างไสวไปด้วยความหวัง
“เจ้รู้ ไม่มีอะไรหรอก เจ้รู้ว่าต่ายไม่มีทางทำให้ป๊ากับแม่ผิดหวัง ขอโทษนะ เจ้แค่คิดมากไปเอง”
“เจ้ผักกาด...” คะน้าพูดด้วยเสียงที่สั่นไม่แพ้กัน
“ฮ่ะๆๆๆ เจ้คงบ้าไปแล้วแน่ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ผู้ชายเหมือนกันหมด”
ผักกาดขยับเข้ามาใกล้ “ต่ายบอกเจ้สิ ว่าไม่มีอะไร เจ้เชื่อต่าย ต่ายก็รู้”
คะน้าจ้องมองพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ผิดมากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจ
เขาทำผิดต่อตุล ทำผิดต่อทิม และเขาในตอนนี้กำลังจะทำผิดต่อป๊าและแม่
ทำผิดต่อครอบครัว และต่อเจ้ผักกาด คะน้ายืนนิ่ง ในใจแห้งโหยเหมือนกำลังกองทรายที่กำลังป่นปี้
พระเจ้า ...ผมควรทำยังไงดีสีหน้าที่ระคนไปด้วยความกังวลของผักกาดสร้างความรู้สึกเจ็บปวด
ให้กับคะน้าจนเกินกว่าจะมองได้อย่างเต็มตา ไม่เคยมีสักครั้งที่คะน้ารู้สึกว่า
ตัวเองเป็นคนชั่วที่แสนเลวร้ายไปกว่าที่เป็นในตอนนี้เลย
“ฮ่าๆๆ เจ้นี่แย่จริง พูดเรื่องอะไรออกมา ฮ่ะๆๆ” ผักกาดค่อยๆ ยกมือขึ้นซับน้ำตา
จนปัญญาจะฝืนกลั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ต่อไป กระนั้นหญิงสาวก็ยังพยายาม
อย่างหนักที่จะฝืนยิ้มและหัวเราะให้กับน้องชายเพียงคนเดียว
...คนที่เธอรักกว่าใคร “ฮ่ะๆๆ เจ้เป็นพี่ที่แย่เนอะ ...แย่จริงๆ”
“ผักกาดน่ารักที่สุด” คะน้าโผเข้ากอดผู้เป็นพี่ เพิ่งตระหนักรับรู้ว่าแท้จริงนั้น
ผักกาดเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ร่างบางนั้นสั่นไหวในอ้อมกอด
“ผักกาดเป็นพี่ที่ดีที่สุดในโลก”คะน้าพยายามเก็บความรู้สึกทุกอย่างที่มี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสูง
ให้ของเหลวในดวงตาไหลย้อนกลับลงไปในหัวใจ น้องชายคนนี้จะไม่มีวัน
ทำให้ป๊าและแม่ผิดหวัง จะไม่มีวันทำให้ผักกาดเสียใจ คะน้าสูดลมหายใจเข้าลึก
“คะน้ารักผักกาดที่สุด ..รักที่สุด! ...ที่สุด!!”หยดน้ำร้อนผ่าวทิ้งตัวลงบนใบหน้า แปลกที่หยดน้ำเล็กๆ เพียงเท่านั้น
กลับละลายความสับสนในใจของชายหนุ่มไปจนหมดสิ้น
ดวงตาของคะน้าในตอนนี้ กลับเข้มแข็งอย่างประหลาด
บางที นี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ คน
...ถ้าผมจะหยุดทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้คะน้ากระชับวงแขนในมือ บอกกับตัวเองว่านับจากนี้
จะดูแลและปกป้องรอยยิ้มของคนในอ้อมกอดนี้ไว้ไม่ให้ไปไหน
...จะทำให้ผักกาดได้มีฝันที่ดีๆ ทุกคืน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้ว่าจะเกินคำว่าหน่วงไปแล้วไหมนะ แต่มันจะอารมณ์ประมาณนี้อีกแป๊บเดียวล่ะครับ แหะๆ
ถึงจะหม่นๆ แต่มันก็เข้มข้นนะ (แอบโฆษณาชวนเชื่อ) จะรีบมานะครับ จะได้พ้นๆ ช่วงนี้ไปซะที
ไม่รู้ว่าตอนที่อัพไปเป็นยังไงบ้างครับ รวมๆ คนแต่งแอบชอบนะ โหดนิดๆ กำลังดี 5555
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ทุกๆ ความคิดเห็น ทุกๆ คนที่ล่มหัวจมท้ายไปด้วยกันนะครับ
ช่วงนี้โหดๆ หน่วงๆ ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันนะครับ คนแต่งขาดแคลนกำลังใจ ฮ่าๆๆๆๆ