My Mom is a Man (5/5)
Continue...
ในที่สุดก็ตอนจบ... กรี๊ดดด T^T…
ณุตัดสินใจแล้ว... นี่เป็นชีวิตของเขา เขาต้องเลือกเอง
“แม่ครับ ผมอยากจะแนะนำให้แม่ครับ” ณุตัดสินใจโพล่งขึ้น ทั้งๆที่ยังรั้งมิคไว้ตรงนั้น “นี่มิค แฟนผมครับ...”
หญิงตรงหน้าตาเบิกค้าง หอบลมหายใจเข้าไปดังเฮือกใหญ่ ในขณะที่มิคก็พยายามจะผละตัวออกสุดแรง
“ณุ มึงบ้าไปแล้ว... ไม่รู้เหรอว่าแม่มึงเกลียดเกย์แค่ไหน”
“ใช่สิ กูรู้!” ณุตอบ ทันใดนั้นแววตาเด็ดเดี่ยวก็โชนแสงกลับมาให้เห็น ก่อนที่มันจะตวัดไปหาหญิงคนนั้น “เราเป็นแม่ลูกกันใช่มั้ยครับ งั้นผมก็ควรจะบอกแม่ทุกอย่าง”
“บอกแม่สิว่าลูกโกหก...”
“เป็นเรื่องจริงครับแม่... ผมรักคนๆนี้”
ราวกับเป็นคำพูดที่มาจากคนละคน... ณุที่เคยเอาแต่เล่นๆไปวันๆ ไม่เคยจริงจังอะไร คิดจะโรแมนติกสักหน่อยก็ไม่เคยมี วันนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เพียงแค่คำพูดที่หนักแน่นจริงใจเพียงคำเดียวที่ได้ยินนั้น มันช่างมีค่าเสียยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยมี
เด็กอ้วนจอมทะเล้นคนนั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว
“นี่จะบอกว่าคู่เกย์สองคนนั้นมันล้างสมองลูกใช่มั้ย! มันคงสอนล่ะสิว่าผู้ชายรักกันไม่ผิด อยากให้ลูกทำอะไรก็ตามใจทุกอย่าง มันเลยเป็นอย่างนี้ใช่มั้ย!”
“พ่อแม่ผมไม่ผิดหรอกครับ ผมเลือกเองต่างหาก” คำตอบที่ได้ยังคงฉะฉานหนักแน่นต่อไป “พวกเขาสอนให้ผมเป็นคนดี ให้รู้ว่าความรักคือสิ่งสวยงาม และถ้าใครมาหยามก็อย่ายอมให้มันทำได้”
พอพูดไปแล้วความลับอีกเรื่องหนึ่งที่เก็บไว้แสนนานก็เอ่อล้นขึ้นมาจนอยากจะพูดออกไปเช่นกัน...
“ที่ผมเป็นนักเลงเนี่ย ผมไม่เคยไปหาเรื่องใครเขาก่อนเลยนะ มีแต่คนมาหาเรื่องผมก่อนแล้วผมก็ต้องสานต่อทั้งนั้น...” ณุสูดหายใจลึก ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่มี “...ตั้งแต่สมัยอนุบาลแล้วที่ทุกคนมีปัญหากับแม่ของผม ทุกคนชอบมาถากถางสบประมาทว่าทำไมแม่ผมเป็นผู้ชาย... ผมก็เลยต้องสั่งสอนมันให้หมด ก็แค่นั้น...”
พูดจบแล้วเด็กหนุ่มก็หันหลังกลับไปมอง... เห็นผู้ชายที่เขาเรียกว่าแม่พึมพำออกมาด้วยน้ำตา
“ไอ้โง่เอ๊ย...”
“ขอโทษนะแม่ที่ไม่เคยบอกแม่เลย... ผมกลัวแม่จะเสียใจ”
บอลพูดไม่ออก พอเบือนหน้าแล้วก็มีแต่แขนเสื้อของภูยื่นมาให้เช็ดน้ำตา
“พอที!!!” พลอยเหวขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “ฟังแต่ละอย่างแล้ว... โอ๊ย! ไปเถอะลูก กลับบ้านเรากัน”
พอมือของหญิงสาวจับเข้าที่ข้อมือเขา ณุก็ไม่ลังเลที่จะสะบัดออกอย่างแรง
“คุณรับได้รึเปล่าครับ ที่ผมพูดมา”
“อะไรนะ?... ไม่มีทาง ใครจะไปรับได้!”
“งั้นเหรอครับ แต่แม่คนนี้ของผมเขารับได้”
หันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ยังเห็นใบหน้าของบอลเปื้อนด้วยน้ำตา
“เขารับผมได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องที่ผมไปต่อยตีกับใคร หรือเรื่องที่ผมรักกับผู้ชายก็ตาม... คนเป็นแม่ต้องรับลูกได้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอครับ?”
พลอยนิ่งไปเพราะโดนจี้ใจดำ ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีเข้มถึงกับพูดไม่ออกอีกต่อไป
“ผมดีใจนะครับที่ได้เจอคุณ ขอบคุณมากที่คุณให้กำเนิดผมมา... แต่แม่ของผมคือคนๆนี้ ครอบครัวของผมอยู่ที่นี่ และคนรักของผมอยู่ที่นี่... ผมไม่ไปไหนหรอกครับ”
“อะไรนะ...”
“ผมไม่ไปครับ” ณุย้ำ มือที่จับมือมิคไว้ก็บีบไว้แน่นเช่นกัน “ผมคงอยู่กับคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณจะมาเยี่ยมเมื่อไร ผมก็ยินดีนะครับ”
หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่เธอไม่เคยรู้จัก มันถาโถมเข้ามาแทบจะกดทับไปทั้งร่าง ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายสี่คนตรงหน้าอยู่ๆจะดูราวกับตั้งตระหง่านเป็นกำแพงเดียวกัน จ้องมองเธอที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆอย่างถนัดใจ
ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอกำลังพ่ายแพ้!
มือใครบางคนเอื้อมมาแตะบ่าเบาๆจากข้างหลัง... เป็นสามีของเธอนั่นเองที่ยังคงคอยให้กำลังใจ ราวกับจะเป็นคำปลอบโยนให้ปล่อยวางกับเรื่องตรงนี้
บางทีเธอก็ควรจะตั้งมั่นกับอนาคตข้างหน้าที่จะมาถึงเสียมากกว่า
“ลูกจะเอาอย่างนั้นจริงๆใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นอย่างขัดใจ
“ถ้างั้นของที่เอาไปไว้บ้านโน้น เดี๋ยวจะทยอยเอามาคืนให้ก็แล้วกัน”
ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคือพรจากสวรรค์... ความรู้สึกประหลาดใจแล่นปราดเสียจนร่างมึนชา แทบไม่เชื่อหูว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นความจริง
พอเห็นพลอยกลับหลังหันออกไปอย่างกลบเกลื่อนความโมโห ก็ยิ่งเป็นการเน้นย้ำว่าพวกเขาไม่ได้หูฝาดไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวพวกผมขับตามไปเอาก็ได้ รถมีตั้งสองคัน”
รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าของภูอีกครั้ง เขาเดินมาแตะบ่าลูกชายเบาๆ ไม่รู้จะเอ่ยคำใด เพียงแค่รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หญิงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นแม่ของณุคนนั้นไม่แม้แต่จะบอกลาลูกชายด้วยซ้ำ...
พลอยเดินออกไปจากบ้านพร้อมกับสามีฝรั่งพุงพลุ้ย ภูหยิบกุญแจรถเดินออกไปตาม ในขณะที่บอลเดินตามหลังมา แค่มองหน้าลูกชายเท่านั้น
ที่จริงณุจะยอมให้พลอยเข้ามาเป็นแม่อีกคนหนึ่งก็อาจจะทำได้อยู่หรอก แต่จะมีใครไหนเทียบกับแม่คนนี้ของเขาได้อีกแล้ว?
มือที่คุ้นเคยเอื้อมมาขยี้ผมเขาจนยุ่ง รอยยิ้มเศร้าที่เห็นนั้นก็แยกไม่ออกว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอะไร
“ขอบคุณนะ...”
ณุจับมือแม่เอาไว้ ส่งยิ้มกลับไปให้เพียงเท่านั้น
คนที่เขารักทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว... และเขาจะไม่ยอมจากคนเหล่านี้ไปไหนอีกแล้วชั่วชีวิต
...................................................................
มีใครบางคนบอกไว้ ว่าหลังพายุร้ายย่อมเห็นฟ้าใสกระจ่าง...
และในฟ้าใสกระจ่างนั้น มองดีๆจะเห็นเมฆปุยขาวก้อนหนึ่งดูเหมือนแมวยิ้มอย่างน่าประหลาด
“เหมือนโดเรมอนยิ้มเลย” ณุชี้
“เหมือนการ์ฟิลด์ต่างหาก” มิคค้าน
“เหมือนตรงไหน?”
“ก็มันอ้วนจะตายไม่เห็นเหรอ”
“โดเรมอนก็อ้วนนี่” ณุเถียงอีก
มิคก้มลงมองคนรักที่นอนหนุนตักตัวเองอยู่ แล้วก็ดึงแก้มสองข้างยืดออกเป็นรอยยิ้มยาว
“โอ๊ย เอ็บ”
คนแกล้งหัวเราะออกมาอย่างรื่นเริง “นี่ไง แมวอ้วนยิ้ม”
พอโดนปล่อยแก้มออกมาได้แล้วณุก็รีบเอาคืน จะลุกขึ้นมาผลักมิคให้นอนลงก็ดันกันไปมาจนกลายเป็นการกลิ้งหลุนๆกันไปบนหญ้าแทน
จากใต้ต้นไม้กลิ้งมาจนเกือบกลางสนาม จากที่ณุนอนหนุนตักอยู่ก็กลายเป็นมิคที่มานอนหนุนแขนเขาเสียอย่างนั้น
ช่างเป็นยามบ่ายอันแสนสบาย ได้โดดเรียนจากวิชาแสนน่าเบื่อมาก็อยากจะใช้เวลาให้คุ้ม... ไม่มีใครมากวนใจ ไม่มีเรื่องให้ต้องปวดหัว
“ตกลงคิดรึยังว่าอยากเรียนอะไร” มิคถามขึ้น
“ไม่รู้อ่ะ ยังขี้เกียจคิด”
“อะไรวะ ม.ปลายแล้วนะเว้ย เมื่อไรจะคิด”
“ไม่รู้... มึงเรียนอะไรกูเรียนด้วย”
“จะบ้าเหรอ” มิคพยายามดันหัวแมวที่พยายามซุกไซ้ออกไป “เรียนที่มึงอยากเรียนเถอะ”
“อยู่มหาลัยแล้วมึงยังจะอยู่กับกูรึเปล่า”
คนฟังเหม่อมองบนท้องฟ้า เมฆแมวอ้วนยิ้มค่อยๆเปลี่ยนร่างไปอีกแล้ว
“อยู่นี่คือยังไงล่ะ คบกัน อยู่ด้วยกัน หรืออยู่คณะเดียวกัน”
“คบกันสิ”
“อืม... ก็คบสิ”
“ทำไมต้องคิดนานด้วยอ่ะ”
“อนาคตมันแน่นอนได้ที่ไหนล่ะ”
แล้วรอยยิ้มบนเมฆแมวอ้วนก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหน้าเศร้า ราวกับจะแทนใจคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“อะไรว้า... ใจร้ายจัง”
ณุลุกขึ้นนั่ง ท่าทางงอแงกลับเป็นเด็กๆอีกแล้ว ทำให้มิคต้องรีบลุกขึ้นมาง้อ
“คนมันคู่กันแล้วมันก็ไม่แคล้วกันหรอกน่ะ ดูอย่างพวกน้ากูสิ... หรืออย่างพ่อแม่ของมึง”
จะว่าไปมันก็ใช่... ชีวิตมันไม่แน่นอนสักอย่าง แต่ถ้าใครที่มันจะลงเอยกันแล้ว ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสิบปียี่สิบปีหรือนานแค่ไหน มันก็จะวนเวียนมาเจอกันอยู่เสมอ
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้สักเท่าไร
“งั้นถ้าเรียนจบแล้วเรายังคบกันอยู่จะเอายังไง”
“อะไรวะ คิดไกลจัง” มิคหัวเราะ
“ก็อยากอยู่กับมึงนี่... คิดไกลแล้วผิดเหรอ”
ช่างเป็นคำที่สะท้อนใจ ไม่น่าเชื่อว่าความรักของพวกเขาจะมาไกลได้ขนาดนี้... แต่ถ้ายังประคับประคองมันได้ดี มันก็คงจะไปได้ไกลกว่าที่คิดไว้
“นี่... เรื่องในอนาคตไม่ต้องไปคิดมากหรอก คิดเรื่องปัจจุบันไว้ก็พอแล้ว”
“ไหนตอนแรกให้กูคิดว่าอยากเรียนอะไร ตอนนี้ไม่อยากให้คิดแล้ว?”
“มันคนละเรื่องกัน” มิคลากเสียงยาวอย่างเอือมระอา “จะบอกว่า ในอนาคตจะคบไม่คบ จะอยู่ไม่อยู่ ไม่ต้องไปคิดมาก... แค่รู้ว่าตอนนี้กูกับมึงรักกันก็พอแล้ว”
ความรู้สึกที่ส่งมากับคำพูดนั้นช่างจริงใจ... หากไม่เกรงใจพวกพี่มหาลัยที่เตะบอลกันอยู่ไกลๆเขาก็คงจะโชว์หนังรักให้ดูเสียแล้ว
พลิกมิคให้กลับมาลงนอนข้างล่าง เห็นเงาของตัวเองทาบทับอีกฝ่ายไว้
“แล้วถ้าอีกสิบยี่สิบปียังรักกันล่ะ”
มิคอมยิ้ม นึกทะเล้นอยู่ในใจ
“จะแต่งงานด้วยเลยเอา รับลูกมาเลี้ยงเต็มบ้านไปเลย”
ณุหัวเราะร่า เต็มตื้นในหัวใจเสียจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาได้... นึกรักคนตรงหน้าเสียจนอยากจะลืมๆเรื่องเกรงใจคนรอบข้างไป
ขอจูบซักทีเถอะ! ไม่มีใครมาเห็นหรอกน่า!
พอโน้มหน้าลงก็นึกว่ามิคจะโวยวายขึ้นมาแน่ แต่คราวนี้ปฏิกิริยาของมิคกลับเป็นโอบแขนขึ้นมารอบคอเขา พาลให้หัวใจกลับไปเต้นแรงเหมือนวันแรกๆที่ได้คบกันอีกครั้ง
คนอื่นอย่าเพิ่งมองมาเลยเถอะ ขอแค่แป๊บเดียว...
“เฮียค้าบ เจ้ค้าบบบ!!!”
เสียงแผดของไอ้เฮงดังมาแต่ไกลเสียจนภวังค์แตกกระเจิง ณุแทบกลิ้งลงไปนอนแต่มิคก็ผลักให้ไหลไปอีกข้างพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ
“ไอ้เฮง มึงนี่มัน...” ณุคิดคำด่าไม่ออก “กูสั่งแล้วว่าห้ามรบกวน”
เด็กหนุ่มร่างผอมเตี้ยก้มลงเอามือจับหัวเข่า พยายามหายใจให้ทันหลังจากที่วิ่งมาจากโรงเรียน
“คือว่า ไอ้พวกเทคโนที่มันเคยด่าแม่เฮียอ่ะครับ... มันขอท้า บอกว่าจะเอาคืน”
เพียงแค่นั้นณุก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง จากแมวอ้วนแสนขี้เกียจเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นพญาเสือขึ้นมาทันที
“เฮง ไปเอาไม้มาให้กู แล้วบอกทุกคนให้รีบตามไป เร็ว”
“ครับเฮีย!”
ลูกน้องออกวิ่งไปอีกครั้ง ณุลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือมิคให้ลุกขึ้นตาม... สิ่งเหล่านี้แทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว แต่ถ้าถามมิคว่าเสียใจที่ชีวิตมาลงเอยเช่นนี้ไหม เขาก็คงจะตอบว่าไม่เสียใจ
มีคนๆนี้ที่คอยจับมือยืนเคียงข้าง อะไรก็ไม่หวั่นอีกแล้ว...
แค่ชั่วลมพัดมาวูบเดียวที่ไม่มีใครมอง เจ้าคนจอมทะเล้นก็ขโมยจูบเขาไปได้ เล่นไม่บอกกล่าวเช่นนี้ใครมันจะตั้งตัวได้ทัน
“ไปกันเถอะ”
มิคพยักหน้ารับ มือที่จับกันอยู่บีบแน่นขึ้น
และแล้วพวกเขาก็ออกวิ่ง... วิ่งไปสู่จุดหมายข้างหน้าอันไม่แน่นอน วิ่งไปสู่อนาคตอันผันแปร หรือแม้แต่ต้องวิ่งไปสู่พายุมรสุมอีกหลายลูกที่ตั้งตารออยู่ข้างหน้าก็ตาม
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจ... นั่นคือมือที่จับกันไว้คงไม่มีวันปล่อยขาดจากกัน
เพื่อวันข้างหน้าที่สดใสอีกครั้ง...
The END
สั่งจองพิมพ์ได้ละนะจ๊ะ ที่ blackcorianderแอดgmail.com
หน้าปกกับรูปประกอบอยู่หน้า 10 จ้ะ