ตอนที่16
ผิงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องรับแขกของมู่ช้าๆ เขามองเพื่อนอีกสี่คนด้วยสายตาไม่ค่อยเข้าใจนัก มู่โทรไปหาแล้วบอกให้มาที่บ้าน พอมาถึงก็เห็นสี่ชีวิตนั่งสุมหัวกันอยู่ราวกับคิดการใหญ่อะไรสักอย่าง...
มู่นั่งเท้าคางกับโต๊ะกระจก ส่วนนุชนั่งอยู่บนโซฟาสองขาขนาบข้างร่างบางใบหน้าหวานวางอยู่บนศีรษะของมู่
ซอวางคางกับฝ่ามือที่ประสานกันอยู่ หรี่ตามองกองกระดาษตรงหน้า(ละมั้ง) ส่วนเจนั่งเขี่ยอะไรสักอย่าง
“เออ...ไง” ผิงส่งเสียงเรียกไป ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว เจกวักมือเรียก พลางขยับตัวไปใกล้กับโซฟาตบพื้นพรมข้างตัวปุๆ
“เย๊อะ!!! เกิ๊นนน” เป็นมู่ ที่อยู่ๆ ก็ส่งเสียงออกมา และก็เป็นเจนั่นแหละที่สวนออกไปว่า
“ชะมดเอาตะกร้อครอบปากมันด่วน” หนุ่มหล่อว่าจ้องหน้าเพื่อนที่ทำหน้าตากวนประสาทใส่ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะโดนดันด้วยปลายนิ้วของคนที่เอาหน้าหวานๆ เกยศีรษะให้เงยขึ้น
มู่ยิ้มให้นุชที่ก้มหน้ามอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มลงมาจูบที่หน้าผากเบาๆ “อย่าไปแซวมัน เดี๋ยวมันบ้าขึ้น”
“ไอ้นุช!”
“ไปเที่ยวไหนดี?” พ่อหนุ่มตาหวานเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยหลังจากแอบกัดเพื่อนไปเบาๆ ไม่สนว่าสายตาหลายคู่จะมองด้วยสายตาหมั่นไส้แค่ไหนกับการโชว์หวานเล็กๆ นั้น
“เที่ยว?”
“อือ” ซอครางรับ ใบหน้าซังกะตาย เป็นอย่างที่เขาคิดเมื่อเช้า ไม่พ้นวันนี้พวกมันต้องนัดรวมพล แต่เขาไม่คิดว่าพรรคพวกหมาทั้งหลายจะอยากไปเที่ยวกัน
“เมื่อไหร่อะ ฉันต้องไปเชียงใหม่” ผิงว่า มองโบว์ชัวร์อย่างสนใจ
“ไปเที่ยวบ้านไอ้ผิงเลยเป็นไง ประหยัด” ซอเอ่ยออกมาอย่างสิ้นคิดที่สุด เพราะเอาเข้าจริงสำหรับเขาจะเที่ยวไม่เที่ยวก็ได้ นั่งเถียงกับเจ้าพวกนี้มาเป็นชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่ได้ไปไหนสักที่
“กูไม่ไปทะเลนะ” นูชว่าทันที “กูแพ้อาหารทะเลไปแม่งก็ไม่สนุก”
“เห็นแก่ตัว” เป็นมู่ที่เอ่ยออกมา เลยโดนคนที่เหมือนจะโอบตัวเองกลายๆ ล็อคคอจนร้องลั่น “ไอ้ชะมด คอกูจะหัก”
“เออ...แม่งเอาให้ตายเลยนะไอ้ชะมด ปากคอเหลือเกิน” เจว่า ก่อนคว้าแผ่นพับมาดูบ้าง
“ไปเที่ยวบ้านฉันก็ได้นะ แต่ช่วงนี้ที่เชียงใหม่ฝุ่นควันไม่ไหวเหมือนกัน”
“แล้วมึงก็ยังไป”
“ก็อยากอยู่กับพ่อกับแม่บ้างสิ” ผิงว่าก่อนจะปัดมือของเจที่ยกขึ้นมาลูบผมของเขาจนหัวฟู
“แล้วกูถามหน่อย จำเป็นเหรอวะที่ต้องไปเที่ยวกันเนี่ย?” ซอเปิดประเด็นขึ้นมาทำเอาทุกคนเงียบ หันมามองคนถามก่อนจะเมินไปคนละทางสองทาง
เหอะๆ มีเหตุผลส่วนตัวกันละเซ่!
“กูไม่อยากรีบกลับบ้านเลยบอกแม่ใหญ่ว่าจะอยู่เที่ยวอีกสักอาทิตย์” นุชเอ่ยออกมาก่อน ทำให้มู่ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
“ทำไม?”
“ข้างบ้านน่ะ คนรู้จักเพิ่งกลับจากเมืองนอก แม่ใหญ่อยากให้ฉันคอยดูแลพวกลูกสาวของเขา”
“ลูกสาว!” นุชพยักหน้าแกนๆ แต่มู่ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องที่แค่พยักหน้าแล้วจบ “ใคร? อะไร? ยังไง? ที่ไหน? ทำไม?” มาครบ ขาดอยู่อีกไม่กี่คำถาม แต่คาดว่าคงตามมาติดๆ
“ก็...เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของแม่ใหญ่ พวกคุณหญิงคุณนายนั่นแหละ แล้วลูกสาวก็เพิ่งได้กลับมาอยู่เมืองไทยครั้งแรก หมายถึงตั้งแต่ย้ายไปตอนเด็กๆ...ละมั้ง พอมาอยู่ที่บ้านก็เลยอยากเที่ยว กูขัดแม่ใหญ่ไม่ได้หรอก”
“ดอก!”
“เฮ้ย! มู่นั่นแม่กู”
“กูด่านังชะนีอิมพอตต่างหาก!” นั่นไง...เหอๆ ซอส่ายหน้าทำท่าทางว่าขอตัวไปสูบบุหรี่ ส่วนเจกับผิงไม่ได้ลุกไปไหน แต่ก้มหน้าก้มตาคุยกันเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว
“มึงไปด่าเขาทำไม”
“กระแดะไง อยากเที่ยวก็แค่ขับรถมาเที่ยว มีปัญญาอยู่นอกไม่ตายแค่เที่ยวกรุงเทพทำไมจะไม่ได้ อยากได้มึงเป็นผัวมากกว่า” ตรงประเด็นไม่หมกเม็ด แน่นอนว่านุชก็กลัวข้อนี้อยู่มาก
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแม่ใหญ่คิดอะไรอยู่
ทำไมเขาจะดูไม่ออกตอนที่เห็นสายตาของลิลลี่ที่มองเขา
ทำไมเข้าจะไม่เข้าใจสายตาของพวกผู้ใหญ่ที่มองมาอย่างหมายมาด...
“กูขัดแม่ใหญ่ไม่ได้ มึงก็รู้”
“ดุกว่าน้องในปากมึงขนาดนั้นใครไม่กลัวก็หมาบ้าแล้ว”
“มู่!! ปากมึงเนี่ย! ลามปามแล้วมึง!” นุชต่อว่าอย่างไม่ชอบใจนัก โอเคเขาอาจจะไม่ชอบใจที่แม่ใหญ่ชอบขีดเส้นในชีวิตของเขา แต่นั่นก็คือแม่ที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กนะ ส่วนมู่ เขาก็รู้ว่าปากไวแค่ไหน แต่บางครั้งก็ต้องรู้จักกาลเทสะบ้างเถอะ
“เออ...ปากกูหมาอย่างนี้แหละ! ไม่ปงไม่ไปแล้วเที่ยวเนี่ย! มีคนอยากไปเที่ยวกับยัยกะปินำเข้ามากกว่า” ว่าแล้วก็ผลักขาของแฟนตัวเองแรงๆ ก่อนจะลุกพรวดขึ้น เดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนชั้นสองโครมๆ
“เฮ้ย! อะไรวะ” นุชโวยวายลุกตามขึ้นไปติดๆ ปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนนั่งมองตามตาปริบๆ
“สมมุติว่าไอ้นุชมีกิ๊กแล้วไอ้มู่รู้ กูนึกสภาพวรนุชน้อยของพวกเราไม่ออกเลย” เจว่าแล้วทำหน้าแหยงๆ ส่วนผิงก็แค่ทำหน้าเฉยๆ
“ก็ไม่น่าจะมีอะไรมากนะ อย่างมากก็แค่เงียบแล้วก็ร้องไห้แหละ” เจถึงกับเลิกคิ้ว มองหน้าผิง ซึ่งก็สำทับว่า “จริงๆ เวลาไอ้มู่มันโกรธอะไรมากๆ มันจะร้องไห้แล้วก็ตัดเรื่องนั้นออกจากชีวิตไปเลย”
“แล้วที่มันออกท่าออกทางขนาดนี้”
“ก็แค่อยากให้นุชง้อมันมากๆ ละมั้ง” เจสะอึกหัวเราะ
“คงง้อมากๆ หรอกนะ ไอ้นุชมันง้อใครเป็นเมื่อไหร่”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ คนนั่งคุยกับคนนอนคุยไม่เหมือนกันหรอก” ประโยคนี้ทำเอาเจต้องหันหน้ามามองใบหน้าอ่อนใสนั้น
ทั้งที่ดูไร้เดียงสาแต่ผิงกลับมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่คิด เจยิ้มนั่งมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ทั้งที่ผิงก็เงยหน้าขึ้นมาเจอกลับไม่คิดจะหลบสายตา
“มองอะไร?”
“ก็มองแก”
“ทำไม”
“ก็เปล่า?”
“อะไร?”
“ไม่มีอะไรนี่”
“เยอะว่ะ” ผิงว่าพร้อมกับผลักไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าเอานิ้วจิ้มรูปบังกะโลห้องพัก “ปราณบุรี” หนุ่มหน้าใสเอ่ย ขอความคิดเห็นร่างสูงโดยการยัดโบว์ชัวร์ให้อีกฝ่ายดู
“ไม่เคยไปเลยว่ะ”
“แล้วนึกไงจะไปเที่ยว?”
...กระชับความสัมพันธ์อันดีงามกับมึงไง... 
“ไอ้นุชมันอยากไป ไอ้มู่ก็เลยตามเลย ส่วนไอ้ซอยังไงก็ได้ ส่วนกู...ว่างเกินไป”
“เป็นคำตอบที่ตรงไปไหนกันนะ” ผิงขำ ก่อนจะก้มลงล้วงเอามือถือออกมา แล้วขอตัวลุกออกไปคุยส่งสัญญาณว่าแม่โทรมา จังหวะเดียวกับที่ซอเดินกลับเข้ามา
“ไอ้คู่หมาล่ะ” เจมุ่ยหน้าไปข้างบน ก่อนจะขำเมื่อได้ยินซอพูด “อะไรฤดูผสมพันธ์มาเร็ว?”
“มึงก็ว่าไป แม่งทะเลาะกัน”
“ปัญญาอ่อน”
“มึงไม่ถามล่ะว่าเรื่องอะไร” ซอส่ายหน้าทันทีราวกับว่าเรื่องของสองคนนั้นไร้สาระเสียเต็มทน ซึ่งมันก็เฉียดคำว่าไม่มีสาระจริงๆ
“หนักสมองเปล่าๆ ช่วงนี้สมองกูใช้ได้สิ้นเปลืองมาก”
“เอ่อนี่...ผิงมันว่าจะไปปราณฯ”
“ไงก็ได้”
“มึงเป็นอะไรวะซอดูเซ็งๆ ทุกทีมึงราวคำถามไม่หยุด” หนุ่มหน้าสวยส่ายหน้า แต่สี่หน้าตอบคำถามของเจได้อย่างชัดเจน “ไหวมั้ยเนี่ย ไอ้มู่ก็บอกว่าเหมือนมึงมีปัญหา มีอะไรปะวะ”
“กูบอกไปมึงช่วยกูได้ปะ?”
“ไม่ได้ว่ะ แต่อยากเผือก”
“ส้น...ตีน...มาก” ซอจิกสายตาเข้าใส่ เจขำแล้วก็หยุดกะทันหันก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้เพื่อนสนิทราวกับมีเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถพูดให้ใครได้ยินได้ แต่ซอไม่รับมุก เอนตัวหนีราวกับว่าเพื่อนหน้าหล่อเป็นชื่อไวรัสอันตรายขนาดหวัดสายพันธ์ล้ำโลกต้องหลีกหนี ทำเอาเจมองด้วยสายตาคาดโทษ
“เยอะๆ กูไม่ได้มีอมีบาติดตัวมาด้วย”
“ใครจะรู้เกิดมึงไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้วแกล้งพรมน้ำหอมมา”
“ส้นตีนน่ะปากมึงไอ้ซอ หมดอารมณ์จะพูดละ”
“กูก็ไม่ได้จะอยากรู้นะ”
“ขอบคุณ” เจประชด เอาแผ่นกระดาษปาใส่เพื่อนอย่างเหลืออด
“นับวันมึงชักสาวนะ ถามจริงที่เห็นเนียนใส่ไอ้ผิงอะ มึงเอาจริง?”
“ไม่รู้ว่ะ” เจตอบทันที โยนแผ่นพับลงบนโต๊ะอีกครั้ง เท้าคางเหล่ตามองไปทางร่างบางที่คุยโทรศัพท์ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปยังสวนหลังบ้านของมู่ “กูว่ามันน่ารักนะ บางทีกูก็แบบอยากหอมแก้มมัน อยากฟัดมันอะ”
“ซึ่งในความเป็นจริงมึงลักหลับมันไปแล้ว”
“กูแค่แอบจูบ”
“แถวบ้านกูเรียกผิดผี”
“นครปฐมมีชาวเขาด้วยเหรอวะ”
“เขามีอยู่จริงในใจคุณทุกครั้งที่คิดถึง” มุกเหี้ยอะไรของมันครับ กระผมไม่เข้าใจ...
“มึงนี่ชอบพากูออกนอกโลก ความมากหลายมิติของมึงเนี่ยเพลาๆ หน่อยสงสารคนเป็นแฟนในอนาคตของมึง เกิดเขาเดาอารมณ์มึงไม่ถูกแล้วปึ๊ดขึ้นมาพวกกูไม่อยากเป็นเจ้าภาพงานศพของมึงนะ”
“ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือเมื่อไหร่มึงจะเอากับไอ้ผิง ไม่ใช่เรื่องของกูกับว่าที่เมียในอนาคต ว่าแต่ที่จะไปเที่ยวปราณฯ เนี่ย ซ้อมฮันนีมูน?”
ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเพื่อนปากเยี่ยงหมาอมตำแยมาเป็นเพื่อนผมครับ...
ผมซาบซึ้งใจมาก...
“ความเหี้ยไม่เข้าใครออกใคร แม้แต่ปากมึง”
“ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรมีคนชมกูบ่อยละ ว่าแต่เอาจริงอะ?”
“อะไร...”
“ก็พรีฮันนีมูน ไม่เป็นไรนะกูไม่ถือถ้าเพื่อนกูคนสองคนจะอยู่กันก่อนแต่ง สมัยนี้ใครๆ ก็ทำ” มันไม่พูดเปล่าเอื้อมมือมาตบไหล่ของเขาแปะๆ ราวกับเข้าอกเข้าใจเสียเหลือเกิน มองหาวี่แววความขบขันในน้ำเสียงและท่าทาง สีหน้าก็ไม่เจอ...
บางทีเจก็ไม่เข้าใจ ว่าซอมันเป็นพวกเส้นลึกตลกร้าย หรือความจริงแล้วไอ้เส้นขำขันไม่มีอยู่ในร่างกายของมัน
“พอๆ ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้นแหละ กูยังไม่รู้เลยว่าไอ้ที่คิดกับผิงมันเนี่ย แค่เหงา หรือแค่เห็นว่ามันน่ารัก แบบเอ็นดูอะไรทำนองนั้น กูไม่คิดว่าเรื่องรักๆ น่ะจะเกิดขึ้นง่ายๆ นะเว้ย อย่างน้อยมันก็ต้องมีพวกรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่านี้ ที่สำคัญ กูผู้ชาย แล้วดูยังไงไอ้ผิงก็ไม่ใช่ผู้หญิง มันเป็นเรื่องสำคัญมาก กูไม่อยากให้แค่อารมณ์วูบๆ วาบๆ ตัดสินใจ เป็นเพื่อนกันด้วย มันเลยต้องค่อยๆ คิด เข้าใจมะว่ามันโคตรสำคัญมากๆ สำหรับกู กูไม่เคย บลา บลา บลา....” อีกมากมายที่ซอปล่อยให้เจพล่ามไป สำหรับหนุ่มหน้าสวยการสนทนานี้มันจบไปตั้งแต่เขาพูดจบนั่นแหละ
ปลายนิ้วสวยหยิบเอาโบว์ชัวร์ขึ้นมาดู หูก็ฟังเสียงเพื่อนที่ดูเหมือนจะอึดอัดเหลือเกินพล่ามแบบ เข้าหูซ้ายทะลุเครื่องในวกมาออกที่หูขวา
จะว่าไปเจมันก็ไม่ใช่คนพูดมาก อาจจะไม่ถึงขั้นพูดน้อย แต่พอเป็นเรื่องของเพื่อนผิงกลับพูดได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้
บอกไม่มีอะไร เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่ามึงคิด ไอ้โง่วววววววว
“นี่...ตกลงไปปราณกันนะ” ผิงเดินเข้ามาแล้วทรุดลงนั่งระหว่างซอกับเจ แอบเบียดเจเบาๆ ด้วยซ้ำ “ขอแม่ละว่าจะไปเชียงใหม่ช้าหน่อย ไปกี่วันดี”
“มีงบไม่เกินเจ็ดพัน กูหมดตัวแล้ว เดี๋ยวสงกรานต์อีก”
“มึงเที่ยวเหรอวะสงกรานต์” ซอส่ายหน้าทันทีที่เจถาม
“กูพูดไปงั้นแหละ” เจขยับปากด่าเพื่อนไม่ออกเสียง ก่อนจะดูเรื่องที่พักโดยใช้บริการไอแพดของมู่ลี่ผู้เป็นหนึ่งเรื่องเทคโนโลยี ตระกูลไอ น้องมู่กวาดทุกอย่างมาประดับบารมีเรียบร้อย
“กูเหลือแค่ห้าพันเองว่ะ” เจบ่น “เพิ่งจ่ายค่าเท็กไปเป็นพันเลยตั้งสองเล่ม”
“ฉันยังไม่ได้จ่ายเลย เปิดเทอมแหละทีเดียว” เจพยักหน้า ยกมือขึ้นดึงไหล่ของผิงให้ขยับมาใกล้ๆ เพื่อดูที่พัก แต่มือกลับไม่เอาออกเมื่อร่างบางเคลื่อนตัวไปชิด วางเกยอยู่บนหลังบางนั้นนั่นแหละ
ซอเบะปากเข้าใส่ ก่อนจะส่ายหน้า แล้วบอกไม่คิดอะไร...ไอ้ควายเจ!
แต่ทุกอย่างสงบได้ไม่เท่าไหร่พายุลูกใหม่ก็เคลื่อนเข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็ว มู่เดินกระแทกเท้าโครมๆ ลงมาจากด้านบน สีหน้าที่บ่งบอกสภาวะอารมณ์ได้อย่างแจ่มแจ้งว่า...
โกรธ!!
ตามมาด้วยนุชที่เดินตามมาช้าๆ และหน้าหวานๆ นั้นก็เหมือนมีภาษาไทยเขียนแปะไว้เต็มหน้าเลยว่า เซ็ง!
“พวกกูเลือกได้แล้วนะว่าจะไป...”
“นรกขุมไหนใครอยากไปก็เชิญกูไม่ไป”
“อ่าว!”
“เฮ้ย...มู่ โมโหก็อย่าไปลงกับเพื่อนดิวะ มาคุยกับกูดีๆ มา”
“คุยห่าอะไรอีก กูหมดเรื่องจะคุย” มู่หันไปโวยใส่หน้านุชที่เริ่มชักสีหน้า ลำพังพ่อตาหวานก็ใช่จะเป็นคนอดทนกับอะไรที่ไหน กับมู่ที่ผ่านเรียกได้เลยว่าทนมากจนชิน แต่บางทีก็ไม่ไหวนะ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาไม่ได้ก่อขึ้นมาเอง
“กูปฏิเสธแม่ใหญ่ได้ที่ไหน กูจะไปรู้หรือไงว่าเขาจะเล่นไม้นี้ ก็แค่ยื้อเวลากลับบ้านเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะยัดให้พวกนั้นมาเที่ยวด้วย”
“แล้วไง” ขอบอกว่าหน้าตอนถามคำนี้ของมู่มันโคตรกวนอวัยวะที่สุด แต่ดูเหมือนนุชจะมีภูมิคุ้มกันเรื่องนี้ของมู่ดีกว่าคนอื่น
“เป็นกูนะถ้าเมียทำหน้าอย่างนี้ใส่เตะคอหัก” ซอพูดเบาๆ แต่ได้ยินทั่วถึง
“ไม่ใช่มวย แกอย่าเพิ่งพากย์ตาม” ผิงปราม แต่แอบยิ้ม ซึ่งเจก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้เลยยีผมอีกฝ่ายเล่นอีก
นุชถอนหายใจ “ถ้าจะไปเที่ยวก็ไปกันพรุ่งนี้เช้าเลย ถ้าไม่ก็บ้านใครบ้านมัน”
“อ๋อ...รีบกลับบ้าน? กลัวไม่ได้เจอแม่นั้นหรือไง”
“ไปไกลเลยแม่เอ้ย” เจงึมงำหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ผิงทำท่าปาดคอ แต่ไม่รู้นะว่าใครจะปาดคอใคร
“ที่พูดเนี่ยปากหรือส้นตีนวะมู่ กูสงสัย”
“มึงอย่ามากวนตีนกูไอ้นุช มึงอยากให้แม่นั่นไปใช่มั้ย ถึงบอกแม่ใหญ่ว่าจะไปเที่ยว”
“ควายแล้วมึงไอ้มู่ พูดไม่คิด หรือสมองไม่ใช้คิดอะไร ระวังนะมันจะฟ่อ ตอนคุยกูก็เปิดโฟน พูดจาไร้สติ”
“ไอ้นุช มึงด่ากู!”
“มึงได้ยินกูบอกว่ากูรักมึงหรือไงวะ ไอ้ควาย!”
“ใครก็ได้บอกฉันทีว่านี่คือคนเป็นแฟนเขาคุยกัน” ผิงทำท่าราวกับจะยกมือถึงอุดหู แต่เหมือนจะไม่ทัน ซอก็แค่ทำหน้าระอากับภาพที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนเจ
“มันก็เป็นงี้แหละ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ากูเป็นแฟน... กูไม่พูดจาหยาบคายแบบนี้หรอก” ประเด็นคือ...ใช่เวลาจะเนียนมั้ย?
“กูได้ยินมึงพูดว่ารักกู...ตะกี้นี้เลย” มู่พูดพร้อมกับเชิ่ดหน้าใส่ ส่วนนุชก็ถอนหายใจ อย่างทำอะไรไม่ได้
“เอ่อ...กูรักมึง จบได้ยัง”
“จบละ”
แค่นี้?
ทะเลาะกันแสบแก้วหูชาวบ้านจบลงแค่นี้?
ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันทันที ก่อนจะกลับมานั่งท่าเดิมนั่งก็คือมู่นั่งบนพื้นติดโต๊ะกระจก ส่วนนุชนั่งบนโซฟาซ้อนอยู่ด้านหลัง
อนิจจา...โลกนี้ช่างไม่เที่ยง
มันคือคู่รักปัญญาอ่อนชัดๆ
“ตกลงไปเที่ยวไหน” มู่เอ่ยถามหยิบนั่นหยิบนี่ขึ้นมาดูราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องโวยวายทะเลาะเสียอย่างนั้น
“ไหนว่าไม่ไป”
“กูพูดเหรอ?” มู่ทำหน้าตาเหรอหราจนซอทนไม่ไหวผลักหน้าผากไปแรงๆ หนึ่งที่ ไม่ติดว่ามีผัวคุ้มกะลาหัวอยู่จะกระทืบให้ตัวผอมๆ นี่แบนติดเท้าไปเลย
“ช่างหัวมัน พวกกูจะไปปราณฯ”
“ปราณ?” นุชทวนคำ ก่อนจะรับโบว์ชัวร์จากมือของเจมาดู “ก็ดีนะ กูไม่เคยไป”
“กำลังคุยกันว่ากี่วันดี”
“สองอาทิตย์”
“พ่อมึงสิไอ้มู่!” เจ ซอ ผิง พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แต่คนโนโวยใช่จะสนใจ จิกสายตากลับมาเสียอย่างนั้น
“กูว่านะ สักสองวันสามคืนกำลังดีนะ ที่พักแอบแพงเบาๆ ว่ะ” นุชเอ่ยขึ้นมาหลังจากดูแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวนั้น
“เอ่อ...พูดจาอย่างนี้ค่อยเหมือนผู้เหมือนคนหน่อย ไว้ใจได้ตรงที่ผัวคุยรู้เรื่องสินะ” เจว่า...
“แล้วไปยังไง”
“เดี๋ยวนะ” ผิงกับเจสุ่มหัวกันอยู่ที่หน้าจอไอแพด ค้นหาสถานที่พักและการเดินทาง คนอื่นก็นั่งรอกันไปเรื่อยๆ “นั่งรถตู้ไปได้ว่ะ ตรงนี้เหมือนเป็นบริษัททัวร์ ถ้าเราไปกับเขาก็ตกคนละประมาณ สามพันเศษๆ ห้าคนก็เกือบหมื่นหก”
“ฮึ๋ย...แพงว่ะ” ซอว่า ซึ่งทั้งเจแล้วก็พิงเห็นด้วย
“แต่ถ้าเราไปกันเอง ค่าที่พักสองห้อง ค่ากิน ไม่รวมค่าเดินทาง ราวๆสี่พันกว่า แต่กูว่าก็พอกันล่ะวะ เพราะเราต้องหารถหาอะไรเอง”
“กูมีรถ...รถพี่มรรคจอดอยู่ในโรงรถ”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกแต่แรก ไอ้เวรนี่!” เป็นอีกครั้งที่มู่ได้รับเสียงประสานเป็นของกำนัล
“ไปเมื่อไหร่” ผิงเอ่ย “จะได้บอกป้าติ๋วกับลุงยอด”
“ดูที่พักกันให้ชัวร์ก่อนดีกว่า อีกอย่างเราต้องรู้ด้วยว่าเราจะไปปราณฯ น่ะเราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง” เจเอ่ยอย่างคนที่ดูจะเป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุด ก่อนที่นุชจะเอ่ยต่อมาว่า
“มู่ รถพี่มรรคน่ะ ใช่ไอ้รถบ้านคันนั้นปะวะ ที่กูถามคราวก่อน” มู่พยักหน้า
“ใช่ รถบ้าน แต่ไม่มีห้องน้ำนะมันไม่ค่อยได้ใช้ก็เลยเอาออก”
“งั้นก็นอนในรถกันได้ใช่มั้ย” มู่พยักหน้า
“ก็ใช่อะ ทำไมเหรอ” คนถามไม่รู้จริงๆ นะว่าทำไมนุชถึงถามแบบนั้น แต่ทุกคนต่างพร้อมใจกันถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า...
“ไอ้นุช! เอาเมียมึงไปเก็บก่อนพวกกูจะฆ่ามัน!” มีหนทางประหยัด แต่ดันไม่นำเสนอออกมา น่าเตะมันมั้ยล่ะ!

คงคงความงงไว้ได้อย่างเหนี่ยวแน่น หรือเพราะว่านิมาเป้นคนที่งงอยู่กับชีวิตเป็นปรกติไปแล้ว??? เกี่ยว???
ฮ่าๆ ขอบคุณนะค้า ทุกคอมเม้นต์เลย นิมาจะพยายามนะคะ
