(ต่อเลยๆๆ
)
ทิมกระตุกคิ้วเข้ม หน้ามุ่ยนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์โกรธอย่างเต็มที่
“เป็นพี่เองเหรอ ไอ้บ้าที่มันกดลิฟต์เล่นทุกชั้น รู้ไหมว่าผมยืนรอกี่นาที งี่เง่าอะไรขึ้นมาล่ะ”
กระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิด ร่างสูงเดินหลุนๆ เข้ามาในลิฟต์พร้อมกับลังกระดาษในมือ
ดูจากรอยกดน้ำหนักบนแขนก็พอเดาได้ว่าน้ำคงหนักไม่น้อย
“ขอโทษครับ เห็นว่าดึกแล้ว ก็...” พูดไม่ทันจบประโยคเสียงเข้มก็ดุแทรกขึ้นมาทันที
“ขอโทษแล้วมันแก้อะไรได้ไหม ก่อนทำ ทำไม่ไม่คิด”
“ผมลืมคิดไป คิดแค่ว่ามันดึกแล้ว ขอโทษนะครับ ให้ผมช่วยนะ”
ไม่ทันจบประโยคดี ลังทั้งใบก็ถูกยัดใส่มือของคะน้า ชายหนุ่มยืนงง แต่ก็รับมาถือโดยดี
ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง น้ำหนักของกล่องไม่ได้มากอย่างที่คิด
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาชินกับการแบกมะพร้าวทะลายโตๆ ทุกวันที่ตลาดจนชินก็เป็นได้
หันไปเหลือบมองดูทิมก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “น้องทิมอยู่นี่ด้วยหรือครับ ไม่เคยเห็นเลย”
“แล้วมันเป็นปัญหา?” สีหน้าหงุดหงิดยังไม่เปลี่ยน ท่าทางจะรอนานจริงๆ
“ขอโทษครับ ผมแย่จริงๆ”
“ช่างเหอะ” ยืนเตะจุ้ยเป็นคุณชาย ว่ากันตามความรู้สึกจริงๆ ชนิดไม่ปิดบัง
...ดูกวนตีนชะมัด แต่ทำยังไงได้ จะว่าไปตัวเองก็ทำผิดจริงๆ
ทิมเสียบการ์ดลงไปในช่องลิฟต์ก่อนจะกดปุ่มสูงสุดบนแถวด้านขวา ตั้งแต่อยู่ที่คอนโดนี้มาหลายปี
คะน้าเคยตั้งคำถามว่าคนประเภทไหนที่จะอยู่ชั้นบนสุดของคอนโดแห่งนี้ที่เป็นเพนท์เฮาส์ขนาดใหญ่
มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ว่าจะเป็นสวนหย่อมของตัวเองที่ดาดฟ้า
หรือแม้กระทั่งสระว่ายน้ำส่วนตัวโดยไม่ต้องพึ่งของส่วนกลาง
เพนท์เฮ้าส์ที่ออกแบบเป็นสองชั้นหรือที่เรียกว่า Duplex อันเป็นที่ฮือฮาในตอนที่เปิดตัวโครงการ
ว่ามีมูลค่าสูงจนน่าตกใจ ลำพังแค่ห้องปกติก็มีราคาสูงลิบลิ่วกว่าโครงการอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงแล้ว
แต่นี่... คะน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตา
ทิมยังคงมีสีหน้าหงุดหงิด เม็ดเหงื่อซึมชื้นที่ไรผม 55 ชั้น
คิดๆ ดูแล้วจากชั้นที่คะน้าอยู่จนถึงชั้นจอดรถก็คงหลายสิบนาที
แต่อะไรบางอย่าง คะน้ายอมรับว่ารู้สึกสะใจอยู่เล็กๆ เหมือนกัน
“มองไรพี่ หนักล่ะสิ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง คุณคงไม่ชิน ให้ผมช่วยเถอะ”
“ว่าไงนะ” ทิมบ่น น้ำเสียงเจืออารมณ์เอาแต่ใจแบบเคยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มหายโกรธแล้ว
คะน้ายิ้มกลับให้ ทิมหันหน้าไปทางอื่น มีเสียงบ่นงึมงำเบาๆ “ยิ้มบ้าอะไร กวนประสาท”
เนื่องจากเป็นเพนท์เฮาส์ขนาดใหญ่ที่มีเพียงห้องเดียวทั้งชั้น
บนชั้นสูงสุดจึงไม่มีระเบียงทางเดินแบบชั้นอื่นๆ ระบบลิฟต์จะถูกต่อตรงเข้าสู่ห้องพักทันที
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก คะน้าก็ก้าวตามทิมที่เดินดุ่มๆ แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาในห้อง
“วางตรงไหนก็วางๆ ไป” เสียงทุ้มดังออกมาจากส่วนในห้องที่กว้างมากๆ จนคะน้าจับทิศทางไม่ถูก
คะน้าค่อยๆ วางกล่องกระดาษนั้นลงบนโต๊ะสีขาวเรียบๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ครู่เดียวทิมก็เดินออกมาพร้อมกับเครื่องดื่มในมือ เจ้าตัวยกกรอกปากเอาเหมือนเพิ่งหลุดมาจากทะเลทราย
ทิมโยนกระป๋องน้ำอัดลมในมืออีกกระป๋องให้กับคะน้าอย่างไม่ค่อยใส่ใจ จนคะน้าต้องรีบคว้าไว้เพราะกลัวตกพื้น
“หนักล่ะสิ เป็นไงล่ะ รู้แล้วใช่ไหมว่ามันรู้สึกยังไง”
“พอไหวน่ะครับ ไม่เท่าไหร่ ชินกับการแบกของหนักทุกวันน่ะครับ”
จิบเครื่องดื่มแล้วหันไปยิ้มให้เจ้าของห้อง เห็นทิมทำหน้าผงะ
ถ้าเดาไม่ผิด คะน้ารู้สึกเล็กๆ เหมือนกับทิมกำลังเสียความมั่นใจ
“เอ่อ... จริงๆ มันก็หนักมากๆ เลยอ่ะครับ เกือบตายเอาเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ก้มหน้าจิบน้ำ
...ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เห็นด้วยไหม? สีหน้าของทิมดูดีขึ้น ได้ยินเสียงพูดประมาณว่า
หนักอย่างกับแบกกระสอบหินกระสอบทราย แต่คะน้าไม่ได้สนใจนัก
ทิมก้มหน้าก้มตารื้อของออกจากกล่อง เดินไปเก็บในห้องนั้นห้องนี้ราวกับว่าลืมไปแล้วว่ามีอีกคนอยู่ที่นั่น
นานๆ จะเห็นทิมเหลือบมองมาที่เขาเป็นระยะๆ แล้วก็ทำหน้าหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ
“เอ่อ... งั้นผมกลับก่อนดีกว่า” คะน้าเอ่ยแทรกขึ้น ไม่มีเสียงตอบกลับ
มีเพียงสายตาที่แสดงออกถึงความขัดใจ นั่นก็มากพอจะทำให้คะน้ารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
“คือจริงๆ ก็ไม่ได้มีธุระอะไร แต่กลัวว่าจะรบกวนน้องทิมหรือเปล่าน่ะค...”
“เปล่า” แทรกขึ้นมาโดยที่ไม่รอให้คะน้าพูดจบ จนคะน้าเก้อไป
ไม่รู้จะทำอะไรดี จึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้
“ผมช่วยนะ”
“ไม่ต้อง” เบี่ยงตัวหลบคะน้าไปอีกทาง จนเขารู้สึกเก้ออีก
“...พี่พักเหอะ เหนื่อยแล้ว”เสียงเบาราวกับว่าพูดจากที่ไกลหลายสิบเมตร ทำเอาคะน้ายิ้มขำ
คนแบบทิมนี่เป็นคนที่เผินๆ ดูปากร้าย ไม่น่าเข้าใกล้เอาเสียเลย
หากแต่ลองสังเกตดูดีๆ แล้วจะพบว่าคนละเรื่องกันเลย
คะน้าเอื้อมมือไปช่วยเก็บข้าวของ ทิมไม่ได้ดุว่าอะไรแบบที่เคยๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างดูปกติ ราบเรียบ เว้นแต่รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากนั่น และใบหูที่ดูแดงๆ
ระหว่างที่เก็บข้าวของอยู่ คะน้าก็เริ่มกระสับกระส่ายกับความรู้สึกบางอย่าง
จะขอตัวกลับก็เกรงใจ กระทั่งร่างกายสำแดงหลักฐานชิ้นเอกด้วยเสียงท้องที่ร้องราวกับฟ้าผ่า
แน่นอนว่าทันทีที่ได้ยิน เขาถึงกับเก็กหลุดจนปล่อยก๊ากออกมาทันที
“ไปกินข้าวประสาอะไร ท้องร้องอย่างกับไดโนเสาร์”
“ช่างเหอะ”
“ก็แล้วทำไมพี่ไม่กินให้มันอิ่มๆ”
“กินไม่ลง”
“เป็นอะไรกินไม่ลง”
“...ก็” อ้าปากจะพูด แต่ดีที่ยังยั้งไว้ทัน “...ช่างเหอะ”
“ก็อะไร”
“ไม่มีอะไร”
“ถามว่าก็อะไร!”
เสียงเข้มแสดงถึงความหงุดหงิดเต็มที่ จนปัญหาจะนึกหาเหตุผล
จะพูดออกไปว่าเพราะมัวแต่คิดกังวลเรื่องทิมอยู่ก็ดูจะยังไงๆ
ลงท้ายก็พยายามหาความจริงที่ใกล้เคียงที่สุด ...ไม่อยากโกหกใคร
“ก็ไม่ค่อยอยากไปกิน” คำตอบเรียบๆ ง่ายๆ ของคะน้าที่พูดส่งๆ ไป
กลับทำให้ทิมชะงัก ทุกอย่างเงียบลงไปชั่วขณะ
“ปัญญาอ่อน”ทิมหยุดหยิบฉวยข้าวของแล้วเดินออกไป ถ้าสายตามองไม่พลาด
เหมือนกับคะน้าจะเห็นรอยยิ้มของทิมอีกแล้ว
...ประหลาดนะ พักนี้ยิ้มบ่อยแฮะระหว่างที่ทิมหายไปคะน้าก็เก็บข้าวของในกล่องออกมาเรียงจนเป็นระเบียบ สมุดซ้อนชั้น
เอกสารเรียงรายดูง่ายต่อการอ่าน หากแต่ตัวของเจ้าของห้องกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่เดียวกลิ่นหอมฉุยก็ลอยมาเตะจมูก ตอนแรกคะน้านึกว่าตัวเองหิวจนหลอน
แต่กลับรู้สึกดีใจที่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้คิดไปเอง เพราะมันหอมน่ากินขนาดนั้น!
ทิมโผล่มากับจานข้าวที่พูนไปด้วยไข่เจียวหมูสับโปะมาบนหน้า กลิ่นหอมฉุยจนแทบทนไม่ไหว
“ขี้เกียจเก็บศพ เดี๋ยวจะมีคนไส้ขาดตายเอา”
ไม่รีรอ คะน้าจ้วงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกอร่อย
ไม่รู้ว่าตัวเองรสนิยมต่ำหรือะไร แปลกที่ไข่เจียวหมูสับบ้านๆ ในตอนนี้
กลับทำให้รู้สึกอร่อยกว่าอาหารจานละเป็นพันจากมือเชฟเลื่องชื่อ
“มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
ทิมจ้องมองด้วยความแปลกใจ มองไปก็เริ่มกลืนน้ำลายตัวเองไป
“อร่อยที่สุดในโลกเลยนะ”
“ขนาดนั้น”
“ขนาดนั้น!”
“ก...กินมั่ง”
“ห๊ะ?!?”
คะน้าชะงัก มองค้าง เห็นทิมที่นั่งตรงข้ามกลืนน้ำลายเฮือกก็ไม่รู้จะทำยังไง
จริงๆ ก็พอเข้าใจ แต่มองอุปกรณ์ช้อนส้อมที่อยู่ในมือ มันก็มีแค่ชุดเดียว
“กินมั่ง!”
“เอ่อ...”
“ตักๆ มาดิ ชักช้าอะไรล่ะพี่ ทำเป็นงกไปได้ ก็แค่อยากรู้มันอร่อยอะไรนักหนา”
คะน้าจึงค่อยๆ เอาช้อนที่อยู่ในมือตักไข่เป็นชิ้นแล้วตักข้าวใส่ช้อน ลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี
“ใส่ซอสด้วย ซอสพริกน่ะ นิดเดียวนะ อย่าเยอะ”
ค่อยๆ ราดซอสพริกสีแดงลงบนช้อน แล้วกระบวนการก็กลับสู่ขั้นตอนเดิม
ลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี จนคะน้าตัดสินใจส่งช้อนให้ แต่...
“ป้อนที” มองเขม็งไปที่ไข่เจียวหอมกรุ่นราดซอสพริกเยิ้มๆ
“กินเองสิ” ยื่นช้อนออกไปข้างหน้าให้คนเอาแต่ใจ หากแต่ทิมกลับโน้มตัวมางับช้อนในมือ
ภาพที่ทับซ้อนกับคราวก่อนแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง
และก็อีกครั้งเช่นกันที่คะน้ารู้สึกกระดากแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
...ไม่แปลกอะไรใช่ไหม ก็แค่ข้าวไข่เจียว มองดูก็ไม่มีอะไรแปลก
...ถ้าจะมีอะไรแปลก เห็นทีจะเป็นความคิดบ้าบอของเจ้าตัวนี่แหละ
“อร่อยว่ะ” ทิมพูดขึ้นเบาๆ แล้วเอามือเช็ดปาก ยิ้มภูมิใจ
คะน้าจ้องมองช้อนที่ว่างเปล่าในมือ ความรู้สึกบอกไม่ถูกว่าจะกินยังไงต่อไปดี
“เดี๋ยวก็เย็นหมด จ้องอยู่ได้”
เอาวะไอ้คะน้า กินก็กิน ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไร
ก็แค่ป้อนข้าว ก็แค่กินข้าวช้อนเดียวกัน มันแปลกอะไร!
ว่าแล้วก็จ้วงต่อ แล้วคะน้าก็พบว่าไม่ผิดหวังจริงๆ
เพราะมันก็ยังเป็นข้าวไข่เจียวที่อร่อยที่สุดในโลกเหมือนเคย
“เสร็จแล้วก็วางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า แม่บ้านก็เข้ามาทำ”
“น้องทิมอยู่คนเดียวเหรอครับ” คิ้วเลิกสูงแสดงความหงุดหงิดที่เริ่มก่อตัว
“แล้วเห็นใครไหม” ตอบคำถามด้วยคำถาม นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่คะน้าเริ่มชินแล้ว
ว่าแล้วก็ทานข้าวต่อ ป่วยการจะเค้าหาคำตอบอะไรจากทิม
ระหว่างที่คะน้าทานข้าวอยู่ทิมก็หายตัวไป แม้ว่าเจ้าของห้องจะบอกว่าให้วางจานไว้ที่โต๊ะ
แต่คะน้ารู้สึกว่ามันคงดูแปลกๆ ที่วางเรี่ยราดแบบนี้ ชายหนุ่มหยิบจาน
แล้วเดินหาห้องครัวที่ดูว่าจะหาเจอไม่ได้ง่ายนักด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างเหลือเชื่อ
กระจกใสที่ผสมสารกรองแสงกรุเป็นผนังโดยรอบทั้งหมดของห้อง
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่แตกต่างเอามากๆ กับห้องของคะน้าและผักกาด
ด้านนอกเป็นสระว่ายน้ำและมีระเบียงพักผ่อนและพื้นที่สีเขียวที่เป็นส่วนตัว
...ไม่แปลกใจเลยที่ไม่เคยเห็นทิมในพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดสักครั้ง
วัสดุที่ใช้ปูพื้นหรือแม้แต่พรมก็ดูต่าง แค่หนังเท้าด้านๆ เหยียบยังรู้เลยว่าของนอก!
จนสุดท้ายก็พบห้องครัวอยู่ส่วนในสุดของห้อง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ขนาดของมันใหญ่กว่าห้องนอนของเขาเสียอีก ล้างจานรวมทั้งกระทะ
ชามที่ใช้ผสมไข่ รวมทั้งเก็บเปลือกไข่ลงถังขยะจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมานั่งที่โซฟา
มองดูไปรอบๆ พื้นที่รับแขก ซี่งออกแบบเป็นชั้นหนังสือตีรอบแทนผนังบางส่วนทำให้ดูโปร่งสบายตา
ด้านข้างเป็นบันไดเหล็กสำหรับขึ้นไปด้านบน คะน้าเดาว่าห้องนอนคงอยู่บนนั้น
เป็นห้องที่ดูดีสมกับราคาค่างวดจริงๆ ฟังก์ชั่นการใช้งานดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี
เหมาะกับการอยู่อาศัยของครอบครัว สักสี่คนอยู่ยังอยู่ได้อย่างสบายๆ
...คนประเภทไหนกันนะ ที่อยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่ราคามหาศาลขนาดนี้เพียงคนเดียว?
ขณะที่พยายาค้นหาคำตอบในใจ กลิ่นอ่อนๆ ของสบู่
ทำให้คะน้าหันหลังกลับ มามองที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นหอม
ร่างสูงโปร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นเปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำทั่วตัว
ต้นแขนที่นูนชัดดูรับกับท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นถึงแผ่นอกกว้าง
ดูดีจนเย้าสายตาให้เลื่อนลงไปสู่ช่วงท้องที่เป็นเหลี่ยมนูนของกล้ามเนื้อ
เป็นระเบียบเรียงหลั่นกันกระทั่งถึงไรขนอ่อนๆ ที่แทรกตัวขึ้น
บนผิวหนังกลางลำตัวเหนือผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดตาที่ดูหนานุ่มนั้น
คะน้าเผลอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างฝืดเคือง
ลอบมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างหยุดสายตาตัวเองไม่ได้
ทิมยกฝ่ามือขึ้นลูบผ่านขากรรไกรก่อนฝังนิ้วโป้งลงบนโหนกแก้มที่ยกตัวสูงน่ามองนั้น
แล้วค่อยๆ ลากลงมาช้าๆ จนถึงเรียวปาก มองสำรวจตัวเองที่หน้ากระจกเงาที่เรียงราย
เป็นทางยาวตัดผ่านจากทางเดินไปสู่ห้องน้ำในเพนท์เฮ้าส์
คะน้ายังคงมองตามร่างสูงของคนที่อ่อนวัยกว่าที่ดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนัก
เนิ่นนาน จนทิมค่อยๆ เบือนหน้ากลับมาจนสังเกตเห็น รู้สึกแปลกใจที่เห็นสายตามองจ้องตัวเองอยู่
ชายหนุ่มจึงหันตัวกลับมาแล้วค่อยๆ เดินเข้ามาหาเจ้าของดวงตาที่จ้องมองไม่วางตาคู่นั้น
ฉับพลันนั้น หัวใจของคะน้าก็สั่นไหวไม่เป็นจังหวะ รู้สึกไม่มั่นใจ
รู้สึกประหม่าจนอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นในเสี้ยววินาที
“พี่มองอะไรน่ะ” เหมือนเด็กที่โดนจับได้เมื่อทำความผิด
คะน้าเสมองไปด้านข้าง หลบสายตาคนที่อยู่เบื้องหน้า
“เปล่านี่ มองอะไร”
“ข้างฝามีอะไรน่ามอง” ทิมจ้องผนังห้องตัวเองแล้วถามด้วยความสงสัย
“ก็มองไปเรื่อย” กลืนน้ำลายฝืดๆ อย่างยากลำบาก
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ระดับสายตาตรงหน้าในตอนนี้น่ะ
“ตามใจ” สะบัดหัวที่เปียกชื้นจนละอองน้ำกระเด็นไปทั่ว
ตามธรรมดาแล้วคะน้าคงจะต่อว่าอะไรสักหน่อย
หากแต่ในตอนนี้กลับนึกแม้แต่วิธีจะหายใจยังลำบากยากเย็น
ทิมเดินออกไปนั่งที่โซฟาอีกด้าน เอนหลังพิงบนเบาะนุ่มๆ กดรีโมตเครื่องเสียง
ไม่นานเพลงบรรเลงเสียงแซ็กโซโฟนก็ดังขึ้นมาจากเครื่องเสียงชั้นยอด
เจ้าของห้องที่ตอนนี้มีแค่ผ้าขนหนูพันท่อนล่างยกข้อเท้าวางบนหัวเข่าอีกด้านหนึ่งอย่างไม่ทุกข์ร้อน
...ราวกับห้องนี้มีเพียงเขานั่งอยู่เท่านั้น
คะน้าเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ความรู้สึกในใจในตอนนี้ช่างยากเกินอธิบาย
รู้สึกสั่นๆ เหมือนกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง คิดจะลุกหนี
หากแต่ห้วงทำนองของเสียงแซ็กโซโฟนที่แว่วหวานนั้นขับกล่อมจนเกียจคร้านจะลุกไปไหน
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาที่จ้องมองอยู่
เป็นสายตาที่ท้าทายทุกประสาทการรับรู้ราวกับจะขยี้ให้ความรู้สึกกระเจิดกระเจิง
“โห พระจันทร์ดวงเบ่อเร่อเลย ท้องฟ้าไม่มีเมฆดีนะ”
เอ่ยไปทั้งที่เสียงสั่นๆ คนตรงหน้าที่นั่งอยู่กันคนละฝั่งไม่ได้เอื้อนเอ่ยใดๆ กลับ
ดวงตาคู่นั้นยังจับจ้องอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“เอ่อ... อากาศดีเนอะ เย็นสบาย” เป็นคะน้าอีกเช่นเดิมกับบทสนทนาที่ไม่เข้าท่านั้น
ทิมยกมือขึ้น กดรีโมตเร่งความเย็นของเครื่องปรับอากาศ แล้วถือค้างไว้แทนคำตอบ
“นั่นสินะ แอร์นี่นา ถึงว่าเย็นๆ” ช่างเป็นคำพูดที่งี่เง่าและน่าขายหน้าที่สุด
แต่ทำไงได้ สมองมันคิดได้แค่นั้น หากแต่ดวงตาวาวคู่นั้นกลับยังจับจ้องอยู่ไม่วางตา
ราวกับจะสำรวจร่างกายของเขาทุกซอกมุม คะน้าก้มหน้าลงรู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งตัว
มือขวายกขึ้นมากำเสื้อที่หน้าอกจนยับย่นอย่างลืมตัวเพราะจังหวะหัวใจที่เต้นแรง
หากแต่ความรู้สึกนั้น กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
...ไม่ไหว หัวใจมันหวิวๆ เหมือนจะหยุดเต้น“พี่หนาวเหรอ...”
เสียงทุ้มแรกที่ดังขึ้นผสานกับเสียงแซ็กโซโฟนที่เน้นจังหวะหวามในท่อนโซโลของเพลงนั้น
ราวกับจะพัดพายุโหมกระหน่ำในใจให้ปั่นป่วน ร่างสูงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ รอยยิ้มน้อยๆ กระตุกขึ้นที่มุมปาก
ก่อนจะเดินตรงมาที่คนที่นั่งอยู่ ดวงตาคมคู่นั้นยังคงมองจ้องที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หมอนใบเล็กๆ ในมือของทิมถูกส่งให้กับคนที่นั่งอยู่
เป็นหมอนแบบเดียวกับที่วางดาษดื่นใกล้ๆ ตัวของคะน้า รู้ทั้งรู้ว่าไม่แตกต่าง
แต่จะปฏิเสธน้ำใจของทิมก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า สองมือค่อยๆ ยื่นออกไปรับมันทั้งๆ ที่ยังสั่นๆ
ก่อนจะคว้าหมอนที่ได้รับมาแล้วกอดแน่น ฝังใบหน้าตัวเองลงบนความหนานุ่มนั้น
เสียงติ๊ดๆ จากรีโมตบอกว่าอุณหภูมิถูกปรับลดต่ำลงอีกครั้ง
กระแสลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่วเบาลงจนรู้สึกได้
หากแต่อาการสั่นๆ นั้น ไม่ได้ทุเลาหรือลดลงไปเลย
...ไม่ไหว รู้สึกเหมือนจะขาดใจ“ผมกลับก่อนนะ” สุดจะทานไว้ คะน้าปล่อยหมอนที่กอดอยู่แล้วลุกขึ้นยืน
ชายหนุ่มคว้ากุญแจรถแล้วเตรียมกลับ หากแต่ปลายแขนกลับถูกตรึงไว้ด้วยแรงรั้ง
“ดึกแล้ว นอนนี่เหอะ”รู้สึกถึงน้ำหนักของแขนสองข้างที่ค่อยๆ รัดเข้าจากช่วงเอวก่อนจะพาดรั้งดึงจนเข้าใกล้
เสื้อยืดสีมอๆ ของคะน้าดูดซับความชื้นจากหยดน้ำเล็กๆ บนร่างกายทิมจนชื้นชุ่ม
แผ่นหลังถูกบดจนแนบชิด ...ชิดจนเบียดแน่นกับกล้ามเนื้อหนาของคนด้านหลัง
“อยู่นี่ ...อยู่ด้วยกัน”คะน้าเผยอริมฝีปากขึ้น พยายามเค้นเสียงที่เคยมีให้ออกมา
แต่กลับทำได้แค่เพียงเสียงแผ่วลมที่ฟังไม่เป็นแม้ภาษา
“...นะครับ”คางแหลมสากของทิมลากไล้ไปบนลำคอก่อนจะวางแนบลงบนบ่า
ผมเส้นหนากระด้างที่เปียกชื้นแนบลงที่ข้างใบหู
มีไอร้อนของลมหายใจโลมไล้แผ่วเบาข้างๆ ซอกคอจนร้อนกรุ่น
วงแขนกว้างโอบกระชับร่างกายของคนข้างหน้าให้แนบชิด ...แน่นขึ้น ...เบียดขึ้น
แสงของพระจันทร์ทอดตัวผ่านกระจกเป็นเงาสะท้อน
ในภาพเงาที่เลือนรางของคะน้า มีชายหนุ่มอีกคนที่ซ้อนชิดอยู่ด้านหลัง
ดวงตาคมของใครคนนั้นยังคงจ้องลึกไปในดวงตาของคนตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
รอยยิ้มของทิมแย้มพรายขึ้นช้าๆ ก่อนที่ปลายจมูกค่อยๆ กดฝังลงบนหัวไหล่
“...อุ่นยัง?”+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อุ่นไหมครับ!
ตอนหน้าจะเอายังไงดีหนอ
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนมากๆ นะครับ
ทุกๆ คอมเมนต์ ทุกๆ กำลังใจ แล้วก็คำแนะนำ อ่านหมดเลยนะครับ ขอบคุณมากๆ เลย
ใครเล่นเฟซบุค แวะไปจิกทวง เสนอแนะได้ที่หน้าเพจตรงลิงค์ข้างล่างได้ตามอัธยาศัยนะครับ
รักเพื่อนๆ ทุกคนมากมายให้ตายเหอะ!