Kiss Love ♥ [03] ท่ามกลางความมืด
[กาย...♥] อืม...
ผมชอบนั่งรถจริง ๆ นะ ขึ้นเมื่อไหร่ก็อยากจะหลับ ก็มันสบายนี่น่า รถมันจะโยกไปโยกมา เหมือนเรานั่งเปลนั่นแหละ
ผมกระชับหมอนข้างที่กอดอยู่แน่นขึ้นไปอีก
แต่...เอ๋?
ผมนั่งอยู่บนรถทัวร์ไม่ใช่เหรอ แล้วผมไปเอาหมอนข้างมาจากไหน
ตอนแรกก็อยากจะคิดว่านอนอยู่ที่บ้านนั่นแหละ แต่จังหวะของรถที่กำลังเลี้ยวจนตัวเอนไปด้านหน้าหน่อย ๆ หรือเสียงของเครื่องยนต์และเสียงแอร์ถเบา ๆ แบบนี้คงไม่ได้นอนอยู่บนเตียงที่บ้านแน่ ๆ
ผมค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมอง…
สิ่งที่เห็นคือท่อนแขนของใครบางคน กับเสื้อยืดสีเทาที่คุ้น ๆ ว่าวันนี้ตัวเองเพิ่งจะขย้ำไปหยก ๆ
ผมขมวดคิ้ว
นี่ไอ้เต้ยเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีเทาตั้งแต่ตอนไหน
ผมค่อย ๆ เงยหน้ามองด้านบน ทันทีที่เห็นเจ้าของแขน ผมรีบปล่อยมือแล้วเขยิบตัวออกห่างทันที
คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา
พี่เอกมาอยู่นี่ได้ยังไง
มาตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วไอ้เต้ยล่ะ หายไปไหน
ผมจ้องหน้าคนที่กำลังหลับสนิท
แล้วทำไมพี่เขาถึงได้ยอมให้ผมมานอนกอดแบบนี้ หรือว่าผมกอดเขา ตอนเขาหลับไปแล้ว?
ก้มมองตัวเองที่มีผ้าห่มห่มไว้อยู่ คิ้วผมขมวดมุ่น
ก่อนนอนไม่ได้ห่มไว้นี่ มองเบาะตัวเองอีกที มันถูกปรับจนเกิน 45 องศา ขนานกับเบาะที่อยู่ข้าง ๆ
ใครปรับให้?
หันไปมองพี่เอกอีกที พี่แกยังหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ กลีบปากได้รูปปิดสนิท มีเสียงของลมหายใจเข้าออกบางเบา
รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาหน่อย ๆ
ไปจูบกับเขาแล้วยังมานอนกอดแขนเขาอีก ผมทิ้งตัวลงนอนอีกที แต่พลิกไปอีกด้าน หันหน้าเข้าหาหน้าต่างรถ ดึงผ้าห่มขึ้นมากอด
เอาน่ากาย เขาคงไม่รู้หรอก ว่าเราแอบเอาแขนเขามาทำหมอนข้าง
ผมหลับตาลงอีกครั้ง
ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อรถจอดสนิทและได้ยินเสียงคนดังจอกแจกจอแจอยู่ด้านหลัง
อะไรกัน ผมเพิ่งหลับตาไปเมื่อตะกี้นี่เอง ถึงแล้วเหรอ
ผมกวาดมองไปรอบ ๆ มืดแล้วครับ แสงไฟจากหน้ารถส่องให้รู้ว่าตอนนี้ เรากำลังอยู่ท่ามกลางป่าเขา และมีชาวบ้านแต่งตัวด้วยชุดแม้วมายืนยิ้มแป้นรอรับ
คิดว่าเราน่าจะมาถึงที่หมายกันแล้วนะ ผมขยับตัวนั่งตรง ๆ หันไปมองเบาะข้าง ๆ
ว่างครับ..
หันไปมองคนอื่น ๆ เห็นแต่ละคน ลุกหยิบกระเป๋าสัมภาระทยอยลงจากรถกันแล้ว ผมมองเบาะหน้า เห็นพี่เป้กำลังพยายามปลุกไอ้เต้ยอยู่
ผมทึ้งผ้าห่มออกจากตัววางไว้บนเบาะ ลุกออกจากที่นั่งไปช่วยพี่เป้ปลุกไอ้เต้ยมันอีกแรง
รายนั้นขี้เซาขั้นเทพ
“พี่เป้ไปเถอะ เดี๋ยวผมปลุกเอง” ผมบอก เพราะเห็นพี่โอ๊คตะโกนเรียกให้ไปช่วยคุมเด็ก ๆ กันแล้ว พี่เป้พยักหน้า ก้าวขายาว ๆ กระโดดลงจากรถ
“ไอ้เชี่ยเต้ย ตื่น ๆ!!”
พอพ้นจากพี่มัน ผมก็กลายร่างทันที มือมีไม่ใช้ครับ บาทาอย่างเดียว
แล้วมันก็ได้ผล
แรง ‘ถีบ’ ที่ ไม่เบาทำเอาหัวมันไปชนกับกระจกรถเสียงดัง มันคงเจ็บ แต่ผมไม่สำนึก มันยังงัวเงียอยู่ ผมเลยถีบซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อีกหลาย ๆ ที ให้มันตื่นเต็มตา
“ไอ้เชี่ยกาย! มึงปลุกกูเบา ๆ ไม่ได้รึไง ปลุกทีไร กูช้ำทุกที”
“จะให้เบาขนาดไหนล่ะ จูบปลุกเลยดีไหม”
“ไม่ต้องเลย กูขนลุก”
“เอ้า มึงจะได้รีบตื่นไง”
“ถ้ามึงจูบกูจริง กูจะหลับไม่ยอมตื่นเลย”
“ดีงั้นกูจะทำให้มึงตายอยู่ตรงนี้แหละ” ผมแกล้งโน้มหน้าไปหามัน มันหน้าตื่นรีบกระถดตัวถอยไปจนชิดกระจก
“เฮ้ย!! มึงอย่ามาบ้านะโว้ย! โดนพี่เอกพรากจูบแรกไปนิดเดียว มึงเบี่ยงเบนทางเพศเลยเหรอวะ”
ผมชะงัก
“มึงเลิกพูดเรื่องนี้ไปเลย ล้างสมองมึงด้วย มึงไม่เห็น มึงไม่ได้ยิน มึงไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น” ผมชี้นิ้วอาฆาตมัน
คนที่ทำหน้าตื่น ๆ อยู่เมื่อกี้ ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออก แล้วเปลี่ยนมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ผม
“หึ ๆ คงยากอะนะ เพราะมันติดตากู หน้ามึงนี่เคลิ้มเหมือนพวกนางเอกถูกพระเอกปล้ำจูบเลย”
“มึง!!” ผมชี้หน้ามัน
ตอนนี้บนรถเหลือแค่เราสองคน ผมเลยกล้าโวย ส่วนคนอื่น ๆ ลงไปยืนบิดขี้เกียจอยู่ข้างตัวรถนู้น
“มึงจะลืมไม่ลืม”
“ยากวะ นี่ถ้าเวลาเยอะกว่านี้นะ กูว่า กูคงได้ดูหนังเอ็กซ์แน่ ๆ” มันยังไม่ยอมจบ ผมเลยโบกหัวมันไปอีกทีแรง ๆ
“ไอ้กาย ไอ้ซาดิมส์ กูจะฟ้องพี่เอก”
ผมอ้าปากพะงาบพะงาบ
“พี่เขาไม่เกี่ยว”
“อ้าว ไม่เกี่ยวได้ไง เขาเป็นคนแรกของมึงเชียวนะโว้ย”
“พูดให้ดี ๆ นะมึง” ผมชี้หน้ามันอีกรอบ
“รึมึงจะเถียง ว่าพี่เอกไม่ได้เอาจูบแรกมึงไป”
ผมทำท่าอึดอึด เคยคบกับผู้หญิงมาบ้างก็จริง แต่ก็ยังไม่เคยเปิดซิงใครสักคน ทำมากสุดก็แค่จับมือถือแขน พอจะข้ามขั้นหน่อย ก็ดันมาเลิกกันซะก่อน
ก็อย่างว่าแหละนะ.. วัยรุ่น รักง่ายหน่ายเร็ว เพราะงั้นคนที่ได้จูบแรกผมไป ก็ไอ้พี่เอกนั่นแหละ
“มึงเลิกพูดได้แล้ว ลุก ๆ ๆ ๆ เขาลงไปกันหมดแล้ว”
“อายละสิมึง” มันล้อต่อ
“มึงจะนั่งแพล่มอยู่ตรงนี้ก็ได้นะ แต่กูไปละ”
ผมคว้ากระเป๋าด้านบนมาพาดไหล่ หันหลังเดินลิ่ว ๆ ลงจากรถ ได้ยินเสียงมันแซวตามหลังมาไม่หยุด พอเท้าผมแตะพื้นได้ครบสองข้าง ไอ้เต้ยมันก็กระโดดตุบลงมายืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยเหมือนกัน
เงียบครับ…
ผมกับไอ้เต้ยมองซ้ายมองขวา แล้วหันมามองหน้ากันเอง ตรงหน้าเงียบสนิท ไม่เห็นมีใครสักคน แล้วคนที่พากันยืนบิดขี้เกียจเมื่อกี้หายไปไหนกันหมดแล้ว
“คนหายไปไหนกันหมดวะเต้ย” ผมหันไปถาม มันส่ายหน้าปฏิเสธ
ช่วยกันทำมาหากินดีมากเลยนะมึง =*=
ผมเดินไปรอบ ๆ ตัวรถ ตอนนี้มีแค่รถสองคันใหญ่ ๆ จอดอยู่ และที่สำคัญ มันมืดมาก ผมไม่ได้กลัวความมืด แต่การอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่เต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องของเหล่าแมลงตัวน้อยดัง ลั่นไปหมดแบบนี้ มันก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย
“ไม่มีใครอยู่เลย” ผมบอกหลังจากเดินสำรวจจนรอบ
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลงป่า ถึงจะมีรถบัส แต่มันก็ไร้คนขับ ไฟในรถยังเปิดอยู่ แปลว่าคนขับคงไม่ได้ไปเตร่ที่ไหนไกล อาจไปเข้าห้องน้ำก็ได้
แล้วคนอื่นละ หายไปไหนกันหมด?
พวกผมสองคนมองซ้ายมองขวา รอบด้านมีแต่ป่ากับป่า มองไปทางไหนก็มืดสนิท
“เอาไงดี” ผมเริ่มใจเสีย
“ก็อยู่ตรงนี้แหละ รอพี่คนขับกลับมาแล้วค่อยถามทางเอาก็ได้”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย แล้วพวกเราสองคนก็พากันนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้าง ๆ รถนั่นแหละ มันเงียบจริง ๆ น่ากลัวสุด ๆ ผมเป็นเด็กที่เติบโตจากเมืองที่มีแต่แสงสว่าง ไม่เคยถูกโอบล้อมด้วยความมืดจัด ๆ แบบนี้มาก่อน นอกจากจะกลับบ้านไปหาปู่กับย่าที่ต่างจังหวัดน่ะนะ แต่ที่นั่นมันไม่ได้เป็นป่าขนาดนี้
อยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อ ๆ
เรานั่งฆ่าเวลาพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ จนผ่านไปร่วมชั่วโมง
“นี่พวกเราถูกลืมเหรอวะ” ผมพูดเสียงเบา
ไอ้เต้ยมันไม่ตอบครับ มันนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ซ้ำยังกำเสื้อตรงสีข้างผมแน่น มันมองตรงไปข้างหน้า แต่ผมไม่ได้สนใจ กำลังรอคำตอบจากมันอยู่
“เต้ยเป็นไร”
มันนิ่งผิดปกติ
“กะ กะ กาย”
มันพูดได้แค่นั้น แก้วตามันสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง ผมเริ่มใจเสีย ค่อย ๆ หันไปมองสิ่งที่ทำให้มันหวาดกลัว
ไม่มีอะไรตรงหน้าครับ ผมหันไปมองไอ้เต้ยอีกที
“มีอะไร” ผมกลืนน้ำลายถามมันต่อ
“มะ เมื่อกี้ กูเห็นแสงไฟ เป็นดวง ๆ”
“ตาฝาด” ผมปรามทั้งที่ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มแล้ว
“คะ คงงั้น” มันค่อย ๆ คลายมือออก ก่อนจะกำแน่น ตาค้างยิ่งกว่าเดิม คราวนี้ผมเลือกที่จะหันช้า ๆ ไปมองสิ่งที่มันมองอยู่เอง
ผมรู้สึกเหมือนเลือดในตัวจะหายไปดื้อ ๆ เนื้อตัวเย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลัน
ท่ามกลางความมืดตรงหน้า มีเงาเลือนรางของกิ่งไม้ที่กำลังพัดไหว และดวงไฟกระพริบแผ่ว ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผมนั่งนิ่งไม่ต่างกับไอ้เต้ย
เดินทางมาตั้งไกล เพื่อมาให้กระสือป่าจับกินเนี่ยนะ
ผมนั่งตาค้าง กระทั่งกระสือที่ผมเห็นเริ่มมีเค้าโครงมากขึ้น ผมยังนั่งนิ่ง จนสิ่งที่เลือนรางนั้นชัดเจน
“เต้ย ทำไมมาอยู่ตรงนี้วะ เขาเข้าเต้นท์กันหมดแล้วนะ”
กระสือ กลายร่างเป็นพี่เป้สุดหล่อครับ ส่วนคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบกรุ๊ปนี้อีกที พี่เอกเดินทำหน้านิ่ง ๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม
ซึ่งตอนนี้ เข่าผมอ่อนหมดแล้ว
“เต้ย” ไอ้พี่เป้เรียกอีกที หลังจากไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับจากมัน พี่เป้ย่อตัวลงมานั่งคุกเข่าใกล้ ๆ
“เต้ยเป็นอะไร” พี่แกถามเสียงนุ่ม
เป็นครั้งแรกครับที่ได้ยินแบบนี้ ปกติสองพี่น้องนี่จะว้ากใส่กันตลอด พอหันไปมองผมถึงได้เข้าใจ ไอ้เต้ยมันนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้ม พี่เป้เขย่าแขนมันอยู่สองสามที
พอรู้ตัวว่าคนข้างหน้าไม่ใช่กระสือแน่ ๆ มันถึงได้ผวากอดคอพี่มันแน่น
โหมดแบบนี้ผมไม่เคยเจอครับ พี่เป้ก็ดูจะอึ้ง ๆ ไม่แพ้กัน มือไม้แกเลยไปไม่ถูก ไอ้เต้ยตัวสั่นใหญ่ มันคงกลัวจริง ไอ้นี่มันยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย ขนาดผมยังขาอ่อน มันคงสติเกือบหลุด
พี่เป้ทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ อยู่สักพัก ก่อนค่อย ๆ โอบลูบหัวลูบหลังปลอบปะโลมมันเบา ๆ
“ไม่เป็นไรนะเต้ย พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”
ถ้าสติไอ้เต้ยเป็นปกติ มันคงอ้วกใส่ แต่ตอนนี้มันกอดคอพี่มันแน่น พี่เป้ลูบหัวลูบหาง ปากก็พร่ำบอกไม่เป็นไร พี่อยู่ตรงนี้แล้วตลอด
โหย จะนุ่มนวลไปไหม เหมือนไม่ใช่พี่เป้เลยแฮะ
ผมละสายตาจากภาพแปลก ๆ ด้านข้าง ไปมองคนที่ยืนจังก้าเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ตรงหน้าผม
“พี่เอก” ผมเรียกได้แค่นั้น
“ไปกันได้แล้ว” พี่มันบอกเสียงเรียบ อยากจะลุกอยู่หรอกนะ แต่ขามันไม่มีแรงจริง ๆ พี่เอกขมวดคิ้วที่เห็นผมยังนั่งนิ่งเหมือนเดิม
“ลุกไม่ไหวรึไง”
แน่ะ หล่อแล้วยังฉลาดอีก
ผมเสหน้าไปทางอื่น เรื่องไรจะยอมรับ กว่าไอ้เต้ยจะรู้ตัว ผมคงมีแรงแล้ว
แต่ไอ้พี่เป้มันตัดความหวังผมครับ พี่มันฉุดไอ้เต้ยลุกขึ้นยืน อีกมือก็คว้ากระเป๋าไอ้เต้ยไปสะพาย เดินลิ่ว ๆ ลืมเพื่อนน้องชายอย่างผมไปเลย
ผมอ้าปากตาค้าง…
นี่ผมกำลังถูกเพื่อนที่กลัวจนหัวหดลืม แถมยังถูกพี่ชายเพื่อนสนิทลืมอีก
พี่เป้เดินไปไกลแล้ว เห็นเพียงแสงไฟลิบ ๆ ที่กำลังจะลาลับ ผมยังนั่งอยู่ท่าเดิม โดยมียักษ์ตัวหนึ่งยืนอยู่เป็นเพื่อน ยักษ์ตัวนั้นยืนกอดอก ทำหน้านิ่ง ๆ แต่คอเริ่มเอียง เขาเริ่มยาว เขี้ยวเริ่มงอก จ้องหน้าผมไม่วางตา คงกำลังรอดู ว่ารากที่ตูดผมจะงอกออกมาได้อีกกี่เซ็น
“อยากนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก็บอกสิ” มันพูดแค่นั้น แล้วหันหลังเดินจากไป
ผมรีบดันตัวลุกโดยเร็ว คว้ากระเป๋าวิ่งตามไปดึงเสื้อพี่มันไว้แรง
เสื้อตัวนี้โดนผมทำร้ายบ่อยจังแฮะ
มันยังไม่หยุดเดิน ทั้งที่ผมรั้งเสื้อมันไว้แรงจนยืด
เสื้อมึงแบรนด์เนมนะเว้ยเฮ้ย ถ้าขาดขึ้นมากูจะมีปัญญาใช้หนี้มึงคืนได้ไหม แม่กูไม่ได้รวย เป็นแค่นักเขียนธรรมดา ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแบบมึงนะโว้ย
ขอเหอะ
เดินช้า ๆ รอกูหน่อย…
พี่มันคงได้ยินเสียงเพรียกจากผม มันถึงได้หยุดเดิน หันมาใช้สายตาพิฆาตจ้องกลับ ผมรีบคลายมือทันที แล้วพี่มันก็ออกเดินอีกครั้ง ผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ก่อนรีบซอยเท้าไปเดินอยู่ใกล้ๆ แต่พอชิดมากไป ก็รีบถอยร่นออกมาเดินอยู่ห่าง ๆ โดยมีแสงสว่างจากไฟฉายอันเล็กจากมือพี่มันนำทางอันเดียว
งั้นกระสือที่กูกลัวนักหนาก็ไฟฉายกิ๊กก๊อกของมึงใช่ไหม ไหนว่ามึงรวย ไหง่ใช้ไฟฉายโบราณราคาอันละยี่สิบบาทแบบนี้วะ
รู้สึกวังเวงยังไงพิกล รอบด้านมันมืดสนิท เดินตามหลังก็รู้สึกเหมือนมีใครมาเดินตาม ได้ยินเสียงอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หวาดผวา จะเดินนำหน้าก็ไม่รู้เส้นทาง แถมไฟฉายก็ให้แสงสว่างได้แค่นิดเดียว ขืนเดินนำ คงบังแสงหมด
ด้วยความหวาดกลัวจนขึ้นสมอง ผมเลยแบกเป้ไปเดินข้างๆ พี่มันแทน เดินแบบตัวติดกันเลย เพราะทางมันแคบ เส้นทางนี้เป็นทางเดินที่คนเดินกันบ่อย ๆ ไม่ใช่ถนนสำหรับคนเดินโดยตรง รอบด้านก็มีแต่ต้นไม้ใหญ่
คุณเคยเดินป่ากันตอนกลางคืนไหม ทั้งลำต้น กิ่งไม้และใบไม้ที่เคลือบความมืดเอาไว้ มักจะมีรูปร่างแปลก ๆ ที่ถึงเราไม่ต้องจิตนาการก็สามารถเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
ผมทั้งเบียดทั้งชิดทั้งเกาะแขนเกาะเสื้อพี่มันแน่น มันหันมามองผมแปลก ๆ
มึงอย่ามาสมเพชกูนะโว้ย!
ปล่อยให้กูสมเพชตัวเองคนเดียวก็พอ
ก็กูกลัว…
ขาพี่มันยาว เลยเดินนำลิ่วๆ ไปก่อน ในขณะที่ขาสั้น ๆ ของผมก็พยายามซอยเท้าเดินตามให้ทัน และเพื่อกันไม่ให้พี่มันเดินหนี ผมเลยขย้ำเสื้อมันไว้เป็นตัวประกัน
มึงก้าวไปไหนกูไปด้วย ถ้ามึงเดินเร็ว เสื้อมึงก็ขาด มึงเอากับกูดิ กูไม่ซื้อใหม่ให้มึงด้วย
…เพราะมันแพง
กูไม่มีปัญญา T^T
มันไม่ว่าอะไรครับ นอกจากเดินด้วยจังหวะที่ช้าลง
เดินกันไม่นาน ผมก็เริ่มเห็นแสงไฟเป็นดวงๆ พร้อมกับกองไฟขนาดใหญ่กลางลานกว้าง
ไม่ได้มีใครกำลังเล่นรอบกองไฟอยู่หรอก แต่เป็นไฟที่ชาวบ้านจุดเอาไว้กันพวกเสื้อสิงกระทิงแรดน่ะ อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้น ที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือแนะนำตอนสมัคร
ผมมองซ้ายมองขวา พวกเพื่อน ๆ พากันจับกลุ่มคุยกัน วันนี้รุ่นพี่คงปล่อยให้พักหลังการเดินทางอันยาวนาน บางคนก็เอากีต้าร์มานั่งดีด เล่นกันเบา ๆ ครับ ให้เข้ากับบรรยากาศอันเงียบสงบของป่าเขาแบบนี้
พวกเรามาอยู่กันในหมู่บ้านเล็ก ๆ ครับ แต่นี่น่ะ เจริญสุดในบรรดาหมู่บ้านแถบนี้แล้วนะ ที่นี่ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งไฟฟ้า ผมล้วงหยิบมือถือขึ้นมากดเช็คทั้งๆ ที่อีกมือยังจับเสื้อพี่เอกอยู่ ยึดเอาไว้ครับ เพราะตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย
เผื่อหลง จะได้ให้คนข้าง ๆ พากลับบ้านได้ถูก หึ ๆ
“ที่พักนายอยู่นู้น” ไอ้ยักษ์ตรงหน้ามันหันมาบอก ผมรีบปล่อยมือทันที แอบเช็คนิดหน่อย ว่าเสื้อขาดหรือเปล่า
ก็ผมยังไม่อยากจ่ายเงินหลายพันบาทเพื่อเสื้อตัวเดียวนี่น่า
พี่มันใจดีครับ เดินมาส่งผมถึงที่ แล้วพี่แกก็เดินไปดูแลเด็กคนอื่นๆ ต่อ ปล่อยให้ผมเดินหวาด ๆ เข้าไปในเต้นท์ขนาดใหญ่คนเดียว มีคนเยอะอยู่เหมือนกัน ผมพยายามมองหาเพื่อนตัวเอง
“ไอ้เต้ยมันหายไปไหนของมันนะ”
กวาดตามองหาอีกที แต่ไม่เห็นครับ สงสัยพี่เป้จะพามันไปพักด้วย ที่นี่มีหลายเต้นท์ ให้ไปมุดหาทีละเต้นท์ก็คงไม่ไหว
ผมหันซ้ายหันขวามองหาที่ว่าง เจออยู่ซอกหนึ่ง ริมสุดเลย ผมวางกระเป๋าไว้ จัดที่หลับที่นอนให้เข้าที่เข้าทางอีกนิดหน่อย (มีเพียงเสื่อ หมอนขนาดเล็กและผ้าห่มเท่านั้น) ก่อนล้มตัวลงนอน ถึงจะหลับมาตลอดทั้งเส้นทางบนรถแล้ว แต่มันก็ยังง่วงอยู่ดี น้ำเนิ้มไม่ต้องอาบหรอก เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว นอนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่า
ส่วนไอ้เต้ย ค่อยไปตามหามันอีกทีพรุ่งนี้ละกัน
..
..
..
ผมตื่นอีกทีตอนเช้า ไม่ต่างกับคนอื่น ๆ ในเต้นท์ ได้ยินเสียงจอกแจกจอแจรอบด้านเต็มไปหมด ผมลุกออกจากที่นอน คว้าเอาผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟันมาถือไว้ อย่าแปลกใจครับ ว่าทำไมผมเอาไปแค่สองอย่าง
เนื่องจากที่นี่เขามีกฎห้ามใช้สารเคมีทุกอย่างเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ พวกผมเลยต้องไปเอาอุปกรณ์การอาบน้ำที่เข้าเตรียมไว้ให้ด้านนอกครับ
ผมเดินหัวฟูออกมานอกเต้นท์ เห็นผู้คนพากันยืนบ้างนั่งบ้างจับเข่าคุยกัน แต่ละคนหัวหางยังฟูฟ่องอยู่เลย ลมเย็นๆ ยามเช้าโกรกปะทะผิวกาย อยากเปลี่ยนใจไม่ไปอาบน้ำขึ้นมาดื้อ ๆ
แต่ตัวเน่าสุดๆ ขืนไม่อาบ คงได้ทำงานแบบไม่สบายตัวแน่ ๆ
ผมเดินไปยังจุดที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘อุปกรณ์การอาบน้ำ’ ผมหยิบก้อนอะไรสักอย่างขึ้นมาส่องดู คาดว่าน่าจะเป็นสบู่ ก้อนมันเป็นสีดำๆ ขนาดเท่าสบู่จริง เนื้อมันสากๆ แต่กลิ่นหอมดี ยาสีฟันก็อยู่ในซองที่ทำจากใบไม้อะไรสักอย่างพับเหน็บกันไว้อย่างดี เนื้อในเป็นผงสีเขียว ๆ ไม่ต่างกับยาสระผม แต่สีจะอ่อนกว่ากันนิดหน่อย
ผมหยิบมาถือไว้ชุดหนึ่ง หันซ้ายหันขวามองหาที่อาบน้ำ จนหันไปเห็นป้ายที่ทำจากกระดาษ เขียนหนังสือตัวโต ๆ เอาไว้
‘ทางไปอาบน้ำชาย’
ผมกำลังจะเดินไปตามป้าย แต่เสียงใครบางคนหยุดขาเอาไว้ก่อน
“ไอ้กาย รอกูก่อน ขอกูไปเอาผ้าเช็ดตัวแป๊บ”
ผมหันไปมอง เห็นไอ้เต้ยมันมุดเข้าไปในเต้นท์ขนาดสองคนนอนห่างจากเต้นท์ผมอยู่เหมือนกัน
อ๋อ… มันนอนอยู่ที่นี่นี่เอง มิน่า หาไม่เจอ
ในระหว่างรอ ผมหยิบเจ้าก้อนสีดำขึ้นมาส่องอีกที
“ทำจากอะไรวะเนี่ย” ผมถามตัวเองเบา ๆ
“ทำจากขี้ควายน่ะ”
“เฮ้ย!!” ผมรีบโยนสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งทันที หันไปมองคนพูด
พี่กิ๊ฟครับ
พี่แกยืนหัวเราะร่วน ที่คอมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พาดไว้ สาวห้าวแสนสวยมาในชุดเสื้อยืดสีดำพร้อมกางเกงยืนสีน้ำเงินซีด ๆ
“ฮ่า ๆ พี่ล้อเล่น นั่นน่ะ เป็นมะขามกับมะเฟืองอัดก้อน”
“โธ่ ตกใจหมดเลย คิดว่าจะมีคนเอาอาหารของผมมาทำสบู่จริงๆ ซะแล้ว” เจอมุขผมเข้า พี่กิ๊ฟชะงัก ตามด้วยเสียงหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม
“พี่อาบน้ำแล้วใช่ไหม” ถามไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
ว่าแต่…
กูกับพี่เขาไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไรวะ
“อาบแล้ว อยู่ฝั่งนู้น ห่างกันหน่อย กันพวกผู้ชายไปส่องกระโจมอก”
ผมหัวเราะรับมุขแก ก้มหยิบเจ้าก้อนสีดำ ๆ ขึ้นมาจากพื้น
“หน้าตาประหลาดดีเนอะ”
“หน้าตาประหลาด แต่ใช้ดีนะ ใช้แล้วผิวสวยกว่าพวกสบู่สังเคราะห์ซะอีก”
ผมเบ้หน้า
“พอดีผมไม่ใช่พวกหนุ่มสำอางห่วงหล่อดูแลผิวซะด้วย”
พี่กิ๊ฟตบไหล่ปุ๊ ๆ
“ไม่แน่นะ ต่อไปนี้ นายอาจต้องเริ่มเป็นห่วงและดูแลตัวเองขึ้นมาแล้วก็ได้”
ผมมองหน้าพี่แกงง ๆ พี่กิ๋ฟยิ้มจนเห็นฟันขาวจ้องกลับ
“เพื่อสามีในอนาคตน่ะ” พูดจบก็เดินลิ่วหายไปเลย ปล่อยผมให้ยืนมองอ้าปากตาค้าง
“เป็นอะไรมึง”
ไอ้เต้ยเดินเข้ามาตบไหล่เรียกสติผมดังป้าบ สงสัยมันจะแก้แค้นตอนผมปลุกมันเมื่อวาน
เล่นเอาซะเจ็บเลย…
“เปล่า รีบไปกันเถอะ กูเหม็นตัวเองว่ะ”
มันพยักหน้า แล้วเราสองคนก็พากันเดินตรงไปตามเส้นทางของธารน้ำ เมื่อคืนมันคงไม่ได้อาบน้ำเหมือนกัน เพราะยังใส่ชุดเดิมอยู่เลย
น้ำไม่ได้หนาวอย่างที่คิดครับ มันอุ่นๆ พวกผมก็เลยอาบน้ำกันได้อย่างสบายใจ สบู่นี่ไม่ได้เป็นแค่ราคาคุยแฮะ ขัดขี้ไคลออกดีพิลึก ผมว่าภูมิปัญญาชาวบ้าน บางทีก็ดีเลิศกว่าพวกนักวิทยาศาสตร์พร้อมห้องแล็ปราคาหลายสิบล้านเป็นไหนๆ
ผมลงไปนั่งแช่ในน้ำ พวกที่เหลือก็พากันกระโดดตู้มต้ามเล่นน้ำกันโหย่งเหยง อาบไปได้ร่วมชั่วโมง มือเริ่มซีด ปากเริ่มสั่น ถึงน้ำจะอุ่น แต่ลมก็โกรกแรงใช่ย่อย
ผมหันไปสะกิดไอ้เต้ยให้ขึ้น มันเองก็ซีดพอๆ กัน ท้องผมร้องแล้วด้วย หิวแล้วครับ ยังดีที่พวกเราไม่ต้องมานั่งทำกับข้าวกินกันเอง เพราะมีพวกชาวบ้านอาสามาทำให้ เป็นแบบบุฟเฟ่ ใครหิวก็ไปตักกินกันเอาเอง กินเสร็จก็ไปนัดรวมพลกันอีกที ตอนเก้าโมงเช้า
ตอนที่เรากำลังจะขึ้นจากน้ำ ผมเห็นพวกปีสี่พากันเดินมาอาบน้ำด้วย นำทีมโดยพี่โอมกอดคอมากับพี่มอ เห็นพี่มันบ่น ๆ ว่าไม่น่าจับแยกชายหญิงเลย ตามติดด้วยพี่เอกกับพี่เป้ แล้วก็มีพี่โอ๊คกับพี่ปิงรั้งท้าย (ในที่สุดผมก็จำชื่อแกได้แล้ว)
พวกพี่ๆ เขาไม่เห็นผมกับไอ้เต้ยมันหรอก เพราะเราสองคน เล่นกันอยู่โซนล่าง
ผมหยิบเสื้อยืดสีเทามาใส่ งานนี้ต้องใส่สีมืดๆ ครับ ไม่งั้นเลอะหมด แต่ไอ้เต้ยมันดันแหกกฎใส่เสื้อสีขาวมา
“มึงบ้าหรือเปล่า ใส่สีขาวมา เสื้อได้เลอะหมด” ผมด่ามัน
“กูไม่ได้จัดของเองนี่หว่า พี่เลี้ยงกูจัดให้ รายนั้นคงนึกว่ากูจะไปเข้าค่ายเรียนพิเศษ เลยจัดสีสว่างมาให้ทั้งกระเป๋าเลย”
ครับ ไอ้เต้ยมันเป็นลูกคุณหนู งานบ้านไม่เคยได้สัมผัส นอกจากเป็นทาสพี่มันอะนะ
“ยืมกูก่อนไหมล่ะ”
มันทำท่าคิด
“ก็ดี กูไม่อยากทิ้งเสื้อเหมือนกัน”
โซนล่างตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้เต้ย ส่วนคนอื่นๆ ขึ้นกันหมดแล้ว พอใส่เสื้อผ้ากันเรียบร้อย ผมมองไปยังกลุ่มของพวกพี่ ๆ พวกนั้นมาอาบน้ำช้ากันน่าดู สงสัยจะตื่นขึ้นมาแล้วทำงานเลย หรือไม่…ก็เพิ่งตื่น
ผมพาดผ้าเช็ดตัวคล้องคอ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นชายหนุ่มกึ่งซีเปลือยทั้งหก
อืม พวกพี่ๆ นี่หุ่นดีกันทุกคนเลยเนอะ แต่พี่เอกนี่หุ่นควายสุด ผมละสายตาจากแผ่นหลังกว้างกลับมาที่ไอ้เต้ยต่อ
“หิวแล้ว รีบไปกันเถอะ”
มันพยักหน้า สองเสือหิวถึงได้พากันเดินลัดเลาะไปยังอีกเส้นทาง
อย่าหวังว่าไอ้เต้ยมันจะไปทักพี่มันนะ
มันน่ะ…
หลีกได้เป็นหลีก ก็รายนั้นชอบแกล้งมันนี่น่า
“เย้ย!!”
ไอ้เต้ยถลาไปด้านหน้าเพราะแรงบาทาเปล่าๆ ของใครบางคน ผมรีบหันไปมอง เห็นพี่เป้ยืนยักคิ้วอยู่ด้านหลัง ตัวพี่แกเปียกมะลอก ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงบ๊อกเซอร์อยู่ตัวเดียว
“ไอ้พี่บ้า!! กลับไปอยู่ในน้ำได้แล้ว อย่าเลื้อยขึ้นมาบนบก” ไอ้เต้ยมันด่าพี่มันครับ ปากมันเจ็บใช้ได้
“กูก็ว่าจะกลับไปอยู่เหมือนกัน แต่ต้องเอาญาติกูลงไปด้วย” พูดจบไอ้พี่เป้มันก็ลากไอ้เต้ยที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จลงน้ำดังตู้ม พวกที่เหลือพากันหัวเราะร่วน
“ไอ้เป้ ไอ้เลว ไอ้ตัวตะกวด กูเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ไอ้เชี่ยนี่” โผล่พ้นน้ำมาได้มันก็ด่ากราด พี่มันหัวเราะใหญ่
ผมยืนห่างให้มากที่สุด หันหลังเตรียมจะเดินหนี เดี๋ยวคนในกลุ่มเกิดคึกอยากดึงผมลงน้ำด้วย มันจะไม่สุนทรี
สนุกขนาดไหนก็พอครับ มือซีดหมดแล้ว
“เดี๋ยวไอ้กาย! อย่าเพิ่งไป ปล่อยสิเว้ยเฮ้ยไอ้พี่เป้!! กูเล่นน้ำมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ ตัวซีดมือซีดหมดแล้วเห็นไหม” ไอ้เต้ยมันหยุดผมไว้ แล้วมันก็หันไปบอกพี่มันต่อ มันยกมือให้พี่มันดู หน้าหงิกยิ่งกว่าอะไร
พี่เป้นิ่งไปนิดหนึ่ง มองมือมัน ก่อนก้มมองเนื้อตัวเพื่อดูว่าซีดจริงรึเปล่า แล้วพี่แกก็หยุดสายตาไว้ที่ช่วงอก
คงไม่ลืมกันนะฮะ ว่าไอ้เต้ยมันใส่เสื้อสีขาวมา พอเปียกน้ำ เสื้อมันก็ลู่น่ะสิ พี่เป้ขมวดคิ้วจนเป็นปม
“ทำไมใส่เสื้อขาวมา” พี่มันพูดเสียงเข้ม
“ไม่ได้จัดเอง”
“ขึ้นจากน้ำแล้วไปเอาเสื้อพี่มาใส่ ขืนใส่เสื้อขาวทำงานเดี๋ยวเลอะหมด”
หมดสิทธิ์ใส่แล้วละพี่ เปียกซะขนาดนั้น
“ไม่ต้องหรอก จะใส่ของไอ้กายมัน” ไอ้เต้ยมันพยักหน้ามาทางผม ผมยิ้มเจื่อน พยายามทำตัวให้เหมือนอากาศธาตุให้มากที่สุด
“ไม่ต้องไปรบกวนมัน กูเป็นพี่มึง มึงต้องใส่เสื้อกู” ไอ้พี่เป้มันบังคับ
“กูขึ้นก่อนละ” พี่เอกแทรกขึ้นมาเรียบๆ เดินดุ่ย ๆ ขึ้นจากน้ำ
ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่มันใส่กางเกงบอลตัวเดียว เนื้อตัวเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพร่างพราวเต็มไปหมด ชอบทำหน้าเรียบ ๆ ติดจะเฉยชา แต่นั่นยิ่งขับให้พี่มันดูดีเข้าไปใหญ่
ดู ๆ ไป ก็เหมือนพวกนายแบบถ่ายชุดว่ายน้ำเลยแฮะ
“กูหิว กูไปก่อนนะเต้ย” ผมละสายตาจากพี่มันหันไปบอกไอ้เต้ย
“เดี๋ยว! ไอ้กายรอก่อน กูก็หิวนะโว้ย!”
“หยุดเลย ตัวมึงเปียกขนาดนี้ มึงต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกู” พี่มันดัก ไอ้เต้ยหน้างอทันที
“แล้วหมาตัวเองมันลากกูลงน้ำล่ะ”
“อ้าว แล้วก่อนหน้านี้ มึงบอกว่ากูเป็นตัวอะไรล่ะ”
“ตัวเหี้ยไง”
“อืม แล้วมึงเป็นอะไรกับกู”
“เป็นน้อง”
“โอเค มึงเป็นน้องกู เป็นน้องของตัวเหี้ย งั้นมึงก็ต้องเป็นตัวเหี้ยเหมือนกัน”
ไอ้ เต้ยอ้าปากค้างครับ ด่าอะไรไปเข้าตัวมันหมด มันรีบสะบัดตัวเดินดุ่ย ๆ ขึ้นบกทันที ตามติดด้วยไอ้พี่เป้ พี่มันคว้าผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวไอ้เต้ยไว้ ส่วนตัวเอง ก็หันไปคว้าผ้าเช็ดตัวของใครสักคนมาเช็ดแทน
“ไหนบอกว่าหิว ทำไมยังไม่รีบไปอีก”
ผมสะดุ้งโหยงหันไปมองคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พี่เอกยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่คล้องผ้าเช็ดตัวไว้ที่คอ น้ำยังหยดติ๋ง ๆ จากเส้นผมตกลงพื้น ผมกระพริบตาปริบๆ จ้องมอง
คุณเคยเห็นประติมากรรมอะไรสักอย่างที่ดูดีสุดๆ ไหมละครับ ตอนนี้ผมกำลังมองมันอยู่
เส้นผมทั้งหมดถูกเสยไปด้านหลัง หยดน้ำใส ๆ เกาะจนเต็มใบหน้า แม้กระทั่งแผงขนตาก็ยังพร่างพราวไปด้วยหยดน้ำ
ผมจ้องหน้าพี่มันนิ่ง ๆ
ทำไมกูไม่เกิดมาหล่อแบบนี้บ้างวะ
“กาย”
ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ความหล่อของพี่มัน กระเถิบถอยออกมายืนอยู่ห่าง ๆ
“ผมขอตัวละ” ก่อนรีบจ้ำพรวด ๆ เดินหนีมาแบบไม่เหลียวหลังกลับไปมอง
TBC...
Special Talk
หวังว่าคนอ่านจะสนุก และมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้บ้างนะคะ

Ps.. ตัวหนังสือ บางทีมันก็จัดชิด บางทีมันก็เคาะให้ ไม่รู้ทำไม

Ps2.. เจอกันหน้าถัดไปคร้าบบบบบ
Ps3..หุหุ ได้อิมเมจน้องกายกับน้องเต้ยแล้ว อยากจะบอกว่า กรี๊ดดดสุด ๆ ^^ ยังไม่รู้วิธีลงที่นี่ เพราะงั้น รอกันไปก่อน