Another side of the story…เช้าแล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดจากผ้าม่านที่ไม่ได้ปิดสนิท สาดส่องเข้ามาด้วยลำแสงอันแรงกล้า ทำให้ทั้งห้องสว่างไสวสมเป็นเช้าวันใหม่ รวมทั้ง...ปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา
ผมนอนกระพริบตาอยู่บนเตียง พลันความรู้สึกและเหตุการณ์ของวันวานที่ผ่านมาเลือนราง ลอยวนอยู่บางเบากับห้วงคำนึงราวกับความฝัน ชั่วขณะหนึ่งผมอดคิดไปไม่ได้ว่า...เรื่องราวที่ผ่านมา...มัน...เป็นแค่ความฝันรึเปล่านะ เพราะมัน...เร็ว เร็วเสียจนน่าตกใจ หรือเพราะในใจส่วนลึกของผมเฝ้าบอกกับตัวเอง วอนขอ...หวังอยู่ลึกๆ...ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
ทว่า...ความจริงก็คือความเป็นจริงอยู่วันยังค่ำ ตอนนี้พี่ธารไม่อยู่ในห้อง และความรู้สึกเด่นชัดของอะไรๆที่เกิดขึ้นมันประเดประดังเข้ามาไม่หยุด หน้าที่ที่ผมต้องทำในวันนี้ วันที่ เวลาที่ถูกกำหนดไว้ว่าวันนี้เป็นวันสอบ ทำให้ผมบอกตัวเองว่ามันคือความจริง
หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนพื้นข้างเตียงขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นนั่งเท้าแขนกับเตียง นั่งห้อยขาให้ขาทั้งสองชิดกัน แล้วแกว่งไปมาเบาๆ ก้มมองตัวเอง ความรู้สึกถึงผมเผ้าที่ยุ่ง ไม่เป็นทรง หน้ามันๆจากสภาพของคนพึ่งตื่นนอนยังคงแจ่มชัดในความรู้สึกทุกขณะ มือขวายกขึ้นแตะท้องแขนของแขนซ้าย ลูบไปมาให้รู้สึกถึงผิวหนังส่วนที่นุ่มนิ่มบอบบางกว่าส่วนที่อยู่ตรงกันข้าม
อะไรๆมันแจ่มชัด ชัดในความรู้สึกเสียจนรู้ เสียจนตอกย้ำความรู้สึก ตอกย้ำความเป็นจริง หัวใจหนักอึ้ง โอเค ไม่ใช่แค่หนักอึ้ง...มันอึดอัด แต่ก็ชัด เรามีชีวิตอยู่ แต่อีกคน คนที่เกิดวันเดียวกัน จริงๆนะ เกิดวันเดียวกัน แต่แปลก...ไม่ยักกะตายวันเดียวกันแฮะ
“เฮ้อออ” ขอถอนหายใจซักหนึ่งที รู้ตัวหรอกว่าเลิกมองแขนขา สัมผัสเนื้อหนังนั่งเหม่อได้สักสองสามนาทีเห็นจะได้ ถึงได้ตัดใจลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบอะไรๆที่ใส่อยู่ทุกวัน กางแกงใน เสื้อกล้าม แล้วก็ชุดนักศึกษาที่แขวนไว้ ปิดประตูตู้แล้วมองกระจก
ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม พอเถอะ...หยุดคิดก่อน สิ่งที่กำลังจะเกิด เรื่องที่อยู่ตรงหน้าที่ควรให้ความสำคัญคือการสอบ ใช่ ตั้งใจสอบ ให้สมกับที่ยังมีลมหายใจอยู่
“น้ำ จะไปสอบเหรอลูก”
“...ครับ...”
“ตั้งใจสอบนะลูก”
“คะ ครับ”
ภาพเลือนรางในความทรงจำเพราะม่านน้ำตา แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก ทุกคำพูด ทุกความเสียใจของคนที่คุยกับเรา มันลึก บาดลึก ลึกกว่าที่เราจะรู้สึกเสียใจได้ ลึกกว่าที่เราจะรู้สึกเจ็บได้ บางครั้งก็อยากรู้ ว่าจริงๆ ตอนยังมีลมหายใจอยู่ ผมสำคัญกับอีกคนมากแค่ไหนกันนะ
ระหว่างอาบน้ำ ความจริงต้องบอกว่าอาบน้ำทีไรเหม่อทุกที อืม จะว่าไงดีล่ะ เรื่องราวตั้งแต่เราเจอกันมันค่อยๆไหลเข้ามาในหัว หรือจะบอกว่า เราตั้งคำถามและอยากรู้มากกว่า...ว่า...เราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่นะ...
ในเช้าวันที่อากาศเริ่มเข้าหน้าหนาวเป็นวันแรกหลังจากฝนตกลาฤดู ผ่านช่วงปลายฝนต้นหนาวไปแล้ว วันนี้เป็นวันที่ผมต้องมาสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยม อากาศเย็นๆหลังฝนบวกกับลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ผมที่นั่งรอขานชื่อเข้าสัมภาษณ์อยู่อดที่จะกอดอก และเป่ามือให้ลมหายใจอุ่นๆช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง เก้าอี้ถัดจากที่นั่งของผมคือเด็กผู้หญิงผมหยักศกผูกโบว์สีน้ำเงิน ผมมองไล่สายตายไปเรื่อยๆไปจนถึงประตูหลังห้องที่เปิดไว้ ข้างนอกมีผู้ปกครองของหลายๆคนมายืนรอให้กำลังใจลูกๆ จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้ามายืนเกาะขอบประตูพร้อมกับพยายามพูดอะไรบางอย่างเบาๆกับเด็กผู้ชายที่นั่งแถวหลังสุด (ผมนั่งแถวเกือบจะหลังสุดครับ มีเก้าอี้ให้เด็กๆรอสัมภาษณ์อยู่ห้าแถว และมีโต๊ะสัมภาษณ์หน้าห้องอยู่สองตัว) ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก พอมองดีๆแล้วก็รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของพี่สาวของผมเอง
“พี่อร พี่อรครับ” ผมเรียกพี่อรเบาๆ ขัดจังหวะการคุยกันของคนทั้งคู่ไปโดยปริยาย
“อ้าว น้องน้ำ มาสอบสัมภาษณ์เหรอ” พี่อรถามกลับพร้อมกับยิ้มให้ผม
“ครับ แล้วพี่อรมาทำอะไรเหรอครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้
“ปล่าวหรอก น้องพี่ก็มาสัมภาษณ์เหมือนกัน”
“พี่อรมีน้องด้วยเหรอครับ น้องชายหรือน้องสาว” ผมนึกว่าพี่อรมีแต่พี่ชายซะอีก
“คนนี้ไง” ผมมองตามสายตาพี่อร แล้วก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผิวคล้ำสีแทน ซึ่งผมก็คิดว่าคงเป็นน้องพี่อรจริงๆนั่นแหละครับ เพราะพี่อรเองก็ผิวสีนี้เลย ผมยิ้มให้พี่อรแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พี่อรพูดอะไรซักอย่างกับเด็กผู้ชายคนนั้นและเดินจากไป พอดีกับที่เด็กผู้หญิงคนข้างๆผมถูกเรียกไปสัมภาษณ์ ทำให้ผมรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เป็นไปตามคาดแหละครับ ผมสอบติดโรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัดแห่งนั้นและได้เรียนมัธยมต้นที่นั่น วันแรกของการเปิดเรียนผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยครับ แต่ผมกังวลได้ไม่นาน เพื่อนที่มาจากโรงเรียนประถมโรงเรียนเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
เราเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนป.สาม เราไม่ได้สนิทกันหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่าต่อไปนี้เราคงต้องสนิทกันมากขึ้น
เพื่อนผมคนนี้ชื่อฟิว ฟิววางกระเป๋าหนังสือไว้ตรงโต๊ะข้างๆผมและเราก็เริ่มคุยกัน ไม่นานก็มีคนมาร่วมวงคุย เพราะเด็กๆหลายๆคนจะจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน
อืมมม เราคุยกันครั้งแรกตอนไหนนะ จำไม่ได้ จำได้แค่ว่า ผมนั่งแถวที่สามจากหน้ากระดาน นั่งคู่กับฟิว คนข้างหน้าคือจอมและคี
คีคือใคร ก็...เด็กผู้ชายคนนั้นไง วันที่สัมภาษณ์ น้องชายพี่อร
เรื่องวันเกิดหน่ะเหรอที่รู้ว่าเกิดวันเดียวกันก็เพราะฟิวถามว่าผมเกิดวันไหน ก็ตอบออกไป ว่าสิบกันยา แล้วคนข้างหน้าถึงหันมาพร้อมกับบอกว่า “อ้าว เกิดวันเดียวกันเลย” ตอนนั้นไม่เชื่อหรอก โดนหลอกจนผวา ไม่รู้อะไรจริงอะไรเล่น เลยสงสัย ผมทำหน้าตาเคลือบแคลง หน้าตาไม่เชื่อนั่นแหละครับ
“จริงเหรอ” เผลอคิดเสียงดังจนพูดออกมา
“พูดจริงนะเนี่ย” คนตอบทำหน้าตาจริงจัง แต่เราก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ก็ไอ้หน้าตาจริงจังนี่แหละที่หลอกอำให้ผมทำท่าทีเอ๋อๆโดนขำจนมีคนบอกว่าซื่อจนเซ่อ
“เอ้า ถ้าไม่เชื่อ ไปถามอรก็ได้ เกิดวันเดียวกันจริงๆ”
“งั้นเหรอ”
แปลกใจ แต่ก็ดีใจพลางคิดว่า โลกกลมแฮะ มีคนเกิดวันเดียวกับเราด้วย แถมเป็นน้องชายเพื่อนสนิทของพี่สาวเราอีก
นับแต่วันนั้น เลยคอยมองหา มองว่าไอ้การที่คนเราเกิดวันเดียวกันเนี่ย มันมีอะไรเหมือนกันบ้างนะ ดูๆไปก็ไม่ยักกะมีอะไรเหมือน ผมคิดอย่างนี้ คีคิดอย่างนั้น แล้วก็รั้นพอกัน ผมเลยรู้สึกเคืองๆขุ่นๆบางทีก็ไม่ค่อยพอใจในความคิดเห็นของคีอยู่บ่อยๆ แต่ช่างเถอะ บางครั้ง คนข้างหน้านี่พูดมาก พูดเป็นต่อยหอย พูดจนลิงหลับ จะยังไงก็ช่าง พูดมากเสียจนเพื่อนทั้งห้องหันมาฟัง บางทีตลก บางทีก็แขวะ กัด ล้อให้เราได้เคือง ได้แสบได้คัน จนเบื่อกันไปข้างหนึ่ง แต่คนอื่นไม่ยักกะคิดแบบเรา ดูๆไปก็เหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มหรืออะไรสักอย่างที่เป็นศูนย์รวมของเพื่อนๆ พอมองดูดีๆ ก็รู้สึกแบบนั้น ดูสมเป็นหัวหน้ากลุ่มจริงๆ เพราะโผงผาง กล้า มีคนท้าต่อยตี คงเพราะหมั่นไส้ เห็นเจ้าชู้คารมณ์ดี แต่พอไปต่อยตีกับชาวบ้าน ก็กลับมาแค่แผลที่หัวเข่า เราก็ห่วง เห็นยกพวกกันไป แต่พอเราไปก็เจอเดินสวนกันกลับมา เดินไปคุยโทรศัพท์ตรงหน้าต่าง ได้ยินแค่ว่า “ไอ้นั่นมันก็ทำกร่างไปยังงั้นแหละ จริงๆโคตรอ่อน” อ้อ เรื่องวีรกรรมที่โม้ไว้ตอนอยู่โรงเรียนเก่าคงไม่ใช่แค่ราคาคุย แล้วพี่ม.ปลายห้องข้างๆนี่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ไปคอยเป็นแบ็คให้ ไม่งั้นพวกนั้นคงไม่ให้เดี่ยวตัวต่อตัวหรอก แต่เพราะแบ็คดี พี่ห้องข้างๆร้ายไม่เบา ห้องท้ายๆหน่ะ เรียนไม่ไหว แต่ใจ ใจหน่ะ รู้จักป่าว
แล้ววันหนึ่งก็เผลอถามไป
“นี่คี เกิดกี่โมงเหรอ”
“สิบเอ็ดโมง”
“เหรอ น้ำเกิดสิบโมง เป็นพี่หนึ่งชั่วโมง งั้นเรามาสัญญาเป็นพี่น้องกันมั้ย แต่คีเป็นพี่นะ น้ำเป็นน้อง”
จำไม่ได้ว่าอีกคนตอบว่ายังไง แต่สัญญาวันนั้นมาพร้อมกับยิ้มร้ายๆ ยิ้มล้อๆ ยิ้มมุมปาก รู้แค่ว่าตกลง
ต่อมาผมมีแฟน อยู่ห้องเดียวกันนั่นแหละครับ ก็ puppy love เอ๊ะหรือเรียก poppy love เอาเป็นว่ารักแรก รักแบบเด็กๆ หัวใจเต้นแรง หวานเจี๊ยบ ง้องแง้งตามประสา คุยโทรศัพท์บ้านสายแทบไหม้ ครั้งละสามบาท คุยกันเป็นชั่วโมง แต่ไม่เคยไปเดทกัน แค่มองหน้ากันก็เขินแล้ว เหมือนจะลืมอะไร ลืมบอก ผมชอบผู้ชายนะ แฟนผมก็ต้องเป็นผู้ชายสิ แล้วยังไงล่ะ พอพ่อแม่รู้ก็ต้องเลิกกัน แม่ผมสั่งเด็ดขาด เรียนอยู่อายุเท่านี้ เลิกกันซะ ตอนนั้น รู้ซึ้งเลยคำว่ากินข้าวไม่ลงเป็นยังไง เคยเห็นแต่ในละคร พอมาเจอจริงๆ มันก็ตื้อไปหมด แอบร้องไห้ด้วย
ไม่ได้บอกเลิกหรอก แต่ทำเย็นชาใส่ เค้าก็ตามง้อ ถามเพื่อนตลอกว่าทำอะไรไม่ดี ฝากคนนู้นคนนี้ให้มาขอคืนดี บอกว่ารักมาก แต่ผมมันคนใจร้าย ใจแข็งด้วย ต้องเลิก ไม่ได้ แม่บอกต้องเลิก แม่ให้เลือกจะเลือกใคร แม่หรือว่าแฟน
จำได้ว่าช่วงนั้นขยันเป็นพิเศษ เข้าห้องสมุดทุกวัน งานการส่งครบ จากที่เป็นเด็กเรียนอยู่แล้วคราวนี้ได้เคร่งกันเข้าไปใหญ่
มองตุ๊กตาหมีที่เคยนอนกอด ตอนนี้ก็ปล่อยไป ไม่กอด เพราะต้องตัดใจจากคนให้ อะไรก็ตัดทิ้งให้หมด จดหมาย การ์ดอวยพรวันเกิด เค้าบอกว่าทำเอง มันเป็นแค่กระดาษสมุด ถูกเขียน วาดรูป ระบายสีตกแต่งสุดฝีมือเท่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ และข้อความในกระดาษแผ่นนั้นเป็นอะไรที่เรามักจะเปิดอ่านซ้ำๆ ถูกเก็บไว้ในกล่องปนอยู่กับตู้หนังสือ แต่แล้ววันนี้เราก็เอาออกมา เผาทิ้งไปซะ จะได้ลืม
สำหรับผม ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เพื่อนๆก็เหมือนเดิม มีแต่เราที่ไม่คุยกัน คีก็เหมือนเดิม ฟิวก็เหมือนเดิม จอมก็เหมือนเดิม ใครๆก็เหมือนเดิม จนวันหนึ่ง ผมก็รู้ว่าเค้าจีบคนใหม่ ก็ดีนะ เราทำไม่ดีไว้มาก ให้เค้าเจอคนใหม่ก็คงจะดีกว่า
ชีวิตผมกลับมาเรียบง่าย ไม่มีอะไร แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่เผลอใจ ไปรักคนที่เคยสัญญา
อ้อ ผมไม่ใช่แค่ตัดใจจากเค้าคนนั้นหรอกนะ ย้ายที่นั่งหนีด้วย จากที่เคยนั่งเยื้องกัน ผมก็ขอร้องฟิวให้มานั่งหลังห้อง ติดประตูหนังห้อง ไกลและเป็นส่วนตัวเพราะอยู่แถวสุดท้าย แต่ก็แอบได้ยินฟิวบ่น บอกฮวงจุ้ยไม่ดี ไม่เหมาะแก่การเรียน ผมทำหูทวนลมและปักหลักตรงฐานที่มั่นแห่งใหม่ต่อไป
แต่แล้ววันหนึ่ง ไอ้คนปากมากโดนครูดุ บอกให้ย้ายที่นั่งถาวร เพราะที่ๆนั่งอยู่คือตรงกลางของห้อง ชวนเพื่อนคุยไม่หยุดหย่อน โดนเนรเทศให้มานั่งข้างหลังผมกับฟิว บอกให้ตั้งใจเรียนเหมือนพวกผมและสงบปากสงบคำบ้าง
“สายชล ถ้านายอัคคีพูดมาก ตักเตือนได้เลยนะ”
คนโดนดุย้ายสำมะโนครัวมานั่งด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สา วันๆเห็นฟุบโต๊ะบ้าง นั่งเลื้อยอยู่ตามโต๊ะ พูดไม่หยุดหย่อน แต่ก็หลายครั้งที่เราต้องคุยกัน ก็แน่ล่ะสิ ไม่มีเพื่อนคุยแล้วนี่ ไม่ชวนผมที่นั่งใกล้คุยแล้วจะคุยกับใคร แต่พักหลังๆมีการทำอะไรแปลกๆให้ผมด้วย เช่น ใส่ผ้าพันคอให้ก่อนเรียนคาบลูกเสือ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบนี้จะใส่ใจคนอื่นด้วย และแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ มันกลับค่อยๆซึมลึกเข้าในใจหน่ะสิ แต่ในขณะที่ผมเริ่มรู้สึกดีๆ ผมก็ได้ยินฟิวกับจอมพูดให้ฟังว่าไอ้คีเปลี่ยนไป มันตกหลุมรักพราวเข้าให้แล้ว บอกว่าคนนี้ตัวจริง เลิกกับสาวๆในสต๊อกจนหมด อ้อ มิน่าล่ะ เห็นวันนั้น วันเกิดเรา แต่มีคนให้ตุ๊กตาหมีพู กอดอยู่ทั้งวัน ที่แท้เพราะคนให้เป็นคนพิเศษ
ต่อค่ะ นิดๆ หน่อยๆ
ก็...ยังไงดีล่ะ ใจมันก็หายนะ แต่ก็โอเคไง คือเรื่องแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้ และผมก็คิดแล้วล่ะว่าชาตินี้ยังไงคงไม่มีทางบอกออกไปว่าชอบ เพราะ...เอาจริงๆนะ ผมไม่กล้าว่ะ อ่ะ เป็นคุณจะกล้ารึเปล่าล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เราแอบชอบมีแฟนอยู่แล้ว มีคนที่ชอบอยู่แล้ว จะไปบอกให้มันได้อะไรขึ้นมา ดีไม่ดี ความสัมพันธ์ที่มันเป็นอยู่ ความรู้สึกเรียบเรื่อยที่เราพอใจให้เป็นไปอย่างปรกติแบบนี้มันจะหายไป แค่คิดก็ใจหาย มันมีหลายปัจจัยหน่ะ ทั้งสัญญาที่เราเป็นคนขอเองเรื่องพี่น้อง ทั้งความไม่กล้า ก็ผมเป็นผู้ชาย แต่คนที่คีชอบเป็นผู้หญิง และผมคิดว่าถึงไม่มีข้ออ้างต่างๆที่ว่ามานี้ ผมคงไม่กล้าบอกออกไปว่ารัก ว่าชอบ ว่าเริ่มหวั่นไหว แค่คิดก็...คือจะบอกว่ายังไงดี เหนือคำว่าอายมันมีความรู้สึกกลัวอยู่มากกว่า
จนอยู่มาวันหนึ่ง คาบภาษาไทย ผมก็นั่งเรียนไป ไม่คิดอะไร แต่จู่ๆคีก็เข้ามานั่งเบียด เราก็เริ่มรำคาญ วันนี้มันเป็นอะไรวะ ร้อยวันพันปีก็เห็นรู้จักเวล่ำเวลาไม่เคยมากวนให้เสียอารมณ์ซักที ไม่ใช่แค่นั้น เวลาเราตอบคำถามครูมันก็ตีรวนอีก จนเกือบทะเลาะกัน ถ้าครูไม่ห้ามไว้ก่อน เฮ้ออ เอาจริงๆมีแต่ผมนั่นแหละที่หงุดหงิด อีกคนดูสนุกที่ได้กวนเราเสียเต็มประดา หน้าตากวนไปยิ้มไปยังติดตา ทว่าตอนเลิกคาบก่อนจะลุกออกจากห้องทำเอาเราสะดุ้ง
“ชอบคีเหรอ”
ตอนนั้นผมใจตกวูบไปอยู่ทีตาตุ่มเลย เหงื่อออกเต็มไปหมด เหมือนจะขอบตาร้อนๆด้วย เพราะในใจอยากให้มันเป็นความลับตลอดไป ไม่อยากให้อีกคนได้รู้เลย
“จะบ้าเหรอ เอาที่ไหนมาพูด” ผมรู้ ท่าทีที่บอกออกไปคงตื่นๆเหมือนคนโดนจับได้ว่าทำผิด
“จริงอ่ะๆ” อีกคนยังทำเป็นทะเล้น ยิ้มล้อ กระแซะตัวเข้ามาให้เราได้อาย
ผมไม่อายหรอก มันเลยคำๆนั้นหน่ะ อยากร้องไห้มากกว่า รู้สึกเหมือนอีกคนล้อเล่นกับความรู้สึกเราด้วย
ผมไม่ตอบอะไรอีก แค่รีบเก็บของและเดินออกจากห้องนั้นไป นับแต่วันนั้น ไม่ว่าอีกคนจะทำอะไร มันก็ไม่มีผลต่อผมทั้งนั้น ผมตัดสินใจเด็ดขาด จะเลิกใส่ใจ จะเลิกคิด เลิกเพ้อไปเอง และพอๆกับที่อีกคนใส่ใจอยู่กับพราว แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือแบม เพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทในห้องมาบอกผมว่า...
“แกรู้รึเปล่าว่าใครเป็นคนที่ไปบอกไอ้คีว่าแกชอบมันอยู่ ก็นังพราวนั่นแหละ....” ผมไม่ได้ยินอะไรต่อจากนั้นอีก แค่รู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง ผมรู้ว่าบางครั้งการกระทำอะไรบางอย่าง แววตาของผมที่มีให้คีมันพิเศษกว่าที่มีให้คนอื่น แต่ในเมื่อคียังปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ผมก็สบายใจ แต่ทำไม... ผมแค่อยากอยู่เงียบๆในมุมของผม
ช่วงนั้นอารมณ์ ความรู้สึกผมมันไม่คงที่หรอก ก็อ่อนไหว หงุดหงิด ไปตามเรื่องตามราว แต่ไอ้ที่ไม่คิดว่าจะทำลงไปได้เลยก็คือ มีอยู่เย็นวันหนึ่งที่ผมถูกทิ้งให้ทำงานกลุ่มคนเดียวอีกแล้ว คือคิดๆดู มันเป็นเรื่องธรรมดามาก เป็นอะไรที่ปรกติ เป็นประจำที่น่าจะชิน แต่วันนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมทำงานไปแล้วก็ร้องไห้ออกมา ทั้งห้องเหลือแค่ผมกับจอมที่ทำงานอยู่ พอจอมเห็นผมร้องไห้ จอมตกใจมากๆเลยครับ ท่าทางลุกลี้ลุกลนดูร้อนรนที่เราร้องไห้ อยากเข้ามาปลอบแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันดูขัดๆ เงอะๆงะๆ ยังไงก็ตาม ผมนึกถึงวันนั้นทีไรก็...อุ่นในใจทุกที จอมตกใจ จอมไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายก็ก้มจดจ่อทำงานของตัวเองพลางพูดปลอบผมไปเรื่อยๆ ส่วนผมก็ร้องไห้โฮ เรายืนกันอยู่คนละมุมของห้อง ผมก้มหน้าทำงานทั้งน้ำตา สะอึกสะอื้น เหมือนร้องไห้เอาความรู้สึกอัดอั้นที่มีในใจออกมาให้หมด ทั้งที่มันคงน่ารำคาญพิลึก แต่จอมก็ไม่ไปไหน สาบานได้เลย ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา เย็นนั้นจอมพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทุกที พูดอยู่เรื่อยๆ บอกแต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ลองคุยกับเพื่อนในกลุ่มดูสิ สารพัดจะพูด จนกระทั่งผม...หยุดร้องไห้
ต่อจากนั้นเหมือนเราต่างคนต่างอยู่ ผมมีชีวิตเป็นของผม คีก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง
จนกระทั่งห้องเราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน นั่งรถไป หลับไปหลายตลบกว่าจะถึง พากันเล่นน้ำ ร้องเพลง เต้นกันจนเหนื่อย พอสี่ทุ่มครูก็ไล่ให้เข้าห้องนอน แบ่งห้องนอนกันโดยแยกนอนชายหญิง จะเหลือเหรอครับห้องฝั่งชาย สุราเมรัย ไม่รู้ไปขนกันมาจากไหน รู้แต่ว่ามีหลายลัง ชนิดที่เห็นแล้วก็นึกแค่ว่าพวกมันซื้อมากินหรือซื้อมาอาบกันแน่ คืนนี้คงกะจะกินให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยล่ะ
ผมก็ไม่อะไรหรอก เป็นคนไม่กินอยู่แล้วไง ห้าทุ่มง่วง ก็นอน พวกที่กินก็ปล่อยมันไป นักเรียนชายได้อยู่ห้องบนสุดของที่พัก ติดดาดฟ้า ทำเลเป็นใจให้ได้ตั้งวงเหล้ารับลมทะเลกันไป ผมเคลิ้มๆกำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว แป้งก็เดินเข้ามาให้ห้อง ผมก็งง มาได้ไงวะ หรือพวกผู้หญิงจะแอบขึ้นมาร่วมแจม เอาเถอะ แค่ครูจับไม่ได้เป็นพอ
มาถึงน้องแป้งหัวหน้าห้องก็ดูมึนๆซะแล้ว แป้งทิ้งตัวลงบนเตียงที่อยู่ข้างเตียงของผมพลางจ้องผมอยู่พักใหญ่ ผมที่คิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หลับๆไปให้หมดเรื่องรู้สึกอึดอัดจนต้องลืมตาขึ้นมา แป้งจ้องผมพลางแสยะยิ้ม ผมถึงกับต้องตื่นเต็มตา
“มึงรู้รึเปล่า เมื่อกลางวันตอนนั่งรถมามึงนอนน้ำหลายไหล” ตอนนั้นผมก็นึกได้ เออ ตื่นขึ้นมารู้สึกอยู่เหมือนกัน แต่ก็เหมือนมีแค่มุมปาก เลยทำเนียน เช็ดๆเหมือนมันไม่เคยไหล แล้วน้องแป้งรู้ได้ไงเนี่ยย
“อ้าวเหรอ” ผมบอกออกไปด้วยท่าทางมึนๆ
“เออ อ่ะดิ แม่ง เซ็ง กูกะไอ้จอมว่าจะถ่ายรูปไว้ให้มึงเป็นที่ระลึก ไอ้ห่าคีนั่นแหละ อะไรก็ไม่รู้ เดินมานั่งข้างมึงแล้วบอกห้ามถ่าย ขู่พวกกูอีก นี่พี่กู ใครห้ามแกล้ง”
“เหรอ...” ผมตอบรับแผ่วๆออกไปพลางหลุบตาต่ำ
“แถมยังมีหน้านั่งซับน้ำลายให้มึงอีก กูเห็นแล้วก็อี๋” คนเล่าทำท่าขนลุกขนพองดูน่ารังเกียจสมจริงเหมือนน้ำลายผมกำลังไหลยืดอยู่ต่อหน้า
“แล้วนี่ยังเรื่องมากอีก ทำพวกกูเสียแผน อดจับมึงกรอกเหล้าเลย เข้ามาขวางอยู่นั่นแหละ มันเป็นพ่อมึงป่าววะ ห้ามนู่นห้ามนี่ พวกกูแทบจะแตะไม่ได้”
“เหรอ ไม่เคยรู้เลย” ผมได้ยินแป้งพูดก็ได้แต่อึ้ง เหมือนจะย้ำเตือนผมว่า ผมยังคงเป็นคนสำคัญของคี ยังเป็นคนที่พิเศษกว่าใครๆ ใช่รึเปล่า
“เออ มึงมันไม่รู้อะไร มันห่วงมึงจะตาย”
เหมือนตัวจะลอยๆ เป็นความฝันรึเปล่านะ
............................................
บอกตรงๆก็คือ...อดนึกถึงการนั่งพิมพ์นิยายก๊อกๆแก๊กๆในเวลาว่างไม่ได้ แล้วก็ติดเป็นนิสัยค่ะ เห็นคอมเม้นของคนอ่านแล้วอยากตอบ เลยหาข้ออ้าง มากับตอนพิเศษใหม่ เอ๊ะหรือว่าเก่า เป็นพล็อตเก่าค่ะ สั้นๆ คงไม่ยาว แต่วันนี้ยังพิมพ์ไม่จบ
คิดว่าจะยุ่งเรื่องเรียน ยุ่งนะคะ แต่พึ่งเปิดเทอมเลยเวิ่น แล้วก็เทอมที่แล้วพิสูจน์ตัวเองได้ว่า นั่งแต่งนิยาย อ่านนิยาย ดูหนัง ฟังเพลง อ่านการ์ตูน ฯลฯ แต่ไม่เสียการเรียน คนแต่งได้สี่จุดค่ะ โอ้ ให้ตายเถอะโรบิ้น ตอนดูเกรดตัวเอง ต้องดูแล้วดูอีก นี่มันของจริงหรือของเก๊ หรือนี่เกรดคนอื่น ตอนทำข้อสอบยากจัง ไหงดวงดีเดาแนวอาจารย์ถูกเนี่ยยย ดีใจค่ะ ดีใจมาก แต่ก็แอบลำบากใจ ถ้ามีใครมาทดสอบความรู้จากวิชาที่เรียนไปจริงๆคงต้องบอกว่าลืมหมดแล้ว แถมงูๆปลาๆเสียอีก
ก่อนอื่นขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ
@ คุณ zuu_zaa
ดีใจที่สนุกค่ะ
@ คุณ Oo_oO ว้าวว ดีใจที่อ่านแล้วอินน์ค่ะ แบบว่ากลัวคนอ่านอ่านแล้วไม่มีอารมณ์ร่วมอยู่เหมือนกัน กลัวว่าจะแต่งได้ทื่อๆจนไม่น่าอ่านค่ะ เห็นคอมเม้นต์แล้วก็ชื่นใจ
@ คุณ อยากกินไข่พะโล้ โปะ อ๊ะ ถ้ามาบอกแบบนี้สงสัยไม่จบซะแล้ว วันนี้ก็มาต่ออีกแล้วค่ะ คนเขียนก็คันไม้คันมือเหมือนกัน สงสัยเรื่องนี้จะจบจริงๆเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ล่ะ เห็นคอมเม้นต์แล้วไฟลุกร้อนระอุ
อยากแต่งต่ออออ
@ คุณ nongrak แต่ก็ได้รักกันในชาติต่อมาเนอะ อย่างน้อยก็ดีที่ได้รักกันน้าา
@ คุณ kamikame ดีใจที่สนุกค่ะ อิ๋งก็ต้องขอขอบคุณเหมือนกันที่เข้ามาอ่าน เห็นคอมเม้นต์แล้วอมยิ้มตลอดเลย
@ คุณ punchnaja ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ
ส่วนเรื่องคู่พี่ภูน้องจอม และคู่ชายฟิวกับคุณฝรั่ง ไม่ได้แต่งต่อเพราะนึกพล็อตไม่ออกค่ะ เลยไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง ขอโทษที่ตัดจบไปนะคะ เรื่องใจไม่แข็งนี่ต้องบอกว่า มีหลายปัจจัยค่ะ เพราะหลวงภูมีภักดีมีคุณหญิงเอื้อมอยู่ที่เรือนเลยไม่อยากทิ้งแม่ไว้ แต่ขุนเดช คุณแม่สิ้นไปแล้ว คนสำคัญในชีวิตเลยมีแค่ไม่กี่คนและขุนเดชนั้นผูกพันกับเจ้าสินธุ์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เลยหักใจจากเรือนยอมทำผิดขัดคำสั่งคุณพ่อค่ะ
@ คุณ KARMI ขอบคุณเช่นกันค่ะที่แวะมาอ่าน ดีใจที่สนุกค่ะ
@ คุณ boboaje ตอนหลักคงมีคนติงหลายคนเหมือนกันค่ะ ดีใจที่ชอบตอนพิเศษค่ะ อิ๋งก็ชอบ ชอบคำพูดคำจาไทยๆสมัยเก่า วิถีชีวิตเรียบง่ายและมันท้าทายดีค่ะที่ได้แต่งแหวกแนวจากตอนหลักออกไป เรื่องภาคต่อเหรอคะ คิดพล็อตไม่ออกเลยค่ะ แต่ถ้าถามว่าผู้ปกครองของใครจะมีปัญหากับความรักของทั้งคู่คิดว่าไม่น่าจะเป็นคุณแม่ของนายคีนะคะเพราะป้านวลเป็นคาแรคเตอร์ที่ใจดีค่ะ และเลี้ยงอัคคีแบบเคารพการตัดสินใจของลูก สังเกตจากวันที่คีไปต่อยตีคนอื่น แต่ป้านวลก็ไม่ได้ดุด่าอะไรมากนักเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชายและคิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกให้รู้จักลิมิตว่าอะไรควรพอ อะไรควรทำหรือไม่ควรค่ะ คนที่น่าจะมีปัญหาน่าจะเป็นคุณแม่ของน้องน้ำ พล็อตตอนนี้มีแว๊บเข้ามาในหัวนิ๊ดนึงประมาณว่าแม่น้องน้ำรู้ความจริงและกีดกันทั้งคู่ แต่ในที่สุดทั้งสองคนก็พิสูจน์ตัวเองจนแม่น้องน้ำยอมรับได้ แต่มัน..เป็นพล็อตที่คนแต่งคิดว่าเขียนได้ไม่ดีเพราะอิ๋งไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะถ่ายทอดอารมณของคนเป็นแม่ค่ะ เลยไม่ได้เขียนไป ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
@ คุณ yeyong นึกว่าจะลืมกันซะแล้ว แอบรอคอย มากดรีเฟรชส่องนิยายตัวเองทุกวัน ดีใจที่กลับมาอ่านค่ะ
@ คุณ lovely1417 ดีใจที่ชอบค่ะ
@ คุณ nongbeer ดีในที่ชอบนะคะ วันนี้ก็มีตอนพิเศษอีกแล้ว
ไม่จบซักที แต่ตอนนี้ไม่รู้จะน่ารักเหมือนเดิมรึเปล่าเอ่ย