เหมือนมติมันเอกฉันท์ยังไงพิกลแฮะ นิดๆ หน่อยๆ พาเอาเหล่าแม่ยกแทบระเบิดชีพหน้าคอมแล้วนั่น ฮ่ะๆๆ
แบบนี้แล้วช่วงไหนที่พี่แกจัดเต็มมันจะไหวกันไหมล่ะนี่ ฮิฮิ
แล้วถ้าไม่ใช่พระเอกนี่ คนเขียนคงจะโดน
เป็นแน่แท้
เอานะ หนทางยังอีกไกล ค่อยๆ อ่านกันไป ผูกปิ่นโตกันระยะยาวหน่อยนะ แหะๆ
ไม่รู้เป็นอะไร แต่ละตอน ทำไมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเขียนยิ่งยาว
ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็น คอมเมนต์ คำแนะนำ และกำลังใจนะครับ
คิดว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไงกันนะครับ ลองอ่านๆ ดูแล้วกันนะครับ ^ ^
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 8ผมมีความฝัน เป็นความฝันที่แปลกประหลาด ฝันถึงตัวเองที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ
แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์สีเหลืองอ่อนที่อยู่กลางฟ้า
วงกลมวงใหญ่นั้นมันดูเหมือนกับว่าอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วมือ แค่ลุกขึ้นยืนแล้วเขย่งเท้าเอื้อมมือคว้า
...พริบตานั้น พระจันทร์ทั้งดวงก็มาทอแสงนวลอยู่ในมือทั้งสองข้าง
สีเหลืองอ่อนนี่มันดูสบายตาจัง ผมได้ยินเสียงฝีเท้าขยับมาใกล้ๆ
พอเหลือบกลับมามองในมือ สีนวลที่น่าหลงใหลก็ค่อยๆ กลายเป็นสีชมพู สวยแฮะ
มันค่อยๆ สว่างขึ้น ...สว่างขึ้นก่อนจะสว่างจ้าจนผมมองไม่เห็น ไม่แสบตาหรอกนะ ...แค่อยากหลับตา
พอทุกอย่างนั้นอยู่ในความมืดมิด ตัวผมก็ถูกโอบรัดอย่างแผ่วเบา สบายจัง รู้สึกแบบนั้น
มันอุ่นๆ นะ อบอุ่นอย่างประหลาด รู้สึกถึงความอ่อนนุ่ม
นุ่มเหมือนกับปุยเมฆมาแตะอยู่ที่ปลายริมฝีปากเลยแฮะ
...คลอเคลียแผ่วเบาแล้วค่อยๆ จากไป
...จำอะไรไม่ได้เลย
...แต่รู้สึกดีจัง
ผมในความเป็นจริง เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความสั่นไหว พระจันทร์ยังคงทอแสงนวลอยู่อย่างนั้น
วงแขนที่แนบชิดในตอนนี้มันไม่ต่างกับในความฝันเท่าไหร่ ความรู้สึกก็ด้วย
มีคนบอกว่าแสงของพระจันทร์นั้นมีเวทมนตร์ประหลาด
มันมีบทพิสูจน์ใดๆ ที่พอยืนยันเรื่องที่อวดอ้างนั้นไหม
อย่างน้อยก็เพื่อที่จะช่วยอธิบายสภาวะในใจของผมในตอนนี้ที เพราะมันยากเย็นเกินกว่าผมจะเข้าใจ
ผมในตอนนี้ ไม่รู้ว่ากลายเป็นคนที่เกลียดเสียงเพลงทั้งแต่เมื่อไหร่ เกลียดมาก
รวมทั้งเกลียดเสียงทุ้มที่มันฮัมเพลงเบาๆ อยู่ข้างๆ หูในตอนนี้
จู่ๆ ก็ไม่ชอบกลิ่นหอมด้วย โดยเฉพาะไอ้กลิ่นที่อวบอวลอยู่รอบๆ ตัวนี่ ยิ่งเกลียด ...เกลียดมาก
ผมอึดอัดกับความแนบชิดที่ไม่คุ้นเคยนี่ ...ไม่ชอบ ...ไม่ชอบใจเลย
แม้ความสูงจะทิ้งกันไม่มาก หากแต่โครงสร้างที่แตกต่าง
ทำให้คะน้าไม่ต่างอะไรกับกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ถูกจับให้นิ่งอยู่กับที่
สองมือพยายามจะแกะสิ่งที่โอบรัดอยู่ หากแต่เรี่ยวแรงมันกลับไม่ได้ดั่งที่ใจคิดเอาเสียเลย
ลงท้ายกลับกลายเป็นวางมือทั้งสองข้างที่สั่นๆ ซ้อนทับไปบนอ้อมกอดนั้นอย่างจำนน
“หนาวเหรอ”
“...เปล่า”
“ตัวสั่นๆ” แขนทั้งสองข้างขยับรัดแน่นขึ้นอีก “เหมือนลูกหมาตกน้ำ”
เสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอของเจ้าของวงแขนยิ่งทำให้อึดอัด ไอ้นี่ มันบ้าไปแล้วแน่ๆ
“เล่นอะไร ปล่อยเหอะ มันอึดอัด”
บทจะง่ายก็แสนจะง่ายดาย ทิมคลายวงแขนออกพร้อมรอยยิ้ม
แล้วเดินผิวปากอย่างอ้อยอิ่งหายเข้าไปด้านใน
มีเสียงกุกกักเล็กน้อย ไม่นานนักก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยัดบางสิ่งเข้ามือของคะน้า
เป็นผ้าขนหนูนุ่มๆ สีขาว ...ไม่ใช่พระจันทร์กลมๆ สีชมพู
“ไปอาบน้ำสิ ตัวจะได้หอมๆ” หากแต่คะน้ากลับยืนนิ่ง
ความรู้สึกสับสนตีรวนจนปั่นป่วนไปทั่วทั้งท้อง
เมื่อไม่มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ จากคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่
ทิมก็เขม่นสายตามคมๆ คู่นั้น สันกรามถูกขบจนเกร็งตัวนูนขึ้น
“ไม่ล่ะครับ ห้องก็อยู่ข้างล่างนี่เอง นอนห้องตัวเองจะได้ไม่รบกวน” น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะ
เพียงครู่เดียวเท่านั้น... แววตาที่อ่อนโยนก็ดูกร้าวขึ้น
ผ้าเช็ดตัวที่หยิบยื่นให้เมื่อครู่ถูกดึงด้วยน้ำหนักกึ่งๆ กระชาก
ความไม่สบอารมณ์ฉายชัดบนใบหน้าของทิมอย่างไม่คิดจะปิดบัง
...ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรหรอก เริ่มชินแล้วกับความเป็นทิม
“งั้นผมกลับก่อนนะ ดึกแล้ว”
“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาส่งไอติมแล้วนะ ...ไม่สิ ไม่ใช่” ดวงตาขุ่นขึ้ง
“ไม่ต้องเลยนับจากนี้”
“อ้าว...” คะน้าหันกลับมามองเหวอ
“มีอะไรที่ได้ยินไม่ชัด”
“เอ่อ... ไม่หรอกครับ แต่เงินยังเหลือ” ทิมจ้องด้วยสายตาดุ
แสดงออกว่าไม่ชอบใจในคำพูดที่ดูเหมือนเป็นความคิดสงสัยที่ไม่ยอมจบ
หวิวๆ มันรู้สึกวูบๆ อย่างบอกไม่ถูก จากนี้ไปก็ไม่ต้องไปส่งแล้วอย่างนั้นเหรอ
จะว่าไปมันก็ดีไปอย่างนะ ไม่ต้องเสียเวลาเดิน มีเวลาไปทำอะไรต่ออะไรเยอะแยะ
ก็ควรจะดีใจสินะ ...กูควรดีใจสิไอ้คะน้า!
“เบื่อแล้วเหรอครับ”
อยากจะเอามือคว้าถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากด้วยความพลั้งเผลอ
แต่ห้ามความคิดไม่ไหว มันคืออะไรกับไอ้ความฉุนเฉียวนี้
ไม่พอใจที่ไม่ค้าง หรือเบื่อแล้วกับรสชาติไอศกรีมที่กินซ้ำๆ ทุกวัน หรือ...
...หรือว่าเบื่อคนที่เดินไปส่งให้ จะได้รู้ไว้ และจะได้เข้าใจ
หากแต่ความว่างเปล่าในดวงตานั้น เหมือนทดแทนคำพูดนับล้านคำ
ไม่มีถ้อยคำใดๆ ออกมาจากปากของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า
ร่างสูงเดินลิ่วไปหน้าลิฟต์ สอดการ์ดแล้วกระแทกปุ่มกดจนแสงเรืองรอง
วงหน้าเข้มพยักเพยิดเหมือนออกคำสั่งในทีว่าเวลาที่นี่ของเขาได้หมดลงแล้ว
เพียงครู่เดียวประตูลิฟต์ก็เปิดออก คะน้าค่อยๆ เดินมาที่หน้าประตู รู้สึกโหวงๆ ในใจอย่างบอกไม่ถูก
“ชั้นไหน?”
“เดี๋ยวผมกดเองก็ได้ครับ” ...ไม่อยากรบกวน
“ชั้นไหน!”
“สามสอง” ทิมตวัดสายตาดุๆ กลับแล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มในลิฟต์ให้
เสร็จแล้วก็หันมาจ้องเหมือนออกคำสั่งให้เข้าไปอยู่ข้างในนั้นไวๆ
คะน้าก็ก้าวเข้าไปข้างในแต่โดยดี ประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนปิด
หากแต่จู่ๆ ทิมก็กลับเอื้อมมือไปกดปุ่มหยุด ลิฟต์จึงค้างหยุดอยู่ที่เดิมบนชั้นบนสุดของคอนโด
“...ห้อง?”
“ครับ?” คะน้าทวนคำพูดด้วยความงง งงทั้งคำถาม
และงงทั้งการที่หยุดลิฟต์นี่ ผิดกับอีกคนที่ส่งเสียงคำรามพร้อมกับทำหน้าอึดอัดขัดใจ
“มีอะไรที่ได้ยินไม่ชัด?” อันที่จริงมันชัดเจนในถ้อยคำ
แต่มันไม่เข้าใจ ...ไม่เห็นเข้าใจเลย พอเงยหน้ามองก็เห็นอาการโมโหจัดๆ ของทิม
เกิดมาคะน้าก็เพิ่งเคยเห็น คนอะไร ...โมโหจนแก้มแดง
แต่ทิมถามถึงห้องอะไรล่ะ ห้อง? หรือว่า...
“เอ่อ... สี่ครับ สามสองศูนย์สี่”
สิ้นคำ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างนอกก็เอื้อมมือไปกดปุ่มให้ลิฟต์ทำงานอีกครั้ง
แม้จะแปลกใจ ไม่เข้าใจ จนคะน้าอยากจะเอ่ยถาม แต่สุดท้ายที่ทำได้ก็เป็นเพียงเอ่ยคำลา
และเช่นทุกครั้ง ทิมไม่ได้สนใจอะไรคำพูดเขานัก ทุกอย่างนิ่งเงียบกระทั่งประตูลิฟต์ค่อยๆ ขยับปิดลง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ไอติมให้มาส่งที่นี่”
ทิมหันหลังกลับพร้อมกับประตูลิฟต์ที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว กว่าจะปะติดปะต่อเรื่องได้
ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่ชั้น 32 เสียแล้ว ...อยากจะขึ้นไปบอกว่าไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน
แต่ไม่มีคีย์การ์ดก็กลับขึ้นชั้นนั้นไม่ได้ ...และก็อีกนั่นแหละ ขึ้นไม่ได้
แล้วจะให้มาส่งไอศกรีมที่นี่ มันจะเป็นไปได้ยังไง?
เปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง เห็นแสงไฟสลัวๆ สาดผ่านออกมาจากห้องนอนของผักกาด
บ่งบอกว่าเจ้าของห้องยังไม่ได้หลับอย่างที่ควรจะเป็นแม้วาจะดึกแล้วก็ตาม
เสียงกุกกักของคะน้าทำให้คนที่นั่งทำงานอยู่กระโจนแผลวออกมาใส่
“ลมอะไรหอบกระต่ายจากป่ามาโผล่ที่คอนโดได้เนี่ย”
ผักกาดโผเข้ากอดน้องชายแล้วหอมลงที่แก้มฟอดใหญ่
“โอ้ย เจ้เล่นอะไรเนี่ย” คะน้าหันไปโวยวาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่า
พี่สาวกลับเอานิ้วชี้จิ้มลงบนแก้มป่องๆ ของตัวเองเหมือนเป็นสัญญาณ
ถอนหายใจหนึ่งเฮือก ก่อนน้องชายจะหอมลงบนแก้มพี่สาวเบาๆ
...แปลกเป็นความรู้สึกที่แปลกมากๆ ทั้งกอด ทั้งฟัด ทั้งหอม
แต่ไม่รู้สึกแปลกๆ แบบที่ทิมทำเลย หรือเพราะว่าชินกับผักกาดแล้ว?
“เป็นอะไร คิ้วขมวดเป็นโบว์” พี่สาวเอานิ้วชี้ดีดลงที่กลางหน้าผากน้องชาย
“เปล่าๆ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะ” ผักกาดปล่อยคะน้าแล้ว
ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำดื่มในครัว
คนเป็นพี่สาวเดินมาจ้องเขม็ง สำรวจตรวจตราละเอียดยิบ
“เครียดอะไรหรือเปล่าน่ะเรา”
“เอ้ย ไม่มีอะไรจริงๆ นะ ว่าแต่เจ้ยังไม่นอนเหรอ”
“ใกล้ล่ะ ...จริงสิ ง่วงยัง มานั่งคุยกันหน่อยสิ” เหมือนจะถามไปอย่างนั้นเอง
เพราะผักกาดเดินนำไปที่โซฟาแล้ว คะน้าหัวเราะขำนิดๆ กับความเผด็จการของหญิงสาวผู้เป็นพี่
ว่าแล้วก็เดินตามพี่สาวไป ล้มตัวลงเอาหัวหนุนตักพี่สาวแทนที่จะเป็นโซฟานุ่มๆ อย่างว่องไว
ไวเท่าเทียมกัน ผักกาดฟาดป๊าบลงบนหัวน้องชาย คะน้าร้องโอด เอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ
ผักกาดหัวเราะร่วน มือนิ่มๆ ลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ไม่มีอะไรเครียดๆ แน่นะ รู้ไหมว่าพักนี้เราดูแปลกๆ ทำตัวเหมือนกับคนที่ไม่มีความสุขเลย รู้ตัวเปล่า”
“ไม่รู้หรอก” มะเหงกลงกลางกระหม่อม คะน้าร้องโอย
“ก็มันไม่มีอะไรนี่นา มันก็มีความสุขดีนะเจ้”
น้องตัวแสบหัวเราะร่าโชว์ฟันกระต่ายเหมือนจงใจแย้งผู้เป็นพี่สาวด้วยรอยยิ้ม
ผลลัพธ์คือมือของพี่สาวดีดมะกอกลงไปเน้นๆ ที่กลางหน้าผาก
“ไรเล่าเจ๊อ่ะ” ทำหน้าตาน่าสงสาร มีหรือจะไม่ได้ผล ผลก็คือถูกซ้ำอีกทีลงที่เดิม
คราวนี้น้องชายหุบทั้งปาก หุบทั้งหน้า พี่สาวยักคิ้วหนึ่งข้างเย้ยหยันอย่างสบายใจ
“ยังหัวเราะเหมือนเดิมน่ะก็ใช่ แต่เหมือนความแก่นทะโมนเราจะน้อยลงไปหรือเปล่า
ดูเรียบร้อย สงบเสงี่ยม ซึมๆ ผิดปกติ มันแปลกๆ นะ บอกไม่ถูก เหมือนผีเข้าแล้วไม่ออก”
“ผีอะไรเล่า ก็เหมือนเดิมนะ”
“แค่คล้ายต่างหาก มันไม่เหมือนเลย รู้ไหมว่าบางทีต่ายก็ดูเครียดๆ แบบไม่มีเหตุผล ไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ”
“ไม่นะ ก็เหมือนเดิม เจ้ผักกาดคิดมากไปหรือเปล่าน่ะ” ไม่เห็นรู้สึกอะไรแบบนั้นเลย
“อืม... ไม่รู้สิ ก็แค่อยากจะถามว่ามีอะไรหรือเปล่า
เจ้ก็ไม่อยากให้ต่ายเครียดนะ มีอะไรช่วยได้ก็อยากช่วยน่ะ”
“ขอบคุณครับ” ยิ้มน้อยๆ กับความรู้สึกผิดเล็กๆ ที่ทำให้พี่สาวเป็นห่วงอีกแล้ว
“นี่... จำได้ไหม ที่มีคนเคยมาขอซื้อที่ตลาดเราน่ะ สองสามวันก่อน เค้าก็ติดต่อมาอีกแล้วล่ะ
ให้ราคาที่เราสูงมากกว่าเดิมอีก เจ้ไม่ได้คิดจะขายนะ แต่อยากจะถามว่า
ต่ายโอเคไหมกับการมาเป็นพ่อค้าแบบนี้ ถ้าไม่ชอบอะไรยังไงก็ไม่อยากให้ฝืน
ที่ต่ายเลือกไปเรียนโทด้านการตลาดต่อที่อเมริกาก็ไม่ใช่เพราะต่ายชอบเหรอ”
ผักกาดยิ้มน้อยๆ ให้น้องชาย กับคำถามที่สะกิดให้ลองคิดทบทวนทุกอย่างให้ดีๆ
“เจ้รู้นะ ว่าลึกๆ ต่ายน่ะก็อยากกลับไปทำงานออฟฟิศเหมือนเดิม ถ้าไม่ติดที่ว่าป๊า...”
“ป๊ารักตลาดมาก ผมอยากดูแลตลาดที่นี่ให้ดีที่สุด
ให้สมกับที่ป๊าไว้ใจ แล้วไอติมของแม่ก็อร่อยที่สุด
อยากให้ทุกคนได้ชิมไอติมในแบบที่แม่ทำให้เราสองคนกินตอนเด็กๆ”
ผักกาดยิ้มให้คนที่เป็นน้อง ...คิดถึงป๋ากับแม่ล่ะสินะ กี่ปีๆ ผ่านไป คะน้าก็เป็นแบบนี้
เรียกว่าติดครอบครัวไม่หาย อะไรที่ป๋ากับแม่อยากให้ทำ ไม่มีสักครั้งที่น้องชายคนนี้จะเกี่ยงงอน
แถมยังพ่วงนิสัยรักและห่วงใยคนอื่นประเภทชอบดูแลทุกๆ คนตลอดเวลา
คล้ายกับว่าความสุขของคะน้าคือการที่เห็นคนรอบๆ ตัวมีความสุขยังไงยังงั้น
หน้าตาก็น่ารักแบบนี้ แถมนิสัยยังแบบนี้อีก ใครไม่รักเจ้ากระต่ายบ๊องนี่ ก็บ้าแล้ว
พี่สาวสวมกอดคนเป็นน้องชายเบาๆ มือเล็กๆ ลูบบนผมของคะน้าอย่างทนุถนอมด้วยความรักห่วงใย
“เจ้แค่อยากให้ต่ายคิดดูให้ดีๆ น่ะ อนาคตของต่าย เจ้อยากให้ต่ายได้ทำในสิ่งที่ต่ายมีความสุขจริงๆ
ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดหรือเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ต้องตามใจคำสั่งป๋าหรือของคนอื่นไปทุกอย่างหรอก
ก็ใช่ว่าป๋าจะไม่เข้าใจต่าย ต่ายน่ะทำเพื่อคนอื่นมามากแล้ว ทำเพื่อตัวเองบ้างเถอะนะ
ถ้าไม่เหมาะกับเราก็บอกเจ้ได้ เดี๋ยวเจ้คุยกับที่บ้านให้ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“เจ้ก็พูดไป ที่ตลาดมันก็สนุกดี”
“แรกๆ แกจะเป็นจะตาย ทำเป็นลืมนะ ที่หลังๆ ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเนี่ย...”
ผักกาดจ้องหน้าน้องชายแบบซีเรียส “อย่าให้เจ้ต้องย้ำนะ จันทูเนี่ย! เจ้ขอ เจ้ไม่ไหวจะเคลียร์!”
“เฮ่ย!!! ขนลุก พูดไรเนี่ย” คะน้าลูบแขนตัวเองอย่างสยดสยอง ผักกาดหัวเราะชอบใจ
พอคิดๆ ดูแล้ว เอาเข้าจริง คะน้าก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเริ่มผูกพันกับตลาดแห่งนี้เมื่อไหร่
มันเหมือนค่อยๆ ฝังความรู้สึกผูกพันลงไปในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ สะสมขึ้นทุกๆ วัน
จนทุกวันนี้ยังนึกถึงตัวเองไม่ออกว่า ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่ได้ขายของที่ตลาดแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นยังไง จะไม่ได้พบเจอเจ๊เป็ด จันทู สายใจ เฮียหมู หรือใครต่อใครมากมาย
...ไม่ได้เจอกับตุล และอาจจะไม่ได้เจอกับทิม
...คิดแล้วก็รู้สึกใจแป้วๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ผมจะทำงานที่ตลาดต่อนะ ยังไงก็ของที่บ้าน อยากดูแลให้มันดีๆ ด้วย”
ผักกาดรับฟัง เธอพยักหน้าเบาๆ หากแต่สีหน้ายังเต็มไปด้วยคำถาม
“ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม” คำถามของพี่สาวทำเอาคะน้าหันกลับมามองด้วยความไม่เข้าใจ
“พักหลังๆ ช่วงไม่นานมานี้เนี่ย เราดูแปลกๆ นะ นอกจากบางทีก็ทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้คิดมากมาย
รู้ไหม ว่าบางทีเราก็ยิ้มแล้วทำหน้ากรุ่มกริ่มแปลกๆ มันแปลกนะ ไม่เคยเห็นต่ายเป็นแบบนี้ มันเหมือนกับ...”
“เหมือนอะไรเหรอเจ้”
“เหมือนกับคนที่มีความรักน่ะ”(มีต่ออีกนะครับ ^ ^)