เห็นรูปพี่ oaw_eang แล้วหัวเราะก๊ากเลยครับ ขอบคุณมากๆ นะครับ
สวัสดีครับ ขอโทษจริงๆ ที่หายไปนาน พอดีงานโหมมาก แถมเปื่อย(อีกแล้ว)
หายเปื่อยมาก็นั่งทำงานต่อ ปลายปีงานจะยุ่งๆ นิดนึงน่ะครับ
พอว่างๆ ก็เลยรีบแต่งมาเนี่ยล่ะ 5555 คือหายไปนานไม่รู้ว่าจะลืมๆ ไปหรือยังหนอ
ลองอ่านเล่นๆ ดูแล้วกันครับ ขอแบ่งลงสองรอบแล้วกันนะ เอาครึ่งแรกไปก่อน
ลงหมดตอน เดี๋ยวไม่รู้จะคอมเมนต์อะไรกันดีเอานะ ฮ่าๆๆๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 17
เวลาที่มนุษย์เรามีความรักมันทำให้เราอยากจะเป็นผู้ให้ เป็นการให้โดยไม่เคยคิดหวังผลอะไรตอบแทน
ไม่คิดสักนิดถึงผลที่จะได้รับ และเพียงแค่ได้ทำ มันก็มีความสุขจนทำให้เรายิ้มบ้าบอไปได้เป็นวันๆ
เพราะแบบนี้มั๊งถึงมีคนบอกว่าความรักเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนเราเห็นแก่ตัวน้อยลง
ความรักทำให้เราเรียนรู้ที่จะมองเห็นคนอื่นก่อนจะเห็นตัวตนของเราเอง ความรักทำให้เรารู้จักการให้
...แต่ทำไมความรัก กลับทำให้ผมรู้สึกเห็นแก่ตัว
ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ร่างของตุลอยู่ห่างเพียงไม่กี่เมตร แปลกที่ความรู้สึกในใจนั้น
ราวกับระยะห่างที่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้ามันค่อยๆ ไกลออกไปทีละนิด
นับตั้งแต่วันนั้น อะไรบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย เหมือนมีกระจกใสบางๆ
ตีกรอบกั้นระหว่างกันเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะงานวิจัยที่เขากำลังทำอยู่
อาจเพราะงานเขียนลงเจอร์นัลที่ต่างประเทศที่เร่งเข้ามา อาจเพราะเคสหนักๆ
ที่เขารับผิดชอบแทนอาจารย์หมอที่ติดงานวิจัยของทางคณะฯ ที่ต่างประเทศ
หรือแท้จริง ...แท้จริงแล้ว อาจเป็นเพราะตัวผมเอง
ใบหน้าของตุลแดงเป็นสีฝาดเลือด ดวงตาเอ่อชุ่มจนดูฉ่ำหวานด้วยฤทธิ์จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
กลิ่นบุหรี่ฉุนที่ติดมากับเสื้อผ้าทำให้คะน้ารู้สึกไม่สบายใจ เข็มนาฬิกาบนฝาผนังบ่งว่า
อีกไม่กี่นาทีก็สามนาฬิกา หากแต่เจ้าของห้องยังคงง่วนอยู่กับตำราการแพทย์เล่มโต
และจอสี่เหลี่ยมคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือภาษาเยอรมัน
“ไม่พักหน่อยเหรอ”
คะน้าวางถ้วยเครื่องดื่มอุ่นๆ ลงข้างๆ ตุล เจ้าของห้องพยักหน้าเบาๆ พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
ที่มอบให้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยืนนิ่งอยู่สักพักเมื่อทุกอย่างยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม
คะน้าจึงเลี่ยงออกมานั่งเงีบยที่โซฟา จ้องมองเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ
กระทั่งเข็มยาวเลื่อนลงไปด้านล่างจนถึงกึ่งกลาง หลายวันมานี้ท้องฟ้าดูมืดไร้ซึ่งแสงจันทร์ที่สว่างสุกใส
แม้กระทั่งแสงดาวที่เคยทอประกายก็ดูจะเร้นกายในเมฆฝนที่หนาแน่นตามฤดูกาล
สองสามวันมานี้ คะน้าไม่ได้ไปทานอาหารอะไรกับตุลแบบที่ผ่านมา
นั่นเป็นเพราะว่าตุลติดรับรองคณะทีมแพทย์ที่มาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน
ความรู้สึกบางอย่างทำให้คะน้าเลือกที่จะมานั่งเป็นเพื่อนตุลที่ห้องหลังจากเขากลับมาในตอนมืดค่ำ
ท่าทีที่แปลกออกไปนับตั้งแต่วันนั้น แววตาแปลกๆ หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มที่ดูไร้ชีวิตชีวา
บางทีคะน้าอาจจะคิดมากไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตามนิสัย
แต่ความรู้สึกนี้มันชัดเจนเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไป ...ความรู้สึกที่เรียกว่าสัญชาตญาณ
คะน้ามองทุกอย่างรอบๆ ตัว กีต้าร์โปร่งที่เคยส่งเสียงกังวานใสวางนิ่งอยู่ที่มุมห้อง
เหมือนกับของที่ไม่เคยมีใครจับต้องมานาน รีโมตทีวีหรือแม้แต่หมอนอิงก็วางอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
นมอุ่นๆ ผสมน้ำผึ้งแก้วนั้นก็เช่นกัน มันวางนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับมีหน้าที่เป็นเพียง
ของประดับบนโต๊ะทำงานของตุลให้ทุกอย่างดูสมบูรณ์มากขึ้น
“อ้วนง่วงไหม กลับห้องก็ได้นะ ตุลเกรงใจ”
ตุลหันมามองคะน้าที่เหยียดตัวอยู่บนโซฟา เป็นครั้งแรกในหลายชั่วโมงที่แววตาคู่นั้น
จ้องมองคะน้าพร้อมกับรอยยิ้มแหยๆ ด้วยความเกรงใจ
“เอ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวนั่งเป็นเพื่อน ชิลๆ” คะน้าพูดด้วยเสียงสะลึมสะลือ
พยายามอย่างหนักที่จะซุกซ่อนความอ่อนเพลียของร่างกาย
อาจเพราะพื้นฐานของความเป็นหมอที่ติดตัวมานาน
เห็นดังนั้น เจ้าของห้องจึงรีบรุดขึ้นมาใกล้ด้วยความเป็นห่วง
“ไปนอนเหอะ เดี๋ยวตุลก็จะนอนละ”
แม้ลึกๆ จะรู้สึกหวาดหวั่นกับร่องรอยบนซอกคอที่สร้างบาดแผลในใจให้กับคะน้าอยู่ไม่น้อย
หากด้วยความรั้นตามอุดมการณ์ความคิดนั้นแรงกล้า แม้ใครอาจคิดว่าเขาเป็นคนโง่
ถ้าเป็นไปได้ คะน้าก็อยากดูแลตุลไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตุลต้องใช้ความอดทน
ฟันฝ่าเรื่องราวต่างๆ นานามากมายทั้งเรื่องของงาน ...แม้กระทั่งเรื่องของเขา ...หรือทิม
“รอ”
“เดี๋ยวโดนพี่ผักกาดว่า”
“เจ้รู้แล้ว”
“ยังไงก็จะยังไม่กลับใช่ไหม”
“ไม่!”
เสียงถอนหายใจเบาๆ ของตุลเป็นสัญญาณแห่งชัยชนะที่เรียกรอยยิ้มน้อยๆ ให้กระจ่าง
บนหน้าของคนง่วงนอน เมื่อไม่เป็นไปตามหวัง ตุลก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานอย่างจำนน
คว้าถ้วยนมที่เคยเต็มไปด้วยไออุ่นขึ้นมาจิบ แม้จะเย็นชืดไปตามกาลเวลา
แต่กลิ่นหอมของน้ำผึ้งกับรสหวานอ่อนๆ นั้นยังคงให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
ราวกับเวทย์มนต์ที่ร่ายสะกด พริบตา รอยยิ้มที่สดใสของตุลกลับมาอีกครั้งโดยที่ตุลก็ไม่รู้ตัว
“พอไหว” เจ้าตัวพยักหน้าแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาที่คนที่นอนอยู่
ตุลเดินมาหาพร้อมกับถ้วยเครื่องดื่มที่คะน้าชงให้ในมือ ก่อนจะย่อตัวนั่งลงบนพื้นเบื้องหน้า
คะน้ามองด้วยสายตาหวาดหวั่นกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้น
“ไม่กิน”
“ดื่มสักหน่อยเถอะ”
“ไม่!”
“แก้วเดียวกัน แบ่งกันไง”
และในไม่ช้าก็กลายเป็นคะน้าเองที่ต้องดื่มนมผสมน้ำผึ้งถ้วยโต
ที่เริ่มเย็นชืดหมดแก้วจนพุงป่อง และนั่นดูเหมือนจะสมใจตุลเสียที
“อ้วนไปนอนในห้องนะ สบายหน่อย ตุลเป็นห่วง”
ใครจะคิดว่าคนที่แข็งทื่อเป็นสากกระเบือเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
จู่ๆ จะมาส่งเสียงเง้างอดพร้อมดวงตาเว้าวอนแบบนั้น
จะเรียกว่าแพ้ทางก็ได้ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง คะน้าจึงต้องจำใจระเห็จตัวเอง
ไปอยู่ในห้องนอนของตุลตามคำร้องขอ โดยมีเจ้าของห้องเดินคุมอยู่ไม่ห่าง
“ดื้อจริงๆ” ตุลดึงผ้าห่มขึ้นทับร่างของคะน้าพร้อมคิ้วที่ขมวดขึ้ง
ก่อนจะหันไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เย็นพอเหมาะ
“ถ้าง่วงก็หลับเลยนะ เสร็จแล้วเดี๋ยวมาเรียก”
“ทำเป็นเก่งเหอะ ขี้เมาเอ้ย” คะน้าหัวเราะทะเล้นใส่คนหัวยุ่งที่ยืนโงนเงนนิดๆ
“ไม่เมาโว้ย” ตุลโวยใส่แม้ว่าจะโยกเยกไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปจริงๆ เล่นเอาคะน้าหัวเราะขำ
“เหรอออ... เชื่อก็ออกลูกเป็นปิกาจู้แล้ว”
“พูดมาก เดี๋ยวเอาปิกาจู้ฟาดหน้าเลย”
เสียงตอบกลับของคนเมาเหล้าเล่นเอาคนง่วงนอนหุบปากแทบจะทันที
“ทะลึ่งว่ะไอ้หมอ” คะน้าเถียงกลับด้วยอาการหวาดๆ เล็กๆ ในใจ เล่นเอาหมอหนุ่มหัวเราะจนตัวสั่น
“เออ นอนๆ ไปซะ เดี๋ยวเช้าไปทำงานอีกนี่ อ้วนแล้วยังไม่เจียม”
ตุลเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะขำ ไม่ลืมที่จะปรับแสงสว่างในห้องให้เป็นแสงสลัวสบายตา
มีเสียงคะน้าตะโกนโหวกเหวกกลับว่าตัวเองผอมขนาดไหน
ร่างสูงส่ายหัวดิกแล้วออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแบบตุลคนเดิมที่คะน้าไม่ได้เห็นมาหลายวัน
บางทีคะน้าอาจจะคิดมากไปเองกับเรื่องราวทุกอย่าง ในความเป็นจริง
มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เรื่องราวเหล่านั้น อาจจะเป็นเพียงคำโกหกมาแกล้งกันของทิม
หรือเพราะความห่างเหินต่างๆ ที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะงานที่วุ่นวาย
หรือแม้กระทั่งอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกำแพงที่มองไม่เห็น
อาจจะเป็นเพียงความคิดของคะน้าที่กังวลเกินกว่าเหตุก็ได้
นับเป็นครั้งแรกที่คะน้าได้เห็นห้องนอนของตุล เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ต่างกับ
ห้องนอนของคะน้ามากนัก ผิดกันที่ห้องของตุลทาทับด้วยสีน้ำตาลอ่อนและตัดขอบด้วยสีขาว
ไม่ใช่แค่สีขาวจืดชืดแบบห้องของเขา ด้านข้างของห้องนอนมีชั้นวางหนังสือที่เรียงหลั่นเป็นระเบียบ
ดูจากความหนาของแต่ละเล่มแล้วน่าจะเป็นตำราการแพทย์เอาซะมาก
การจัดวางทุกอย่างดูเป็นระเบียบนอกจากจะทำให้มีพื้นที่ใช้สอยเยอะแล้ว
ยังทำให้ห้องดูกว้างกว่าที่ควรเป็น ไม่รู้ว่าคะน้าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเตียงนอนของตุล
แอบนุ่มกว่าเตียงของเขานิดนึง แถมผ้าห่มก็ดูจะอุ่นกว่านิดนึงด้วย ...แค่นิดนึงเท่านั้นแหละ
จะว่าไปแล้วก็เป็นครั้งแรกที่คะน้านอนบนเตียงของตุล ...ครั้งแรก ที่หนุนหมอนที่ตุลนอนทุกคืน
จริงอยู่ที่คะน้าเป็นคนเพ้อฝันแต่ก็ไม่ถึงขั้นบ้าบออะไรมากมาย แต่พอคิดว่าได้หนุนบนหมอน
นอนบนเตียงของคนที่เราเรียกว่าแฟนแล้ว มันก็รู้สึกจักจี้แปลกๆ
คิดๆ ดูแล้วก็ตลกดีที่คนแปลกหน้าเมื่อวันก่อนที่นั่งร้องเพลงปาวๆ อยู่ด้านล่างคนนั้น
เพื่อนบ้านที่ไม่เคยพบปะพูดคุยอะไรมาก่อนเลย ในวันนี้ จะกลายมาเป็นคนที่สนิทสนมแบบนี้
เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่คะน้าสามารถเรียกใครคนหนึ่งได้เต็มปากว่าแฟน
และมันยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ ใครจะคาดคิดว่าเขาจะมีแฟนเป็นคนเพศเดียวกัน ...บ้าไปแล้ว
เนิ่นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่คะน้าผลอยหลับไปบนเตียงนุ่มๆ และผ้าห่มอุ่นๆ นั้น
กระทั่งรู้สึกถึงน้ำหนักที่ยวบตัวลงบนเตียงนอนที่อ่อนนุ่ม กลิ่นบุหรี่จางๆ ที่ติดอยู่
ผสมกับกลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมบนผิวกายชำแรกในจมูกด้วยความรู้สึกที่ประหลาด
สัมผัสที่ลามไล้ไปบนร่างกายจู่โจมพร้อมกับความหยาบกร้านของไรหนวดที่ลากเลื่อนไปทั่วใบหน้า
ลมหายใจที่เจือไปด้วยกลิ่นอายของแอลกอฮอล์พร่างพรมไปทั่วลำคอจนรู้สึกร้อนวาบ
คะน้าค่อยๆ ลืมตาขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่สัมผัสที่อ่อนนุ่มกดตัวลงบนริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
นุ่มนวลราวกับขนนกที่ลามไล้ไปบนเรียวปาก จนต้องปรือตาลงอีกครั้งอย่างจำนนในสัมผัสที่ชวนหลงใหลนั้น
“...อ้วนครับ”
เสียงกระซิบเบาๆ แผ่วขึ้นข้างๆ ใบหู พร้อมกับปลายนิ้วที่ค่อยๆ
สอดเข้าในเสื้อยืดที่ปกปิดร่างกาย ในใจพยายามเหนี่ยวรั้งมือกว้างที่ถือวิสาสะนั้นอย่างเต็มที่
หากแต่สัมผัสที่โน้มนำอยู่ทั่วกลับทำให้ทุกอย่างตีรวน
แสงสลัวที่สาดส่องผ่านโคมไฟเผยให้เห็นร่างกายของคนตรงหน้าทุกสัดส่วน
แผ่นหลังของตุลกว้างและแน่นกว่าที่เคยคาดคิดจนคะน้ารู้สึกแปลกใจ
ตุลค่อยๆ เหยียดตัวขึ้นแล้วมองจ้องคะน้าที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาลุ่มลึก
ผมสีเข้มที่ยุ่งเหยิงและดวงตาคู่นั้นดูแตกต่างจากทุกครั้ง
“ค้างได้ไหม”
ผิวขาวสะอาดต้องแสงไฟจนเกิดมิติแห่งแสงเงาที่ตกกระทบบนกล้ามเนื้อให้ชวนมอง
แผ่นอกกว้างของตุลนูนสูงเหมือนคนที่ออกกำลังกายเป็นอย่างดี
ไม่ต่างอะไรกับกล้ามเนื้อบริเวณท้องที่เรียงหลั่นเป็นระเบียบชัดเจน
ดวงตาที่หวานฉ่ำคู่นั้นจับจ้องไปทั่วอย่างไม่วางตา
“...ได้ไหม”
รู้สึกหายใจติดขัดจนทำอะไรไม่ถูก หากแต่คนที่นั่งอยู่ยังรุกล้ำเพื่อค้นคำตอบ
มือข้างซ้ายของตุลค่อยๆ เลิกเสื้อของคะน้าให้สูงขึ้น
ในขณะที่ปลายนิ้วมืออีกข้างก็ลูบไล้ไปทั่วร่างนั้นอย่างแผ่วเบา
ก่อนจะโน้มร่างกายที่เปลือยเปล่าลงทาบทับแล้วกดฝังปลายจมูกลงบนลำคอ
คะน้ารีบขืนตัวหนี ทว่า... ดูเหมือนจะช้าไป
“กะ...กลับบ้าน”
“...อยู่นะ” เสียงทุ้มๆ ร่ำร้องที่ข้างใบหู
“ก..กลับ โอ้ยยยยย...”
ร่างของคะน้าเหยียดเกร็งแทบจะทันทีเมื่อปลายลิ้นที่ฉ่ำชุ่มลากไล้ไปบนลำคอ
วงแขนวาดขึ้นกระชับแน่นลงบนแผ่นหลังคนที่ทาบทับแทบจะทันที
เหมือนจะเก็บซ่อนความไหวสะท้านไม่ให้ใครเห็น
หากแต่สัมผัสที่แนบแน่นกลับทำให้อีกฝ่ายยิ้มย่องในใจ
ตุลคำรามอย่างพึงใจก่อนจะขบฟันเบาๆ ลงบนลำคอของคนที่จำนนอยู่ด้านล่าง
ร่างกายของคะน้ากระถดหนีด้วยความรู้สึกที่สั่นสะท้าน
หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิดเป็นจุลในชั่วพริบตา
“อ๊ะ...”
ปลายลิ้นลากเบาๆ อย่างทะนุถนอมลงบนร่องรอยที่ฝากไว้เมื่อครู่
ขณะที่มือก็ค่อยๆ ดึงขอบกางเกงของคนที่อยู่ด้านล่างลง
กระทั่งร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดกันโดยปราศจากสิ่งใดกั้นขวาง
“ตุลล...”
“ครับผม”
ดวงตาคู่นั้นทอดมองอย่างมีความหมาย กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ในลมหายใจอุ่น
ที่พร่างพรมไปทั่วนั้นเคล้ากับกลิ่นกายที่เคยคุ้นของตุลพาลให้ความรู้สึกกระเจิดกระเจิง
ใบหน้าของตุลแนบชิดเบียดใบหน้าของคะน้าไม่ห่าง แผ่นอกบดเบียดแผ่นอก
ท้องน้อยเสียดสีท้องน้อย ทุกการเคลื่อนไหวแนบแน่นจนระอุร้อน
หากแต่เหมือนทุกสัมผัสที่ร้อนแรงนั้นยังคงไม่สาสม ในจังหวะที่สอดรับนั้น
สองมือของตุลจึงกดเน้นไปทั่วร่างจนคะน้าสั่นหอบแทบขาดใจ
“ต..ตุล” กระซิบด้วยเสียงหอบสั่น “...ตุลครับ”
“ว่าไง”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วที่ข้างริมฝีปากพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่แสนอ่อนโยนนั้น
เร่งเร้าความรู้สึกจนคะน้าบิดตัวหนี ร่างสูงที่ทาบทับบดเบียดตัวเองตามเหมือนผู้ไล่ล่า
ไรหนวดไซ้เพียงเสียดสีอย่างแผ่วผ่าน มีเพียงแต่สัมผัสที่หอมหวานของริมฝีปาก
ที่พร่างพรมบนผิวกายนับครั้งไม่ถ้วนจนคะน้าหมดเรี่ยวแรงจะต้านทาน
ไม่รอฟังคำตอบ ตุลดันตัวขึ้นอีกครั้งแล้วจูบเน้นริมฝีปากไล่ลงบนทั่วร่างกายของคะน้า
จากลำคอค่อยๆ เคลื่อนผ่านแผ่นอกกว้าง เลื่อนลงสู่กล้ามท้องที่เกร็งแน่นแล้วค่อยๆ ลดต่ำลง
คะน้าที่มองดูทุกอย่างเบื้องหน้าดันร่างของตัวเองเหยียดขึ้นด้วยความสั่นสะท้าน
ดวงตาคู่นั้นของตุลเป็นประกายวาวพร้อมรอยยิ้มที่ดูแปลกตา
หากแต่ตุลกลับหยุดทุกอย่างไว้ที่ตรงนั้นเหมือนจะทรมานให้คนที่จ้องมองอยู่ขาดใจ
“...ว่าไง”
คะน้าหอบสั่นราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงมองดูตุลที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
แสงสลัวเผยให้เห็นร่างกายที่ดูดีได้สัดส่วน ใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้านชวนมอง
ดูเด่นด้วยคิ้วเข้มรับกับจมูกที่คมสัน ลำคอยาวได้รูปรับกับเรือนร่างที่สมส่วน
แผ่นอกนูนกว้างและผายออกนั้นได้รูปเช่นเดียวกับแผ่นท้องที่กระชับด้วยกล้ามเนื้อเป็นสัน
ผมของตุลดูยุ่งเหยิงแต่น่าสัมผัส ดวงตาคู่นั้นดูขี้เล่นและเหมือนจะท้าทายในที
ไม่ต่างอะไรกับริมฝีปากสีระเรื่อที่เผยอขึ้นราวกับจะยั่วเย้าให้กระเจิดกระเจิง
คะน้าลุกขึ้นมานั่งด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับทุกสิ่งตรงหน้า
มองดูเรือนร่างที่เปล่าเปลือยของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เต้นแรง
จนแทบระเบิดจนต้องหลีกหลบสายตาไปด้านข้างด้วยความรู้สึกร้อนวูบจนผ่าวชา
เสียงหัวเราะเบาๆ เหมือนเสียงคำรามของคนที่ยืนอยู่ดูจะแสดงออกถึงความพึงใจ
ร่างสูงโปร่งเดินย่างเข้ามาหาช้าๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากของคนที่นั่งอยู่บนเตียง
“รักนะ”ริมฝีปากกดเน้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรู้สึกที่โหยหา
ร่างสูงแทรกตัวเข้าด้านหลังแล้วกอดกระหวัดโอบแน่น
ฝ่ามือโลมไล้ไปทั่วทั้งเรือนร่างอย่างผ่าวร้อน
คะน้าบิดตัวราวกับสัตว์น้อยที่ดิ้นรนจากกับดักของพราน
ร่างกายหอบสั่นสะท้านไหวกับสิ่งที่อยู่ภายในที่กำลังเต้นระรัว
หยุด!
หยุดก่อน! ได้โปรด...
พอ... พอเถอะ...
ใจ...
...ใจมันเหมือนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จบ 17.1 ไปแบบไม่รู้ไม่ชี้ แต่อย่าเพิ่งตระหนกตกใจ เพราะอันนี้แค่เรียกน้ำย่อย 555
17.2 จะเป็นยังไงดีนะ 555 อันที่จริงแต่งเสร็จแล้วล่ะ แต่ขอเว้นช่วงหน่อย ยังไม่ลงพร้อมกัน
คือเดี๋ยวจะลงในวันสองวันนี้ล่ะครับ ประเด็นคือเรื่องของเรื่องคือ ตอนนี้ มันยาวมากนั่นเองล่ะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆ คอมเมนต์ กำลังใจ และคำแนะนำติชมนะครับ
คิดถึงทุกๆ คนมากๆ เลยนะ อยากจะขอกอดสักคนละทีสองที