ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านและเมนท์นะครับ ถ้าลงเรื่องต่อไปก็อย่าลืมติดตามผลงานผมนะครับ แล้วก็ถ้ารักกันก็กด + ให้กันด้วยนะ (แต่ใครไม่กดขอให้เวลาไปเที่ยวตอนพักร้อนให้ไปผิดเกาะแต่อย่าได้เจอคนแบบพยุตม์)
อาทิตย์อัสดง บทที่ 14
1ปีผ่านไป (555)
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พยุตม์นั่งอยู่ที่ชายหาดเพื่อชมภาพอันสวยงาม เขา 'หนีงาน' มาพักที่บ้านพักบนเกาะไทรงามได้สามวันแล้ว
ตลอดสามวันอันเงียบเหงา พยุตม์ได้แน่นึกถึงภาพเก่าๆ ของเขากับพิชญซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้และบนเกาะแห่งนี้
สิบเจ็ดวันที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาเสมอมา
เพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง The End of Time สร้างชื่อเสียงให้พิชญเป็นอย่างมาก และพิชญยิ่งดังกว่าเดิมเมื่อเพลงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สื่อในประเทศและต่างประเทศกำลังประโคมข่าวพิชญว่าเป็นนักร้องชาวไทยคนแรกที่จะขึ้นร้องเพลงบนเวทีสำคัญเช่นนี้
พิชญประสพความสำเร็จในการออกอัลบั้มชุดแรก เพียงแค่สามเดือนก็สามารถทำยอดขายในทวีปเอเชียได้มากเป็นประวัติการณ์ สื่อรายงานข่าวว่า จากความสำเร็จอย่างมากในแถบเอเชียแปซิฟิก พิชญคงใช้เวลาอีกไม่นานก็จะประสพความสำเร็จในทวีปยุโรปและอเมริกา
พยุตม์ได้มีโอกาสติดต่อกับพิชญบ้าง แต่ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้พบกับชายหนุ่มเพียงสามครั้งในช่วงที่พิชญกลับประเทศไทย และแต่ละครั้งก็เป็นเวลาเพียงสั้นๆ นอกจากนั้นเป็นการคุยกันทางโทรศัพท์และติดต่อกันทางอีเมล์
พยุตม์ลุกขึ้นแล้วเดินเล่นอยู่ที่ชายหาดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ เขารู้ว่าคืนนี้ดวงดาวจะเต็มท้องฟ้าเพราะเป็นคืนเดือนมืด
แต่คงไม่สวยงามเท่ากับตอนที่เขานอนมองดูกับพิชญ
พยุตม์กลับถึงบ้านแต่ยังไม่เข้าไป เขานั่งอยู่บนม้านั่งที่ระเบียงหน้าบ้านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอนตัวลงนอน ตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่ ปล่อยใจให้ล่องลอย
และท้ายที่สุดเขาก็กลับมาคิดถึงพิชญอีก
ทรมานจริงๆ ทำไมสถานการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้นกับเขา ทำไมโชคชะตาจะต้องเล่นตลกกับหัวใจของเขาแบบนี้
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงพยุตม์จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูบ้านแต่ปรากฎว่าประตูบ้านล๊อค เขาขมวดคิ้ว สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พยุตม์จำได้ว่าไม่ได้ล๊อคประตูเอาไว้
เขาเดินลงจากบ้านเพื่อไปหยิบกุญแจที่ซ่อนเอาไว้ใต้ก้อนหินแล้วเดินกลับขึ้นมาบนบ้าน เมื่อเข้าไปในบ้านพยุตม์ตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารและนั่งทานอาหารอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกเบื่อ จากนั้นจึงไปนั่งอ่านหนังสือในห้องทำงาน
ถ้าพิชญอยู่ด้วย ป่านนี้คงได้เถียงกันเล่น ไม่น่าเบื่อแบบนี้
พยุตม์ถอนหายใจ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปยังระเบียงหน้าบ้าน แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว
พิชญชอบนอนมองดูดาว เขาก็ชอบ เขาอยากจะนอนกอดพิชญและดูดาวด้วยกัน แต่จะมีโอกาสที่จะได้ทำแบบนั้นหรือเปล่า นี่เขารอมานานเป็นปีแล้ว รู้สึกทรมานมากจนไม่รู้จะพูดว่ายังไง
พยุตม์เดินกลับเข้ามาในบ้านและตรงไปยังห้องนอน แต่เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจอีกครั้งเมื่อหมุนลูกบิดประตูห้องนอนแล้วเปิดไม่ได้
ประตูล๊อค!
เขาไม่ได้ล๊อคประตู เขาไม่เคยล๊อคประตูบ้านหรือประตูห้องนอน เกิดอะไรขึ้น
หรือว่าตอนออกจากห้องเขาเผลอกดล๊อค แต่ว่าเขาไม่ได้ปิดประตูนี่นา เขาเปิดทิ้งเอาไว้ แล้วนี้ทำไมประตูล๊อค เหมือนว่ามีคนอยู่ข้างในแล้วไม่ต้องการให้ใครเข้าไป
ใคร!
พิชญ!
พยุตม์ยิ้มแล้วเคาะประตู ใจเต้นตึกตักด้วยความดีใจ
แกล้งเขาดีนัก คอยดูเถอะ
พยุตม์เคาะประตูไม่ยอมหยุดเป็นเวลากว่าสองนาทีพร้อมกับร้องเรียกคนที่อยู่ในห้อง
“นี่คุณ เลิกเล่นสนุกได้แล้วนะ ผมง่วง” พยุตม์พูดแล้วเคาะประตูแรงกว่าเดิม “พิชญ เปิดประตูให้ผมสิครับ”
เอาไงดีวะ งัดประตูซะเลยดีไหม
พยุตม์หยุดเคาะประตู แล้วเดินไปที่ห้องเก็บของ แต่เมื่อถึงกลางห้องก็ต้องหันกลับเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น
“คนจะนอน ทำเสียงดังกวนอยู่ได้”
“พิชญ” พยุตม์ก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ประตูห้องนอน “คุณจริงๆ ด้วย”
“ก็ผมนะสิ”
“คิดถึงคุณจังเลยครับ” พยุตม์พูดด้วยความดีใจ
“คิดถึงก็เข้าห้องสิครับ” พิชญตอบแล้วอมยิ้ม เดินกลับเข้าไปในห้อง พยุตม์เดินตามและโอบกอดจากข้างหลัง
“ไปอาบน้ำก่อน” พิชญแกะมือของพยุตม์ออก
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกผม”
“เซอร์ไพรซ์ไหมล่ะ”
“มากเลยล่ะครับ” พยุตม์ซุกหน้าเข้ากับซอกคอของพิชญ “มากที่สุด ดีใจที่สุด”
“ไปอาบน้ำก่อน ไม่งั้นก็ไปนอนที่โซฟาข้างนอก” พิชญสั่ง
“ได้ครับ จะไปอาบเดี๋ยวนี้เลยครับ” พยุตม์รีบตอบแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ
ทะเลยามเช้าเงียบสงบ คลื่นลูกเล็กๆ ค่อยๆ ม้วนตัวเข้าซัดหาดทราย หมู่นกทะเลบินโฉบอยู่เหนือผิวน้ำ ส่งเสียงร้องประสานกันดังไปทั่ว พยุตม์กับพิชญเดินจูงมือกันอยู่ริมหาด และไม่นานก็เริ่มเถียงกัน
“เลยอดดูพระอาทิตย์ขึ้น” พิชญพูดขึ้นมา
“พรุ่งนี้ค่อยดูก็ได้ วันนี้เราก็รีบเข้านอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า” พยุตม์อมยิ้ม
“ผมมีเวลาไม่มากนะครับ มะรืนนี้ก็ต้องกลับ”
“อยู่ต่ออีกไม่ได้หรือครับ” พยุตม์ทำหน้าอ้อน
“สามวันนี่ก็นานแล้วนะครับ ผมต้องไปร้องเพลงที่เทศกาลดนตรี Summer Sonic ที่ญี่ปุ่น แล้วก็ไปเกาหลี แวะออสเตรเลีย แล้วก็กลับอเมริกา ต้องไปถ่าย MV ของซิงเกิ้ลที่กำลังจะออก”
“ผมจะตามไป” พยุตม์พูด
“คุณไม่ทำงานหรือ”
“ผมโดดงานก็ได้ ที่มานี่ผมก็หนีงานมา”
“รู้แล้วว่าหนีงานมา ไม่งั้นผมก็ไม่มาหรอก นี่โชคดีนะที่หาเวลาได้ผมก็เลยรีบเดินทางมาเมืองไทยก่อน ตอนแรกบริษัทจะให้ผมไปซีแอตเติ้ลก่อนแล้วตรงไปโตเกียวเลย โชคดีตารางเปลี่ยนผมเลยมีเวลาว่างสี่วัน”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” พยุตม์ถาม
“ผมให้ผู้จัดการผมเช็คกับเลขาฯ ของคุณ เขาบอกว่าคุณหนีไปเที่ยวเกาะ” พิชญตอบ
“แล้วรู้ด้วยหรือว่าเกาะนี้”
“กลับกรุงเทพฯ คุณไล่เลขาฯ ออกไปเลยนะ ข้อหารักษาความลับเจ้านายไม่ได้” พิชญหัวเราะ “ผู้จัดการผมเขาเก่ง ข้อมูลแค่นี้ไม่ยากหรอก แค่เลขาฯ คุณบอกว่าเป็นเกาะส่วนตัว ผมก็รู้เลยว่าเป็นที่นี่”
“ไม่คิดหรือว่าผมจะมีบ้านอยู่เกาะอื่น”
“รวยเว่อร์เกินไปแล้ว”
“แสดงว่าตอนนี้คุณเชื่อแล้วใช่ไหมว่าบ้านนี้กับเกาะนี้เป็นของผม”
“อย่าชวนทะเลาะนะคุณ”
“ชวนทะเลาะที่ไหน”
“ครั้งนั้นก็ไม่ใช่ความผิดผมซะทีเดียว คณินทร์บอกว่าเกาะทรายงาม ผมก็มาเกาะทรายงาม จ้างคนขับเรือมาที่เกาะทรายงาม ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาฟังผิดเป็นเกาะไทรงาม”
“คุณเป็นคนพูดเร็วรู้หรือเปล่า” พยุตม์หัวเราะเบาๆ
“รู้ ทำไมจะไม่รู้ ผมเป็นคนพูดห้วนๆ สั้นๆ เสียงมันเลยเพี๊ยนไป ทรายงามเลยกลายเป็นไทรงาม”
“โชคดีที่คุณเป็นพูดห้วนๆ สั้นๆ ถ้าคุณไปถูกเกาะเราก็คงไม่ได้เจอกัน” พยุตม์หยุดเดิน หันหน้าเข้าหาพิชญ จับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเอาไว้
“แต่ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็คงไม่ง่ายหรอกนะครับ เรื่องนี้คุณน่าจะรู้ดี” พิชญพูดเสียงเบา
“ผมเข้าใจ”
“เราต้องหลบๆ ซ่อนๆ โอกาสที่จะได้เจอกันก็ไม่ค่อยมี นี่แค่เริ่มต้นนะคุณ” พิชญเงยหน้าขึ้นมองพยุตม์ แววตาฉายความกังวล “เดือนหน้าผมจะได้ขึ้นแสดงบนเวทีออสการ์ หนึ่งในความฝันของผมเลยล่ะ”
“แล้วคุณก็จะดังมากกว่าเดิม ผมรู้”
“ถ้ายอดขายอัลบั้มผมยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ขายได้ในเอเชีย บริษัทก็จะทุ่มโปรโมทผมในยุโรป ถ้ายุโรปสำเร็จ เขาจะทุ่มทุนเพื่อบุกอเมริกา ถ้าเพลงผมขึ้นชาร์ทบิลบอร์ดอันดับต้นๆ ผมก็มีลุ้นว่าจะได้ร้องเพลงในงานอเมริกันมิวสิคอวอร์ดกับแกรมมี่ ชีวิตหลังจากนั้นจะต้องยุ่งกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้แน่ และจะเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม”
“ทำไมไม่คิดว่าคุณจะได้เข้าชิงรางวัล” พยุตม์ถาม
“ประชดหรือเปล่าเนี่ย” พิชญแกล้งทำหน้าบึ้งแต่สายตาฉายแววยิ้ม “ผมก็อยากได้เข้าชิงรางวัลนักร้องหน้าใหม่ แต่มันยากมากเลยนะจะบอกให้ ตอนนี้ผมฝันแค่ว่าให้ได้แสดงในงาน หรือได้ไปร่วมงาน มีกล้องทีวีจับภาพและออกข่าวผมบ้าง”
“พิชญ คุณมาได้ไกลขนาดนี้ คุณจะยังกลัวอะไรอีก คุณฝันว่าคุณจะเป็นผู้ชนะและได้รับรางวัลสิครับ”
“เอางั้นเลยหรือ” พิชญทำหน้าหนักใจ
“ผมขอเป็นกำลังใจให้” พยุตม์พูดเสียงอ่อนโยน
“บอกตามตรงนะครับ ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ ผมกลัวชื่อเสียงที่กำลังโด่งดัง กลัวสารพัด แต่ในขณะเดียวกันผมก็ต้องการไปถึงจุดที่ผมหวังเอาไว้”
“บอกแล้วไงว่าผมจะเป็นกำลังใจให้” พยุตม์ดึงพิชญเข้ามากอด “ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ จะไปดูคอนเสิร์ตคุณทุกครั้งไม่ว่าคุณจะไปแสดงที่ไหน”
“ไหนบอกว่าไม่ดูคอนเสิร์ต ไม่ชอบคอนเสิร์ตที่เก็บเงินค่าดูแพงๆ”
“คุณก็ให้ตั๋วฟรีผมสิ ในฐานะวีไอพี” พยุตม์หัวเราะเบาๆ แล้วหอมแก้มคนที่อยู่ในอ้อมกอด
“อยากเป็นแค่วีไอพีหรือ” พิชญพูดเสียงอู้อี้ หน้าซุกอยู่กับอกกว้างแกร่งของพยุตม์
“เปล่า อยากเป็นมากกว่านั้น”
“อยากเป็นอะไรครับ” พิชญถามเบาๆ
“อยากเป็นคนที่คุณรัก” พยุตม์กระซิบข้างหู “และอยากเป็นคนที่รักคุณ”
“ทางขรุขระหน่อยนะครับคุณ”
“ขรุขระผมก็ไม่หวั่น ถ้าเราจะเดินไปด้วยกัน” พยุตม์ซุกไซร้จมูกเข้ากับซอกหูของคนที่เขารัก “ยากแค่ไหนเราก็จะต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้”
“คุณยอมรับสภาพหรือเปล่า คุณพยุตม์” พิชญถอนหายใจเบาๆ “ถ้าผมดังกว่านี้ เราอาจจะต้องระวังตัวกันมาก คุณอาจจะอึดอัด คุณรู้ไหม ผมมีบอดี้การ์ดประกบอยู่ด้วยแทบตลอดเวลา”
“แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไง เช่าเรือหาปลาลำเดิมมาหรือ” พยุตม์เย้า
“บ้าสิ” พิชญตอบ “อย่าให้เจอเรือลำนั้นอีกก็แล้วกัน ผมเอาเรื่องแน่ๆ ขอบอก”
“ร้ายจริง”
“บอดี้การ์ดผมขับเรือมาส่ง ตอนแรกจะจอดเรือเฝ้าอยู่ที่หน้าหาด แต่ผมบอกว่าเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัว ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง เขาเลยยอมไป แต่อยู่ไม่ไกลหรอกนะ ถ้าผมโทรเรียก เขาก็จะมาหาได้ภายในครึ่งชั่วโมง”
“โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ” พยุตม์พูดขึ้น
“เสียใจครับ ของผมใช้ดาวเทียม เทคโนโลยีล้ำยุคเลยล่ะจะบอกให้ ถ้าคุณทำให้ผมโกรธ ผมจะเรียกบอดี้การ์ดผมมาจัดการคุณ”
“กลัวจัง” พยุตม์ยิ้ม “ผมไม่คิดจะทำให้คุณโกรธหรอก ผมจะทำให้คุณรักและมีความสุข”
“ถ้างั้นคุณก็ปลอดภัย”
“ไปกินข้าวกันเถอะครับ แต่เป็นข้าวผัดนะ”
“อะไรกัน ข้าวผัดอีกแล้ว” พิชญโวยวาย
“ก็ผมรู้หรือเปล่าล่ะว่าคุณจะมา”
“ผมอยากกินปูเผา”
“อาหารเช้านะคุณ”
“หรือไม่ก็ข้าวต้มกุ้ง”
“กินข้าวผัดก่อนเถอะ เอาไว้มื้อเย็นค่อยกินพิเศษ ใจคอจะให้ผมลงน้ำหาปูหาปลาตั้งแต่เช้ายังงี้เลยหรือ” พยุตม์ต่อรอง
“ไหนบอกว่าจะทำให้ผมมีความสุข” พิชญทวง
“งั้นก็รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ผมจะทำให้คุณมีความสุขก่อนอาหารเช้า”
“คนบ้า...ตอนตื่นนอนก็ทีนึงแล้ว เลยไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเลยเห็นไหมล่ะ” พิชญชกหน้าท้องพยุตม์จนตัวงอ
“หรือจะมีความสุขกันบนหาดทรายนี่ก็ได้นะครับ” พยุตม์หัวเราะเบาๆ
“ไม่เอาแล้ว ผมหิวข้าว ผมจะกลับบ้าน” พิชญผลักพยุตม์แล้วเดินตรงไปที่บันไดไม้ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นไปที่บ้านพัก
พยุตม์เดินตามไม่กี่ก้าวก็ตามทัน แขนแข็งแรงกอดเอวคนที่กำลังหิวข้าวแล้วดึงเข้าแนบตัว ทั้งสองหนุ่มเดินคลอเคลียกันไปช้าๆ เพราะอยากตักตวงความสุขช่วงสั้นๆ ให้เต็มที่
“ผมรักคุณนะครับพิชญ” พยุตม์พูดขึ้นมาเบาๆ และก้มลงหอมแก้มคนที่เขาบอกรัก
“อือ”
“อะไรกัน คนบอกรักแล้วตอบเขาแบบนี้หรือ” พยุตม์โวย
“แล้วถ้าผมไม่รักคุณผมจะมาไกลขนาดนี้ให้คุณได้ปู้ยี่ปู้ยำหรือไง” พิชญทำหน้ายิ้มๆ
“ไม่โรแมนติกซะเลย” พยุตม์ส่ายหน้า
“ไม่เคยเป็นคนโรแมนติก” พิชญยักไหล่
“หรือชอบเถื่อนๆ”
“ก็ไม่แน่...” พิชญเลิกคิ้ว
“กินข้าวเช้าเสร็จเดี๋ยวได้รู้กัน” พยุตม์ทำท่าฮึ่มฮั่ม
“กลัวจริงๆ เลยให้ตายสิ” พิชญอมยิ้มแล้วเดินจูงมือพยุตม์ให้เดินตาม “มาเถอะ เร็วๆ เข้า ผมหิวข้าว”
“ครับๆ” พยุตม์พยักหน้ายิ้มๆ “ทำอาหารเช้าให้กินแล้วก็ให้รางวัลผมบ้างนะ”
“คุณทำให้อร่อยๆ ก็แล้วกัน ถ้าอร่อย อยากได้อะไรก็จะให้ทุกอย่าง”
“สัญญานะครับ”
“สัญญาสิ”
….แล้วกล้องก็จับภาพท้องทะเลกว้างใหญ่ แพนกล้องสูงขึ้นให้เห็นท้องฟ้าสีครามจนกระทั่งทั่งสองหนุ่มทานข้าวเช้าเสร็จ หลังจากนั้น จะเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนั้นมันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา...
::: จบ :::