ตาทิมนี่ยังไงนะ ของพี่แกแรงจริง ขนาดขาว ตี๋ มีแว่นก็เอาไว้ไม่อยู่
โผล่มาก็น้อย แต่กวาดใจคนแถวนี้ไปจนมีแฟนคลับเป็นโขยง
น่าสงสารหมอตุลคะแนนแทบไม่กระเตื้อง อยากให้ทิมโผล่เยอะๆ อยากได้หวานๆ กันใหญ่
เหอๆๆๆ ด้วยความหมั่นไส้เป็นทุนเดิม คนแต่งขอจัดกาแฟขมๆ ให้แก้วโตๆ!
ถ้าเหล่าแฟนคลับตาทิมคิดว่าพอไหวก็อ่านดูแล้วกัน (แต่ถ้าไม่อ่าน คิดว่าคงเสียใจ) คริคริ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 6ปลายปากกาหมึกแห้งนิ่งสนิทอยู่บนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองออกไปที่ใต้เงาไม้ร่มรื่นในขอบรั้วสีขาว
นกตัวน้อยๆ ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาทางสายลม นานๆ ทีจะได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจแผ่วๆ
ออกมาจากคนที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างดังแทรกตัวมาในอากาศมาเป็นระยะ
บอกตามตรงว่าไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่กับเรื่องที่เกิดขึ้น
รูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน หรือแม้แต่นิสัยใจคอ
คนแบบตุล ดูเหมือนจะเพียบพร้อมไปทุกอย่างที่ผู้ชายในวัยก่อนสามสิบพึงจะมี
คนที่ดูเหมือนว่าน่าจะเกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายเลือกมากกว่าจะถูกเลือก
...คนแบบตุล กลับเลือกที่ชอบผู้ชายอย่างนั้นเหรอ
แล้วคนที่ตุลรู้สึกดีๆ ด้วยคือใคร?
คืนนั้น ตุลหยุดสั้นๆ ไว้แค่นั้น ไม่ได้บอก ไม่ได้พูดคุยอะไรต่อจากนั้น
แต่คิดว่าลำพังแค่นี้ก็คงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากใจกับตุลแล้ว
...อาจจะเป็นใครสักคนที่โรงพยาบาล คิดแบบนั้นจริงๆ
ครั้งหนึ่งผักกาดเคยพูดถึงตุลว่า อาชีพหมอเป็นอาชีพที่มีต้องเสียสละสูง
ตารางชีวิตยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอาจต้องยุ่งจนกินนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ๆ
บางคราววันหยุดก็อาจโดนโทรมารักษาเคสด่วน อีกทั้งคนที่เป็นหมอมักจะเป็นคนซีเรียส
แต่ก็ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูง สูงจนกลายเป็นทิฐิ จนบางทีก็จัดอยู่ประเภทว่าผิดไม่เป็น
รวมๆ แล้วจึงไม่แปลกใจที่คนเป็นหมอ ลงท้ายมักจะคบหาดูใจกับคนที่เป็นหมอด้วยกัน
หรือไม่ก็เภสัชฯ หรือพยาบาล ...เป็นคนในที่ทำงานเดียวกันนั่นแหละ
เพราะมีเวลาให้กันเยอะหน่อยและมักพูดจากันรู้เรื่องกว่าคนอาชีพอื่นๆ
“มันก็แปลกนะ ขนาดเจ้เจอหน้าบ่อยๆ ยังได้แต่ยิ้มๆ ให้กัน
มากสุดก็หวัดดี ไหงน้องชั้นมันไปคุยกับตาแว่นหน้าหล่อนั่นได้”
ข้อสงสัยของผักกาดกังวานในความคิด ปลายปากกาถูกกดซ้ำๆ ลงบนที่เดิมจนเป็นจุดลึก
เหมือนกับความสงสัยที่ยังย้ำวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ในหัวของคะน้า
...ก็แล้วจะไปสงสัยอะไรกับเรื่องชาวบ้านเขาด้วย จะเป็นใครก็ช่างเหอะ ชายหนุ่มสะบัดหัวพรืด
ไล่ความคิดไร้สาระออกไป หากแต่ความรู้สึกหนึ่งในใจกลับทำให้เขารู้สึกโหวงอย่างประหลาด
...รู้สึกใจหาย และเขาก็ตอบความรู้สึกนั้นในใจไม่ได้จริงๆ
ป่วยการจะค้นคิดหาคำตอบที่ไม่รู้จะหาไปให้ได้อะไร
คะน้าเหยียดตัวลงบนโซฟาบุหนังนุ่มๆ หยิบโทรศัพท์กดออกหาจันทู
เปลี่ยนแผนให้เอาไอศกรีมไปส่งให้ตุลที่โรงพยาบาลตามที่ตุลสั่งเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน
ส่วนตัวเขาจะไปเฝ้าที่แผงในตลาดเอง ...อย่าเพิ่งเจอเลยดีกว่า
แน่นอนว่าจันทูไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอบ่นจนคะน้าปวดหู
ไม่ใช่เพราะว่าขี้เกียจไป แต่สาวเจ้าบอกว่าวันนี้เธอแต่งตัวสวยไม่พอ!
จะกดวางโทรศัพท์ก็เห็นเบอร์ที่รับไม่ทันเมื่อคืนขึ้นโชว์บนหน้าจอ
เพราะไม่คุ้นกับการรับสายซ้อน คะน้าเลยเผลอไปกดวางหูใส่เอา
และเมื่อวางโทรศัพท์จากตุลเสร็จก็รีบโทรกลับไปหา แต่ดูเหมือนเจ้าของเบอร์ก็ปิดเครื่องเสียแล้ว
...ทิมอย่างนั้นเหรอ?
...แล้วนึกยังไง มาเรียกกันแบบนั้น? อารมณ์ไหน?
หากแต่คำถามต่างๆ ที่จนปัญญาจะหาคำตอบนั้น กลับหายไปหมดสิ้นเมื่อตลอดเวลาทั้งบ่าย
พ่อค้าหนุ่มสาละวนกับการขายของเพียงแต่ผู้เดียวในตลาด เดี๋ยวมะพร้าวอ่อน
เดี๋ยวมะพร้าวสำหรับคั้นกะทิ ไหนจะต้องคอยขายไข่ไก่
หรือแม้แต่ไอศกรีมที่เขากำลังตักอยู่นี่ก็ตาม ...ลูกค้าเยอะจนน่าดีใจ
โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้คะน้าแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่มีใครโทรหา
...เป็นสายของตุล พ่อค้าหนุ่มนิ่งไปสักพัก หรือว่าจันทูไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว
คิดแล้วพ่อค้าหนุ่มก็รีบกดรับสายด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
“คุณตุล”
“นึกว่าจะเป็นคุณคะน้ามาเองเสียอีก” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น ทำเอาคะน้ารู้สึกไม่ดี
คิดแล้วก็ไม่น่าขี้เกียจหรือคิดอะไรบ๊องๆ แบบนั้นเลย ถ้าไปเองก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไรแบบนี้
“ขอโทษนะครับ จันทูไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือเปล่าครับ”
“หืม?... อ้อ เปล่าหรอกครับ ผมแค่นึกว่าคุณจะมาน่ะ” ปลายสายที่ได้รับฟังถึงกับถอนหายใจโล่งอก
“ไอติมอร่อยมากนะครับ ที่แผนกชอบกันใหญ่เลย เห็นทีต้องอุดหนุนบ่อยๆ เสียแล้ว”
“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวจะแถมให้เป็นพิเศษเลย ฮ่ะๆๆ” โชคดีที่ไม่มีเรื่องน่าปวดหัว จันทูเอ้ยยย...
พูดคุยอีกสักพักตุลก็วางสายไป ทุกอย่างปกติดี ...ไม่เห็นเหมือนกับที่ผักกาดพูดเลยแฮะ
หากจะมีใครสักคนที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็น่าจะเป็นเขาเสียมากกว่า ...รึเปล่า?
บ่ายสี่โมงครึ่ง หนุ่มโสดขวัญใจแม่ค้าทั้งตลาดก็ถอนหายใจเฮือก วุ่นจนลืมเวลาไปเลย
นับตั้งแต่วันนั้นที่ได้นั่งคุยกันใต้ต้นไม้ ทิมก็ดูวุ่นวายกับงานการตลอดหลายวันที่ผ่านมา
แรกๆ ก็คิดว่าแบบนั้นจริงๆ แต่ความเฉยชานี่สิ ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับงานยุ่ง
...หรือเป็นเพราะว่าเราทำอะไรผิดหรือทำอะไรให้ทิมไม่พอใจ
ถ้าอย่างนั้น แล้วข้อความในมือถือนี่ล่ะ มันยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ยังไงความสงสัยที่แบกมาหลายวันก็ขอสะสางในวันนี้แล้วกัน
แบกกระปุกไอติมที่ใหญ่บึ้มเป็นพิเศษในมือเรียกว่ายอมขาดทุนกันเลยทีเดียว ...เขาเรียกว่าค่าปิดปาก
คะน้าเดินฉุยๆ เข้าไปในโครงการก่อสร้างคอนโดที่ค่อยๆ คืบหน้าไปทีละน้อยอย่างคุ้นเคย
เห็นเป้าหมายเด่นมาแต่ไกล แม่ง... วิศวกรบ้าอะไร ไปเป็นดาราดีกว่าไหมน่ะ
แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับยีนส์สีเข้มมันยังฉายออร่าได้ขนาดนี้
ไม่รู้แหละ วันนี้ต้องรู้ว่าหมู่หรือจ่า ไอ้เด็กบ้านี่ เดี๋ยวก่อน ได้เห็นดีกัน
ว่าแล้วคะน้าก็จ้ำๆ ไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
เป้าหมายหันกลับมามอง สีหน้าเรียบเฉยฉายความหงุดหงิดออกมาทางแววตา
...คุ้นแล้วกับท่าทางแบบนี้ ก็อย่าคิดนะว่ากูจะกลัว ระดับลูกเจี๊ยบแบบมึงน่ะ อ่อนว่ะ ไอ้ทิม
แววตาของคะน้าในวันนี้เคลือบแฝงไปด้วยความชั่วร้ายกว่าทุกๆ วัน เขาสบตาทิมกลับด้วยดวงตาที่ลุกวาว
ทิมมองกลับด้วยสายตาที่กร้าวไม่แพ้กัน ...ถามว่ากลัวไหม? และแล้วคะน้าก็ตะโกนออกไปสุดเสียง...
“ไอติมมาส่งแล้วคร้าบบบบบบบบบ... อ๊ะ! รออยู่อ่ะดิ ติ๊กต่อกๆ สี่โมงแล้วนะเออ”
แม่งหน้ากลัวโคตร กูฝ่อไปหมดแล้วเนี่ย ไอ้เด็กเปรต ตาแบบนั้น มึงไปเป็นโจรเหอะ
จ้องหน้ากูเขม็งแล้วเงียบแบบนั้น มันหมายความว่ายังไง มึงอย่านะ กูกลัววววว...
“ไอติมเย๊นนนน...เย็น ห๊อมมม...หอม ดูสิ มีเนื้อมะพร้าวอ่อนด้วย น่ากิ๊นนน...น่ากิน”
นี่กูทำอะไรอยู่เนี่ย กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังทันไหมวะไอ้คุณคะน้า แล้วสะดุ้งอะไรล่ะนั่น
ทำอย่างกับกูเป็นผี ดูมันจ้องกูเข้า โหย... จ้องกูแบบนี้มึงไม่ไปหยิบเกรียงมาเฉาะหัวกูไปเลยล่ะ
หล่อเทพลดตัวมาพูดด้วยดีๆ ก็ไม่พูดด้วย มองหน้ากูนะ แล้วขีดเส้นใต้หนาๆ ยังไงกูก็มีศักดิ์ศรีของกู!
“สักคำไหม ร้อนๆ กินไอติมเย็นๆ นี่มันชื่นใจนะน้องทิม”
เค้าเรียกว่าศักดิ์ศรีของพ่อค้าที่ต้องมีหัวใจบริการไง อ้าปากนะๆ อ้ามมมม....
เหล่าคนงานที่ผสมปูนอยู่ใกล้ๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คะน้ากลืนน้ำลายเอื๊อก
นี่มันผิดแผนไปหมดเลยกู ไหงมันเป็นอย่างนี้ไปได้เนี่ย
หมดกันภาพลักษณ์หล่อเทพที่สร้างมา อีกคนจ้องกลับตาเขม็ง ไม่พูดไม่จา
...ตู๊ดๆๆๆ ขอโทษค่ะ ไม่มีสัญญาณจากหมายเลขที่ท่านเรียกอยู่ในขณะนี้
คะน้าค่อยๆ เอามือปิดฝากระปุกไอศกรีมยักษ์ในมืออย่างเก้อๆ
นอกจากไม่เท่แบบที่ตั้งใจไว้ ยังไม่ขำเอาเสียอีก ซ้ำร้ายไปกว่านั้น
ดวงตากร้าวนั้น กลับดูโหดกว่าเดิมเมื่อคิ้วเข้มๆ เริ่มขมวดขึ้งอยู่บนใบหน้าแดงๆ
เหมือนโกรธจัดยังไงยังงั้น โกรธอะไรขนาดนั้นนะ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
...เพิ่งคิดอะไรได้บางอย่าง จู่ๆ คะน้าก็สะดุ้งเฮือก
...ฉิบหายละ! อย่าบอกนะว่าไอ้หล่อเท่มันจับได้ว่ากู...
...ว่ากูแอบเอามันมาโอ้บะบ่ะที่ท้องสนามหลวงทีนึง!!!
เช็ดโด้โกโก้ครั้นช์แล้วไงล่ะ! กูไม่รู้ กูไม่ได้ตั้งใจ เอาไงดีวะเนี่ย จู่ๆ คะน้าก็รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ลีบลงๆ
ถ้ามีหู หูก็คงตก ถ้ามีหาง หางก็คงหดนั่นแหละ มะ...มันรู้ได้ด้วยเหรอ ของแบบนี้!
เหลือบมองคนข้างๆ ด้วยแววตาหวาดๆ ไม่รู้จะพูดยังไงให้ดูไม่เหมือนคนโรคจิตหากเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
“ไม่เห็นอยากกิน” ดวงตายังมองตัวเลขบนกระดาษที่อยู่ในแฟ้มบนมือ
หากแต่เสียงของทิมดังขึ้นมาในที่สุด ส่วนคนที่ได้ยินน่ะเหรอ วิ๊งๆๆๆ หูตั้ง หัวส่าย หางกระดิกหมุนติ้ว
คะน้าค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ ส่งสายตาวิ๊งๆ ทิมขยับหนีไปหนึ่งก้าว ตายังจ้องมองตัวเลขในกระดาษ
เมื่อคนตัวสูงกว่าออกห่าง คะน้าก็เขยิบตาม หากแต่อีกฝ่ายก็ขยับตัวไปด้านข้างเรื่อยๆ อยู่แบบนี้ กระทั่ง...
“อะไร!” ทิมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหงุดหงิด
“กินติม”
“ไม่!” หันมาทำหน้าดุใส่คะน้า คนที่ได้ยินถึงกลับสลด วิศวกรหนุ่มยืนเก้อชั่วครู่
เหมือนไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี ก่อนจะเฉหันหน้าไปทางอื่น “...ไม่ใช่ตอนนี้”
ถึงจะเบา แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คนที่ฟังเริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อย
ทิมหันกลับแล้วเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง ขายาวก้าวฉับๆ ชนิดกะจะไม่ให้เห็นฝุ่น
คะน้าพยายามทำใจดีสู้เสือเดินตามไปกระทั่งถึงร่มไม้ใหญ่
กระนั้นคนที่ถึงก่อนก็อุตส่าห์กระถดตัวหนีแม้จะชิดขอบรั้วกำแพงแล้ว ...อีกเซนฯ ก็ยังดี
ชูจักกะแร้ก็ไม่เห็นจะมีกลิ่น ดมเนื้อตัวถึงจะไม่หอมแบบอาบน้ำใหม่ๆ
หรือใส่น้ำหอมแต่ก็ไม่ได้เหม็นเหงื่ออะไร หากจะมีก็แค่ลืมสระผม
แต่ก็แค่วันสองวัน ไม่น่าจะส่งกลิ่นอะไรขนาดนั้น ...หรือว่าไม่พอใจอะไรจริงๆ
...หรือเพราะไม่ได้ตอบข้อความกลับไป?
คิดได้ดังนั้น คะน้าก็หยิบมือถือขึ้นมากดข้อความส่งออกไป
ทิมเหลือบตามองสักพักแต่ก็ยังคงยืนนิ่ง คิ้วหนาๆ ขมวดมุ่นอยู่เช่นเดิม
เป็นธรรมดาที่ความร้อนระอุในยามบ่ายมักจะทำให้เราหงุดหงิดเสมอ
หากแต่ความเงียบในตอนนี้กลับทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งกว่า
ทิมยังคงสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ...อึดอัดจนคะน้าลอบถอนใจเบาๆ
“เอ่อ... งั้นพี่กลับก่อนแล้วกันนะครับ”
ค่อยๆ ย่อตัวลงแล้ววางกระติกไอศกรีมที่เอามาลงบนพื้นตรงหน้า
พอจะยกตัวขึ้นยืนก็รู้สึกถึงน้ำหนักเบาๆ ที่วางลงบนหัวตัวเอง
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นไรผมเปียกชื้นของคนที่ยืนข้างๆ
แทนที่จะเป็นหมวกพลาสติกสีเหลืองที่เคยสวมใส่อยู่บนศีรษะตลอดเวลา
ซวยล่ะสิ อยากจะทุบหัวตัวเองสักที ...รีบจนลืมอีกแล้ว คะน้าหลับตาปี๋
รู้ดีว่าคนอย่างทิมไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ
“เอ่อ... ขอบคุณนะครับ” เอามือยกขึ้นจับหมวกบนหัว
“อากาศร้อนเนอะ ว่าไหม”
คนที่ไม่สวมหมวกตีหน้าขรึม เอาแฟ้มกระดาษในมือพัดเรียกลมไปมา
แล้วเดินเลาะไปอีกด้านหนึ่งของร่มใม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป
(ต่อข้างล่างนะครับ)