วันนี้ (2 May 2012) ได้ไปเจอน้องบูมมาด้วยครับ (คนที่ผมแอบปลื้มแล้วเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้)
น้องน่ารักมากๆ เลย (เสียดายมีแฟนแล้ว) เราก็ได้แต่แอบชื่นชม แต่ไม่กล้าทำอะไรหรอก
เข็ดกับความรักแล้วแหละ แต่ก็ดีใจที่มีคนดีๆ แบบนี้อยู่ในโลก ดีใจที่ได้เจอกัน
ไม่ได้รักกันก็ไม่เป็นไร
ตอนนี้จบจริงๆ แล้วนะครับ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาตามอ่านและให้กำลังใจ
ถ้าหากมีสิ่งใดผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
หวังว่าจะได้มีโอกาสมาเขียนเรื่องใหม่ๆ ให้อ่านกันต่อไปนะครับ
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต (Re-written Version)
CHAPTER 40 ✦ ตอนจบพิเศษ
ตั้งแต่ทิวเข้ามาอยู่ที่บ้านเทพสถิตย์พิทักษาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้บ้านหลังนี้มีคนสวนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเสียแล้ว ปกติบ้านนี้จะไม่มีคนสวนประจำแต่ใช้วิธีจ้างมาทำเป็นครั้งคราว ส่วนต้นไม้ที่ปลูกในบ้านก็ใช้วิธีติดสปริงเกอร์เพื่อฉีดให้น้ำแทน มีแม่บ้านเป็นคนคอยดูแลการเปิดปิดในแต่ละครั้ง พอทิวเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว ช่วงที่ยังว่างๆ ระหว่างรอโครงการอนุมัติจึงช่วยจัดการดูแลสวนในบ้านเพราะชอบต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
คุณทิพย์นภากับคุณลิขิตดูจะถูกใจมากทีเดียว ถึงกับชมไม่ขาดปากว่าสวนสวยขึ้นมาก แขกไปใครมาก็ชมกันหลายคน คนที่ยิ้มไม่หุบก็คือทิว ส่วนอีกคนที่คอยแอบปลื้มอยู่ข้างหลังก็ต้องเป็นบูมอยู่แล้ว บูมคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าทิวจะเข้ากับคนในบ้านได้หรือเปล่า ดีที่ว่าทิวเป็นคนน่ารัก เข้ากับคนได้ง่าย แถมยังขยันทำงาน คนในครอบครัวของบูมทุกคนจึงรักและเอ็นดูทิวมาก ทำให้บูมโล่งใจไปมากทีเดียว
เย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง บังเอิญเป็นวันที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา บีมออกความเห็นว่าน่าจะออกมานั่งทานอาหารเย็นที่สวนหน้าบ้านด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนก็เห็นดีด้วย แถมยังช่วยกันทำอาหารกันคนละอย่างสองอย่าง แม่บ้านจึงสบายตัวไปหนึ่งวัน
"โครงการไปถึงไหนแล้วบูม รีบหางานทำให้ทิวเร็วๆ หน่อยสิลูก เดี๋ยวทิวจะเป็นคนสวนจนติดใจไม่ยอมทำงานอย่างอื่น"
คุณทิพย์นภาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีขณะที่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาบริเวณหน้าบ้าน
"ใกล้แล้วครับแม่ ปลายๆ เดือนนี้ก็น่าจะอนุมัติแล้วล่ะครับ" บูมตอบพลางหัวเราะและหันไปยิ้มกับทิวที่นั่งอยู่ข้างๆ
"คุณแม่ของแพรวมาเยี่ยมหลานเมื่อวานค่ะ ชมใหญ่เลยว่าสวนบ้านเราสวยขึ้น จำแทบไม่ได้เลย นึกว่าเข้าบ้านผิด ทิวเก่งนะคะเนี่ย"
แพรวบอกแล้วหันไปยิ้มให้ทิวและขำไปด้วย ใบหน้าของทุกคนเปื้อนด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศในบ้านเทพสถิตย์พิทักษาผ่อนคลายและเป็นกันเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่ทิวได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ บูมเองก็ดูมีความสุขมากขึ้น ไม่เก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ซึมเศร้าหงอยเหงาอีกต่อไป
"แล้วทิวไปเรียนจัดสวนมาจากไหนเหรอ" คุณลิขิตถามบ้าง
"อ๋อ...ผมชอบต้นไม้ครับ แล้วก็ชอบอ่านหนังสือพวกจัดสวน จัดบ้านด้วยครับ เมื่อก่อนผมชอบไปซื้อต้นไม้มาปลูกจนเต็มบ้าน แทบไม่มีที่จะเดินเลยครับ"
ทิวบอกพลางขำ
"ใช่ๆ พี่จำได้ ตอนที่ไปส่งทิวที่บ้านตอนนั้นพี่ยังตกใจเลยว่านี่บ้านคนหรือป่ากันแน่ มองเข้าไปแทบไม่เห็นอะไรเลย" บีมขำบ้าง
"แม่ก็เคยว่าเหมือนกันครับว่าซื้อมาทำไมเยอะแยะ"
พูดถึงแม่ทีไรทิวก็รู้สึกใจหายทุกที ทิวเคยเล่าเรื่องชีวิตของตัวเองให้คุณทิพย์นภากับคุณลิขิตฟังเมื่อไม่นานนี้ ทั้งคู่ต่างก็เศร้าสะเทือนใจไปกับชะตาชีวิตของทิวกันมากทีเดียว โดยเฉพาะคุณทิพย์นภาที่ถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวจะลำบากถึงขนาดนั้นหลังจากที่แม่จากไป
"ทิวไปทำบุญให้แม่บ่อยไหม" คุณทิพย์นภาเปลี่ยนเรื่องถาม
"ก็...เดือนละครั้งครับ"
"ดีแล้วล่ะ คนที่ไม่ลืมพ่อไม่ลืมแม่ ชีวิตไม่ตกอับหรอก ถึงเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็จะคอยดูเราอยู่ แม่เขาคงดีใจที่ทิวไม่เคยลืมแม่ ถ้าแม่รู้ว่าทิวอยู่สุขสบายดีแล้วแม่ก็จะยิ่งมีความสุขและหมดห่วง"
ฟังคุณทิพย์นภาพูดจบแล้วทิวก็ยิ้มและน้ำตาไหลเสียอย่างนั้น บูมรีบหยิบกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะอาหารมาให้ทิวซับน้ำตา บูมเองก็ยังนึกถึงคุณทิษณาอยู่เสมอเช่นเดียวกัน เมื่อก่อนบูมไปบ้านทิวบ่อยๆ กินนอนที่นั่น คุณทิษณาดูแลเพื่อนของลูกชายเป็นอย่างดี แม่ของทิวใจดีมาก ทิวเองก็อยู่กับแม่มาเกือบตลอดชีวิต ก็เป็นธรรมดาที่จะติดแม่พอสมควร และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิวเป็นเกย์โดยที่ไม่รู้ตัว
"ถ้าทิวไม่รังเกียจ...ก็ถือว่าพ่อกับแม่ก็เป็นเหมือนพ่อกับแม่ทิวละกันนะลูก" คุณลิขิตบอกพลางยิ้มให้กำลังใจ
ทิวหันไปยิ้มให้กับพ่อกับแม่ของบูม ก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนในบ้านนี้ให้การต้อนรับทิวเป็นอย่างดี ตอนแรกๆ ก็กลัวๆ คุณทิพย์นภาอยู่บ้างเพราะเคยโดนเธอเล่นงานมาก่อน แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด นอกจากจะไม่มีปัญหาแล้วคุณทิพย์นภาก็ดูเหมือนจะเอ็นดูทิวมากเป็นพิเศษอีกด้วยเพราะทิวเป็นคนขยัน แถมยังมีชีวิตที่น่าสงสาร จึงได้รับคะแนนเห็นใจไปมากทีเดียว
"ดูแลทิวดีๆ นะบูม ทิวบอกแม่ได้เลยนะถ้าบูมเกเร เดี๋ยวแม่จัดการให้" คุณทิพย์นภาพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศเศร้าหมองที่กำลังเกิดขึ้น
"โธ่แม่ ผมเคยเกเรที่ไหนล่ะครับ" บูมทำเสียงตัดพ้อ "ผมดูแลทิวดีจะตาย ดูทิวตอนนี้สิครับ มีเนื้อมีหนังขึ้นตั้งเยอะ"
"ก็ไม่รู้ล่ะ แม่ก็พูดขู่ไว้ก่อน บูมจะได้ไม่กล้าไงล่ะ"
แล้วทุกคนก็หัวเราะชอบใจ บูมใช้มือที่ว่างคอยบีบให้กำลังใจทิวและส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน
"แม่ครับ...ทำไมเราไม่จัดงานแต่งงานให้ทิวกับบูมบ้างล่ะครับ" บีมเสนอขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนเงียบไปสักพัก
ทุกคนหยุดหัวเราะและเงียบไป จากนั้นก็หันมองหน้ากันไปมา ทิวกับบูมเองก็ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่บีมเสนอ แต่ในใจลึกๆ ของบูมนั้นก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกันเพราะอยากให้เกียรติทิว อยากให้สังคมได้รู้ว่าคนที่เป็นเกย์ก็อยากแต่งงานเหมือนกับคู่หนุ่มสาวทั่วไป
"มันจะดีเหรอบีม แม่ว่า..."
คุณทิพย์นภาลังเล แม้ว่าเธอจะรับทิวเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยประกาศให้ใครรู้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่การทำเช่นนี้ก็เท่ากับจะเป็นการประกาศให้คนอื่นๆ ได้รู้ว่าลูกชายของเธอเป็นแบบไหน แล้วบูมจะรับได้หรือเปล่า
"ดีสิครับแม่ ถ้าเรายังมัวแต่ปกปิด เราก็จะไม่สบายใจซะเองเพราะคนอื่นๆ ก็จะสงสัยแล้วก็เอาไปซุบซิบต่างๆ นาๆ จะพูดกันไปแบบไหนก็ไม่รู้ สู้เราเป็นคนบอกเองเลยดีกว่าครับ บอกแล้วเราก็จะได้สบายใจ สมัยนี้เรื่องอย่างนี้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดกันแล้วล่ะครับแม่ บูมกับทิวเองก็จะได้สบายใจด้วย ไม่งั้นมันก็จะเหมือนว่าเขาสองคนทำอะไรผิดถึงต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ"
"จริงด้วยสิคุณ ที่บีมพูดก็ถูกนะคุณ ตอนนี้คนก็เริ่มสงสัยกันเยอะแล้ว ปล่อยให้เขาพูดไปต่างๆ นาๆ กันเองไม่ดีหรอกคุณ บูมกับทิวเองก็คงไม่สบายใจ ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนสงสัย เราไม่ได้ทำอะไรผิดนะคุณ จะอายทำไม ผมว่าจัดงานแต่งงานให้บูมกับทิวเลยดีกว่า จะได้รู้กันไปให้หมดเรื่องหมดราว พอคนรู้แล้วเขาจะคิดจะพูดอะไรก็ช่างเขา ถือว่าเราได้บอกความจริงไปแล้ว"
คุณลิขิตสำทับอีกคน
"บูมกับทิวว่าไงล่ะลูก"
คุณทิพย์นภาหันไปถามลูกชายกับลูกชายสะใภ้ ถ้าสองคนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเธอก็คงไม่ขัดข้องหรอก บูมกับทิวมองหน้ากัน แล้วบูมก็เป็นคนถามทิวก่อน
"นายโอเคไหมทิว เราโอเคนะ"
ทิวครุ่นคิดพลางเหลือบหันไปมองคนอื่นๆ ดูเหมือนทุกคนจะคอยลุ้นกันมากทีเดียว
"เราก็โอเค"
ทิวตกลงในที่สุด ทำให้ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุขโดยเฉพาะคุณทิพย์นภา ว่ากันว่าประตูที่เปิดยากที่สุดก็คือประตูใจ แต่พอประตูใจเปิดแล้วทุกอย่างหลังจากนั้นก็ง่ายไปหมด วันนี้เราจึงได้เห็นแม่ของบูมที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
"อืม...พ่อกับแม่ยังไม่เคยฟังบูมร้องเพลงเลย เห็นว่าสมัยมัธยมทิวเป็นคนสอนบูมร้องเพลงจนเก่ง ร้องให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยสิ"
พอคุณลิขิตพูดจบบรรดาลูกๆ และหลานๆ ก็หันไปมองทิวกับบูมเป็นตาเดียวกัน
"จริงด้วยสิ แม่ก็ไม่เคยฟัง ร้องให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยได้ไหมลูก" คุณทิพย์นภาเออออด้วยอีกคน
บูมกับทิวพยักหน้าแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข ทิววิ่งจู๊ดหายเข้าไปในบ้านแล้วก็กลับมาพร้อมกับกีตาร์คู่ใจ เอาล่ะ อดีตคู่หูดูโอ้แห่งวงซีนิธกลับมาแล้ว มาฟังกันหน่อยสิว่ากลับมาคราวนี้จะเป็นยังไงบ้าง
ทิวกับบูมเขยิบเก้าอี้ออกมานั่งคู่กันสองคน ทิวเป็นคนเล่นกีตาร์ พอเสียงกีตาร์อินโทรของทิวดังขึ้นเท่านั้น ทุกคนก็ปรบมือชมกันเกรียว สองหนุ่มรู้สึกเขินจนต้องหันมายิ้มให้กำลังใจกัน ในที่สุดทิวกับบูมก็ได้กลับมาร้องเพลงนี้ด้วยกันอีกครั้งแล้ว เพลงนี้นี่แหละที่เป็นจุดกำเนิดความรักของทิวกับบูม
ฉันดีใจที่มีเธอ
https://www.youtube.com/v/Ao_q48XSG5c
ในโลกที่มีความวกวน ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
ที่สับสนร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร
แต่ยิ่งชีวิตยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มีไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้
ในอุปสรรคที่มากมาย ในความหวาดหวั่นที่วุ่นวาย
ในอนาคตในปัจจุบันและอดีต
ในความเจ็บปวดที่ต้องเจอ ที่ไม่เคยพ้นไปสักที
ยังไม่รู้พรุ่งนี้ต้องเจอกับเรื่องใด
แต่ยิ่งชีวิตยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มีไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้
แต่ยิ่งชีวิตยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มีไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้
ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ กับฉัน✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
หลังจากกินข้าวและคุยกันจนดึกแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นไปนอน บูมกับทิวเองก็ขึ้นมานอนเช่นกัน แต่ดูเหมือนคืนนี้มีเรื่องที่จะต้องคุยกันหลายเรื่องทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องแต่งงานที่บีมเสนอขึ้นมา
"ถ้าเราแต่งงานกัน เราก็จะเป็นเจ้าบ่าว...หรือเปล่า แล้วนายล่ะ นายจะเป็นอะไรล่ะทิว เจ้าสาวเหรอ...ไม่ใช่มั้ง นายไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา แล้วเกย์เวลาเขาแต่งงานกันเขาเรียกเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเหมือนคนทั่วๆ ไปหรือเปล่า ทิวรู้เรื่องนี้ไหม"
บูมถามขึ้นเมื่อหัวถึงหมอนไปได้สักพัก ทิวหันไปมองคนที่นอนข้างๆ แล้วก็ครุ่นคิด
"ไม่รู้สิ...แต่เราให้นายเป็นเจ้าบ่าวแล้วกัน ส่วนเรา...จะเป็นอะไรดีน้า เราไม่ใช่เจ้าสาวหรอก เราไม่ชอบเรียกตัวเองอย่างนี้ เป็นอะไรดี...นึกก่อน...หรือใช้ภาษาอังกฤษดีไหม นายก็เป็น Groom ส่วนเราก็เป็น Bride"
ทิวเสนอความเห็นอย่างตื่นเต้น
"แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ แปลเป็นไทยมันก็เป็นเจ้าบ่าว-เจ้าสาวอยู่ดี"
"ต่างสิ...ก็มันเป็นภาษาอังกฤษไงก็เลยต่างกัน"
"กวนเราเหรอ เดี๋ยวเหอะ"
บูมทำเสียงขู่พลางพลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนตัวทิว
"อย่านะ เดี๋ยวเราฟ้องแม่จริงๆ นะ แม่บอกเราว่าถ้านายเกเรกับเรา ให้บอกแม่" ทิวขู่บ้าง
บูมพลิกตัวกลับไปนอนที่เดิมแล้วก็ขำใหญ่
"ไม่น่าเชื่อนะว่าแม่จะเอ็นดูนายขนาดนี้ สงสัยลูกแท้ๆ อย่างเราคงตกกระป๋องแน่ๆ เลยคราวนี้"
"แหงอยู่แล้ว" ทิวทำเสียงล้อเลียน
"เรื่องชื่อเอาไว้ก่อนละกันนะ เอาไว้ค่อยคิด เดี๋ยวเราไปหาข้อมูลก่อน"
บูมหันไปมองหน้าทิวแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
"ครับ...ที่รัก" แล้วก็จุมพิตที่ปากทิวเบาๆ หนึ่งครั้ง
"บูม...เราถามอะไรหน่อยสิ" ทิวทำเสียงเป็นจริงเป็นจัง
"ว่ามาสิครับ...ที่รัก"
"นาย...ชอบเราตั้งแต่ตอนไหน นายจำได้หรือเปล่า"
"อืม...ตอบยากนะ ตอนที่เราตกบันไดแล้วนายมาช่วยพยุงตอนนั้นเราก็รู้สึกดีกับนายขึ้นเยอะเลยนะ พอนายมาสอนเราร้องเพลงเราก็ยิ่งรู้สึกดีกับนายมาก แล้วก็ตอนนั้น...ตอนที่เราเลิกกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง สงสัยจะเป็นตอนนั้นล่ะมั้ง...ที่เรารู้สึกว่าเรารักนายจริงๆ จังๆ"
"อืม...แล้วทำไมพอเลิกกับแป๋มแล้วนายถึงชอบเราล่ะ" ทิวยังคงจำชื่อน้องผู้หญิงคนนั้นได้อยู่
"ใช่ๆ น้องเขาชื่อแป๋ม นายนี่ความจำดีจริงๆ" บูมขำเบาๆ แล้วก็พูดต่อ
"ก็ตอนนั้น...มันทำให้เราคิดได้ไงว่า...จริงๆ แล้วคนที่คอยดูแลเป็นห่วงเราเป็นใคร เราก็เห็นมีแต่นายนั่นแหละ แล้วตอนนั้นนายก็งอนเราด้วย ไม่ยอมพูดกับเราเลย หลบหน้าเราตลอด พอนายไม่คุยด้วยเราก็เลยเศร้าเลย แต่ก็แอบสงสัยนะว่านาย...ก็คงชอบเรานั่นแหละ เราดูออก"
"จริงเหรอ...นายดูออกด้วยเหรอ"
"ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ผู้ชายที่ไหนเขางอนกันเรื่องนี้ละ" บูมขำเล็กน้อยแล้วก็เป็นฝ่ายถามบ้าง
"แล้วนายล่ะ...ชอบเราตอนไหน อย่าบอกนะว่าเจอปุ๊บก็ชอบปั๊บ เราจำได้ว่าเราไม่ชอบนายมากๆ เลยตอนเจอกันครั้งแรก ไม่ใช่ตอนนั้นใช่ไหม"
"ไม่ใช่..." ทิวขำแล้วก็พูดต่อ
"ตอนนั้นนายน่ากลัวจะตาย หน้าก็บึ้งๆ เราไม่กล้าคุยด้วยเลย ถ้านายไม่ตกบันไดวันนั้นเราก็คงเป็นศัตรูกันจนถึงวันนี้แล้วมั้ง เดี๋ยวนะ...นึกก่อน เราว่า...เราน่าจะชอบนายตอนที่...นายกอดเราครั้งแรก ตอนที่นายแอบหลบไปร้องเพลงหลังโรงเรียน นายจำตอนนั้นได้ไหม เราว่าตอนนั้นแหละ"
"อ๋อ...จำได้สิ ตอนเช้าๆ ใช่ไหม แล้วทำไม...พอเรากอดนาย นายถึงชอบเราล่ะ"
"ก็มันอุ่นดีไง" ทิวพูดพลางยิ้มเขิน
"อุ่นแบบนี้หรือเปล่า"
บูมพูดจบก็สวมกอดทิวไว้ พยายามทำความรู้สึกให้เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ทิวทำให้บูมรู้สึกว่าที่ผ่านมาชีวิตนั้นช่างอ้างว้างเดียวดายเพียงใด ทิวเป็นเพื่อนคนแรกที่ดีกับบูมมาก มากจนสามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งที่แทบไม่เคยยิ้มให้สดใสขึ้นมาได้อีกครั้ง
"แบบนี้แหละ ไม่ว่านายจะกอดเราแบบไหนมันก็อุ่นแบบนี้เสมอนะบูม" พูดจบแล้วทิวก็กอดตอบบ้าง
บูมค่อยๆ คลายอ้อมแขนแต่ก็ยังกอดทิวไว้หลวมๆ อยู่
"อยากให้ถึงวันที่เราแต่งงานกันเร็วๆ จัง คนอื่นอาจจะบอกว่าไม่สำคัญ แต่เราคิดว่ามันสำคัญนะทิว เพราะเราอยากจะบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าเรา...รักนายแค่ไหน เราอยากให้คนรู้ว่านาย...เป็นคู่ชีวิตของเรา เหมือนที่คนอื่นๆ เขาก็มีคู่ชีวิตกัน"
"ขอบคุณมากนะบูมที่นาย...เห็นคุณค่าของคนอย่างเรา"
ทิวยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ บูมยิ้มตอบกลับไปเช่นเดียวกัน
"อืม...ว่าแต่ว่า ถ้าเราแต่งงานกัน ใครจะเป็นเพื่อน Groom กับ Bride ดีล่ะ"
"ของนาย นายก็ให้เอิร์ธหรือวิทเป็นก็ได้ ส่วนของเรา เดี๋ยวเราให้ต้องเป็น"
ได้ยินชื่อต้องขึ้นมาบูมก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"ต้องเหรอ เออ...มันเป็นไงบ้างตอนนี้ เราเคยคุยกับมันตอนที่กลับจากเมืองนอกใหม่ๆ เพราะว่าจะถามหานาย แล้วก็ไม่ได้คุยอีกเลย"
"มันมีแฟนแล้วล่ะ จะแต่งงานเร็วๆ นี้แล้ว"
"จริงเหรอ แล้วแฟนมันเป็นผู้ชายหรือ...ผู้หญิง"
"ผ้หญิงสิ ไอ้ต้องมันคงไม่ได้เป็นแบบเราหรอก เราว่ามันคงสับสนมากกว่าตอนนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังไง แต่มันก็จะแต่งงานกับผู้หญิงนั่นแหละ"
"เหรอ ถ้างั้น...เราแต่งงานกันก่อนไอ้ต้องดีไหม มันจะได้มาเป็นเพื่อน Bride ก่อน"
"ต้องไปดูฤกษ์ก่อนไม่ใช่เหรอ ยังไม่ได้ไปดูเลย" ทิวแย้ง
"จริงด้วย ไม่เป็นไร...แต่งตอนไหนก็ไม่สำคัญหรอก ขอให้เราได้แต่งงานกัน แต่งไวหน่อยก็ดี เราอยากมีเมียแล้ว"
บูมทำเสียงล้อเลียนตลกๆ ในตอนท้ายแล้วก็หัวเราะ
"แล้วทุกวันนี้เราไม่ได้เป็นเหรอ" ทิวทำเสียงกระเง้ากระงอด
"เป็นสิ แต่ว่า...พอแต่งงานแล้ว ก็จะเป็นเมียโดยสมบูรณ์ไง" บูมรีบแก้ตัว
"เหรอ...ถ้างั้นแสดงว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นเมียนายโดยสมบูรณ์ใช่มะ ดีล่ะ ถ้างั้น...นายห้ามมาทำอะไรกับเราจนกว่าจะแต่งงานกัน"
ทิวได้ทีก็เลยเอาคืนบ้าง
"โห...เราก็มันจุกอกตายพอดีสิ มีเมียน่ารักๆ แบบนี้ จะให้นอนดูเฉยๆ ได้ยังไง จริงไหม"
บูมพูดแล้วก็พลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนทิวอีกรอบ ระดมจูบซ้ายบ้างขวาบ้างจนทิวหายใจหอบ
"ให้มันรู้ไปสิว่านายจะทนได้" บูมพูดพลางยิ้มเยาะน้อยๆ
ทิวหัวเราะพร้อมกับเขินอาย ก็พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ ทิวเองก็คงทนไม่ไหวหรอก มีสามีหล่อ หุ่นดี มีซิกแพ็คอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้ใครจะไปทนไหว ถูกกระตุ้นหน่อยเดียวอารมณ์ก็กระเจิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
"ทนไม่ไหวแล้วใช่ไหมล่ะ" บูมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางจ้องตาทิวไม่กะพริบ
"บ้า" ทิวพูดพร้อมกับเอียงหน้าหลบด้วยความเขินอาย
"นายว่าเราหล่อไหมทิว สามีของนายเป็นคนหล่อไหม"
ทิวหันกลับมามองพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "อยากรู้จริงๆ เหรอ"
บูมพยักหน้า "จริงสิ"
"สามีของผมหล่อมากครับ" ทิวทำหน้าล้อเลียนแล้วก็หัวเราะ
"เมียผมก็น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ" บูมพูดประโยคคล้ายๆ กัน
"แต่บางที...นายก็เป็นเมียเราเหมือนกันนะ" ทิวหัวเราะชอบใจ เห็นบูมยิ้มอายๆ ก็ยิ่งขำใหญ่
คงจะไม่ต้องบรรยายอะไรอีกแล้วว่าบูมกับทิวรักกันมากแค่ไหน ความรักที่เกิดขึ้นมานั้นงดงามและมีคุณค่าสูงส่งอยู่ในใจของทั้งสองคนเสมอ นี่แหละคือแรงยึดเหนี่ยวชั้นดีที่จะทำให้ทั้งสองคนรักกันไปตราบนานเท่านาน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกสักกี่ครั้งบนโลกใบนี้ เมื่อคนสองคนคิดถึงความรักและความผูกพันที่ผ่านมา คิดถึงวันคืนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน คิดถึงวันคืนที่เคยจากกันอย่างทรมาน คิดถึงความรู้สึกดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งสองคนก็จะรู้ว่าชีวิตนี้โชคดีที่สุดแล้วที่ไม่สูญเสียที่ความรักที่มีค่ายิ่งไปเสียก่อน ทิวกับบูมจะไม่ยอมสูญเสียความรักนี้ไปอีกอย่างแน่นอน
นับจากวันนี้ ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็อุ่นใจได้เลยว่าทิวกับบูมจะไม่ปล่อยมือจากกันอีกแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะวิเศษที่สุดมากไปกว่าการที่โลกนี้มี "ทิวกับบูม"
- จบบริบูรณ์ -