เมื่อคืนผมฝันอีกแล้ว นี่มันอะไรกันแน่? ผมเริ่มจะหลอนตัวเองที่ดันฝันบ้าฝันบอเพ้อเจ้อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พอมาถึงแปลงผมก็เอาแต่เหม่อจนเกือบจะรดน้ำใส่หัวโอเล่ เฮ้อ ก็เพราะไอ้ฝันเมื่อคืนนี้มันเร่าร้อนเล่นเอาผมอารมณ์ค้าง พอตื่นขึ้นมาเจอบางอย่างก็ตกใจสุดชีวิต แหม่ ใครจะว่าผมอารมณ์ทางเพศระดับอนุบาลไม่ได้แล้วนะ เพราะผมพัฒนาจนฝันเปียกได้แล้วด้วย! (ขอขึ้นระดับประถมสักทีเถอะ) แต่จะไปเล่าให้ใครฟังล่ะก็ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ ใครจะกล้าไปบอกว่าตัวเองฝันเปียกเพราะผู้ชายกันเล่า!? ผมผิดปกติอะไรหรือเปล่าวะ?
“มีอะไรเปล่าวะ ทำหน้าอย่างกับลืมขี้ตอนเช้า” ซันเซ็ตโผล่มาถามพลางหัวเราะขบขัน ผมเหลือบไปมองเจ้าเพื่อนที่ออกลวดลายกวนโอยแต่เช้า ส่วนไอ้คำพูดท่อนหลังจะทำเป็นไม่สนใจก็แล้วกัน
“มึงเคยฝันเปียกไหม?”
“...ห๊ะ?” ซันเซ็ตดูอึ้งไป มันอ้าปากเหวอ เบิกตากว้าง ปฏิกิริยาอะไรของมึงล่ะนั้น? เห็นยูเอฟโอบินผ่านไปหรือไง!? ซันเซ็ตเอามือปิดหน้าส่งเสียงฮือเหมือนร้องไห้ ก่อนจะเงยหน้าตะโกนไปหาซีเนียร์ที่ยืนเปิดเพลงคลาสสิกให้ผักให้แปลงฟังเหมือนเดิม
“แม่จ๋าาา! ลูกเราถามว่าพ่อจ๋าเคยฝันเปียกไหม!? มาตอบแทนหน่อย กระดากปากเกินที่จะพูดออกไป!”
“นับไม่ถ้วน!” ‘แม่จ๋า’ ทำหน้าเฉยชาแล้วตอบกลับมาอย่างรวดเร็วจน ‘พ่อจ๋า’ ปรบมือรัวๆ ให้อย่างชอบใจ
“แล้วมึงฝันยังไงวะ?” ผมถามต่อทันที ไอ้ซันเซ็ตยิ้มระรื่น หัวเราะลามก
“จะยังไงได้ล่ะ ก็ต้องฝันว่ามีพี่สาวโคตรสวย หมวย เอ๊กซ์ขึ้นขย่มน่ะสิ คิดแล้วมันซี้ด!”
“แล้วมึงเคย...” พอถึงประโยคนี้ผมก็ชะงัก เงียบไม่พูดอะไรต่อ ไอ้ซันเซ็ตเลิกคิ้วแล้วถาม
“เคยอะไร?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมส่ายหน้าแล้วหันไปรดน้ำแปลงต่อ พอเห็นผมเลิกถามมันก็ยักไหล่แล้วเดินไปทักทายแปลงอื่นๆ
ถ้าผมถามว่าเคยฝันถึงผู้ชายหรือเปล่า? ไอ้ซันเซ็ตจะเตะก้านคอผมไหมวะ? พอคิดได้ว่าผู้ชายปกติที่ไหนมันจะฝันถึงผู้ชายแบบนั้นกันล่ะ ผมก็หยุดคำถามไว้ทันที แย่แล้ว! ไอ้ที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมก็ไม่ปกติน่ะสิ! แถมอีกฝ่ายยังเป็นคนที่ผมแทบจะยกขึ้นหิ้งไม่กล้าแตะต้องซะอีก ถ้าเขารู้เรื่องนี้ล่ะก็ชะตาผมขาดสะบั้นแน่ๆ โทษฐานอุตริคิดลามกกับพี่ท่าน แค่พูดผมก็หนาวยะเยือกแล้วเนี่ย!
หลังจากเลิกเรียนพวกเราทำการซ้อมละครเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากคาบกิจกรรมอาทิตย์นี้เหล่าเฟรชชี่ต้องโชว์การแสดงของสาขาเพื่อให้เหล่าผู้แข่งขันเก็บคะแนน และไปตัดสินในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าป่าและนางไม้คนต่อไป วันนี้พวกเราจึงมาซ้อมจริงบนเวทีจริงกันครับ รุ่นพี่แบ่งเวลาซ้อมให้สาขาละชั่วโมง หลังจากที่พวกเราซ้อมเสร็จผมก็มองหาเป้าหมายที่ล็อกไว้ตั้งแต่เช้า ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับมันเลย ผมหันไปถามโอเล่
“มอตโตล่ะ?”
“เห็นมันบอกว่าจะไปเก็บอะไรสักอย่างที่ห้องสาขาน่ะ”
“อืม ขอบใจ” ผมตบไหล่ของหนุ่มตัวเล็กแล้วเดินผละออกไปตามหาหนุ่มแว่นมอตโตทันที ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องสาขาที่ไม่ค่อยมีคนเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว แถมเด็กปีหนึ่งที่อยู่ก็ตั้งอกตั้งใจซ้อมการแสดงกันอยู่ มอตโตกำลังเก็บดาบไม้และก้มนับจำนวนอยู่ ผมเดินเข้าไปมันก็เงยหน้าขึ้นมามอง สีหน้าเหมือนไม่แปลกใจที่เห็นผมเลยสักนิด พอได้นั่งลงบนเก้าอี้ไม่ไกลจากเจ้าโย่งแว่นที่สาวๆ บอกว่าเท่ฉิบหาย ผมก็เกริ่นประเด็นขึ้นมาก่อน
“กูอยากจะถามอะไรมึงหน่อย”
“เรื่องเกี่ยวกับเฮดีสใช่ไหม?” มอตโตถามย้อนกลับด้วยสีหน้าเรียบๆ เป็นผมซะอีกที่ตกใจ เอาตรงๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ? โอเค! มึงตรงมากูก็ต้องตรงๆ ด้วยเหมือนกัน ผมพยักหน้ารับ
“มึงรู้จักพี่เขาเหรอ?”
“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พ่อของฉันเป็นพี่ชายของแม่เจ้านั้นแล้วพี่โพมก็สนิทกับพี่ชายเจ้านั้นด้วย สรุปก็รู้จักมาตั้งแต่เด็กล่ะนะ” มอตโตตอบพลางหยิบดาบไม้ขึ้นมาพิจารณา น้ำเสียงไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ มันเรียบๆ ปกติ พ่อของมอตโตเป็นพี่ชายของแม่พี่เฮดีส? อ้อ มิน่ามันถึงได้นามสกุลเหมือนกับคุณแม่ของพี่เฮดีส รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กด้วยเนี่ยคาดไม่ถึงเลยแฮะ
“งั้นก็รู้จักดีเลยน่ะสิ” ผมเอ่ยออกไปพร้อมยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี มอตโตเหลือบมามองด้วยสายตาเยือกเย็นซึ่งทำให้ยิ้มของผมเป็นหมันทันที ผมยืดหลังตรง บรรยากาศจอึดอัดขึ้นมาทันควัน ผมกรอกตาไปมาแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อะไรเหรอ?”
“กูไม่รู้ว่ามึงไปรู้จักมันได้ยังไง แต่อยากเตือนให้อยู่ห่างจากมันไว้จะดีกว่า ไม่ต้องเจอมันได้ยิ่งดี” มอตโตพูดด้วยท่าทางจริงจัง น้ำเสียงมีความเกลียดชังแฝงไว้เต็มเปี่ยมจนผมยังต้องแปลกใจ ผมเงียบไม่ตอบรับใดๆ เพราะยังไม่รู้เลยว่าทำไมมอตโตถึงกล่าวหาพี่เฮดีสแบบนั้น จากที่ผมรู้จักมาถึงจะไม่นานแต่เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นนี่น่า
“ทำไมมึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
“เจ้าหมอนั้นเป็นตัวซวยที่ดูดความโชคดีของคนอื่น เป็นกาฝากที่น่ารังเกียจจริงๆ” มอตโตถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยท่าทางดูแคลน พอเห็นผมทำหน้างงๆ มันก็อธิบายเพิ่ม “ถ้ามันพูดกับมึงตอนนั้นก็เหมือนกดปุ่มระเบิดถอยหลัง ไม่เกินสามวันความซวยจะเกิดขึ้นกับมึง อย่างเช่น หกล้มทั้งที่ไม่น่าล้ม สะดุดตกบันได วันที่สี่ความซวยยิ่งหนักขึ้นอาจจะถึงขั้นมีรถมาเฉียว กระถางตกใส่หัวจนแตก ถ้ายังมีปฏิสัมพันธ์กับมันต่ออีก วันที่ห้ามึงจะเริ่มวิงเวียนหัว ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ วันที่หกมึงจะเริ่มอ้วกกินอะไรไม่ลง วันที่เจ็ดมึงจะหยุดลมหายใจทันที”
“ละ...ล้อเล่นน่า!” ผมอุทานอย่างตกใจ มอตโตเงียบไม่ตอบใด จริงเหรอ!? ไม่อยากจะเชื่อเลย เอ๊ะ? ซวยงั้นเหรอ? เดี๋ยวนะ จะบอกว่าที่ตอนนั้นผมทำอะไรก็ซวยไปซะทุกอย่าง เดินก็หกล้ม ป้ายร้านเกือบตกใส่หัว แถมยังหวิดโดนรถชน นี่จะบอกว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะ...พี่เฮดีสงั้นเหรอ?
ไม่จริงหรอกน่า!“จริงแท้แน่นอนล่ะไอ้รัญเอ๊ย ตอนเด็กๆ เจ้าพวกนั้นจะทดสอบเรื่องนี้ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า? แต่จะทดลองกับคนก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” มอตโตหันมาถาม ผมก็พยักหน้า แหงล่ะ ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงมันก็โหดร้ายกับคนๆ นั้นเกินไป “ดังนั้นพวกเขาก็เลยใช้สัตว์ทดลองยังไงล่ะ ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว นก กระต่าย หนู พอถึงเจ็ดวันก็มีอันเป็นไปทุกตัว มึงรู้อะไรไหม? หมอนั้นไม่ได้ไปเรียนในโรงเรียนแบบปกติ มันต้องจ้างครูมาสอนที่บ้านเปลี่ยนตัวทุกสองวัน...” มอตโตเล่าอย่างเมามันคล้ายจะระบายในใจที่อัดแน่นของเขา
เสียงของมอตโตค่อยๆ เงียบลงเมื่อผมเริ่มคิดกับตัวเอง จะว่าไปแล้วตอนไปตลาดกลางคืน ผมถามว่าเขาสนใจอยากเลี้ยงสุนัขหรือเปล่า? เขาก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเดาไม่ออกว่าเดี๋ยวจะทำให้มันตายซะเปล่าๆ ทีแท้ไม่ใช่เพราะไม่สนใจมันหรืออะไรทั้งสิ้น แต่หมายถึงแบบนี้เองงั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่เขาดูชอบขนาดนั้นแท้ๆ! แล้วยังไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนคนทั่วไปอีก แบบนี้เขาก็ไม่มีเพื่อนเลยน่ะสิ ต้องอยู่แต่ที่บ้าน แถมจะคบกับใครก็ไม่นาน จะพูดกับใครก็ต้องระวังอยู่ตลอด แบบนี้มันลำบากมากไม่ใช่เหรอ!?
“แค่นี้มันก็ไม่ถึงกับต้องให้เลิกคบ...” ผมพยายามจะพูดแทนให้ใครอีกคน แต่มอตโตไม่คิดจะฟังเลยสักนิด มันพูดสวนกลับมาทันควัน
“มึงรู้ไหม มันเคยฆ่าคนมาแล้วนะ”
“ห๊ะ? มึงเอาอะไรมาพูด”
“เอาความจริงมาพูด เพราะฉะนั้นมึงอยู่ห่างมันได้มากเท่าไรยิ่งดี อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมันเลยจะดีกว่า กูเตือนมึงได้แค่นี้ เห็นมึงเป็นเพื่อนกูนะถึงได้เตือนด้วยความหวังดี”
ผมนิ่งงันไป ให้ตายผมก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก พี่เฮดีสน่ะเหรอจะฆ่าคนได้ ถึงเขาจะมีเรื่องบ่อยแต่ก็ไม่ทำขนาดเสียชีวิตหรอกน่า ผมเงยหน้ามองมอตโตที่จ้องมา สายตาจริงจังมากทำให้ผมไม่คิดว่าเขาโกหก มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ไม่มีทางที่ใครจะฆ่าใครได้ง่ายขนาดนั้นหรอก!
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมเขาถึงไม่ติดคุกล่ะ?”
“เจ้าบ้า! มึงคิดว่าครอบครัวมันจะให้ติดคุกหรือไง? ครอบครัวมันน่ะมีเงินเป็นภูเขา แค่ยัดเศษเงินให้เรื่องก็จบแล้ว”
“มึงกล่าวหาคนอื่นโดยไม่มีมูลความจริงอยู่นะมอตโต!” ผมเริ่มไม่พอใจที่เพื่อนพูดราวกับอีกฝ่ายนั้นไม่มีอะไรดีเลย มอตโตทำเสียงฮึในลำคอแล้วเหยียดยิ้ม
“ถ้ามึงไม่เชื่อลองไปถามดู เมื่อสามปีก่อนมีคนตายพร้อมกันหกคน มันเกิดขึ้นใกล้ๆ บ้านมึงนั้นแหละ ไปถามว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า ตายเพราะอะไร ตายยังไง มึงลองไปถามดูแล้วคิดเอาเองว่ามันจะเชื่อกูหรือเปล่า!?” มอตโตทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมจมอยู่ในความคิดที่สับสน ไม่จริงน่า เรื่องมันเกิดขึ้นแถวบ้านของผมเองเหรอ? แล้วทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ? เอ๊ะ? สามปีก่อนเหรอ? จะว่าไปความทรงจำในช่วงสามปีก่อนของผมมันก็เลือนรางจำอะไรไม่ค่อยได้ด้วยสิ
“เฮ้ย”
เฮือก! ผมสะดุ้งตกใจกับฝ่ามือที่มาวางบนไหล่ พอเงยหน้ากลับไปมองเห็นโอเล่ขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรวะ หน้าซีดเชียวมึง”
“ไม่ ไม่มีอะไร? มึงมีอะไรหรือเปล่า?” ผมนิ่งไปอึดใจเดียว ก่อนจะแปลงเป็นรอยยิ้ม ส่ายหน้าปฏิเสธ เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยหรือเป็นห่วง โอเล่พยักหน้าแล้วปล่อยมือจากไหล่ของผม
“มาชวนมึงไปหาอะไรกิน ไปปะ?”
“ไปๆ”
หนาว! อยากจะกินอะไรอุ่นๆ จริงๆ นะCharacter in this chapter


แล้วเจอกันตอนหน้าฮับ