Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย  (อ่าน 62067 ครั้ง)

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาทวงด้วยคนครับ  :m23:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
           ขอโทษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษครับที่ไม่ได้มาต่อเรื่องตั้งนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  ขอดีคอมโดนไวรัสครับเลยต้องลงวินโดว์ใหม่หมดเลย เรื่องที่เขียนไว้ก็หายหมด (โหลดหนังโป๊มาดูน้อยไปหน่อยมั้ง เมิง..........) พอดีไปเจอหนังDVDถูกมากกกกกกกกกกก เลยสั่งมาดูตั้ง52แผ่น (หนังธรรมดานะครับ) ตาแฉะไปเลย ยังไงก็จะต่อนะครับ จะต่อแน่นอน 

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
ครับผม ก็ยังรอต่อไปครับ รอได้

แต่อย่าลืมมาต่อนะครับ  :m4:

remainder.t

  • บุคคลทั่วไป
 :m12:ดูหนังจบ ก็ไปดูหนังโป๊ต่อ เอ๊ย!ม่ายช่ายยยย มาเขียนต่อนะครับ :m1:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
         
มาต่อแว้วค๊าบ
 

         ธารานั่งจ้องมองเคอร์เซอร์กระพริบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสายตาเหมอลอยคล้ายคิดอะไรบางอยู่ในหัวสมอง

          วันนี้ทั้งแอมมี่ ด๋อย แล้วก็เจี๊ยว หายเงียบไปไม่มาออนลายด์เหมือนอย่างเคยจนธาราอดรู้สึกเคว้งคว้างและโดดเดี่ยวไม่ได้

            ทำไมเธอต้องรู้สึกแบบนั้นด้วยนะ.......

            บางวินาทีคำถามนี้ก็ผุดขึ้นในหัวของเธอราวกับน้ำพุที่ผุดขึ้นกลางทะเลทราย คนพวกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอด้วยซ้ำไป ไม่ได้เป็นพี่ เป็นน้อง หรือแม้กระทั้งเป็นเพื่อน คนพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ล่องลอยไปมาเหมือนฝุ่นละอองในอากาศภายในโลกแห่งนี้ บางครั้งฝุ่นพวกนั้นก็จับกลุ่มรวมตัวกันจนดูคล้ายสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินกว่าคำได ๆ จะอธิบายได้ ทั้งแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิต ปลอบโยนยามท้อแท้สิ่งหวัง สั่งสอนยามทำผิดไม่ถูกต้อง ส่งเสริมยามทำสิ่งดีงาม ให้กำลังใจยามเหนื่อยอ่อน แบ่งปันยามขาดเหลือ ทุกสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนในโลกแห่งนี้มีให้กันและหญิงสาวรู้สึกได้ ความห่วงใย ใส่ใจ เอื้ออาทร และบางครั้ง ก็รัก.........

             แต่ทุกสิ่งเหล่านั้น ทุกคน ทุกตัวอักษร ล้วนเป็นเพียงขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียงร้อยต่อกันไปมาเหมือนมัดด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ มันไม่มีจริง ไม่มีตัวตน ไม่มีแม้กระทั้งความรู้สึก มันจอมปลอม ไม่จริงแท้ ไร้จิตวิญาณ ไร้ชีวิต แม้ผู้ที่ส่งมานั้นจะมีตัวตนอยู่จริง แต่สิ่งที่เขาส่งผ่านมานั้นก็ใช่ว่ามันจะจริงเสมอไป มันอาจจะเต็มไปด้วยคำหลอกลวง ใคร่อยาก และหวังผลประโยชน์เป็นเหมือนดังกิเลตตัณหาที่กัดกินอยู่ในจิตวิญาณของคนทุกคน 

              แต่ถึงกระนั้น ต่อให้รู้สึกอย่างนั้นและรู้ดีถึงข้อเท็จจริงนั้น หญิงสาวก็ยังคงล่องลอยเวียนวนอยู่ในโลกแห่งนี้ เป็นเม็ดฝุ่นอิเล็กทรอนิกส์ที่ไขว่คว้างเวียนว่ายอย่างไร้จุดหมาย วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าราวกับเชื่อคำลวงหลอกของความสัมพันธ์จอมปลอมเหล่านั้น บ่างดีใจ บ่างร้องให้ บ่างสุขสม บ่างทุกข์ระทม ทั้งที่รู้ว่าข้อมูลเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไปก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เต็มใจเป็นเหมือนคนโง่และเชื่อความจอมปลอมและคำลวงของโลกแห่งนี้ เพราะสำหลับเธอแล้ว ความจริงนั้นเจ็บปวดเสียทุกครั้งไปเสมอ ทั้งครอบครัว ชีวิต การเรียน หน้าที่ หรือแม้แต่ความรัก ทุกสิ่งล้วนเจ็บปวดเสมอ จอมปลอม โหดร้าย และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป

              เสียงแปลกประหลาดดังมาจากหูฟังอันเล็กที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์พร้อมกับตัวหนังสือทักทายของคนที่เธอคุ้นเคย แอมมี่

              ---ว่างายยยยยยยยยยย พี่แว่นนนนนนนนน -----         
 
               แม้แต่ตัวเธอเอง ก็จอมปลอม.............

............................................................................


keivet001

  • บุคคลทั่วไป

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
มาอ่านแร่ะครับ มาแบบสั้น ๆ แต่หายคิดถึงไปได้บ้าง   :m4:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อ่านไปแล้วน้ำตาคลอๆทุกครั้งที่พบฉากของคอมกับแม่ ขอเพียงได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข
แม้แต่ัตัวเองจะเหลือชีวิตเพียงหกวันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวเลย หรือจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่พบใครคนนั้น
คนที่เขาจะมอบความรักที่เคยได้มาให้ (เขาเคยได้หรือปล่าว เพราะมันสั้นเหลือเกิน พ่อก็มาทิ้งเขาไว้กับแม่เสียแล้ว) หากดูความเหงาที่เขาได้รับแต่เด็ก ก็จะไปซ้อนทับกับพิราบ ที่แม้จะสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน แต่กลับเหงาและไม่มีใคร เมื่อสองคนพบกันจึงเหมือนมีความผูกพันที่ไม่อาจอธิบายได้
 :m15: :m15: :m15: :m15:

ส่วนธาราก็คงจะน่าสงสารที่แม้เผยความในใจไป เจนศิลป์ก็คงไม่ได้คิดเกินเพื่อนเป็นแน่ โลกเสมือนจริงที่ธาสร้างขึ้น
มันขึ้นกับธาเองต่างหากที่จะสานต่อยอย่างไร อิเล็กทรอนิคส์เป็นแค่โอกาสที่ทำให้เราได้พบกัน มันจะดีจะร้ายขึ้นกับเราสานต่ออย่างไรในชีวิตจริงต่างหาก
 :mc2: :mc2: :mc2:
เม่นกับสาก็อาจจะเสียเวลาไปมากมายกว่าจะกล้าที่ยอมรับความจริงว่าสิ่งที่ดีที่สุดกลับอยู่ใกล้ๆตัว แม้ตอนแรกมันเหมือนจะเป็นเพราะความเมา แต่จริงๆแล้วก็ปฎิเสธตัวเองไม่ได้ว่าูรู้สึกดี
ลองใช้เวลามองและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เป็นไปได้ และมีความสุขดีกว่า
 :oni2: :oni2: :oni2:

มาให้กำลังใจครับ ต้องขออภัยที่พลาดเรื่องดีๆนี้นาน จนผ่านมาหลายตอน
เนื่องจากยุ่งๆนิดหน่อย เปิดมาอ่านอีกที ทวนของเก่าไปด้วยก็หยุดไม่ได้เลย
 :m13:
ดึงดูด น่าค้นหา น่าติดตามไปกับบทที่ผู้เขียนบรรจงใส่ฉากซ้อนฉาก สร้างมิติของนิยายออกมาได้ดึงดุดดีครับ
นิยายจะออกแปลกแหวกแนวแบบนี้ ก็ไม่ต้องเสียใจที่คนอ่านน้อยหรอกครับ บางคนเขาอ่านไม่คอมเม้นต์ก็มีครับ
โพสไปเขียนไปเ็ก็บไว้เป็นความภุมิใจดีกว่าที่เคยเขียนนิยายแบบนี้ได้
 :m4: :m4: :m4: :m4:
คนเขียนเปิดเรื่องมาควรจะค่อยๆให้คนอ่านเรียนรู้ตัวละครที่ละตัวช้าเสียก่อน ซึ่งตอนแรกให้ตัวละครโผล่มาที่เดียวเป็นฝูงอาจทำให้คนอ่านงง และโพสค่อยๆรอคนอ่านนิดหนึ่ง พอเห็นเยอะๆพาลคนอ่านจะหมดแรงเอาได้ อิอิ
แต่ที่สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการโพส โพสบ่อยๆทีละตอน จะทำให้คนอ่านติดตามและไม่ลืมเรื่องนะ
ว่าแล้วรีบมาโพสได้แล้วครับอยากอ่านต่อแย่แล้ว
อิอิ
 :oni1: :oni1: :oni1:
แผนผังเตือนความจำสำหรับเพื่อนๆครับเผื่อใครจะงง
 :m14:
ไอ้คอม(เจนศิลป์) หนึ่ง(พิราบ)
คอม สา(สาริณี) ไอ้เม่น(กิตติ) ธา(ธารา)
หนึ่ง ฟ้า(องอาจ) กร(กรเทพ) ท๊อป(นาคินทร์) พิเชษ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2008 22:40:24 โดย b|ueBoYhUb »

remainder.t

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:สบโอกาส เข้ามาอ่านได้แล้ว ดราม่ามากมายเหมือนเดิม รีบไปหละ อย่าลืมมาต่อน๊า ช่วงไม่มีระยะเวลาปลอดภัยสำหรับผม เลยเข้ามาให้กำลังใจยากสักหน่อย :m4:ขอบคุณครับ ที่มาแต่งต่อ ยังแอบรออยู่นะ

keivet001

  • บุคคลทั่วไป


มาแว้วค๊าบบบบบบบบบบบบบบ
                   

                     สาริณีเดินออกมาจากห้องน้ำภายในห้องของตัวเอง ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงแต่โทรศัพท์กลางดึงที่โทรเข้ามาหาเธอเมื่อคืนนี้
 
                         ธง.....คนรักของเธอโทรมาเมื่อคืนนี้ และทุกอย่างก็ยังดูเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
......งานยุ่ง.....ไม่มีเวลา.....เสียงของเขาเอาแต่พร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษจนบางครั้งเธอแทบจะหลุดปากไปว่าควรจะเป็นเธอเองเสียมากกว่านี่ต้องขอโทษ ขอโทษที่ไม่ซื่อสัตย์กับเขา ขอโทษที่เธอมีคนอื่น ขอโทษที่เธอไม่สามารถทนรอเขาอีกต่อไปได้

                         แล้วเธอนั้นผิดหรือเปล่า.......

                     หลายวันมานี้เธอเอาแต่ถามตัวเองอย่างนั้น เธอผิดหรือเปล่าที่ไม่สามารถทนรอเขาอีกต่อไปได้ ผิดหรือเปล่าที่เธอปันใจไปรักกับใครอีกคนที่สามารถรอเธอได้ เธอต้องการเพียงคนที่รอเธอได้เท่านั้น คนที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนรอให้เธอกลับไปพบ กลับไปพูดคุย กลับไปสัมพัทธ์ ไม่ใช่แค่คำพูดลมปากที่ไร้ตัวตน
อ้อมแขนของใครบางคนประทับกอดแน่นจากด้านหลังจนเธอสะดุ้งออกจากภวังค์
 
                         “เป็นไร ทำหน้าเครียด ๆ” เสียงกิตติดังขึ้นที่ข้างหูของหญิงสาว

                         “เปล่าหลอก....แค่คิดอะไรเพลิน ๆ นะ....”สาริณีว่าพรางเกาะมือของชายหนุ่มที่กำโทรศัพท์ไว้แน่น“ใครโทรมาหลอ.....” 

                         “ที่บ้านนะ.....โทรมาถามว่าปิดเทรมแล้วจะกลับบ้านหรือเปล่า”อีกฝ่ายตอบพรางเอาจมูกดุนที่หลังใบหูของหญิงสาว

                        เสียเคาะประตูดังขึ้น

                       “โถ่..ใครว่ะเนี้ย.....”กิตติร้องอย่างหัวเสียพรางเดินไปเปิดประตูออก แต่ร่างที่อยู่หน้าประตูนั้นก็ทำให้ทั้งสาริณีและกิตติตกใจไปไม่น้อย

                      “อ้าวเม่น.....อยู่นี่ด้วยหลอ”เสียงธาราร้องอย่างตกใจพรางมองชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาด ไม่รู้ว่าเธอแปลกใจที่ชายหนุ่มอยู่ในห้องของสาริณี หรือเพราะชายหนุ่มสวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวแล้วอยู่ในห้องของสาริณีกันแน่

                        “ถึงว่าไอ้ห่า ไปเคาะประตูแม่งไม่มีใครเปิด ถอยหน่อยดิ ปวดฉี่” เจนศิลป์ว่าพรางเบียดตัวเองผ่านกิตติก่อนจะโยนกระเป๋ากล้องถ่ายรูปไว้บนเตียงและตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างเร็ว

                         ธารายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหลายวินาทีก่อนจะเดินเข้าห้องมาด้วยสายตาสงสัยอย่างบอกไม่ถูก กิตติปิดประตูไล่หลังเธอและเดินไปหยิบเสื้อที่ยับยู่อยู่บนเตียงมาสวม ดูเหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงความสงสัยของธารา สาริณีก็เช่นกันเธอยกมือขึ้นเกาะหัวน้อย ๆ พรางหันหน้าออกไปทางประตูชาน ทั้งหมดจึงไม่พูดอะไรจนเสียงกดชักโครกดังขึ้นและเจนศิลป์เดินออกมาจากห้องน้ำ

                        “โอ้ย.....สบาย”เขาร้องพรางเช็ดมือที่เปียกกับกางเกง ของตัวเอง “เอ้า มาดิ...เปิดคอม”

                       “เปิดมัยว่ะ....”เสียงกิตติพูดอย่างงง ๆ

                       “เอ้า ไอ้บ้า มึงจะไม่ทำรายงานส่งใง พรุ่งนี้แล้วนะมึง วันนี้กูก็อุส่าไปนั่งสรุปมาจนเสร็จ....มึงสองคนนะพิมพ์ไปเลย เดี๋ยวกูกับธานั่งดู”

                       “เช้ย...มึงอะ”สาริณีร้องพรางหัวเราะร่วนคล้ายต้องการกลบเกลื่อนบรรยากาศก่อนหน้าที่อึมครึมชวนวังเวง

                       “ไม่ต้องมาขำเลย.....ไปเลย ไปพิมพ์”เจนศิลป์ว่าพรางดึงสาริณีที่นั่งอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นและเข็นเธอไปนั่งอยู่ข้าง ๆ กิตติที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โดยใช้เก้าอี้ตัวเดียวกัน

                       ธารามองดูชายคนนั้นด้วยสาตาสงสัย

                       “เราว่า.......”ในที่สุดเธอจึงพูดขึ้น “ช่วงนี้ดูคอมจะแปลก ๆ ไปนะ”
   
                      เจนศิลป์ร้องเสียงขึ้นจมูกสั้น ๆ
   
                       “เออว่ะ” เม่นว่าพรางเริ่มพิมพ์ “ตั้งแต่มึงโดนรถชนมานี่กูว่ามึงดูร่าเริงผิดปรกตินะ” 
   
                      “ใช่”ธาราว่า “หัวกระแทกหรือรู้สึกปวดหัวตอนนอนบ่างหรือเปล่า.....เราว่าไปให้หมอดูหน่อยก็ดีนะ”
   
                        ทั้งหมดหัวเราะกันยกใหญ่
   
                       “ธาเราว่ามันคงไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง” สาริณีพูด “เราว่าคงเพราะพอไม่มีงานทำเลยไม่รู้สึกเครียดมากกว่า ดูอย่างวันนี้ดิ ร้อยวันพันปีมันเคยมาห้องเราที่ไหน ชวนกันตั้งเป็นร้อยเป็นพันครั้งมันยังไม่มาเลย”
   
                       “กูมานั่งเฝ้าพวกมึงทำรายงานมั้งเถอะ” ชายหนุ่มว่าพรางยิ้ม
   
                       “ไม่ต้องมาพูดเลยมึงอะ เห็นบางทีงานสำคัณกว่านี้มึงก็ยังไม่มาเลย”กิตติว่าทั้ง ๆ ที่มือยังพิมพ์อยู่
   
                      “ใช่มั้ยละ” สาริณีเสริมพรางยิ้มกับกิตติ
   
                       “เออ แล้วแผลนี่ได้ล้างบ่างหรือเปล่า เดี๋ยวอักเสพนะ”ธาราว่าพรางจ้องไปทีผ้าพันแผลที่อยู่บนหัวของชายหนุ่ม
   
                       “อือ....ลืมเลยนะเนี้ย”
   
                      “เดี๋ยวก็เน่ากันพอดี สา มีที่ทำแผลบ่างหรือเปล่า”
   
                      “มี ๆ อยู่ในลิ้นชักในตู้เสื้อผ้านะ หยิบเอานะธา”
   
                     หญิงสาวเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ไม่นานเธอก็เดินมานั่งที่ปลายเตียงข้าง ๆ เจนศิลป์พร้อมกับกล่องพราสติกใสที่ภายในบรรจุที่ทำแผลอย่างเป็นระเบียบ
   
                     “เอาผ้าพันแผลออกสิเดี๋ยวเราทำให้”ธาราว่า

                     “เดี๋ยวเราทำเองก็ได้....ไม่เป็นไร”

                     “ถ้าทำเองแล้วมันจะเห็นมั้ยละ เร็ว ๆ เข้า” ธาราทำหน้าดุจนชายหนุ่มทำตามแต่โดยดี
หญิงสาวหยิบเอาสำรีชุบแองกอฮอร์จนชุ่มถือไว้ในมือ
   
                     “เอาจริงหลอธา.....ไม่แสบหลอ”
   
                    “นิดหน่อยน่า เร็ว ๆ”
   
                     ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้น หญิงสาวหยุดมือทันที
   
                     “ครับ”ชายหนุ่มกดรับโดยที่ไม่มองชื่อผู้โทรเข้ามา “......ฮ่ะ”


...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






keivet001

  • บุคคลทั่วไป
           

           พิราบนั่งอยู่ในร้านเอ็มเคสุกี้ด้วยท่าทางร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาเขาเหมอมองออกไปนอกร้านที่มีผู้คนเดินกันไปมาขวักไขว่  บ่างนั่งบ่างยืนอยู่หน้าร้านเพื่อรอโต๊ะอาหารว่างซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงความหวังที่แสนริบหรี่เต็มทน ในของชายหนุ่มพลิกโทรศัพย์มือถือของตัวเองไปมาพรางไม่เข้าใจว่าทำไมเขามานั่งอยู่ตรงนี้  ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ และบางที.....บางทีนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ได้

   “รับอะไรเพิ่มมั้ยค่ะ” เสียงพนักงานหญิงคนหนึ่งดังมาพรางหยิบแก้วน้ำของเขาไปเติมให้

   “ยังครับ....รอเพื่อนอยู่”เขาว่าพรางยิ้ม อีกฝ่ายจึงยิ้มตอบและเดินจากไป ชายหนุ่มจึงหันไปมองนอกร้านอีกครั้ง อีกราวสามนาทีต่อมาร่าง ๆ หนึ่งที่ดูคุ้นตาก็เดินผ่านหน้าของชายหนุ่มไป

   “คอม....”ชายหนุ่มร้องเรียกร่างนั้น อีกฝ่ายหันกลับมาอย่างงุนงง
เจนศิลป์ผงกหัวเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย

   “โทษทีนะ หลงทางอยู่ตั้งนานไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน” ชายหนุ่มว่าพรางวางกระป๋าใส่กล้องของตัวเองลงข้างตัว

   “ทำไม....ร้านหายากหลอ” 

    “ไม่หลอก แต่เราไม่เคยมานะ เลยไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดินไปทั่วห้างเลย” เจนศิลป์พูดสีหน้าเรียบเฉย“แล้วนี่....ประกันที่ว่า.....”

   “จะสั่งอาหารเลยมั้ยค่ะ” ไม่ทันพูดจบคำเสียงพนักงานหญิงคนเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างอันผอมแห้งราวกับโครงกระดูกเดินได้พรันปรากฏขึ้น เธอยิ้มจนแก้มที่ตอบอิ่มขึ้นมาดูน่ากลัวก่อนจะยื่นเมนูอันใหญ่มาให้คนทั้งสอง

   “ครับ....คอมกินข้าวมาหรือยัง....”

   “กินมานิดหน่อยแล้ว...แล้วประกันละ.....”

            พิราบไม่ตอบคำถามนั้นเอาแต่สั่งอาหารเสียยกใหญ่จนพนักงานแทบจดตามไม่ทัน “อยากกินอะไรหรือเปล่า....”เขาถามขึ้นราวกับไม่ได้ยินคำถามของเจนศิลป์ก่อนหน้า ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ 

   “งั้นแค่นี้ละครับ”

   พนักงานหญิงทวนรายการอาหารทั้งหมดอีกครั้งอย่างเร็วจนแทบฟังไม่ทันก่อนจะเดินจากไป

   “ว่าแต่วันนี้ไปเรียนมาหลอ....” 

   “อือ....แล้วที่โทรเรียกเรามาเรื่องประกันนี่.....อยู่ไหนหลอ” เจนศิลป์ว่าพรางมองไปรอบตัว

   “อ๋อ....”อีกฝ่ายอึกอัก “เขายังไม่มาเลย....เรานัดเขาไว้ตอนสี่โมงเย็น นี่พึ่งจะบ่ายโมงเอง” พิราบว่าพรางก้มลงมองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ

   “อือ....”อีกฝ่ายลากเสียงยาวอย่างไร้ความหมายได ๆ แต่พิราบตีความไปว่าชายหนุ่มคงเชื่อตามนั้น “สี่โมงเลยหลอ...เราก็นึกว่ามาถึงจะได้คุยกันเลยซะอีก”

   “ก็เรากะว่าจะชวนคอมมากินข้าวก่อน...เลี้ยงขอโทษประมานนั้นนะ” พิราบว่าพรางมองอีกฝ่ายที่เริ่มยกน้ำขึ้นดื่ม “ทำไมหลอ....มีธุระทีอื่นหรือเปล่า”

   เจนศิลป์วางแก้วน้ำลง “เปล่าหลอก.....แค่เราไม่อยากกลับบ้านเย็นมากนะ....แม่เราอยู่บ้านคนเดียว”

   “อ้าว...”พิราบร้อง “งั้นเดี๋ยวเราขับรถไปส่งเลยก็ได้นะ....ประกันเดี๋ยวเราคุยคนเดียวก็ได้”

   “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร.....”เจนศิลป์พูดพรางยิ้มน้อย ๆ “ไหน ๆ มาแล้ว สั่งข้าวไปตั้งเยอะ กินก่อนก็ได้ยังไม่รีบตอนนี้หลอก.....”

   “หลอ...งั้น” ไม่ทันที่พิราบจะพูดอะไรต่อ พนักงานหญิงคนเดิมก็กลับมาอีกครั้งพร้อมรถเข็นที่มีทั้งอาหารดิบ และคาวอยู่เต็มคัน เธอพูดขออณุญาติอย่างขอไปทีก่อนจะเริ่มย้ายอาหารมาไว้ที่โต๊ะตรงหน้าของคนทั้งสองเมื่อเสร็จเธองึมงำอย่างเร็วอีกสองสามคำจับใจความได้ว่าให้ทานอาหารให้อร่อยนะค่ะ ก่อนจะเดินจากไป พิราบมองตามเธอคล้ายไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ คำชมหรือ... “งั้น คอมก็อยู่บ้านกับแม่สองคนสิ” ชายหนุ่มถามพรางเริ่มคืบอาหารด้วยตะเกียบลงหม้อน้ำที่อยู่ตรงหน้า

   “อือ.....นี่หลอ” เจนศิลป์ตอบพรางยื่นถาดใส่อาหารที่อีกฝ่ายชี้ด้วยตะเกียบและยื่นให้

   “แล้วพ่อละ...ไปไหนหลอ....” พิราบพลังปากถามออกไป

   ชายหนุ่มเงียบไปหลายวินาทีก่อนตอบ “ไม่อยู่แล้วละ” น้ำเสียงของขานั้นบางเบาและเรียบเฉยจนอีกฝ่ายรู้ตัว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเจนศิลป์ที่นั่งนิ่งจ้องมองหม้อน้ำตรงหน้าด้วยดวงตาเหมอลอย “เออ....ขอโทษนะ เราคงถามคอมมากไปแล้ว....”

   “ฮ่ะ...อ๋อ ไม่เป็นไร....”อีกฝ่ายยิ้มกลบเกลื่อนและเงียบไปหลายนาทีก่อนว่า “แล้ว....พ่อกับแม่หนึ่งละเขาว่าไงบ่าง.....”

   “ฮึ....อ๋อ....พ่อกับแม่เราเขาทำโรงงานอาหารอะไรพวกนั้นนะเลยต้องไปเจอลูกค้าบ่อย ๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหลอก....ส่วนใหญ่เราก็อยู่บ้านคนเดียว”

   “เราหมายถึงรื่องรถนะ......”

   “อ้าว....หลอ....”พิราบพูดพรางยิ้มเขิน “ก็ไม่ได้ว่าอะไร.....ก็ยังไม่เห็นเลยไม่ได้ว่าอะไร”ว่าแล้วก็หัวเราะน้อย ๆ ออกมา

   “ถ้าพ่อกับแม่หนึ่งรู้เข้าคงแย่เลยสิ.....รถท่าทางแพงขนาดนั้น”

   อีกฝ่ายหยุดและเอาตะเกียบมาดูดเล่นอยู่ครู่หนึ่ง “ก็คงประมาณนั้นละ.....พอเถอะเรื่องมันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน เอานี่....อร่อยนะ” พิราบว่าพรางคืบเอากุ้งสามสี่ตัวมาวางไว้ในชามของเจนศิลป์

   “อือ... ขะ...ขอบคุณนะ” อีกฝ่ายรู้สึกแปลก ๆ ที่มีคนทำแบบนี้

   เสียงโทรศัพท์ของพิราบดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะรับสาย

   “เออ...ว่าไง.......กูอยู่ข้างนอก....เออ....แดกข้าวอยู่.......กับคนที่กูเล่าให้มึงฟังไง......เออ....ใช่.....ทำไมละ....วันนี้หลอ....กูไปไม่ได้ว่ะ.....ก็กูอยู่นี่ให้กูไปไงละ.....กูไม่อยากไป.....ขี้เกลียด เออพวกมึงไปกันเถอะ...... เออ พรุ่งนี้เจอกัน...เออ” จบคำชายหนุ่มก็วางสายไป “เพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยวอีกแล้ว”

   เจนศิลป์มองอีกฝ่ายคล้ายอยากถามว่า จะบอกทำไม “หลอ......”

   ดูเหมือนพิราบจะไม่เห็นสายตาของอีกฝ่ายจึงถามขึ้น“คอมชอบไปเที่ยวมั้ย....ตามผับตามบาร์พวกนั้นนะ”

   “ก็....ไม่ค่อยเท่าไรนะ.....ไปจนเบื่อแล้ว”

   “จริงหลอ.....ชอบเที่ยวเหมือนกันหลอ”

   “เปล่า” เจนศิลป์ตอบพรางหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม “เราทำงานอยู่ในผับนะ.....เลยได้ไปทุกวันจนเบื่อแล้ว”

   “โถ่” อีกฝ่ายร้องอย่างผิดหวัง “ไอ้เราก็นึกว่าชอบเที่ยว.....แต่ก็ขยันจังนะ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย....”

   เจนศิลป์ยิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น


...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                  หวาดดีคร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไม่ได้มาอัพซะนาน เป็นไงกันบ่างครับ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ เพราะช่วงนี้มีอะไรวุ่น ๆ หลายอย่าง ทั้งเรื่องงาน เรื่องทื่บ้าน เลยไม่ค่อยได้มาเขียนเรื่องให้อ่านกัน ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

                      ยังไงก็หวังว่าจะติดตามต่อกันนะครับ  :bye2:
 

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณนะครับ ที่มาต่อ ดีใจมาก ๆ เลย ครับ  :m4:

ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและนายเอก เริ่มคืบหน้าแล้ว เย้ ๆๆ  :oni2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เวลาและความเอาใจใส่ต่างหากที่มีผลต่อความรัก
ถ้าอยู่ไกลแต่ให้ความสำคัญ สาคงไม่พลาดไปแบบนี้

เจ้าหนึ่งวางแผนทำอะไรนะ
จะสามารถละลายกำแพงน้ำแข็งที่ถูกพ่อสร้างขึ้นมาของคอมไปได้หรือไม่

รีบๆมาต่ออีกนะครับ

น้อยๆแต่สม่ำเสมอก็ดีครับ
คริคริ

ช่วงนี้ผมยังอ่านไม่ค่อยทันเลย นิยายเยอะมาก แต่อ่านแน่นอนครับเรื่องนี้ อิอิ

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
มาบอกว่า เริ่มติดเรื่องนี้อีกคนแล้วครับ อ่านแรก ๆ งงนิดหน่อย

แต่ตอนนี้ โอแล้วครับ

มาต่อด้วยนาครับ  :oni2:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วคร๊าบ


               ธารานั่งนิ่งเหมอมองออกไปน้องหน้าต่างรถแทคซี่อย่างเลื่อนลอย  ท้องฟ้าสีหม่นด้วยเมฆสีเทาไร้แสงอาทิตย์ส่องสว่าง เม็ดน้ำเม็ดเล็ก ๆ ตกกระทบที่หน้าต่างเกิดเป็นจุดสีใสประปลายเต็มทั้งบานกระจก
                “ฝนตก”เธอพึมพำเบา ๆ คล้ายพูดกับตัวเองพรางใช้นิ้วมือทั้งห้าลูปไปตามเม็ดฝนเหล่านั้น มันไม่ให้ความรู้สึกได ๆ เลย ไม่ร้อน ไม่เย็น ไม่ชื้นหรืออุ่น เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่อยู่ภายในใจเธอที่มันคล้ายด้านชากับความรู้สึกแบบนี้
                  “ธาชอบคอมใช่มั้ย” เสียงของหญิงสาวดังแว่วมาในหูคล้ายตอกย้ำความด้านชานั้นให้ยิ่งเจ็บปวด ธาราหลับตาลงและเอนหัวไปด้านหลังเหมือนต้องการลืมคำพูดเหล่านั้น ภาพเหล่านั้น แต่มันกลับยิ่งทำให้เธอมองเห็นมันชัดเจนยิ่งขึ้น
                   “ธา เราถามจริง ๆ นะ ชอบไอ้คอมมันใช่มั้ย” สาริณีถามขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังนั่งพิมพ์รายงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่าย มีเพียงแต่กิตติเท่านั้นที่หันมามองผู้ถูกถามอย่างงงงัน
                   “สา....”อีกฝ่ายร้องขึ้นพรางยิ้มและหัวเราะ “พูดอะไรบ้า ๆ .....”
                   “เอ้า...ถามจริง ๆ” สาริณีย้ำอีกครั้งพรางหัวเราะ “ไอ้คอมมันก็ไปแล้ว พูดมาเถอะมันไม่ได้ยินหลอก”
                    หญิงสาวเงียบไป
                    “งั้นก็จริงสิ.....ถึงได้ไม่ตอบแบบนี้”
                    “สา....”เสียงกิตติที่นั่งเงียบมาตลอดร้องขึ้นคล้ายต้องการปรามสาริณี
                     “ธา” หยิงสาวพูดต่อทำเป็นไม่ได้ยินที่ชายหนุ่มร้องเตือน “ที่เราพูดนี่ไม่ใช่ว่าเสือกหรืออะไรนะ....เพียงแต่เราว่าไอ้คอมมันเป็นคนเข้าถึงยากว่ะ”
                     “เพราะอะไรหลอ.....”ธาราพูดขึ้น
                     “ก็....มันไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร บางทีก็เหม่อ ๆ ลอย ๆ เหมือนคนคิดมาก มีอะไรก็ไม่บอกเอาแต่เก็บไว้คนเดียว”
                    “มันอาจจะเขินก็ได้มั้ง สาก็พูดไป”กิตติพูด “บางทีมันอาจจะไม่อยากให้คนอื่นมาเป็นห่วงเดือนร้อนแทนมันก็ได้......ผู้ชายมันก็เป็นแบบนี้ละ เรายังเป็นเลย”
                     สาว่าไม่ใช่หลอก......มันเหมือนกับคอมมันปิดตัวเองมากกว่า เหมือนมันไม่อยากให้ใครมายุ่ง มารับรู้ มาเห็นใจมัน เราว่าถ้าคบกับมันเป็นแฟนไป......ธาอาจจะเสียใจก็ได้นะ”
                    สิ้นคำของหญิงสาวความเงียบงันก็เข้าปกคลุมคนทั้งสามไว้อย่างแน่นหนาคล้ายโซ่ตรวนของนักโทษ ทั้งหมดเงียบไปหลายนาทีและเป็นธาราเองที่พูดขึ้นในที่สุด
                    “ถึงอย่างนั้นเราก็ยังอยากจะลอกดู”
                    "น้องว่าไรนะ.....”เสียงพนักงานขับรถหันมาถามด้วยเสียงอันดังจนหญิงสาวสดุ้ง
                    “ปะ....เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ธาราตอบไปพรางหันหน้าเหมอออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สายตาจ้องมองเม็ดฝนที่เริ่มตกลงมาหนาตามากขึ้น “ฝนตกใหญ่เลย...........” เธอพึมพำ


...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

                เจนภูมิเดินออกจากลิฟทันทีที่ประตูเปิดออกเผยให้เห็นอาคารจอดรถที่ค่อนข้างมืดทึบและมีรถจอดอยู่บางตา เสียงเม็ดฝนโปรยปรายลงมาทำให้ชายหนุ่มเหลือบมองออกไปด้านนอกผ่านผนังที่เปิดโล่งไร้สิ่งได้ ๆ กั้นขวาง

                   “ฝนตกนี่หว่า....”เขาพึมพำพรางเดินไปยังรถยนต์คันเก่าที่เขาซื้อมาเมื่อห้าปีก่อนด้วยเงินของตัวเอง ก่อนจะขับออกจากอาคารจอดรถของโรงพยาบาลพรางคิดหาจุดหมาย ปรกติถ้าเลิกงานตอนเช้าแบบนี้ส่วนใหญ่ชายหนุ่มจะไปเดินเล่นตามห้าสรรพสินค้า ซื้อเสื้อผ้า ของใช้ หรือไม่ก็ดูหนังไปพราง ๆ ก่อนจะกลับห้องเช่าและนอนเตรียมตัวทำงานต่อไป

                     แต่ในหนึ่งอาทิตย์ เขาจะพยายามเจียดเวลาวันหรือสองวันเพื่อจะไปหาหรือถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือไปเยี่ยมพี่สะใภ้ที่ดูอาการจะหนักขึ้นทุกวัน

                   “จะว่าไปแล้ว....วันนั้นก็ฝนตกแบบนี้นี่หน่า” ชายหนุ่มพึมพำพูดกับตัวเองอีกครั้งพรางเทียบรถจอดข้างทางริมบาทวิที เขาจ้องมองดูเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างเลือนลอยและไร้อารมณ์ก่อนที่ภาพความทรงจำเมื่อนานแสนนานมาแล้วจะเข้ามาฉุดดึงเขาให้จมลงสู่ภวังค์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

                    “ผมจะแต่งงานกับเดือนครับ.....”เสียงชายคนหนึ่งดังแว่วมาตามสายฝน เจนภูมิกระแทกคันเร่งพรางปล่อยครัชจนรถพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างแรง

                    “นี่แฟนพี่ ชื่อเดือน.....”เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เขาเป็นคนรูปร่างสูง ผิวสองสี รูปหน้าคมคายรับกับดวงตาที่แข็งและเป็นประกายแม้จะอยู่ใต้แว่นตาอันใหญ่ก็ตามบอกได้ถึงความเป็นคนตรงและกล้าหาญ อีกทั้งยังชอบพูดและหัวเราะเสียงดังจนบางครั้งมันก็นำเอาปัญหามาให้ “นี่ภูมิ น้องเรา แต่เราเรียก ไอ้หมอ” ชายหนุ่มหันไปพูดกับเดือนเต็ม หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ท่าทางเขินอาย เธอมีดวงตาที่หยีเล็กแต่ฉายแววแข็งกล้าไม่แพ้ชายหนุ่ม รูปจมูกเล็กเข้ากันดีกับดวงตาและรูปปากที่ไม่ใหญ่อีกทั้งผิวของเธอก็ไม่ขาวมากนักทำให้ผมเส้นที่ยาวลงมาถึงกลางหลังนั้นดูกลมกลืนกันดี แต่ดูรวม ๆ แล้วเธอก็ใช่ว่าจะเป็นคนสวยโดดเด่นอะไร เทียบกับผู้หญิงคนก่อน ๆ ของชายหนุ่มแล้วเธอดูจะธรรมดาไปเสียด้วยซ้ำ

                   “ส...สวัสดีครับ” เจนภูมิว่าพราวยกมือขึ้นไหว้ อีกฝ่ายรับไหว้อย่างเขิน ๆ

                   “สวัสดีค่ะ....” เดือนเต็มพูดพรางยิ้ม และในวินาทีนั้นเองที่ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่ รอยยิ้มของเธอช่างงดงามเหลือเกิน มีชีวิตชีวาเหมือนดอกทานตะวันยามเช้า สดใสเหมือนดวงอาทิตย์ สวยงามเหมือนสายรุ่งหลังฝนตก มันทำให้ชายหนุ่มหยุดหายใจไปหลายวินาที

                   “หมอ....ไอ้หมอ...กะจิตกะใจแกนี่จะให้พี่กับเดือนยืนตากฝนกันอย่างนี้หลอไง”เสียงชายหนุ่มผู้เป็นพี่เอ่ยขึ้นจนอีกฝ่ายหันกลับมา

                   “อะ...อ๋อ งั้นเข้าบ้านกันก่อนดีกว่า.....เดี๋ยวผมไปเรียกพ่อกับแม่มาให้”

                   เจนอนันต์พ่อของชายหนุ่มทั้งคู่นั้นเป็นชายท่าทางดุดันและแข็งกร้าวตามแบบของนายทหารชั้นสูง ร่างกายบึกบึน ดวงตาแข็งกร้าว ต่างกับกรรณิการ์ผู้เป็นมารดาที่ดูเรียบร้อย และยิ้มแย้มเสมอ

                  ทั้งห้านั่งลงบนโซฟารับแขกภายในบ้านไม้สองชั้นดูเรียบง่ายตามแบบอย่างของข้าราชการ ไม่หรูหราแต่ก็สมฐานะดี  เจนวิทย์กับเดือนเต็มนั่งประจันหน้ากับเจนอนันต์และกรรณิการ์ โดยมีเจนภูมินั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ห่างจากเจนวิทย์ไม่มาก

                    “ฮึ....”เสียงเจนอนันต์เค้นเสียงขึ้นจมูกพรางเซมองไปทางอื่น “หายไปเป็นปีสองปี....กลับมาคราวนี้มีอะไรกันละ”

                    “พ่อ...”กรรณิการ์ร้องปราม

                    “แม่นะเงียบไปเลยนะ......บทมันจะไปมันได้ลาสักคำมั้ย บทมันอยากจะกลับมามันก็มา ทำอย่างกับเราเป็นหัวหลักหัวตอ” แล้วก็เงียบ

                    “เออ...วิทย์ เป็นไงบ่างลูก....ดูผอม ๆ ไปนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยพรางเอื้อมมือไปแตะชายหนุ่มที่มือและใบหน้า “.....แล้วนี่ใครกัน หน้าตาท่าทางสะสวยเชียว”

                   “อ๋อ...นี่เดือนครับ แฟนผม เดือนนี่แม่เรา ส่วนนี่พ่อเรา”

                   “สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยพรางไหว้

                   “เจริญ ๆ นะลูกนะ”

                   “สวัสดีค่ะ.....” หญิงสาวหันไปไหว้ผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายยังหันหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยังพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้

                   “แล้วคบกันมานานหรือยังละ....ไปเจอะกันได้ยังไงกันฮึ”

                   “ผมกับเดือนเจอกันตอนเรียนมหาลัยนะครับ....คบกันมาได้ห้าหกปีแล้ว”

                   “อ๋อ.......”เจนภูมิเห็นกรรณิการ์หันไปมองผู้เป็นสามีครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “แล้วบ้านเราอยู่ไหนละฮึ...”

                  “บ้านหนูอยู่บางใหญ่ค่ะ...” เดือนเต็มตอบพรางยิ้ม

                  “อ๋อ...ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลนิเน้อ” ผู้เป็นแม่เอ่ยพรางยิ้มตอบ “แล้วเป็นไงบ่างลูก เห็นหมอเขาบอกว่าเราทำงานเป็นนักขงนักข่าวหลอไง”

                 “ครับ...ตอนนี้เป็นทั้งช่างภาพเป็นทั้งนักข่าวให้หนังสือพิมพ์....”เจนวิทย์ตอบพรางมองมาที่ชายหนุ่ม เขานั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

                 “ก็ไอ้แค่นักข่าวกระจอก....มันจะมีอนาคตอะไร”เสียงเจนอนันต์เอ่ยขึ้นลอย ๆ แต่น้ำเสียงดุดันอย่างคนมีโทสะ

                  “ครับ....ก็ถ้าหนังสือพิมพ์ไม่เจ๊งไปก่อนก็ยังพอมีอยู่บ่าง.....”ว่าแล้วก็หัวเราะจนเจนภูมิอดหัวเราะตามไม่ได้ 
 
                  “จริง ๆ ด้วยสิ” กรรณิการ์เอ่ยพรางหัวเราะน้อย ๆ “ว่าแต่.....ที่มาคราวนี้มีธุระอะไรสำคัณหรือเปล่าฮึ.....จะว่าก็ว่าเถอะนะ....วิทย์ ตอนจะไปเราก็ไม่ได้ลาแม่ลาพ่อเลยสักคำนะ แม่กับพ่อก็เป็นห่วงกันแทบแย่ ตามหากันแทบตาย นี่ดีนะหมอเขามาบอกว่าเราได้งานทำแล้วเลยไป แม่เลยหายห่วงไปได้เปราะหนึ่ง....คิดอะไรอยู่กันแน่นะเรานะ”

                  ชายหนุ่มเงียบไปไม่ตอบ เจนภูมิเห็นเขากุมมือของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไว้แน่นคล้ายต้องการความแน่ใจ หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ

                    “พ่อครับ แม่ครับ” เจนวิทย์พูดขึ้นในที่สุด “.....ผมจะแต่งงานกับเดือนครับ....”                   
                 
                   เสียงฟ้าฝ่าดังกัปนาทดังขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบคำบันดานให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันที่เย็นยะเยือกยาวนาน

                     “คุณพระ.....”และเป็นกรรณิการ์เองที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบนั้น เธอเอามือทาบหน้าอกแน่นพรางเอนหลังและหลับตาลง ส่วนสามีของเธอนั้นยังเซมองไปทางอื่น แต่สีหน้าและแววตาของเขาซีดเพือดไร้สีเลือดอย่างเห็นได้ชัด

                      “จริงหลอพี่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

                     “ที่จริงพูดว่า “จะ” ก็ไม่ถูกนักหลอนนะ”เจนวิทย์ว่าพรางหันไปยิ้มกับเดือนเต็ม “พี่กับเดือนไปจดทะเบียนสมรสมาเมื่อเช้านี้แล้ว”
 
                    “โอย.......หมอ...หมอ...ไปเอายาดมมาให้แม่ที...” กรรณิการ์ร้องครวนอย่างคนเหนื่อยอ่อนเจนภูมิรีบวิ่งไปตามคำก่อนจะกลับมาพร้อมกับยื่นยาดมให้อีกฝ่าย เธอรับไปดมสองสามครั้งก่อนจะกลืนนำลายอึกใหญ่และพูดต่อ “ทำไมรีบร้อนนักละลูก อายุก็เท่านี้เอง.....แม่เข้าใจนะว่ารักกัน ไอ้จะคบกันหรือจะอะไรกันแม่ก็ไม่ว่าหลอก......แต่ไม่คิดว่ามันเร็วไปสักหน่อยหลอ”

                   “คือเรื่องนั้น.......” เดือนเต็มเอ่ยขึ้นแต่เจนวิทย์ปราบเธอไว้เจนภูมิเห็นเขาบีบมือของหญิงสาวแน่น เธอหันไปมองและเงียบลงคล้ายเข้าใจ

                   “เรื่องนั้นผมกับเดือนเข้าใจดีครับ” เจนวิทย์ว่า “แต่ผมอยากจะทำให้มันถูกต้องเร็วที่สุด ถ้ามันยืดเยื้อนานออกไปมันจะไม่ดีกับทั้งเดือนแล้วก็ลูกผมด้วย.......”

                     “ลูกหลอ.....”กรรณิการ์ทวนคำ

                    “ฮึ”เจนอนันต์แค้นเสียงขึ้นจมูกหนึ่งทีพรางส่ายหน้าแต่เจนภูมิก็ยังแห็นสีหน้าของบิดาที่ดูสับสนและงุนงงอยู่ไม่น้อย “งั้นก็ท้องก่อนแต่งละสิ......”

                    หญิงสาวและชายหนุ่มรับคำพร้อมกัน

                    “แกนะไอ้วิทย์”ชายกลางคนว่าพรางชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มโดยไม่สนใจเสียงภรรยาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่คอยปราม น้ำเสียงเขาดูจะมีโทสะแฝงอยู่มากขึ้นจนเจนภูมิตกใจ แต่โทสะนั้นหาใช่ในแบบที่ต้องการฆ่าฟันอย่างสัตรู แต่เป็นโทสะในฐานะพ่อที่สั่งสอนลูก “แต่ไหนแต่ไร้มาแกมันก็ชอบแหกกฎแหกคอกอยู่เลื่อยไม่เป็นโล้เป็นพาย หัวดื้อก็ที่หนึ่ง สักอยากจะทำก็ทำ ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เวลาฉันพูดฉันสอนอะไรไปก็ทำเป็นเดินหนีหูทวนลม แล้วเป็นยังไงละห๊ะ.......ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว” จบคำชายกลางคนก็หอบหายใจถี่พรางเอามือกุมหน้าอกแน่น

                   “คุณค่ะใจเย็น ๆ ก่อน....หมอ ไปเอายาให้พ่อทีลูก...” กรรณิการ์ว่าพรางเอามือเข้าไปประคองผู้เป็นสามีไว้ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นทำตามคำมารดาอย่างเร็ว เขาวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของบิดาและคว้าขวดยาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงก่อนจะตาลีตาลานวิ่งลงมาและยืนขวดยาให้ผู้เป็นแม่
ชายหนุ่มกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมพรางมองไปยังหญิงสาวคนนั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตรงหน้าเป็นแบบนี้ หญิงสาวที่ดูเสียขวัญอยู่แล้วยิ่งดูเสียขวัญขึ้นมากกว่าเดินหลายเท่าตัว หน้าเธอซีดลงไร้สีเลือดหล่อเลี้ยง นิ้วมือบีบกันแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาว ดวงตาเธอหมองและมองต่ำลงด่านล่าง

                   หลังจากซัดยาเข้าปากไปและหายใจลึก ๆ สองสามครั้งชายกลางคนก็ดูจะกลับมาเป็นปรกติดี

                  “แม่หนู......” เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนเพลียเล็กน้อย “กี่เดือนแล้ว....”

                  “ค่ะ.....”หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สีหน้าของเธอซีดขาวกว่าเดิมมาก

                  “ฉันถามว่า กี่เดือนแล้ว”

                  “ก็....”เธอลากเสียงยาวพรางมองเจนวิทย์อย่าวเกรง ๆ เจนภูมิเห็นพี่ชายพยักหน้าตอบเธอ เธอจึงเอ่ยต่อ “สองเดือนแล้วคะ”

                 “งั้นหลอ......”ชายกลางคนว่าพรางแอนหัวไปด้านหลัง ดูเขาจะอารมณ์เย็นลงมาก เจนภูมิสังเกตจากน้ำเสียงและสีหน้า“นี่ฉันจะเป็นปู่แล้วหรือนี่.....”

                  “นั้นสิ..แม่ก็เป็นย่าด้วย”ผู้เป็นมารดาเอ่ยคล้ายต้องการลดความตึกเคลียดลง “.....อะไรกัน ทั้งที่ยังสวยขนาดนี้แท้ ๆ”จบคำก็รัวเราะร่วน

                   เจนภูมิจึงเข้าร่วมวงตาม“งั้นผมก็เป็น....”เขาแกล้งทำท่าว่าพรางนับนิ้วตัวเองไปมา

                   “หมอก็เป็นอาไง”เดือนเต็มที่ตอนนี้ดูจะคลายความตึงเครียดไปมากเอ่ยบอก

                    “อะไรของแกไอ้หมอ เรียนจะจบหมออยู่แล้วแค่ลำดับญาติยังไม่ถูกอีก” เจนวิทย์พูดพรางเอื้อมมือไปขยี่ผมของชายหนุ่มแรง ๆ

                     “แหม่พี่ คนเรามีฉลาดก็มีโง่บ่าง ปน ๆ กันไป”ว่าแล้วก็ชกอีกฝ่ายเข้าที่แขนแรง ๆ เป็นเชิงเอาคืน

                     “เอานี่ ๆ ....พอได้แล้วเล่นกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้ หัดอายแม่เดือนเข้าบ่างสิ”เสียงเจนอนันต์เอ่ยขึ้น จนเจนภูมิต้องหยุดมือ แต่ดูเหมือนโทสะในน้ำเสียงของเขานั้นจะอัทธานหายไปจนหมด “งั้นก็มาเถอะแม่...” ชายกลางคนว่าพรางลุกขึ้น

                     “ไปไหนกันพ่อ....นี่ลูกพึ่งมา ให้ฉันคุยกับลูกให้หายคิดถึงก่อนไม่ได้หรือไง”

                     “เอ้า.....ก็ไปแต่งตัวเตรียมตัวไปคุยกับพ่อแม่ของแม่เดือนนี่ไงละ ว่าที่พ่อตาแม่ยายของไอ้วิทย์ไง...รับรอง แม่ได้คุยจนหน่ำใจแน่”

                      “จริงด้วยสิ” เธอเอ่ยพรางมองมายังคนทั้งคู่ “....งั้นรอแม่ก่อนนะ....”หญิงกลางคนว่าพรางเตรียมตัวลุกตามสามีไป แต่เจนวิทย์ห้ามไว้

                       “ไม่ต้องหลอกครับแม่....พ่อ.....”

                         “ทำไมละ....” กรรณิการ์นั่งลงอีกครั้ง “ไม่ได้หลอกยังไงแม่กับพ่อก็ต้องไป ต่อให้เราไปคุยมาแล้วพ่อกับแม่ก็ต้องไปเจอเขาหน่อย ไม่งั้นน่าเกลียดตายเลย”

                       “ไม่ใช่อย่างนั้นหลอกครับ....คือ...”เจนวิทย์ทำสีหน้าลำบากใจ เจนภูมิเห็นชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาว เธอยิ้มน้อย ๆ พรางพยักหน้า

                       “พ่อกับแม่หนู....ท่านไม่อยู่แล้วนะค่ะ......”
   
                       สิ้นคำ กรรณิการ์ก็มองหน้าผู้เป็นสามีที่บัดนี้หย่อยกายนั่งลงที่เดิมอีกครั้ง
   
                      “มันยังไงกัน...ไหนเล่ามาให้แม่ฟังซิ”
   
                       หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ก่อนว่าต่อ “พ่อหนูเสียตอนหนูอายุห้าขวบนะค่ะ ท่านรถคว่ำตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด ส่วนแม่หนูก็ไปมีสามีใหม่ทิ้งหนูไว้กับปู่ตั้งแต่หกขวบ ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้คุยหรือติดต่อมาอีก”

                      “อะไรกัน....”ชายกลางคนเอ่ยเบา ๆ “แล้วปู่หนูละ...”

                        หญิงสาวยิ้มเศร้า ๆ พรางตอบ “พอหนูอายุสิบเจ็ด ท่านก็ถูกงูกันตอนออกไปรับจ้างเขาทำสวนนะค่ะ นอนเจ็บอยู่สองวัน ก็เสีย”

                        “ตายจริง....”กรรณิการ์เอ่ยพรางเอามือขึ้นแนบอก “แล้วลุงป้าน้าอาญาติพี่น้องหนูละ....”

                         รอยยิ้มของเธอยังคงไม่เลือนหายไปเต่เจนภูมิรู้สึกราวกับว่ามันคล้ายเป็นเหมือนการเย้ยหยันในความโชคร้ายของตัวเธอเอง “พ่อหนูท่านเป็นลูกคนเดียว...ส่วนญาติทางแม่หนูก็ไม่รู้จักใครสักคน....ถึงรู้จักเขาก็คงไม่ช่วยอะไรหนูอยู่ดี....”

                        “นั้นสินะ....” หญิงกลางคนว่า “งั้นเราก็ตัวคนเดียวสิ....อะไรกัน อายุอานามก็ยังแค่นี้แท้ ๆ....แล้วไหนเจ้าวิทย์ว่าหนูเรียนจบที่เดียวกันไม่ใช่หลอ”

                        “ค่ะ...”เธอตอบ “หนูสอบได้ทุนเรียนเลยจบมาได้....”

                          “ตอนที่เรียนจบ...”เจนภูมิหันมาทางเจนวิทย์ที่เอ่ยขึ้นพรางกุมมือหญิงสาวแน่น “ผมก็ถามเดือนว่า แล้วจะเอายังไงต่อ จะกลับบ้านที่บางใหญ่หรือยังไง เดือนเขาถึงเล่าให้ฟัง แต่กว่าจะเล่าให้ฟังก็เค้นกันอยู่นาน พอรู้ว่าเขาตัวคนเดียวไม่มีที่ไปผมก็เลยตัดสินใจออกจากบ้านแล้วก็ไปเช่าห้องอยู่กับเดือนเขา”

                           “เรานี่จริง ๆ น้าวิทย์ ทำไมไม่บอกแม่ดี ๆ ละ” เจนภูมิเห็นกรรณิการ์พูดพรางขมวดคิ้วเล็กน้อย

                           “ผมเองก็อยากบอกนะครับ....แต่ผมไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่มากกว่านี้....อีกอย่างเรื่องนี่ไม่เกี่ยวกับเดือนเขาหลอกครับ ผมตั้งใจไว้นานแล้วว่าถ้าเรียนจบก็จะย้ายออก”

                            “จริง ๆ ครับแม่”เจนภูมิเอ่ย “พี่เข้าพูดให้ผมฟังหลายครั้งแล้ว”

                            “ให้ได้อย่างนี้สิลูกฉัน.....” หญิงกลางคนว่าพรางถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะหันไปทางสามี “เอายังไงดีละพ่อ.....”

                            อีกฝ่ายตอบด้วยการถอนหายใจยาวและเอนตัวมาด้านหน้าพรางชันข้อศอกไว้กับเข่าของตัวเอง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นบอกถึงการใช่ความคิดอย่างหนัก และในสามนาทีต่อมา ริมฝีปากที่แม้นจนกลายเป็นเส้นตรงก็เปิดออก “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น พรุ่งนี้ตอนเช้าให้แกกับไอ้หมอไปย้ายข้าวของกลับมาอยู่ที่บ้านนี่”

                            “แต่พ่อ.....”เจนวิทย์เอ่ยคล้ายต้องการประท้วง

                             “นี่ฉันไม่ได้ขอแกนะ....”ชายกลางคนพูดน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะลดน้ำเสียงลงมาและว่าต่อ “ถ้าไม่เห็นแกหัวหลักตัวตออย่างฉันกับแม่แก ก็เห็นแก่เมียกับลูกแกจะได้มั้ย.....ตอนแกออกไปทำงานใครจะดูแลเขาห๊ะ.....ถ้าลูกแกเมียแกเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ.....”

                             “พ่อเขาก็พูดถูกนะวิทย์ อยู่ด้วยกันที่นี่แม่ยังดูแลเมียเราได้ ยิ่งท้องแรกแบบนี้ ต้องยิ่งระวังนะรู้มั้ย......” ถึงกรรณิการ์จะพูดแบบนั้นแต่เจนภูมิก็ยังเห็นผู้เป็นพี่ชายมีสายตาแข็งกล้าอย่างคนรั้นและหัวแข็งไม่คลาย หญิงกลางคนก็คงสังเกตเห็นเช่นกันเธอจึงถอนหายใจก่อนพูดต่อ“อะไรที่ลดได้ก็น่าจะลดกันมาบ่าง ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองเป็นใหญ่ เราไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วนะวิทย์ คิดตรงนี้บ่างสิลูก เราจะเป็นพ่อคนแล้วนะ...พ่อเขาก็ถ่อยไปก้าวหนึ่งแล้ว เราก็น่าจะลองถอยดูบ่างนะ”

                                 พอจบคำเจนภูมิก็เห็นสายตาของเจนวิทย์อ่อนลง เขามองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พรางกุมมือเธอไว้แน่น คนทั้งสองมองตากันอยู่นาน จนเจนภูมิเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม
                                  “อย่างนั้นก็ได้ครับ.....”ในที่สุดเจนวิทย์ก็เอ่ยตอบพรางยิ้มน้อย ๆ   
   



                                 เจนภูมิค่อย ๆ แตะเบรกให้รถหยุดตรงหน้าบ้านทาวเฮ้าส์เก่า ๆ หลังหนึ่ง มันเป็นบ้านที่เขาคุ้นเคยดีเพราะพี่สะใภ้และลูกชายของเธออาศัยอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มค่อย ๆ เคลื่อนกายออกมาจากรถก่อนจะเดินไปหยิบข้าวของสองสามอย่างจากด้านหลังและเดินเข้าบ้านไป

                                   ภายในบ้านเงียบอย่างประหลาด 

                                  “คอมไปทำงานแล้วมั้ง....”ชายกลางคนพึมพำพรางยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู มันบอกเวลาห้าโมงเย็นตรงพอดี
                       
                                   เจนภูมิลดมือลงช้า ๆ พรางเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ทอดตัวยาวขึ้นไปบนชั้นสอง  ไม่นานเขาก็มาอยู่ที่หน้าห้องของหญิงคนนั้น ชายกลางคนค่อย ๆ ใช้มือข้างหนึ่งดันประตูที่ไม่เคยล๊อกบานนี้ให้เปิดออก ภายในนั้นดูสะอาดเรียบร้อยอย่างประหลาด มีขวดเหล้าขวนดหนึ่งว่างอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ผู้เป็นอาคิดเอาเองว่าหลานชายของตนคงพึ่งเข้ามาทำความสะอาดเมื่อเร็ว ๆ นี่เป็นแน่ บนเตียงนั้นมีร่างของหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ ผมที่ยาวและกระดำกระด่างนั้นนอนตัวสยายไปทั่วทั้งหมอนและปรกครุมใบหน้าที่หันข้างไว้จนหมด แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถบกปิดผิวที่ซีดเหลืองของหญิงกลางคนได้เลย มือเธอข้างหนึ่งยกขึ้นอยู่เหนือหัวส่วนอีกข้างก็วางตัวยาวราบไปกับข้างลำตัว
   
                                       เมื่อเห็นอย่างนี่แล้ว เจนภูมิก็แทบอดกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาค่อย ๆ เดินไปนั่งข้าง ๆ ร่างนั้นพรางใช้นิ้วของตัวเองปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของเธอออก เผยให้เห็นดวงหน้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยจำได้ว่ามีรอยยิ้มที่งดงามแค่ไหน สดใสแค่ไหน และไม่ว่าที่ไดที่เธอเหยียบย่างไป เธอมักทิ้งความสุขและอบอุ่นไว้ให้คนใกล้ตัวเสมอ แต่บัดนี้ เธอผู้นี้กลับกลายเป็นใครบางคนที่เจนภูมิไม่รู้จักอีกต่อไปแล้ว
 
                                        หญิงผู้อมทุกข์ผู้นี้เป็นใครกัน บางครั้งเขาก็ถามตัวเองเช่นนี้ หญิงผู้จมปรักอยู่กับอดีตที่แสนเจ็บปวด หญิงที่ทำร้ายตัวเองและตัดทิ้งทุกสิ่งในโลกนี้ไปราวกับเป็นร่างกายที่ไร้จิตใจผู้นี้เป็นใคร เธอจะรู้หรือเปล่าว่าการทำเช่นนี้นั้นทำร้ายทั้งตัวเธอเอง ความรู้สึกของตัวเธอเอง และคนรอบข้างอย่างแสนสาหัส

                                        เจนภูมิค่อย ๆ ใช้มือลูบใบหน้านั้นราวกับต้องการหาคำตอบที่อยู่ภายใต้ผิวหนังและเลือดเนื้อของหญิงกลางคน และมันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะไม่ได้คำตอบของคำถามนั้นตลอดไป   

...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

                  “นั้นมันรถอาหมอนิหว่า.....”เจนศิลป์พึมพำคล้ายพูดกับตัวเองก่อนจะหันไปบอกพิราบ “เดี๋ยวหนึ่งจอดตรงนี้ก็ได้....” จบคำไม่นานรถก็ชะลอตัวและหยุดลง

                       เจนศิลป์ค่อย ๆ หยิบกระเป๋ากล้องขึ้นสะพายและตั่งท่าจะลงจากรถก่อนที่พิราบจะเรียกไว้

                       “เรื่องวันนี้นะ......เราขอโทษด้วยนะ” พิราบว่า “ทำคอมเสียเวลาไปตั้งนาน”

                       “ไม่เป็นไรหลอก วันนี้ก็สนุกดี”เจนศิลป์ว่าพรางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลงจากรถ ก่อนจะหันมาก้มตัวลงมองอีกฝ่าย “เพราะยังไงวันนี้ประกันที่ว่าก็คงไม่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยละ....”จบคำชายหนุ่มก็ปิดประตูและเดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถต้องยิ้มกับความไม่เอาไหนในการโกหกของตัวเอง “รู้ทันซะได้....”เขาพึมพำก่อนจะเคลื่อนรถออกไป

                       เจนศิลป์เดินดุ่ม ๆ ตรงไปที่ห้องของมารดา เขาผลักประตูเข้าไป ก่อนจะเห็นเจนภูมิกำลังห่มผ้าให้กับผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มอยู่ 

                      “อาหมอมานานแล้วหลอครับ....”
 
                      อีกฝ่ายหันมาที่ชายหนุ่มช้า ๆ ก่อนตอบ

                      “ก็สักพักแล้วละ นี่ก็พึ่งให้แม่เรากินข้าวแล้วก็นอนไป.....แล้ววันนี้ไม่ได้ไปทำงานหลอ...”

                      ชายหนุ่มทำหน้าลำบากใจก่อนตอบ “ครับ....”

                     อีกฝ่ายเงียบไปจนเจนศิลป์เริ่มทำตัวไม่ถูก

                      “คอม....”เจนภูมิพูดขึ้นในที่สุด “เดี๋ยวขึ้นไปรออาบนห้องเรานะ สักพักอาจะขึ้นไป....มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”

                       “ครับ...”ชายหนุ่มรับคำด้วยความงงงันก่อนจะค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนห้องของตัวเอง

                    เมื่อมาถึงห้อง ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ วางกระเป๋ากล้องลงบนที่นอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนนั้นอย่างอ่อนแรง วันนี้เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อย พิราบพาเขาเดินไปทั่วห้างจนขาเขาเมื่อยไปหมด ปากก็ชวนคุยไม่หยุด เดี๋ยวก็ถามนั้น ถามนี่ จนบางครั้งชายหนุ่มก็คิดขึ้นว่าที่ทำแบบนี้อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ ทำเป็นใจดีเลี้ยงข้าว พาเดินเที่ยว

                   “คนแม่งสบายจนไม่มีไรทำ....”เขาพึมพำกับตัวเองก่อนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจนศิลป์ผุดลุกขึ้นทันทีและเปิดประตู
เจนภูมินั้นเอง เขาเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะว่างขวดเหล้าเปล่าขวดหนึ่งไว้บนโต๊ะหนังสือของชายหนุ่ม

                  “นี่มันอะไรคอม....”เขาว่าพรางหันมามองเจนศิลป์ด้วยสายตาดุดัน

                   “ก็...ขวดเหล้าเปล่าไงครับ....”ผู้เป็นหลานตอบพรางยิ้มทำใจดีสู้เสือ แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ เขาหันไปหมุนด้านขวดเหล้าด้านที่มีแผ่นสติกเกอร์สีขาวแปะอยู่ให้ชายหนุ่มดู ที่หัวของสติกเกอร์นั้นมีชื่อผับที่เจนศิลป์เคยทำงานประทับอยู่ ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี

                  “นี่เราเอาเหล้าที่ร้านมาให้แม่เรากินใช่มั้ย....” อีกฝ่ายคาดคั้น

                 “ครับ ก็เหล้าของลูกค้า มันเลยกำหนดฝากแล้วก็เลยเอามา”

                 “ทำไมละคอม....นี่เราคิดอะไรอยู่กันแน่เนี้ย”

                 ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบ

                “มันก็ดีกว่าจะไปซื้อไม่ใช่หลอครับ....”เขาว่าพรางพยายามฝืนยิ้ม “ลดค่าใช้จ่ายไปได้ตั้งเยอะ”

                 “ไม่ใช่อย่างนั้นสิคอม อาหมายถึงว่า เราคิดอะไรอยู่กันแน่ที่เอาเหล้ามาให้แม่เขากินแบบนี้ อารักษาแม่เขาก็เพื่อที่จะไม่ให้แม่เขากินมากกว่านี้ แต่เราก็เอามาให้แม่เขากินตลอด.....ตกลงนี่คอมอยากให้แม่เขาหายหรือเปล่า”

                  “อยากสิครับอา....แต่อาหมอ แม่เขาเป็นแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้วนะ ผมก็ลองทำทุกอย่างอย่างที่อาหมอบอกแล้ว ไม่เห็นเขาจะดีขึ้นมาเลย.....ผมก็เคยคิดว่าอย่างนี้คงดีกว่า”

                 “แบบนี้แบบไหน...แกหมายถึงอะไร คอม”

                 “ก็ปล่อยให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการไง อยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ ผมเองก็หมดปัญญาจะไปห้ามไปอะไรเขาแล้ว”
 จบคำเจนภูมิก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด ราวกับว่า เขาไม่เข้าใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว

                 "หมายความว่ายังไงกันห๊ะคอม..นี่แก” ผู้เป็นอาทำหน้าเจ็บแค้นก่อนจะถอนหายใจยาว “......อาไม่อยากจะเชื่อว่าแกจะคิดแบบนี้เลยนะ ถ้าพ่อแกรู้เข้าเขาคงผิดหวังมากที่ลูกชายดูแลแม่แบบนี้”

                 ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งทีพรางยิ้มที่มุมปากอย่างเจ็บปวดก่อนจะเบนสายตามองไปทางอื่นและตอบอีกฝ่าย

                  “พ่อเขาไม่ผิดหวังอะไรทั้งนั้นหลอกครับอา.....เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรมานานแล้ว....”

                 จบคำ อีกฝ่ายถึงกับเงียบไปและจ้องหน้าชายหนุ่มราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง “นี่แก......แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรนะ”

                 “ผมรู้ดีครับ รู้มานานแล้วด้วย อาก็นาจะทำใจยอมรับได้แล้วนะครับ”

                  “หุบปากเดี๋ยวนี้นะไอ้เด็กอวดดี......”เจนภูมิตวาดก้อง “คิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ ถึงได้พูดแบบนี้กับฉัน”
ชายหนุ่มเงียบไปจนอีกฝ่ายพูดขึ้น

                   “ในเมื่อแกคิดแบบนี้ ฉันกับแกก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว.....”จบคำเจนภูมิก็เดินออกไปจากห้องปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกไปจากหน้าบ้าน

                   “ทำแบบนี้จะดีหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจนชายหนุ่มต้องหันไปมอง ต้นเสียงนั้นเป็นหญิงรูปร่างผอมในชุดฟอร์มประหลาด ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าเธอคือพนักงานในร้ายเอ็มเคสุกี้

                   “คุณจะมาเข้าใจอะไร....”เจนศิลป์พึมพำตอบก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ อีกฝ่ายแบบมือขอเขาจึงหยิบใส่มือเธอไปหนึ่งมวลและเดินไปนั่งบนขอบหน้าต่าง

                    “ถูกต้องแล้วเด็กน้อยเอ๋ย.....ข้าไม่เข้าใจสิ่งไดเลยแม้แต่น้อย”เธอว่าพรางพ่นควันสีขาวออกมา “แต่ชายคนนั้นดูเจ็บปวดมากเลยนะ....”

                    “งั้นหลอ....” ชายหนุ่มตอบพรางสีหน้าหมองลง “สิ่งที่ผมพูดออกไปอาจจะผิดก็ได้”

                     แล้วทั้งสองก็เงียบไปคล้ายถูกจองจำอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปล่อยให้ควันสีเทาหม่นลอยมวนตัวไปมาอยู่ละหว่างคนทั้งสอง

                    “แต่สิ่งที่เจ้าพูดไป....” ในที่สุดอมรก็พูดขึ้น “มันก็เป็นความจริงมิใช่หรือ....และมันก็เป็นการดีที่ชายคนนั้นจะยอมรับความจริง มิใช่หรือ.....”

                   “ก็คงใช่....” เจนศิลป์ว่าพรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ “แต่บางครั้ง สิ่งที่ดีก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไปหลอกนะ....บางครั้งการโกหกตัวเองไปวัน ๆ มันก็เป็นการดีเสียกว่า”

                  “ทำไมกัน....ข้าไม่เข้าใจ”

                 ชายหนุ่มหันมามองอีกฝ่ายพรางปล่อยควันสีขาวออกทางปาก “เพราะบางครั้งความจริงมันก็เจ็บปวดเกินไปนะสิ......เกินกว่าที่ใครสักคนจะยอมรับมันไหว....”

                 อมรละสายตาจากชายหนุ่มแต่ในดวงตายังฉายแววไม่เข้าใจอย่างเด่นชัด ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อเพราะทั้งกายและใจของเขาในตอนนี้หมดแรงและอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดหาคำพูดต่อไปได้

                “เจ้าว่าชายคนนั้น จะเข้าใจหรือไม่....”

               “อาหมอนะหลอ....” เขาว่าพรางเค้นเสียงขึ้นจมูก “เขาไม่เข้าใจหลอก”

                “ไม่ใช่....ข้าหมายถึงอีกคน คนที่เจ้าไปกินข้าวด้วยวันนี้ เขาจะเข้าใจเจ้าหรือไม่......”
   
               “หนึ่งนะหลอ......”ชายหนุ่มเงียบไป “คงไม่หลอก....”

               "ทำไมเจ้าจึงคิดเช่นนั้นละ....ชายคนนั้นบอกเจ้าอย่างนั้นหรือ”

                “ไม่ใช่หลอก แต่คนอย่างเขานะ......” เจนศิลป์หันไปมองสายตาของอีกฝ่ายที่เหมือนต้องการถาม “คนอย่างเขาที่มีคนคอยยัดทุกอย่างใส่มือให้ตลอดแบบนั้นนะ จะไปเข้าใจอะไร.....”

                  “ทุกอย่าง....งั้นหรือ” อมรทิ้งหางเสียงไว้คล้ายต้องการคำตอบ “ทั้งที่ข้าคิดว่าเจ้าทั้งสอง เหมือนกันขนาดนั้นแท้ ๆ .......”

                  ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากอย่างขมขื่น “ยังไง...เขามีรถดี ๆ ใช้ ส่วนผมแค่ล้อข้างเดียวยังไม่มีปัญญาซื้อเลย เขามีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่เป็นสิบ ๆ ส่วนผมมีแค่เสื้อสี่ตัวกับกางเกงยีนส์ตัวเดียว เขามีเงินใช้ทั้ง ๆ ที่เอาแต่หายใจไปวัน ๆ ส่วนผมต้องทำงานแทบตายเพื่อให้ได้เงินใช่ไปถึงสิ้นเดือน ผมกับเขาแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย นอกจากเป็นคนเพศผู้เหมือนกัน”

                  อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังคล้ายขันในคำพูดของอีกฝ่าย “อาจจะใช่ก็ได้นะ.....แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ชายคนนั้นเหมือนกับเจ้า เชื่อข้าเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย....บางอย่างนั้นที่แม้แต่ รถ เสื้อผ้า หรือเงินตราก็มิอาจจะซื้อหาได้.....”

                 เจนศิลป์อ้าปากคล้ายต้องการพูดต่อ แต่อีกฝ่ายกลับตัดบท “ข้าต้องไปแล้ว....” เธอคนนั้นว่าพรางทิ้งก้นบุหรี่ลงขวดน้ำและเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามหลังด้วยสายตางงงันก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น 


...

เดาซิใครโทรมา   :o8: :o8:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                      หวาดดีคร๊าบ...................มาต่อแล้วนะครับ ยังไงก็ฝากเม้มกันมาก ๆ ด้วยละกัน

                          ตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่ร้านได้เกือบเดือนแล้วน่าเบื่อม๊าก มาก (บอกหรือยังว่าผมทำงานอยู่ผับของพี่สาว.....คงยังมั้ง....) เน็ตก็มะมี โทรทัศน์ก็ไม่มี ไม่มีส้นตีนส้นมืออะไรสักอย่าง มีแต่คอมเครื่องน้อย ๆ เอาไว้ดูหนังฟังเพลงแล้วก็เขียนเรื่องไปเรื่อย ๆ ตกดึกก็ทำงาน ตื่นมาก็ทำโน่นทำนี่แป๊บเดียวก็หมดไปอีกวัน ฟงแฟนก็ไม่มีกับเขา เศ้ราจายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยจางงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงเงิยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

                          เขาว่าเวลาอายุยี่สิบแล้วคนเราจะคิดถึงความสุขในอนาคตมากขึ้น ส่งสัยท่าจะจริงนะครับ เพราะช่วงนี่ผมเอาแต่คิดว่าอีกสิบปียี่สิบปีเราจะเป็ยยังไง ยังจะลอยไปลอยมาเป็นผีลืมหลุมอยู่อย่างนี้หรือเปล่านะ.......หรือว่าจะกลายเป็นอะไรไป....บางก็เหงาเข้าเส้นเลือดอยากมีคนคุยด้วยสักคน แต่พอมาคิดดูแล้ว ผมเองอาจจะไม่เหมาะกับความรักก็ได้มั้งครับ.....มีกี่ครั้งก็พังไม่เป็นท่า เลยเขียนเรื่องแก้เหงาไปวัน ๆ แล้วก็หวังว่าสักวัน จะเจอใครสักคนเท่านั้นเอง ถ้าอีกยี่สิบปีผมยังเขียนเรื่องอยู่ได้ก็ดีสินะครับ......อย่างน้อยมันก็เป็นไม่กี่อย่างที่ผมทำแล้วมีความสุข ผมเองก็เชื่อเสียเหลือเกินครับว่าเมื่อถึงวันนั้นคงจะมีสักคนที่อยู่เคียงข้างเราได้และตลอดไป แต่นับวัน ความเชื่อนั้นก็เหมือนจะค่อย ๆ เหือดหายเหมือนเม็ดนำค้างบนใบหญ้าตอนเช้า อีกไม่นานมันก็คงเหือดแห้งหายไปกับแสงอาทิตย์.........

                          ปล. เขาว่าน้องพิช รักแห่งสยาม เป็นหลีดของธรรมศาสตร์จริงเปล่าครับ ถ้าจริงก็น้า...................อุส่าปลี้มเสียงร้อง



 :bye2:
 

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ เลือกชะตาไม่ได้ แต่เลือกที่จะกำหนดความสุขให้ชีวิตไม่ได้

อย่างผมสิ... วัน ๆ ทำแต่งาน เช้ายันเย็น วัน ๆ เจอผู้คนมากมาย ก่ายกอง น่าเบื่อ อยู่ในห้องประชุมเกือบทุกวัน

มองดูน่าเบื่อนะ แต่ผมกลับคิดว่ามีความสุข เพราะเราได้เจอผู้คน ได้แชร์ความคิด ไม่ต้องนั่งคิดอยู่คนเดียว

เลิกงานมาตอนเย็น ก็มาท่องเน็ตบ้าง อ่านหนังสือบ้าง อ่านนิยายในบอร์ดบ้าง ก็มีความสุขดีครับ

เรื่องงาน คิดว่า มีงานทำดีกว่าไม่มีนะครับ

---------------

คนโทรมาเดาว่า ไม่ "ธารา" ก็ "พิราบ" ครับ หุหุ พิราบคงชอบ "เจนศิลป์" เข้าแล้วล่ะ

แอบดีใจครับ ที่มาต่อแบบยาว ๆๆ  :m1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
คิดว่าไม่เป็น นายพิราบ ก็ธารา แหละ

ความน่าจะเป็นคือ พิราบ  :o8:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                   
  มาแล้วคร๊าบ



                           พิราบเดินออกมาจากห้องน้ำโดยสวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวและใช้มือข้างหนึ่งถูผ้าเช็ดตัวสีขาวไปมาทั่วศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดู มันบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที

                          “จะนอนหรือยังน้า” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างด้านหนึ่งข้องห้อง สายตาก็จ้องมองไปที่บ้านทาวเฮาส์ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ดวงไฟที่ชั้นสามยังส่องสว่างอยู่ อีกทั้งที่หน้าต่างยังมีเงาราง ๆ ของใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
พิราบยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวพรางยกโทรศัพท์ขึ้นกด แต่แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง

                           เขาจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน......คำถามนั้นค่อยซึมลึกลงไปในสมองและกัดกินวิญาณเขาทีละน้อยราวกับน้ำกรด ทิ้งส่วนที่เหลือไว้เพียงความกลัวที่ไม่อาจเข้าใจได้ เขาค่อย ๆ ลดโทรศัพท์ลงและเดินไปยังชานที่อยู่อีกด้านของห้อง สายลมเย็นของแม้น้ำเจ้าพระยาพัดมาทำให้อกของชายหนุ่มสั่นด้วยความหนาวแต่ถึงอย่างนั้นสมองเขาก็ยังคงพยายามคิดหาคำตอบอยู่

                          ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นแทบไม่มีสักครั้งที่เขารู้สึกว่าเป็นที่ต้องการของใครสักคน ทั้งพ่อแม่ที่เอาแต่ทิ้งเขาไปทำงานจนบางครั้งก็แทบจะไม่เจอะหน้ากันเป็นเดือน ทั้งเพื่อนฝูงที่คบหากับเขาก็เพราะความมั่งมีของเขาเอง หรือแม้แต่พวกผู้หญิงพวกนั้นที่หลงใหลในสิ่งภายนอกของชายหนุ่มและแสดงออกมาอย่างชัดเจนอย่างไม่ต้องสังเกต คนพวกนั้นต่างหวังในเงินทอง ความมั่งมี หน้าตา และกามอารมณ์จนบางครั้งพิราบก็รู้สึกคลื่นเหียนและสะอิดสะเอียนเต็มทนที่ต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ แต่กับชายคนนั้น มันต่างออกไป

                         ในครั้งแรกที่ชายหนุ่มพูดคุยชายคนนั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้จากอีกฝ่าย ความรู้สึกว่าเขานั้นเป็นที่ต้องการของใครสักคน เป็นที่ยอมรับและไม่ต้องการหรือหวังอะไรจากความมั่งมีของเขาเองเขารู้สึกได้ถึงการที่อีกฝ่ายยอมรับในตัวตนของเขาจริง ๆ ยอมรับเขาในฐานะใครสักคน พอมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็อย่างที่จะรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ อยากจะพูดคุยให้มากกว่านี้ อย่างจะเข้าใจให้มากกว่านี้ และเป็นที่พึ่งให้ให้ยามทุกข์ เป็นที่พักยามเหนื่อยล้า เป็นคนแรกที่ถูกคิดถึง ไม่ใช่คนสุดท้ายยามจนตลอกและไร้หนทาง 

                         ถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองนั้นกลายเป็นอะไรไปแล้ว เขาชอบชายคนนั้นหรือ เขาต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกเช่นเดียวกับเขาหรือเปล่าและหากไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะเสียใจหรือไม่.....

                         “นี่กูชอบผู้ชายหลอว่ะเนี้ย” ชายหนุ่มพึมพำออกมาคล้ายไม่เชื่อตัวเอง ใจหนึ่งของเขาสั่นสะท้านคล้ายตอบรับคำพูดที่เขาเอ่ยออกมา แต่อีกใจหนึ่งกลับบอกกับเขาว่าไม่ใช่ เขาเพียงแค่ต้องการใครสักคนยอมรับและต้องการเขาจริง ๆ เท่านั้นเอง

                       ชายหนุ่มสะบัดหัวสองสามทีคล้ายต้องการไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวก่อนที่จะกดโทรศัพท์และยกมันขึ้นแนบหู เสียงสัญญาณดังอยู่สองสามครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสาย

                      “อือ ว่าไง” เสียงตามสายนั้นพูดขึ้นน้ำเสียงดูแปลกออกไป

                     “อือ คอมหลอ....เป็นอะไรหรือเปล่า....เสียงดูเหนื่อย ๆ นะ”

                     “เปล่าหลอก”อีกฝ่ายบอกปัดไปอย่างขอไปที “ทะเลาะกับที่บ้านนิดหน่อยนะ ไม่มีอะไร”

                     “หลอ...เรื่องที่วันนี้กลับบ้านดึกหรือเปล่า” พิราบว่าพรางเกาหัวไปมาด้วยผ้าผืนเดิม

                    “เปล่าหลอก....เรื่องอื่นนะ แล้วที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า.....” เจนศิลป์ตัดบท

                   “อ๋อ....คือ” ชายหนุ่มพยามหาคำพูดที่ไม่ทำให้เขาดูแปลกประหลาดและแสดงเจนตนามากเกินไป แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรมันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะพูดออกมาได้โดยอีกฝ่ายจะไม่แปลกใจ “จะโทรมาถามว่าพรุ่งนี้ว่าหรือเปล่า”

                  “ทำไมหลอ” อีกฝ่ายพูดน้ำสียงเหนื่อยแต่ติดตลกเล็กน้อย “ประกันจะมาคุยอีกแล้วหลอ.....”

                  “เปล่าหลอก” ชายหนุ่มหัวเราะ “โกรธหรือเปล่าเนี้ย เราขอโทษนะ”

                   “เปล่า ๆ ” อีกฝ่ายหัวเราะตาม น้ำเสียงดูคลายจากความเครียดไปมาก “ไม่เป็นไร......เห็นเราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นไปได้ “

                   “แล้วว่าไงละ พรุ่งนี้ดึกหน่อยว่างหรือเปล่า”

                   “ดึกหน่อยหลอ” อีกฝ่ายทวนคำอย่างประหลาดใจ “ทำไมละ....มีอะไร”

                   “ก็บอกมาก่อนว่าว่างหรือเปล่า” พิราบเอ่ยพรางยิ้มน้อย ๆ ราวกับเขินอาย

                  “ว่าง....มีอะไร” น้ำเสียงของเจนศิลป์นั้นดูเคลือบแครงในคำพูดของอีกฝ่ายอย่างมาก

                  “เรากะว่าพรุ่งนี้เราจะไปเดินเล่นสะพานพุธนะ ไปด้วยกันมั้ย”

                   “หลอ.....” ชายหนุ่มลากเสียงยาวก่อนว่าต่อ “แล้วเพื่อนหนึ่งละ ไม่มีใครไปด้วยแล้วหรือไง ถึงมาชวนเรา”

                   “โถ่ เราชวนคอมคนแรกเลยนะเน้ย...” คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยที่ผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องการแม้แต่น้อย เขาจึงรีบหาข้อแก้ตัวใหม่ทันที “แล้วอีกอย่างพวกมันไม่มีใครไปหลอก คงมีแค่เรากับคอม ว่าไง ไปนะ”

                     “คงได้ละมั้ง...ต้อง...” ไม่ทันที่เจนศิลป์จะพูดจบพิราบก็พูดตับบทขึ้น

                      “งั้นตามนี้นะ พรุ่งสักสองทุ่มเราไปรับ แค่นี้แล้วกัน....รีบนอนนะ”

                    “เดี๋ยวสิ...”

                    มีเสียงของอีกฝ่ายร้องออกมาแค่นั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะกดวางสายไป เขายิ้มน้อย ๆ ราวกับเด็กเล็ก ๆ ที่ได้อย่างสมใจก่อนที่จะอ้าปากหาวออกมาวอดใหญ่ก่อนที่ความเหนื่อยอ่อนจะแล่นเข้าโถมใส่ร่างจนเปลือกตาแทบจะเปิดอยู่ต่อไปไม่ได้ แปลกเหลือเกินที่เขารู้สึกง่วงและอยากนอนมากขนาดนี้ ทั้งที่บนเตียงเขานั้นว่างเปล่าไร้ร่างของใครซักคนมาเคียงข้าง ทั้งที่เขายังไม่ได้ร่วมกามกิจกับใครซักคนนั้น ทั้งที่เขายังไม่ได้กินยาแก้ปวดหรือยานอนหลับ แต่เขากลับหาวออกมา 

                    ชายหนุ่มเก็บความเคลือบแครงนั้นไว้ในส่วนลึกของสมองก่อนที่จะล้มตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า เขาค่อย ๆ หลับตาลงและก่อนที่ความอ่อนล้านั้นจะเอาชนะและพาสตีของเขาล่องลอยไป เสียงของเจนศิลป์ก็ดังแว่วมาพร้อมกับรอยยิ้มของเขา .....ไม่เป็นไรหลอก วันนี้ก็สนุกดี...............     


.................................................................................



คนที่เดาถูกเอาไปเลย สิบคะแนน o13 ............เย้

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
หุหุ นายพิราบ มีความสุขจริงนะ  :o8: :oni2:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
พิราบนี่ดูเป็นนายเอกที่อบอุ่นจัง  :o8: :m1:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                       
o7 o7 o7 o7 o7

มาแล้วครับ 


o7 o7 o7 o7 o7


                         “แปลกจัง....ป่านนี้แล้วคอมยังไม่มาอีก” เสียงธาราว่าพรางมองออกไปยังนอกห้องเรียน ก่อนจะหันมาที่สาริณีและกิตติที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาทั้งสองคุยและหัวเราะกับเรื่องบางเรื่องจนไม่ทันฟังสิ่งที่ธาราพึ่งเอ่ยออกมา
                             
                                “ฮะ....อะไรนะ ธา เราไม่ทันฟัง” เสียงสาริณีว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

                                “เราบอกว่าทำไมป่านนี้คอมยังไม่มาอีก”

                                 “เราว่า มันคงไม่มาแล้วละ....”กิตติว่าพรางชะเง้อมองออกไปนอกห้องเรียน “คงไม่ค่อยสบายมั้ง เพราะไงปรกติมันก็ไม่ค่อยหยุดเรียนอยู่แล้ว....”

                                 “ก็ใช่นะสิ.....นี้ก็จะสอบปลายภาคแล้วด้วย....เป็นอะไรไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” ธาราพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

                                 “โถ่ ธาอย่าคิดมากไปเลย” สาริณีพูดพรางเอามือข้างหนึ่งลูปที่ไหลของอีกฝ่ายคล้ายต้องการปลอบโยน “ไม่แน่มันอาจจะไปหางานทำก็ได้”

                                 หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ แต่สีหน้ายังไม่คล้ายกังวล “ยิ่งช่วงนี้คอมทำตัวแปลก ๆ อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะคิด.....”เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้นคล้ายไม่ต้องการคิดต่อไปแต่คนทั้งสองกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะหมายถึงอะไร

                                 “คงไม่หลอก.....ไอ้คอมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”กิตติว่าก่อนจะหยุดคล้ายคิดอะไรบางอย่าง “แต่จะว่าไปแล้ว....ช่วงนี้มันก็แปลก ๆ นะ ไม่แน่.....”

                                 พูดได้แค่นั้นสาริณีก็เอาสอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงอย่างแรงพรางทำหน้าดุ ก่อนจะหันหมายจะพูดอะไรต่อ แต่อีกฝ่ายกลับเก็บของเข้าประเป๋าของตัวเองและตั้งท่าจะลุกขึ้น

                                “ธา...จะไปไหน”หญิงสาวถามขึ้นด้วยหน้าตางงงัน

                                “เราจะไปหาคอมที่บ้านนะ....เผื่อว่าจะเป็นอะไรไป”

                                “เฮ้ย...”ชายหนุ่มร้องขึ้นเสียงดัง “อย่าเลย เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจนะ.....อย่าไปเลย อีกอย่างธาก็ไม่รู้ว่าบ้านไอ้คอมมันอยู่ไหน....เดี๋ยวก็หลงหลอก”

                                 “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราโทรไปถามคอมเอง.....แล้วอีกอย่าง”เธอพูดแค่นั้นก่อนจะหันมาจ้องหน้าคนทั้งสองด้วยสายตาอ่อนโยน “เราว่าไม่ใช่แค่คอมหลอกที่แปลกไปนะ....ใช่มั้ยละ” จบคำเธอก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้สาริณีและกิตติอยู่ต่อสู้กับสายตานับสิบ ๆ ที่จ้องมาที่คนทั้งสอง

                                  “ว่าไงละเรา”เสียงอาจารย์ผู้สอนดังขึ้น “จะไปกับเขาหรือยังไง”


...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
 

                        เจนศิลป์ตื่นขึ้นในตอนเที่ยงและต้อนรับวันใหม่ด้วยการบิดตัวเองไปมาอยู่บนที่นอนสองสามทีด้วยความเกลียดคร้าน เขาแทบจำไม่ได้ว่านอนตื่นสายแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร ตื่นมาโดยที่ไม่รู้สึกว่าไม่ต้องเร่งรีบหรือมีอะไรคอยอยู่ ไม่ต้องรีบอาบน้ำ ไม่ต้องรีบแต่งตัว ไม่ต้องรีบเดินหรือวิ่ง มันให้ความรู้สึกราวกับว่าโลกนี้ไร้ซึ่งเวลาแบะอนาคตอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่ตัวเขาเท่านั้น
                        เจนศิลป์เดินลงมาด้านล่างพร้อมกับผ้าเช็ดตัวและหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานเขาก็เดินออกมาด้วยร่างกายที่สะอาดและความสดชื่นเต็มเปี่ยม ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของมารดาเพื่อกับเก็บจานชามที่เขาเอาขึ้นมาใส่อาหารให้หญิงกลางคนเมื่อเช้านี้ อาหารนั้นแทบไม่ถูกแตะต้องจากหญิงกลางคนเลย ข้าวหายไปเพียงไม่กี่คำ กับข้าวหายไปเล็กน้อย ชายหนุ่มมองดูผู้เป็นมารดาที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียงก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยขึ้น

                        “แม่....ไม่หิวหลอ....กินข้าวไปนิดเดียวเอง”

                       สิ่งที่ตอบกลับมานั้นเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไร้สุ่มเสียงได ๆ เช่นเคย ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันไปเห็นขวดเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งวางอยู่ที่ปลายเตียงอีกด้าน เขามองมันด้วยสายตาเจ็บปวดและหันไปที่ร่างของหญิงคนนั้นคล้ายต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจและหันไปเก็บจานชามขึ้นซ้อนกันก่อนยกมันออกมาจากห้อง แต่ทันที่ที่เขาเดินผ่านประตูห้องออกมา ความเงียบงันทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็พังทลายลงด้วยเสียง ๆ หนึ่ง เสียง ๆ นั้นดังขึ้นกระทบทั้งแก้วหูและหัวใจของเจนศิลป์จนทำให้ดวงใจของเขานั้นแทบแตกออกเป็นเสี่ยง เสียงนั้นลอยตัวแผ่วเบาอยู่ในอากาศ ซึมผ่านผนังและเข้ากัดกินชายหนุ่มทีละน้อยราวกับพิษร้ายที่ทำลายร่างกายเขาจากภายใน เสียงแห่งความเจ็บปวด เสียงของความโดดเดี่ยว เสียงของความคับแค้นและโศกเศร้า

                        เธอคนนั้นกำลังร้องให้

                        ในเวลาแบบนี้ชายหนุ่มควรจะทำอย่างไรดี เขาควรเข้าไปปลอบโยนหรือเปล่า เข้าไปสวมกอดร่างนั้นด้วยแขนทั้งสองข้างและพร่ำพูดบางอย่างที่เขาก็รู้ดีว่าจะไม่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือแค่เขาเข้าไปนั่งข้าง ๆ ร่างนั้นและไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

                         แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น เจนศิลป์กลับไม่สามรถทำอะไรไปได้มากกว่านิ่งฟังเสียงนั้นด้วยความเจ็บปวด คำพูดต่าง ๆ มากมายเมื่อคืนแล่นผ่านเข้ามาในสมองเขาราวกับลูกกระสุนปืนที่แล่นผ่าทะลุร่างเนื้อฉีกกระฉากให้หัวใจเขาเป็นรูโหว่ใหญ่ “ก็ปล่อยให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการ อยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ”

                          นั้นคือคำพูดที่ชายหนุ่มบอกแก่ผู้เป็นอาไปเมื่อคืน แต่เขาไม่ได้หมายความถึงเช่นนั้นเสียทั้งหมด......ในสายตาของเจนภูมิและคนอื่น ๆ ต่างมองเห็นเขาและมารดาอยู่ใกล้กันแน่นแฟ้นด้วยสายสัมพันธ์นั้นล้ำลึกเกินกว่าคำได ๆ จะบรรยายได้ แต่แท้ที่จริงแล้วทั้งเขาและหญิงกลางคนต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันไกลแสนไกล ไกลกันเกินกว่าที่ใครสักคนจะจิตนาการได้ ราวกับอยู่กันคนละฝากฟ้า คนละผืนแผ่นดิน คนละโลก คนละจักรวาล คนละเอกภพและไม่ว่าเจนศิลป์จะต้องการเอื้อมคว้าอีกฝ่ายไว้ด้วยอ้อมแขนและมือนั้นมากเท่าไร ยอมแลกมากแค่ไหน ยอมเสียเพียงได ยอมเจ็บปวดและอ่อนล้ามากเท่าไรมันก็เปล่าประโยชน์.....อีกฝ่ายจะไม่มีวันรู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึก ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เขาเข้าใจ มองไม่เห็นในสิ่งที่เขามองเห็น.....เพราะทั้งเขาและเธอคนนั้นต่างศูนย์เสียสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งนั้นมีความหมายสำหรับคนทั้งสองแตกต่างกัน     

                            ชายหนุ่มค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่งข้างพนังห้องด้านนอกราวกับหมดแรง เส้นเลือดทุกเส้นในร่างของเขากำลังบีบรัดตัวเองจนเจ็บปวด ลำคอแห้งผากราวกับน้ำในร่างเขากำลังเหือดหายไป แต่ถึงจะเป็นปวดถึงขนาดนั้นน้ำตาเขากลับไม่ไหลออกมาแม่แต่หยดเดียว มันไม่ใช่ไม่เคยมีแต่มันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะเขารู้ดี รู้ดีว่าน้ำตานั้นไม่เคยช่วยอะไรได้เลย มันมีแต่จะทำให้เจ็บปวดมากขึ้น ตอกย้ำความอ่อนแอของตัวเอง แสดงความไร้ค่าอันน่าสมเพชและไม่ว่าเขาจะเสียมันไปมากเท่าไร ชายคนนั้นก็ไม่มีวันกลับมา
เสียงโทรศัพท์บ้านที่อยู่ด้านล่างดังขึ้นจนเจนศิลป์ออกจากภวังค์ เขาผุดลุกขึ้นโดยเร็วและยกกองจานชามมาในครัวและรับโทรศัพท์

                           “ครับ....”เขาเอ่ยสั้น ๆ

                           “คอม...นั้นคอมหรือเปล่าค่ะ” เสียงอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวและชายหนุ่มก็จำได้ดี ธารา

                           “อือ...ธาหลอ ว่าไง มีอะไรหลอ”

                           “...เปล่าหลอกไม่มีอะไร เห็นวันนี้ไม่เป็นไปเรียนเลยโทรมาถามดูว่าคอมเป็นอะไรหรือเปล่า”

                            “อ๋อ...เปล่า ๆ เราไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อย ๆ นะ เลยไม่ได้ไปเรียน...”

                           “ หลอ....เห็นปรกติไม่เคยหยุดเรียนเลยป็นห่วง นี่เราก็อยู่แถวตลาดนน บ้านคอมอยู่แถวนี้ไม่ใช่หลอ...”

                           “อ้าว...หลอ”ชายหนุ่มทำเสียงประหลาดใจ “ก็ใช่....แล้วมาทำอะไรแถวนี้ละ...นี่ก็พึ่งเที่ยงกว่า ๆ เอง วันนี้มีเรียนถึงเย็นไม่ใช่หลอ”

                           “ก็...ใช่นะน่ะ”อีกฝ่ายเอ่ยเบา ๆ พรางหัวเราะน้อย ๆ “แต่เบื่อ ๆ ก็เลยขี้เกรียจเรียน จำได้ว่าคอมเคยบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้เลยลองมาดู....แล้วคอมออกมาได้มั้ยละ....หาข้าวแถวนี้กินกัน”
ชายหนุ่มเงียบไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน

                           “ยังไงก็ต้องไปซื้อข้าวเที่ยงให้แม่อยู่ดี”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะกรอกเสียงใส่หูโทรศัพท์ “งั้นเดี๋ยวเราออกไปแล้วกัน.....”
.................................................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป


                            “โอ๊ย.........ร้อน ๆ ๆ ๆ ๆ ร้อนชิบหาย มันจะร้อนไปถึงไหนว่ะ”เสียงนาคินทร์ว่าพรางนั่งลงในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ในมือเขาโบกสมุดเล่มเล็กไปมาเมื่อให้รู้สึกเย็นลง
“แล้วมึงจะให้มันถึงไหนละ”กรเทพว่า “เทือกเขาหิมาลัยเลยมั้ย”

                                  “โหย...สัตว์นี้..”อีกฝ่ายว่าพรางหัวเราะก่อนจะมองไปรอบ ๆ โต๊ะที่มี พิเชษ กรเทพ และองอาจนั่งอยู่ “อ้าว....ไอ้หนึ่งมันไปไหนว่ะ....”

                                   “หาข้าวแดก...โน่นไงมานั่งละ” พิเชษตอบพรางมองไปด้านหลังของนาคินทร์ เมื่อชายหนุ่มหันไปเขาจึงเป็นพิราบกำลังเดินมาพร้อมกับถาดอาหารในมือ
ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ นาคินทร์พรางมองไปรอบโต๊ะ “อ้าว พวกมึงไม่แดกข้าวหลอว่ะ....”

                                   “โอ้ย....พวกกูแดกจนไม่รู้จะแดกไงแล้ว.....มีแต่มึงกับไอ้ท๊อบเนี้ยละ ลงมาช้า....” องอาจว่า

                                   “เอ้า....ไอ้เหี้ยกูเรียนอยู่”นาคินทร์ร้องประท้วงเช่นเดียวกับพิราบที่แม้จะมีอาหารอยู่เต็มปาก แต่ก็ทำเสียงอือในลำคอคล้ายเห็นด้วยกับนาคินทร์

                                     “เอ้า..กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ...” อีกฝ่ายหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะว่าต่อ“แล้วไงเนี้ย....เย็นนี้ไปไหนดี”

                                     “ไม่รู้ว่ะ.....กูเบื่อ ๆ อยากนอนอยู่บ้านบ่าง”เสียงนาคินทร์ว่า

                                     “เฮ้ย ได้ไงว่ะ...มึงนี่เลวขั้นเทพจริง ๆ ว่ะ” กรเทพว่าพรางทำหน้าเสียอารมณ์
“เออ...”องอาจเสริม “ไอ้กรแม่งจะพาเด็กแม่งมาให้รู้จักสักหน่อย”

                                       ไม่ทันจบคำกรเทพก็ส่งฝ่ามือไปที่หัวขององอาจเป็นเชิงสั่งสอน อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยการชกเข้าที่แขนพรางหัวเราะ

                                        “แล้วมึงละ...ไอ้หนึ่ง แดกอยากเดียวเลยมึง” พิเชษเอ่ยพรางมองอีกฝ่ายที่กินข้าวอย่างอร่อย พิราบเงียบไปก่อนกลืนอาหารลงคอและตอบ
 
                                         “กูคงไม่ไปว่ะ...กะว่าจะไปเดินเล่นสะพานพุธหน่อย.....”

                                          “ไรว่ะ...”กรเทพร้อง “มึงก็ไม่ไป ไอ้ท๊อบก็ไม่ไป...”

                                           “กูเปลี่ยนใจแล้ว กูไป ไปดูหน้าเด็กมึงหน่อย ได้ข่าวว่าสวยใช่ได้นิหว่า...จริงเปล่าว่ะ ไอ้ฟ้า”

                                          “โอ้ยไอ้เหี้ย...หาได้ตามตลาดนัดทั่วไปล่ะว่ะ”
ว่าแล้วก็หัวเราะกันเสียงดัง

                                            “มึงไม่ไปจริงหลอว่ะไอ้หนึ่ง....” องอาจว่า “แล้วมึงไปเดินสะพานพุธคนเดียวเนี้ยนะ....ไปกับพวกกูเหอะ”

                                             “ใครว่ากูไปคนเดียว....ไปกับเพื่อนกู”พิราบเอ่ยพรางดูดน้ำอัดลมไปอึกใหญ่สีหน้าเรียบเฉย

                                              “ใครว่ะ...”อีกฝ่ายซักต่อ

                                                “พวกมึงไม่รู้จักหลอก เด็กม.วิทยศาตรา”
                         
                                                "เอ้า.....ไปรู้จักกันได้ไงว่ะ...อย่าบอกนะมึง ผู้หญิงใช่มั้ยว่ะ” ว่าแล้วก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่

                                                 “ส้นตีนเหอะ ผู้ชาย....”พิราบว่าพรางยิ้มน้อย ๆ “พวกมึงจะไปกับกูมั้ยละ”

                                                 เสียง ไม่ ดังละงมไปทั่ว

                                                  “งั้นก็ตามใจ....กูไปก่อนนะ มีเรียนต่อ...ไอ้ท๊อบ ไปมั้ยเนี้ย วิชานี้เขาเช็คชื่อนะมึง”พิราบหันไปพูดกับนาคินทร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

                                                  “ไปดิ ไป ๆ...”อีกฝ่ายตอบพรางลุกขึ้นแต่ก็หันมาที่ องอาจ พิเชษและกรเทพอีกครั้ง “สามทุ่นนะ.....ข้าวสาร ร้านเดิม”

                                                  “เอ้าไอ้เห้ย......” เสียงกรเทพร้องประท้วงแต่ไม่ทัน อีกฝ่ายเดินลิ่ว ๆ ไปกับพิราบแล้ว

  ...



keivet001

  • บุคคลทั่วไป
 
 
                          “แปลกจังนะ....จำไม่ได้แล้วว่านั่งคุยกับคอมแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร” เสียงธาราว่าหลังจากดูดโอเลี้ยงสีดำเข้มเขาไปจนหมดแก้ว ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งในตลาดนนทบุรี ตัวร้านนั้นเป็นเพียงเคาร์เตอร์ที่ทำจากป้ายหาเสียงง่าย ๆ ดูพอเป็นพิธี ข้าง ๆ มีเตาแก๊สขนาดเล็กใช้ประกอบอาหาร เลยไปจากนั้นก็เป็นแถวโต๊ะเหล็กธรรมดาทั่วไปอย่างที่ใช้กันตามร้านก๋วยเตี๋ยวยาวตอกันไปราบสี่หึงห้าตัว และเพราะไร้กำแพงได ๆ กั้นเป็นสัดส่วนทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของชีวิตนับสิบนับร้อยที่พากันเดินจับจ่ายสิ่งของอย่างคึกคัก

                            “หลอ....นั่นสิ”เจนศิลป์ตอบพรางฝืนยิ้มน้อย ๆ
 
                            “แล้ว....”หญิงสาวลากเสียงยาวคล้ายลังเลก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป “ที่บ้านเป็นไงบ่าง”

                            “ก็ดี....”อีกฝ่ายตอบพรางพยักหน้าน้อย ๆ กับสายตาทีเสมองลงเบื้องล่างจนหญิงสาวอดสงสัยไม่ได้ว่านั้นเป็นเพียงการตอบคำถามแบบกลาง ๆ หรือเป็นการโกหกกันแน่

                              “หลอ...”หญิงสาวเอ่ยคล้ายย้ำ อีกฝ่ายพยักหน้าอีก สายตายังไม่กลับมามองที่เธอ ทั้งคู่เงียบไปไม่นานก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้น

                              “แล้วธาละ....ที่บ้านเป็นไง พี่ชายกลับมาหรือยัง”

                               ธาราเคยบ่นเรื่องนี้ให้ทั้งกิตติ สาริณี และเจนศิลป์ฟังหลายครั้ง

                              “ยัง เห็นเขาบอกว่าจะกลับมาก็อีกสามสี่วันนั้นละ....”

                              “แล้วเขาไปเรื่องอะไรหลอ.....เห็นไปนานแล้วนะ”

                               หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ “ไม่มีเรื่องอะไรเลย....พี่เราเขาก็เป็นแบบนี้ละ คิดอยากจะไปไหนก็ไป คิดอยากจะมาก็มา ไม่สนใจใครหลอก ทั้งพ่อแม่หรือญาติพี่น้องจนบางครั้งก็ดูเหมือนขวางโลก ไม่เอาอ่าว แต่ถ้าเราเป็นเขาเราก็คงทำแบบเดียวกัน...”

                                “ทำไมละ...”เจนศิลป์ถามขึ้น สายตาเขากลับมาจ้องมองที่หญิงสาวอีกครั้ง

                                “ก็เขานะ....เป็นลูกชายคนแรกของครอบครัว เลยถูกคาดหวังไว้ว่าจะให้มารับช่วงกิจการรับเหมาต่อจากอาป๊า ถูกเขี้ยวเข็นให้เรียนได้เกรดดี ๆ คะแนนสูง ๆ ถูกส่งไปเรียนกวดวิชา จ้างอาจารย์มาสอนที่บ้าน สารพัดจะสอน ทั้งภาษาจีน อังกฤษ คณิต เคมี ฟิสิก เรียนกันเหมือนคนบ้า” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ เช่นเดียวกับชายหนุ่ม “เชื่อมั้ยคอม บางครั้งเรียนกันหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอน ตอนเช้าพอเราเดินลงมาก็เห็นพี่เรานั่งตาแข็งหน้ามันแผลบอ่านหนังสืออยู่ ส่วนคนสอน สลบหงายเงิบอยู่บนกองหนังสือ” เสียงหัวเราะของเธอหลุดรอดอกมาอดไม่ได้ที่ชายหนุ่มจะหัวเราะตาม

                                   “หลอ”

                                   “อือ....แต่พอผลออกมาไม่ได้ดั่งใจ....” รอยยิ้มของเธอคอย ๆ จากหายไปทีละน้อย ราวกับเม็ดน้ำที่ถูกทรายดูดกลืน “.......ก็ถูกคนรอบข้างเอาไปเปรียบกับคนนั้นคนนี้ ลูกญาติคนนั้น ลูกเพื่อนคนนี้ จนสุดท้ายพอเอ็นเข้ามหาวิทยาลัยที่อาป๊าอาม้าอยากให้เข้าไม่ได้อาป๊าก็ด่าไปหลายยก พวกญาติก็ดูแคลน คนพวกนั้นนะ บางครั้งก็มองดูพี่เราเหมือนเป็นคนโง่ปัญญาอ่อน บางครั้งก็เหน็บแนม กระแนะกระแหน จนพอผ่านไปได้ไม่ถึงปีพี่เราก็เตลิดไปเลย ตอนเรียนก็หนีเที่ยวกับเพื่อน หายไปทีสี่ห้าวัน บางครั้งเข้าบ้านก็เมาจนแทบต้องคลานขึ้นห้องนอน โดนจับขึ้นโรงพักก็หลายครั้ง แต่ก็ประคับประคองจนเรียนจบมาได้ ตอนแรกใคร ๆ ก็คิดว่าคงจะจบแค่นั้น แต่เปล่า พี่เราก็ยังออกไปข้างนอกเหมือนเดิน เที่ยวไปเรื่อยบางครั้งก็ไปต่างประเทศ ไม่มีใครรู้ว่าไปประเทศอะไร ไปยังไง เอาเงินที่ไหนไป....” เธอพูดพรางทอดสายตาไปไกลเหมือนมองเห็นภาพต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่อีกปลายฟากหนึ่งของสายตา ความรู้สึกเหล่านั้นแผ่ปรกคลุมคนทั้งสองราวกับเป็นคอนกรีตที่เททับทั้งสองร่าง ทั้งอึดอัดและเย็นยะเยือก

                                       “บางครั้งเราก็คิดนะ...”ธาราเอ่ยหลังจากเงียบไปนาน น้ำเสียงนั้นฟังดูเรียบเฉยแต่แผงเร้นไปด้วยความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด “ว่าถ้าเราเป็นอย่างพี่ก็คงดี.....หนีไปให้ไกล...ไกลเท่าที่เราต้องการได้โดยไม่รู้สึกว่าทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง”
 
                                        เจนศิลป์จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขาเงียบไปคล้ายถูกความดำมืดที่กัดกินหญิงสาวดูดกลืนเข้าไปในจิตใจของเธอ เข้าไปอยู่ในจิตใจที่แสนโดดเดี่ยว แร้นแค้น สิ้นหวัง มันช่างเป็นสถานที่ ๆ ดูคุ้นเคยเสียจริง ๆ

                                         “การหนีนะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับละยะทางที่มองเห็นได้เท่านั้นหลอกนะ.....”ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรแต่ในนั้นกลับมีบางสิ่งลอยตัวเบาบางอยู่คล้ายผ้าขาวบางที่ห่มคลุม  หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย “กับบางคน...การหนีคือการออกเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล หนีจากครอบครัว หนีจากปัญหา หนีจากสิ่งแวดล้อม หนีจากทุก ๆ อย่าง.....แต่กับบางคน....” เขาหยุดพรางมองเข้าไปในตาของหญิงสาว “ต่อให้ยังอยู่กับที่ อยู่กับคนเดิม ๆ สถานที่เดิม ๆ ปัญหาเดิม ๆ สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ก็ยังหนีอยู่ดี” ชายหนุ่มเค้นเสียงขึ้นจมูกเบา ๆ พรางกระตุกยิ้มน้อยที่มุมปากราวกับเจ็บปวด “ แต่ไม่ว่าจะหนีด้วยวิธีไหน สุดท้ายสิ่งที่เราต้องการจะหนีก็ไม่ได้หายไปไหนจริง ๆ หลอก มันจะยังอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าเรา ทุกครั้งที่เรามอง ทุกครั้งที่เราลืมตา ทุกครั้งที่เราหายใจ มันจะยังอยู่....” เสียงของเขานั้นบางเบาราวกับหมดแรงที่จะเอ่ยต่อไป สายตาว่างเปล่ามองลงต่ำคล้ายจมลึกเข้าสู่อีกสถานที่ ที่ ๆ เธอไม่อาจเข้าไป

                                              หญิงสาวไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงรู้สึกเช่นนั้น ทำไมเขาจึงเจ็บปวด ทำไมเขาจึงดูเหมือนแบกรับสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมายตลอดเวลา พลันทำให้หญิงสาวนึกถึงสายใยเหล่านั้น สายใยที่ครั้งหนึ่งมันเคยตรึงรัดเขาแน่นราวกับเป็นพัธนาการ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นเหมือนสิ่งที่คอยพยุงค้ำจุนให้เขาอยู่รอดและมีชีวิตเพื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกวัน แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว ราวกับถูกกรรไกรอันใหญ่ตัดจนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เป็นเหมือนเศษซากสิ่งของที่แตกกระจายออกเพราะไร้สิ่งพัธนาการ นอนตัวแน่นิ่งอยู่ที่มุมห้อง ป้องกันตัวเองด้วยรูปลักษณ์ที่ไร้รูปทรงและความแหลมคมที่จะบาดลึกกับใครก็ตามที่ต้องการจะจับต้อง หากแต่เขาคนนี้ไม่ใช้ทั้งแก้วหรือกระเบื้อง แต่เป็นเพียงปูนสีขาวที่มิอาจจะทำให้ได้เจ็บปวดได้ แล้วทำไม ทำไมเขาต้องสร้างภาพลักษณ์แบบนั้นขึ้นมาด้วย
 
                                                “แล้วคอมละ.....”ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “เคยหนีบางหรือเปล่า”
   
                                                 เจนศิลป์หันมา เขายิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ตอบคำถามนั้นปล่อยให้อากาศและเสียงผู้คนลอยผ่านไปแทนคำตอบ

                                                  “จริงสิ....”เจนศิลป์เอ่ยขึ้น “วันนี้เราจะไปสะพานพุธ...ไปด้วยกันหรือเปล่า”

                                                  “หลอ...”หญิงสาวร้อง “ก็ดีสิ เราเบื่อ ๆ พอดี แล้วมีใครไปบ่างละ” เธอถามอย่างคาดเดาคำตอบไว้แล้วว่าคงไปเพียงสองคน เธอกับเขา
“ก็มีเพื่อนเราแถวบ้านไปด้วย.....ชวนไอ้เม่นกับสาไปด้วยสิ”
“หลอ” หญิงสาวผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำให้ความอยากจะใกล้ชิดอีกฝ่ายลดน้อยลงไป “งั้นเดี๋ยวเราโทรไปชวนเม่นกับสาให้ แล้วกี่โมงละ...”

                                                    “เพื่อนเราเขาจะออกจากนี้ตอนสองทุ่ม....จะมาเจอกันที่นี้หรือจะไปเลยละ”

                                                     “อือ...คงไม่มานี่แล้วละ ไปเจอกันที่โน่นเลยก็ได้ เรานั่งรถแทคซี่ไปใกล้กว่า....งั้นสักสี่ห้าทุ่มไปเจอะกันที่โน่นนะ” เธอว่าพรางยกนาฬิกาที่ข้อมือด้านในขึ้นดูก่อนร้องขึ้น “ว้าย...จะสี่โมงแล้วหลอเนี้ย ตายละ เราไปก่อนนะคอม เดี๋ยวกลับบ้านเย็น อาป๊าบ่นบ้านแตกแน่...”ว่าแล้วก็สะผายกระเป๋าขึ้นไหล่ก่อนยกมือขึ้นโบกไปมา “บ๊ายบาย....”ชายหนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงเดียวกันก่อนจะมองดูร่างนั้นออกเดินอย่างเร็วและหายลับไปกับกลุ่มคน

  ................................................................................................   



 :sad2: :sad2: :sad2:  สี่ตอนแหล่ม ๆ เล่นเอาหมดแรงเลย  :sad2: :sad2: :sad2:




My name M

  • บุคคลทั่วไป
 :angry2:...พี่คร้าบบบบ  ไม่เห็นออนเอ็มเลยอ่ะเพ่

นี้แหละเน่อคนเรา

แล้วเป็นไงบาง สบายดีป่าวครับ

อย่าสูบควันให้มากน่ะเพ่


ปล.เป็นห่วง

ไว้คุยกัน  :o12: :o12:

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
หูย มาแบบจุใจ อ่านเพลินเลยครับ  :m4: :oni2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด