‘กูไปช้าหน่อยนะ’
ชายหนุ่มอ่านข้อความที่เพื่อนส่งมาหา เขาปิดหน้าจอแล้วเงยหน้ามองจุดหมายเดิมของสายตา... โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เขานั่ง คนสามคนกำลังนั่งทานอาหารกันอย่างสนุก... ต่างจากเขา
โต๊ะหนึ่งในมุมมืด บดบังจากสายตาของใครหลายคนในร้านอาหารแห่งนี้ เขาคนเดียวที่กำลังนั่งอยู่ที่ตรงนั้น.... แต่จุดนี้สามารถมองเห็นคนคนหนึ่งได้ถนัดตา
เมื่อยิ่งมองนานเท่าไหร่เขาก็ยังอยากที่จะเชื่อ...
‘พี่ธี จำไว้นะ ถึงผมจะโกรธพี่ยังไง ผมก็รักพี่’แต่หากวันนี้ไม่รักแล้วล่ะ...
หากเขาลืมไปแล้วล่ะ...
หากเขาเปลี่ยนไปแล้วล่ะ...
ความเป็นไปได้มีสูงมาก แต่ทำไมธีถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ความห่างเหินและกำแพงสูงตะหง่านเมื่อครู่ยังตอกย้ำเขาไม่พอ... เพราะไม่เคยตัดใจได้ เขาจึงต้องมาหาบางอย่าง
ธีนิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง... ภาพที่เคลื่อนไหวได้ตรงหน้า ดูดีกว่าในความฝันมากมาย
ยิ่งมองก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดถึงคืนวันเก่าก่อนก็ยิ่งปวด---- หัวใจ ....... ทว่า อีกฝ่ายคงเจ็บไม่น้อยกว่าไปเขาหรอก ดังนั้นแค่นี้ธีจึงทนได้
ครื๊อ ครื๊อ ครื๊อ.... เสียงสั่นกระพือของวัตถุที่อยู่บนโต๊ะ เพื่อนของเขามาแล้ว.... ธีรับสายและบอกทางเดินมาที่โต๊ะให้กับเพื่อน เขาสั่งอาหารเบาๆ มาก่อน ต่างก็ยังอยากคุยกันสักหน่อยก่อนเริ่มมื้อเย็น
“จิบกันหน่อยมั้ยวะ ท่านผู้ช่วย” เพื่อนเงยหน้าขึ้นมาถามเขา
“ตามสบายคุณเถอะครับ ผมนิดเดียวพอ” เพื่อนประชด
เพื่อนสั่งเบียร์ 2 ขวดสำหรับวันนี้ เพราะเขาต้องขับรถกลับเองจึงไม่อยากดื่มเยอะ แค่จิบๆ ระหว่างคุยกันก็พอ
นานแล้วที่เขาไม่ได้เข้ามาที่เมืองหลวงของประเทศ และเพื่อนคนนี้ก็ยุ่งมากจนเจอกันได้ยาก ถึงได้คุยกันบ่อยก็ตาม แต่ยังไงก็ไม่เหมือนนั่งคุยแบบเห็นหน้ากันแบบนี้
“มึงขับมาเอง?” ธีถามเพื่อน
“เออสิ กูมีสารถีกับเค้าเรอะ” ตอบเพื่อน
“อ้าว ไปนอนห้องเค้าก็ใช้เค้ามารับมาส่งสิ” แซวเพื่อน
“สัด คนเรานะเว้ย ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้เป็น” โอ่กับเพื่อน
“กูพูดกับน้องพฤกษแล้ว เมื่อสักพักนี้เอง” ธีเปิดประเด็น
เพื่อนคนนี้ เข้าใจเขา เพราะมีบางอย่างที่เหมือนกัน นิสัยก็เข้ากันได้ดีเพราะความคิดคล้ายกันในบางเรื่อง ทศจึงเป็นที่ปรึกษากลายๆ ให้เขามาตลอด.... จะบอกว่าที่ปรึกษาก็ยากนะ เพราะทศไม่เคยให้ทางอะไรกับธีเลย ทศมักแค่รับฟังและพูดคุยด้วยเฉยๆ... แต่ก็นั่นแหละที่ธีชอบ ธีชอบคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง แต่บางครั้งที่ธีตันเขาอยากลองฟังทางอื่นจากคนอื่นบ้าง
“แล้ว?” หน้าลุ้น
“หึ ก็อย่างที่กูบอกมึงไว้.....เฮ้อ------” ธีบอก
ทำหน้าเซ็ง “แล้วจะจบมั้ย?” โบกมือพนักงานว่าไม่ต้องเทเบียร์ให้ แล้วทศก็รับขวดและแก้วมารินเบียร์เอง
“ไม่รู้วะ ไม่แน่ใจ” เสียงอ่อยลง ธีรับแก้วเบียร์ไปจิบ “มึงทรมานใจมากมั้ย? อย่าปิดกู เอาความจริง”
“ไม่ละ... ชิวๆ ว่ะ มึงไม่ต้องเสือกมาห่วงกู! ห่วงตัวมึงเองเหอะ ถึงกูจะอยู่แบบเจ็บๆ แต่กูมันเจ็บจนเป็นเรื่องปกติแล้วว่ะ แม่งก็เหมือนๆ หายใจเข้าออกนั่นแหละวะ” รินเบียร์ใส่แก้วของตัวเอง
“........” ธีเริ่มเข้าสู่ภวังค์
ไม่มีคำพูดคุยกันของเพื่อนทั้งสอง จวบจนอาหารว่างเริ่มมาวางบนโต๊ะ พออาหารตกลงท้อง... ทศจึงสรุปประสบการณ์ตัวเองให้เพื่อนรัก
“คนนะมึง แม่งต้องฝึกเดินกันทั้งนั้นละ... พอเดินได้หน่อยแม่งก็ต้องก้าวพลาด อนาคตกูแม่งจะดีหรือเลวกูก็ไม่รู้ แต่กูจะก้าวต่อไปว่ะ”
“........” ธียังอยู่ในภวังค์ แต่เขาก็ได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูด เขาเอากล่องใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะและไถมันไปทางเพื่อน
ทศรับมามาเปิดดูด้วยความงง ทว่าพอเขาเปิดกล่องมาแล้วเห็นของที่อยู่ด้านในนั้น ทศก็ยิ้มกริ่ม “นี่มึงจะขอกูแต่งงานเหรอ....”
“กูคงไม่ใช่คนที่มึงอยากให้พูดประโยคนั้นมั๊ง...ว่าแต่ชาตินี้มึงจะมีวันนั้นมั้ย กูจะได้เตรียมซองหนาๆ ไว้ให้!” ตอกกลับเพื่อนให้หน้าหงาย
“สัด! ทำเป็นสู่รู้! ปากนะปาก! ขอให้มึงเจอแต่ทางวิบาก สาธุ!” พนมมือไหว้...สาปแช่งด้วยความหมั่นเขี้ยว
“เอาแบบนี้ล่ะ! กูตัดสินใจแล้ว” ธีบอกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“มึงเอาจริงน่ะ เล่นของใหญ่เลยนะมึง” พฤกษปิดกล่องแล้วไถมันส่งคืนเจ้าของ พลางขนลุกกับตัวเลขในหัว
“ตั้งใจให้น้องมาแต่แรกอยู่แล้วว่ะ จะให้กูไปใช้คนเดียวใจกูมันไม่กล้าพอ ให้น้องเขาไปยังดีกว่า” ธีรับกล่องนั้นไปเก็บ.... เขาเพิ่งได้มันมาเมื่อบ่ายนี้
สิ่งที่เขาต้องฟันฝ่าและบากบั่นมากถึงได้มันมาไว้ในมือ.... ครั้นวันที่มันมาอยู่ในมือจริง กลับไม่มีคนที่จะไปใช้ประโยชน์จากมัน----- แล้วเขาจะมีมันไว้เพื่ออะไร?
........
.......
......
.....
....
...
..
.
ความขม มันเป็นตะกอนเกาะกินหัวใจ----ทุกดวง
ความขมใครต่างก็อยากลืมมัน
....
...
..
.
หากแต่เราจะก้าวต่อไป เราต้องขุดความขมนั้นขึ้นมา.......อีกครั้ง
******************************
[/size]