ขอโทษจ้าา วาเลนไทน์ทั้งทีแต่ไม่ได้อัพ
เอาเป็นว่า ส่งตอนนี้เป็นของขวัญวาเลนไทน์ย้อนหลังละกันจ้ะ
He's my Husband (3/3)
Continue...
เป้าหมายสุดท้าย.........?
มิคไม่รู้ว่าต่อไปณุจะพาเขาไปไหน แต่จากที่ผ่านมาวันนี้ทั้งวัน เขาอารมณ์เสียเกินกว่าจะอยากเสวนาอะไรด้วยแล้ว
หรือว่าต้องมาคิดทบทวนดูอีกที ว่าอยากจะคบกับไอ้หมอนี่ต่อไปหรือมันต้องจบลงตรงนี้กันแน่
ตลอดทางที่นั่งรถไป ไม่มีอะไรนอกจากความเงียบที่แสนอึมครึม ...ณุเองก็คงสัมผัสได้ ก็เลยจมอยู่ในความคิดตัวเองไม่ยอมพูดจาเช่นเดียวกัน
จนกระทั่งรถมาจอดลง ณ ที่ที่หนึ่ง ...ที่ที่มิคไม่เคยเห็น
มองลงจากดอยไป สุดลูกหูลูกตามีแสงไฟนับล้านจากบ้านเมืองอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา พอแหงนหน้าขึ้นมอง ก็เห็นแสงดาวนับล้านอยู่ในอ้อมกอดของท้องฟ้า
พลันความคิดทั้งหลายของเขาก็มลายหายไป เหลือเพียงความประทับใจในภาพเบื้องหน้าเสียจนพูดไม่ออกเท่านั้น
“เอ่อ กูรู้ว่าวันนี้มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไรอ่ะ ...ขอโทษนะ”
อยู่ดีๆพอได้ฟังคำพูดจริงใจแบบนั้น ความคิดใจร้ายทั้งหลายของมิคก็พลันระเหยกลายเป็นควัน
อุตส่าห์ลงทุนพามาที่ที่โรแมนติกขนาดนี้ เพื่อมาพูดคำๆนี้ เห็นทีจะต้องคิดใหม่ซะแล้ว
“อืม ไม่เป็นไรหรอก”
ณุเหม่อมองออกไปเบื้องหน้าบ้าง
“รู้ป่าว กูพามึงมาที่นี่ทำไม”
มิคเงียบ ...รอฟังอย่างเดียวดีกว่า
“นี่เป็นที่ที่พ่อกูพาแม่มาสารภาพรักเว้ย...”
คะแนนความโรแมนติกพุ่งพรวด! มันจู่โจมเสียจนคนฟังเผลอร้อนไปทั้งหน้า อายจนไม่อาจจะสบตาต่อไปได้ไหว
“เออ... เหรอ...”
“มิค”
คนพูดจับมือเขาไว้ มิคเลยต้องหันกลับไปมองหน้าอีกครั้ง
“คือ... ที่ผ่านมากูก็ไม่เคยพูดอะไรให้ชัดเจนเลย เพราะฉะนั้นวันนี้กูก็เลยอยาก ...จะพูด...”
ความเงียบที่เวียนวนอยู่รอบกายเหมือนจะกระตุ้นให้หัวใจแทบหลุดออกมาจากปาก ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ดีๆในคืนนี้ณุจะกลายเป็นคนละคนไปเสียแล้ว
ถ้าโรแมนติกได้อย่างนี้เสียตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องมานั่งปวดใจอยู่อย่างนี้หรอก!
แฟนหนุ่มจ้องลงไปในตาเขา ...ความจริงใจที่ส่งมามันสะกดเขาไว้เหมือนเวทย์มนต์
“กูชอบมึงนะ” ดั่งคำประกาศิตคาถา เสกให้ใจเขาเต้นรัวแทบบ้า แทบเคลิ้มละลายไปกับคำสามคำนี้
เขากลายเป็นทาสไปแล้ว โดนขโมยหัวใจไปแล้ว ...อยากทำอะไรกับเขาก็ยอมทุกอย่างแล้ว
“กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นแค่คู่ขากูเลย ที่วันนั้นพูดไปกูไม่ได้ตั้งใจ แต่... แต่กูก็ไม่เคยขอมึงจริงจังใช่มั้ย?”
มิคแทบกลั้นหายใจ ไม่อยากคิดว่าต่อไปคำอะไรจะหลุดออกมา...
“มิค... เป็นแฟนกูนะ”
เด็กหนุ่มแทบร้องไห้ ...รู้สึกได้ว่ามันอิ่มใจจนล้นทะลักดันความเจ็บปวดให้ไหลลงท่อไปเสียแล้ว
โผเข้าโน้มอีกฝ่ายมากอดแน่นราวกับกลัวว่าจะหลุดลอยไป ...วินาทีนั้นนึกอยากจะตะโกนบอกให้ก้องโลกว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างกัน
“ไอ้โง่ ...มึงก็เป็นเจ้าบ่าวกูอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ ก็นึกว่ามึงไม่ชอบให้พูด...”
มิคถอนตัวออกมาหัวเราะ พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้แค่ลมหายใจ
“ผ่านมาตั้งเดือนนึงแล้ว... ผ่านเรื่องนั้นมาตั้งกี่ครั้งแล้ว... กูว่ามึงไม่ได้เป็นแค่แฟนกู และไม่ได้เป็นแค่เจ้าบ่าวกูแล้วล่ะ”
ณุเงียบ แอบเห็นรอยยิ้มนิดๆกับประโยคนั้น
“...มึงคงเป็นสามีกูได้แล้วมั้ง”
พลันคนฟังก็หัวเราะร่า... ท่าทางกลบเกลื่อนความเขินสุดฤทธิ์
“มึงพูดเหมือนพ่อกูเลย...”
ในรถสีดำคันหรู เด็กหนุ่มสองคนหัวเราะให้กันในความมืดมิด มีเพียงแสงไฟนับล้านเบื้องหน้าเป็นพยาน
แต่เสียงอะไรบางอย่างในอกด้านซ้ายมันเรียกร้องหาอะไรที่มากกว่านั้น ในขณะที่ระยะห่างค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนเหลือเป็นศูนย์ เกิดเป็นจุมพิตแสนหวานที่แสนมอมเมา
...เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ ว่าขาดกันไปแค่สองวันก็เหมือนจะตายให้ได้เสียแล้ว
“ณุ... ถ้าเดทมันลำบากขนาดนั้น กลับมาทำแค่เรื่องนี้เหมือนเดิมก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มได้ฟังก็คำราม รู้สึกตัวอีกทีก็ป่ายร่างขึ้นมาคร่อมเหนือเบาะข้างคนขับแล้ว ดันเบาะให้เอนลงจนสุด รีบปาดป่ายปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่แสนเกะกะออกอย่างอดรนทนไม่ไหว
“เอางั้นจริงๆเหรอ”
“ก็แฟนกันก็ต้องทำเรื่องที่ชอบด้วยกัน แล้วเรื่องนี้เราก็ชอบด้วยกันทั้งคู่ ...ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“เห็นตอนนั้นมึงโกรธ ...ก็นึกว่ามึงไม่ชอบ”
มิคสะบัดหน้าแหงนมองเพดานรถ แทบหายใจไม่ทันเมื่อโดนรุกรานถึงเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
“กูก็ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบนี่”
ณุหยุด เงยหน้ามองคนพูดด้วยความสงสัย
“กูชอบทุกอย่างที่เป็นมึงแหล่ะณุ กู... กูก็ชอบมึงเหมือนกัน”
พูดไปแล้วก็อายแทบจะบ้า เลยโดนปิดปากด้วยอีกจุมพิตแก้เขิน ก่อนที่มันจะค่อยๆดื่มด่ำล้ำลึก ชักนำให้โหยหาอีกฝ่ายจนทนไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว
ณุคำรามอีกครั้ง สองวันที่ขาดหายมันต้องชดเชยให้สาสม!
รถคันงามแม้จอดอยู่ไม่นานก็เริ่มขยับโยกเคลื่อนไหว สรรพเสียงใดๆที่เกิดขึ้นภายในก็ถูกกั้นด้วยกระจกรอบด้าน ละลายไปเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด เช่นเดียวกับตัวรถที่เป็นเพียงก้อนหินในป่ากว้าง ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ห่มหุ้มด้วยดวงดาวนับพัน...
...................................................................
ณุกลับดึกอีกแล้ว ...ถึงพ่อแม่จะเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็ค่อยสบายใจได้เมื่อเห็นรอยยิ้มร่าเริงของลูกรักกลับมาอีกครั้ง
คงคืนดีกับแฟนแล้วกระมัง ผู้เป็นพ่อก็ได้แต่สันนิษฐานไป
เช้าวันจันทร์ ชายหนุ่มสองคนก็ออกมารอที่รถเหมือนอย่างเคย รอลูกชายคนเดียวที่ตื่นสายมัวแต่อาบน้ำแต่งตัวไม่เสร็จเสียที ...แต่วันนี้ก็เกิดเรื่องแปลก เมื่ออยู่ดีๆบอลก็เดินเข้ามาจัดเนคไทค์ให้คนรัก
“นี่ รู้มั้ยวันนี้วันอะไร?”
ภูนิ่งนึก ...ขึ้นประโยคอย่างนี้ คำตอบคงไม่ใช่วันจันทร์แน่ๆ
“จำได้อยู่แล้วสิ”
“เออ... 10 ปีแล้วนะ...”
ชายร่างใหญ่หมุนร่างคนรักให้พิงหลังกับประตูรถเสียแทน
“คืนนี้อยากได้อะไรพิเศษรึเปล่า?”
บอลยิ้มเขินๆ พลางผลักหน้าอีกฝ่ายออกไปให้ห่างจากระยะอันตราย
“ไม่อยากได้อะไรหรอก”
“จำได้รึเปล่า... ที่รถคันนี้...”
ฟังแล้วก็หน้าร้อนฉ่า ...ทำไมจะจำไม่ได้ ในเมื่อครั้งแรกของทุกสิ่งมันเริ่มจากรถคันนี้
“ภู...”
“
แม่! ถุงเท้าอยู่ไหนอ่ะ!”
พลันบรรยากาศที่อุตส่าห์สร้างมาเมื่อครู่ก็หายวับ เมื่อเจ้าลูกชายตัวแสบตะโกนถามมาจากในบ้านเสียจนอารมณ์กระเจิง
“อยู่ในตู้เสื้อผ้านั่นแหล่ะ หาดูดีๆ!”
เสียงเท้าวิ่งตึงๆขึ้นบันไดไปอีกครั้ง พ่อกับแม่เลยต้องยอมยุติบทสนทนาไว้แค่นี้
“นั่งรอในรถก่อนก็ได้นะ แล้วคืนนี้ค่อยว่ากัน”
ผู้เป็นพ่อส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ก่อนที่จะเปิดประตูให้คู่ชีวิตเข้าไปนั่งรออยู่ข้างใน...
แต่ปรากฏว่า ...ภาพที่เห็นเมื่อเปิดประตูรถออกมาแล้ว ทำให้เขาต้องผงะ
...เดจาวูเหรอ? ไม่สิ นี่มันเละเทะกว่าที่เขาเคยทำเสียอีก!
และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้ต้องหาก็มีแค่คนๆเดียวแหล่ะ
“ณุ!!! เอ็งลืมเช็ดเบาะโว้ยยยย!!!” จบเถ้อะ = =”
ติดตามตอนต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้จ้ะ!