สุดขั้ว 20คนที่ชอบงั้นเหรอ?เดี๋ยวๆ! ผมจะดีใจทำไมวะ? เขาอาจจะไม่ได้หมายความไปในเชิงนั้นก็ได้ อาจจะหมายถึงมิตรภาพของลูกผู้ชายอะไรแบบนี้ อย่างที่ผมเองก็ชอบเพื่อนๆ ของผมทุกคน พวกพี่ๆ ที่ผมรู้จักผมก็ชอบเหมือนกัน มันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ เออ นั้นสิเนอะ!? แล้วนี่ผมจะอึ้งไปเพื่ออะไร? แย่ที่สุด! ดันคิดไปในเชิงชู้สาวซะได้! โอ๊ยยยย เพราะไอ้ความฝันบ้าบอนั้นแหละที่ทำให้ผมจิ้นไปไกลถึงขนาดนนี้ได้ บ้าเอ๊ย! มิน่าเขาถึงได้โมโหซะขนาดนั้น ขายหน้าเป็นบ้า ดันคิดเกินไปกว่าที่เขาจะสื่อ เข้าข้างตัวเองได้อย่างหลงตัวเองที่สุด
ผมอายจัง ไม่กล้าไปเจอหน้าพี่เฮดีสแล้วด้วย!
“เฮ้ย ไอ้หนู! ยืนแสดงละครใบ้อยู่หรือไงฟะ จะปล่อยให้ชาวบ้านตาดำๆ รอไปถึงเมื่อไรกัน!?”
“อ๊ะ พี่โพไซดอน?” ผมเงยหน้าเห็นเจ้าลูกน้ำกลมๆ ที่คราวนี้ลูกใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แถมยังเป็นน้ำเปล่าใสแจ๋วอีก ลูกน้ำลูกนั้นพุ่งตรงเข้ามาเกือบจะชนหน้าของผม
“เออ! รีบเดินตามมาได้แล้ว รอนานแล้วโว้ย”
“ครับๆ!” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามลูกน้ำกลมๆ ที่ลอยนำหน้าไป
งะ นี่ผมเสียมารยาทให้เจ้าบ้านรอนานจนอีกฝ่ายได้มาตามแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย!? ผมถอนหายใจเสียงดัง ตั้งแต่รู้จักกับพี่เฮดีส ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยอยู่บ่อยๆ หือ? จะว่าไปแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกับพี่เฮดีส นี่ก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้วสินะ เวลามันเดินรวดเร็วจริงๆ หือ? หนึ่งเดือน? นี่มันใกล้เคียงกับวันที่คุณป๋าเสียชีวิตเลยนี่น่า! ก่อนที่ผมจะทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นก็มีร่างปริศนาพุ่งเข้ามาคว้าตัวผมกอดหมับไว้แน่น ตามด้วยเสียงทำลายแก้วหู จริงๆ นะ ตะโกนข้างหูเลย!
“ไอ้น้องเวรรรร! หายไปไม่บอกไม่กล่าวกันเลยยยย! ฉันตกใจแทบตาย!!!”
อ้อ ผู้ปกครองที่ว่าเนี่ยหมายถึงพี่ยูเองสินะ!!!พี่ยูกอดผมพร้อมกับต่อว่าต่างๆ นานา ส่วนผมก็ได้แต่เอ่ยขอโทษออกไปด้วยความรู้สึกผิด จะว่าไปแล้วทั้งพี่ยูกับไอ้ส้มหวานเวลาที่ผมหายตัวไปไหนก็จะโทรจิกโทรตาม ให้รายงานตลอดว่าจะไปไหนมาไหน เฮ้อ คนพวกนี้กลัวอะไรกันนักหนา ทำเหมือนจะมีใครมาทำอะไรผมอย่างนั้นแหละ พี่ยูเหมือนกลัวจริงๆ ไม่ได้แกล้งล้อเล่น ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม ผมทำหน้าหง่อยๆ แล้วเอ่ยขอโทษอยู่หลายครั้ง พี่ยูยังบ่นอย่างหัวเสียต่อไปจนมีเสียงเอ่ยห้ามปรามขึ้นมาอย่างใจเย็น ผมหันไปมองไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด แต่ว่าสวยชะมัดเลย แต่งตัวแนวโลลิต้าอย่างกับคุณหนูผู้ไฮโซยุควิคตอเรียแน่ะ
“น่าๆ น้องก็ขอโทษแล้วนายก็พอก่อนเถอะ”
“ฮึ! ดีนะที่ครั้งนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั้นมันก็เพราะไอ้เวรเฮดีสแท้ๆ ที่ลักพาตัวน้องกูมา! ความผิดของมึงเลยไอ้บ้าเฮดีส!!!” พี่ยูฮึดฮัดแล้วเบี่ยงเข็มไปหาเพื่อนที่นั่งไม่สนใจฟ้าดิน พี่ยูชี้นิ้วโยนความผิดให้กับอีกฝ่ายจังเบอร์
“น่าๆ ยู พอได้แล้ว” ส่วนฝ่ายห้ามทัพก็ตามมาคั่นกลางเอ่ยปรามเสียงอ่อน
“แล้วไง จะให้ตบแต่งเข้าตระกูล รับผิดชอบตอนนี้เลยไหมล่ะ?” ส่วนคนถูกกล่าวหาตอบกลับเสียงเย็นชา
“ฝันหวานไปเถอะ! กูไม่ยกให้มึงง่ายๆ หรอก” พี่ยูยกนิ้วกลางให้ในทันที ผมถอนหายใจกับอาการห่วงใยจนบ้าคลั่งของพี่ยู ส่วนอีกคนที่ตอนนี้ผมไม่กล้าเผชิญหน้าก็แสยะยิ้มเชิดหน้าท้าทาย ทำตัวอยู่เหนือกว่าได้อย่างน่าหมั่นไส้สุดๆ ทำให้หนุ่มจุดเดือดต่ำอย่างพี่ยูฟิวส์ขาดจะกระโจนเข้าสู้แบบไม่กลัวตายให้ได้
พอเป็นเรื่องผมทีไรพี่ยูขาดสติไม่กลัวตายทุกทีเลยสิน่า ทำตัวอย่างกับคุณพ่อหวงลูกสาวเลยสิน่ะ ผมค่อนข้างชินกับอาการนี้ของพี่ยูเพราะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่สมัยผมยังเรียนมอปลายอยู่นู้นแหละ อ๊ะ พอมาคิดจริงๆ จังๆ แล้วอาการวิตกกังวลมากเกินเหตุนี่เป็นมาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนล่ะมั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เป็นแท้ๆ เกิดอะไรกันนะถึงทำให้ทั้งพี่ยูกับไอ้ส้มหวานกลายร่างเป็นพ่อแม่งูจงอางหวงไข่แบบนี้?
“พี่บอกให้พอได้แล้ว ยู!”
เอ๊ะ? เสียงมันห้าวๆ แมนๆ แฮะ?
ผมมองสาว(?)หวานที่ทำเสียงเข้มจริงจังจนพี่ยูที่ไม่เคยฟังหน้าพรหมหน้าอินทร์ที่ไหนก็ยังยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แถมยังไม่โวยวายสักคำเดียว ดึงผมไปนั่งด้วยเงียบๆ ทำตัวเรียบร้อยว่าง่าย นี่มันผิดพิสัยหนุ่มยี่ห้อสิงห์คะนองนาที่ชอบลุยแบบพี่ยูสุดๆ เลยแฮะ ผมหันไปมองสาวสวยคนนั้นด้วยความสงสัยปนประหลาดใจ เขาคนนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย? ปราบพี่ยูได้อยู่หมัดเลย
“เออ! สงบหูกูหน่อย ให้ตายเถอะว่ะไอ้ห่าโพม แฟนมึงเป็นลำโพงหรือไงวะ? เสียงแปดหลอดบาดหูกูฉิบ” พี่โพไซดอนทำท่าแคะหูพลางบ่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด พี่สาวโลลิต้าคนสวยก็ยิ้มหวานหยดให้กับพ่อหมีที่บ่นเป็นหมีหิวน้ำผึ้ง
“ต๊าย ถ้างั้นให้เค้าใช้ร่างกายไถ่โทษเอาไหมล่ะจ๊ะเฮียจ๋า?”
“อย่าเลย กูไม่อยากฝันร้ายตอนกลางวันแสกๆ” พี่โพไซดอนตอบกลับทันทีและชัดเจนเป็นที่สุด ส่วนพี่ยูก็เหลือบมองคนข้างๆ สีหน้าไม่สบอารมณ์
“โธ่เอ๊ย ได้ลองแล้วจะติดใจนะจ้ะที่รัก”
“หยุดกระแดะใส่กูสักทีไอ้โพม กูจะอ้วก! แม่งเอ๊ย ไปอยู่ฝรั่งเศสไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาการหนักกว่าตอนอยู่ไทยซะอีก เวรกรรม!”
“แหม พี่ก็เหมือนกัน ยิ่งแก่ยิ่งหล่อแซ่บน่ากิน ซวบ!”
พี่น้องมหาเทพสะดุ้งโหยงพร้อมกัน ผมต้องกลั้นยิ้มเลยล่ะครับ หน้าเหวอของสองคนนี่มันฮาสุดๆ ยิ่งตอนเลียลิ้นดังซวบทำเอาพี่โพไซดอนเงียบกริบไปเลยครับ สาว(?)ใจกล้าก็หัวเราะอย่างสนุกสนานที่ได้เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพ่อหมีตัวโต โพม? นี่มันชื่อของแฟนพี่ยูหรอกเหรอ? อ่า แฟนพี่ยูสวยมากเลยแต่ทำไมเสียงถึงได้ทุ้มจัง แถมพยายามดัดสุดฤทธิ์สุดเดชอีกต่างหาก!
ผมเริ่มแน่ใจว่าแฟนพี่ยูต้องไม่ใช่ผู้หญิงแท้ที่มีมดลูกอย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์! ท่าทางส่งสายตาหวานเยิ้มเคลิบเคลิ้มใส่พี่โพไซดอน ทำเอาพ่อหมีเริ่มพะอืดพะอมกวักมือเรียกหากระโถน พี่ยูทำเสียงจิ๊จ๊ะๆ ในคอ กระแทกไหล่ใส่คนข้างๆ เตือนเบาๆ ว่าไม่พอใจ พอถูกแฟนสะกิดเขาก็หันมายิ้มหวานจนตาเชื่อม ยกมือลูบหัวของพี่ยูเบาๆ พี่ยูหน้าแดงไม่ต่อว่าหรือบ่นอะไรเลยสักคำ เฮ้ย นี่ไม่ใช่พี่ยู! พี่ยูตัวจริงต้องโวยวายหรือไม่ก็พ่นคำดุเดือดร้อยองศาสิ!
“กลับเถอะพี่” พี่ยูที่ปั้นหน้าบึ้งเอ่ยชวนเสียงห้วนๆ คนที่ถูกชวนก็พยักหน้าตามใจไม่ขัด เมื่อหน้าตาของคนชวนบ่งบอกถึงขีดจำกัดของความอดกลั้นอดทนที่เริ่มจะลดน้อยลงไปทุกที พี่ยูรีบดึงผมลุกตามไป ไม่ถงไม่ถามอะไรสักคำ
เดี๋ยวสิครับพี่ ผมยังไม่ได้ล่ำลาเจ้าบ้านเลย แล้วพวกเด็กๆ ล่ะ!? แถมยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับพี่เฮดีสเลยนะ ผมหันหลังไปมองเจ้าของบ้านที่นั่งหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ส่วนอีกคนทำหน้าอึดอัดใจเพราะถูกแฟนพี่ยูกอดรัดล่ำลาอย่างแนบแน่น
“อ๊ะ แกจะไปไหนวะดีส?”
“สูบบุหรี่”
“เฮ้ย แล้วใครจะพาฉันไปโรงบาลเยี่ยมไข้ฝาแฝดคนพี่ล่ะ?”
พี่เฮดีสลุกขึ้นเดินเชิดหน้าเดินออกไป พี่โพไซดอนพยายามแกะตัวออกจากปลิงตัวยักษ์ตะโกนถามตามหลัง น้องชายเจ้าของฉายาภูเขาน้ำแข็งเดินได้ก็หันมาตอบสั้นๆ แบบไม่ใยดี เรียกเสียงโวยวายจากพี่ชายร่างหมี คนถูกโวยวายก็ไม่สนใจทำเหมือนไม่ได้ยิน พ่อหมีก็สบถตามหลังอย่างโมโห
“ไอ้เหี้ยดีสสส! ตัวใหญ่กว่าควายดันทำเป็นสะดิ้งงอน ถุย!”
“เอ่อ ขอเวลาแป๊บหนึ่งครับ” ผมหยุดเดิน ดึงแขนของตัวเองออกจากพี่ยู และเดินย้อนกลับมาหาพี่โพไซดอน
“ผมจะพาพวกเด็กๆ กลับด้วยน่ะครับ”
“อ้อ ถ้าเจ้าพวกนั้นตื่นแล้วจะให้ไอ้เฮดีสไปส่งล่ะกัน” พี่โพไซดอนพยักหน้าแล้วตอบกลับมามาเรียบๆ ผมพยักหน้ารับแล้วย้อนคิดทบทวนอะไรบางอย่าง พี่เฮดีสจะไปส่งพวกเด็กๆ? งั้นตอนนั้นค่อยคุยก็ได้ล่ะมั้ง?
“พี่จะไปโรงพยาบาลเหรอ? ไปพร้อมพวกเราไหม? ยูก็จะไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายน่ะ” พี่โพมเอ่ยกับพี่โพไซดอนแล้วชักชวนให้ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน พี่โพไซดอนขมวดคิ้วครุ่นคิด สีหน้าลังเลใจอยู่บ้าง พี่ยูหันมามองด้วยสายตาจิกเล็กน้อย ท่าทางพี่ยูไม่ค่อยชอบพี่โพไซดอนเท่าไรแฮะ ก็แน่ล่ะ แฟนของตัวเองเล่นไปเกาะแกะหนุ่มหล่อซะขนาดนั้นนี่น่า
“อ่า แกรู้จักห้องพักของแฝดคนพี่ใช่ไหมไอ้หนู?”
“ครับ ผมเคยไปเยี่ยมพี่ไนซ์มาแล้ว ผมพาไปได้ครับ” เมื่อพี่โพไซดอนหันมาถามผม ผมก็ยิ้มรับแล้วเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ สุดท้ายแล้วพี่โพไซดอนก็ตัดสินใจจะไปพร้อมกับพวกเรา แต่ไม่วายบ่นทิ้งท้ายกับน้องชายหน้าบูดที่หนีไปสูบบุหรี่อัดเอามะเร็งเข้าปอดอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
“แกไปทำอะไรมันหรือเปล่า?”
“ไม่นี่ครับ” ผมส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว โธ่ ผมเนี่ยนะจะไปทำอะไรให้เขาได้ พี่โพไซดอนพูดอะไรไม่เข้าท่าเลยนะครับ
พี่ยูกับแฟนเดินไปที่รถ ผมกำลังจะเดินตามพี่ยูไปแต่ถูกพี่โพไซดอนคว้าคอเสื้อเอาไว้ซะก่อน เขาโบกมือให้พี่ยูกับพี่โพมให้ไปก่อน ดังนั้นผมถึงได้มานั่งในรถถูกอีกฝ่ายกล่าวหาว่าไปทำอะไรน้องชายอยู่ในตอนนี้ยังไงล่ะครับ พี่โพไซดอนเอนตัวนอนไปกับเบาะนุ่มนิ่มของรถ ผมกับพี่โพไซดอนนั่งอยู่เบาะหลังของรถ ข้างหน้ามีชายกลางวัยอีกคนทำหน้าที่เป็นคนขับรถซึ่งพี่โพไซดอนแนะนำว่าเป็นคนสนิทของเขาเองชื่อ ‘วิสมอล’ ดูๆ ไปแล้วไม่น่าจะใช่แค่คนขับรถน่ะครับ คล้ายๆ เลขาส่วนตัวมากกว่า
“แล้วทำไมมันถึงอารมณ์บูดแบบนั้นได้ล่ะ?”
“ผมจะไปรู้เหรอครับ?”
ถ้าผมรู้ตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งคิดให้ยุ่งยากใจแบบนี้หรอก แล้วนั้นอะไรกันล่ะ สาบานนะว่านั้นเป็นหน้าบูดเป็นตูดลิงแล้ว!? โธ่ ใครจะดูออก!
“ก็มันอยู่กับแกไม่ใช่หรือไง?”
“มันก็ใช่ครับ แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงอารมณ์เสีย” ผมตอบอย่างจนปัญญา ถึงจะถามผมไปมันไม่ช่วยให้ได้คำตอบหรอกนะครับ ผมแค่ไม่ชอบที่เขาล้อเล่นกับผมแบบนั้น ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายโมโหแต่ไหงเขากลับโมโหผมแทนล่ะเนี่ย?
ผมพยายามคิดหาสาเหตุแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เลยตัดสินใจจะถามคนใกล้ชิดน่าจะรู้ดีที่สุด ผมก็เลยตัดสินใจเล่าให้พี่โพไซดอนฟัง ระหว่างที่เล่าเขาตั้งใจฟังผมมาก ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกสะดวกใจในการพูดถึงเรื่องต่างๆ กับคนๆ นี้ ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนพึ่งพาได้ บรรยากาศรอบตัวที่ดุดันในตอนแรกนั้นดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าผมเป็นแฟนกับพี่เฮดีส(แค่สมมติล่ะนะ)
“แกปัญญาอ่อนเหรอ?”
“หา? ทำไมพี่ถึงว่าผมแบบนั้นเล่า?”
เมื่อเล่าจบพี่โพไซดอนก็ตอกกลับในทันที มองหน้าผมด้วยท่าทางเหลือเชื่อสุดๆ ผมทำหน้าบูดแล้วถามอย่างขุ่นเคืองใจ อะไรเล่าผมปัญญาอ่อนตรงไหน? ก็ผมไม่เข้าใจนี่น่า พี่โพไซดอนถอนหายใจเฮือกแล้วตั้งคำถาม
“แล้วแกเคยจูบใครเพื่อแกล้งเล่นไหมล่ะ?”
“ก็...ไม่เคยครับ”
“เออ ไอ้การที่เป็นแฟนกันแล้วจูบมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง?”
“อ้อ เหรอครับ?”
แต่พวกเราไม่ใช่แฟนกันจริงๆ น่ะสิ!
ผมเงียบแล้วนั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อ่า ให้ตายเถอะ ตกลงแล้วมันเป็นยังไงกันแน่นะ พี่เฮดีสทำแบบนั้นเพราะแค่แกล้งให้ผมอับอายจริงๆ งั้นเหรอ? แต่อย่างที่เขาบอกนั้นแหละ คนบ้าที่ไหนจะจูบเพื่อแกล้งเล่นเท่านั้น แล้วเขาทำไปทำไมกันล่ะ? ถ้าเราเป็นแฟนกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักหรอก ผมเข้าใจดีแต่นี่... เราไม่ได้คบกันแบบนั้นสักหน่อย
“ถึงแล้วครับคุณชาย”
“เฮ่ย บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกด้วยคำปัญญาอ่อนแบบนั้น!”
“ครับ...คุณหนู”
“คุณหนูพ่องงง!”
พี่โพไซดอนเถียงกับคุณลุงวิสมอลอยู่สักพักก็ยกมือยอมแพ้ ยอมให้อีกฝ่ายเรียกได้ตามความชอบ ผมลงมาจากรถแล้วพา ‘คุณหนู’ ที่ไม่เล็กเหมือนหนูแต่ตัวใหญ่เป็นหมีเดินเข้าไปในตึกของโรงพยาบาล พี่ยูกับพี่โพมมาถึงก่อนพวกเขายืนรอเราสองคนอยู่ด้านหน้า ทั้งสองบอกว่าจะไปตรวจร่างกายก่อนแล้วจะตามไปทีหลัง ผมกับพี่โพไซดอนจึงไปเยี่ยมพี่ไนซ์กันสองคน ระหว่างที่ลิฟต์เลื่อนตัวเพื่อจะขึ้นไปบนห้องพักของพี่ไนซ์ ผมก็รู้สึกหวั่นๆ กลัวว่าจะเจอเข้ากับยัยป้าแม่มดคนนั้นเสียจริงๆ สาธุ รอบนี้ขอให้ปลอดภัยทั้งขามาและขากลับด้วยเถิด! ผมเคาะประตูห้องหลังจากแน่ใจแล้วว่าพี่ไนซ์ไม่ได้กำลังนอนอยู่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญเข้ามาเลยครับ” เสียงพี่ไนซ์เอ่ยเชิญชวนแขกเข้าไปในห้องอย่างเป็นมิตรและสุภาพ ช่างแตกต่างจากฝาแฝดคนน้องลิบลับ ผมผลักประตูเข้าไปยิ้มกว้างส่งเสียงทักทายพี่ไนซ์เหมือนเคย เมื่อเห็นว่าเป็นผมพี่ไนซ์ก็ยิ้มตอบกลับอย่างสดใส อืม สีหน้าดูดีขึ้นมาก แสดงว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้วสินะ
“สวัสดีครับพี่ไนซ์ เป็นยังไงบ้างครับ?”
“โอ๊ะ สวัสดีครับเนรัญ อ้าว แล้วพวกเด็กๆ ไม่ได้มาด้วยเหรอ?”
“อ้อ พวกเด็กๆ นอนหลับกันน่ะครับ ผมไม่อยากปลุกก็เลยไม่ได้พามาด้วย ต้องขอโทษด้วยนะครับ คราวหน้าจะพามาแน่นอน” ผมรีบอธิบายเมื่อคุณพ่อยังหนุ่มเอ่ยถามถึงลูกชายฝาแฝดสองพะหน่อ ซึ่งตอนนี้คงจะหลับปุ๋ยอย่างมีความสุขที่คฤหาสน์แน่ๆ พี่ไนซ์พยักหน้าเข้าใจและไม่ถามถึงรายละเอียดปลีกย่อย เขาอมยิ้มมองผมแล้วชะงักเมื่อเห็นมีแขกอีกคนที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ผม พี่ไนซ์เลิกคิ้ว สีฉงนใจ ผมก็รีบแนะนำเพื่อไม่ให้พี่ไนซ์เกิดความระแวด
“นี่ พี่ไนซ์ครับ ส่วนคนๆ นี้คือพี่โพไซดอน”
“อ้อ โพไซดอน” พี่ไนซ์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพึมพำชื่อและพูดอะไรบางอย่าง เขาพยักหน้ารับแล้วเงยหน้าส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้แก่พี่ชายผู้เพิ่งเคยเจอหน้าค่าตากันวันแรก
“สวัสดีครับ ผม ไนซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เออ ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันโพไซดอน แกเนี่ยเหมือนเฮดีสมากจริงๆ” พี่โพไซดอนพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปจับมือของพี่ไนซ์ที่ยื่นมาทักทายอยู่ก่อนแล้ว พอได้ยินแบบนั้นพี่ไนซ์ก็หัวเราะร่าตอบอย่างอารมณ์ดี
“ก็เป็นฝาแฝดกันนี่ครับ”
“นั้นสินะ นิสัยยังเหมือนกันเลย” พี่โพไซดอนหัวเราะฮ่าๆ แล้วยิ้มจนตาหยีเอ่ยคล้ายขบขำกับเรื่องนี้เอามากๆ ผมเลิกคิ้วกับสิ่งที่พี่โพไซดอนเอ่ย ส่วนพี่ไนซ์ก็ทำหน้างงๆ จะไม่ให้งงได้ยังไงล่ะครับ ถ้าไม่นับหน้าตาที่เหมือนกันมากก็ไม่มีอะไรที่ฝาแฝดคู่นี้จะเหมือนกันเลยนะ ยิ่งเป็นนิสัยแล้วด้วย แตกต่างกันคนละขั้วเลยล่ะ! พี่โพไซดอนเมากลิ่นยาฆ่าเชื้อหรือเปล่า?
“ยังไงเหรอครับ? เรามีนิสัยที่เหมือนกันด้วยเหรอเนี่ย? ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย” พี่ไนซ์หัวเราะตามเอ่ยถาม แต่น้ำเสียงกลับไม่สดใสเหมือนเคย พี่โพไซดอนยิ้มกว้าง
“เหมือนตรงที่พูดโกหกได้แบบสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยน่ะสิ”“ครับ?” พี่ไนซ์เลิกคิ้วรับอย่างไม่เข้าใจ พี่โพไซดอนก็ยังคงยิ้มแล้วหัวเราะ
“ช่างเถอะ ฉันขอตัวไปสูบบุหรี่ดีกว่า” พี่โพไซดอนไม่ได้เอ่ยอธิบายอะไร เขาหมุนตัวแล้วเดินออกไปจากห้องในทันที อ้าว แค่นี้น่ะเหรอ? ผมนึกว่าพี่โพไซดอนจะมาดูพี่ไนซ์หรือพูดคุยอะไรมากกว่านี้ซะอีก ว่าแต่ไอ้ประโยคที่พี่เขาพูดก่อนออกไปนั่นมันอะไรกันน่ะ? พี่ไนซ์มองตามหลังพี่โพไซดอนไปอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรใดๆ อยู่สักพักเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ก่อนที่จะหันมายิ้มแบบจนใจให้ผม ชี้ไม้ชี้มือไปที่หน้าประตูซึ่งเพิ่งมีคนเดินออกไป
“คนๆ นั้นอะไรของเขากันน่ะ?”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” ผมส่ายหน้าอย่างจนใจเหมือนกัน ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ค่อยจะเข้าใจคนน้องยังไง คนพี่ก็ไม่ต่างกันมากนัก ผมน่ะงุนงงกับการกระทำของพวกเขาสุดๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะคนน้องไม่เข้าใจเลยสักนิด ผมเหม่อคิดอะไรบางอย่างไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ยินเสียงเรียกของคนป่วยจนกระทั่งเขาเรียกผมเสียงดัง
“รัญ!”
“เอ๊ะ? ครับ? มีอะไรงั้นเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก ว่าแต่เธอเถอะ เป็นอะไรหรือเปล่า? เล่าให้ฉันฟังได้นะ” พี่ไนซ์ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไม่มีอะไร เขามองผมเหมือนจะจับผิดแล้วถามเสียงอ่อน ท่าทางเป็นห่วง ผมยิ้มรับแล้วส่ายหน้าปฏิเสธออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ว่าแต่อาการพี่เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ก็ดีมากแล้วล่ะ คุณพยาบาลบอกว่าฉันแข็งแรงเร็วมากจนน่าแปลกใจเลยล่ะ” เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใสเหมือนเดิม ผมพยักหน้ารับนั่งฟังพี่ไนซ์พูดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้เยอะแยะเหมือนคนไม่ได้พูดมานาน บางทีเขาอาจจะชวนผมพูดเพื่อไม่ให้ผมต้องคิดมากล่ะมั้ง ผมพยักหน้ารับหัวเราะบ้างกับเรื่องเล่าของเขา พร้อมทั้งเหลือบมองใบหน้าที่เหมือนกับใครอีกคนที่ไม่เคยมีท่าทางร่าเริงสดใสแบบนี้ให้เห็น ทั้งๆ ที่หน้าเหมือนกันขนาดนี้แต่ทำไมนิสัยถึงได้ต่างกันสุดขั้วได้นะ
“นี่เธอกับเฮดีสไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ?” พี่ไนซ์นิ่งไปแล้วเอียงตัวมากระซิบกระซาบถามขึ้นด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม ผมหน้าแดงเมื่อรู้คำถามแฝงนัยของพี่ไนซ์
“จะถึงไหนได้ล่ะครับ ก็เหมือนเดิมนั้นแหละน่า”
“หือ? แล้วไปรู้จักพี่เบิ้มนั้นได้ยังไงล่ะ แถมมาพร้อมกันด้วย หรือว่าเธอเป็นพญาเทครัว?”
“เทครัวอะไรกันครับ บังเอิญพี่เขาอยากมาเยี่ยมน้องชายที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนต่างหาก ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย” ผมรีบปฏิเสธแล้วอธิบายโบยเหตุไปหาคนป่วยที่ยังนอนแหมะกับเตียง ท่าทางผมเหมือนลุกลีลุกลน น่าสงสัยสุดๆ เลย โชคดีที่เขาไม่สังเกตเห็น พี่ไนซ์พยักหน้ารับแล้วเอ่ยถึงบรรดาพี่ชาย
“ตอนแรกที่เจอเฮดีสก็ไม่ตกใจเท่าไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝาแฝดกัน หน้าตาก็ต้องคล้ายๆ กันอยู่แล้วแต่ตอนที่เห็นซูสครั้งแรกน่ะสิแทบตะลึงเลยล่ะ ผู้ชายอะไรดูดีเป็นบ้าเหมือนติดไฟนีออนทั้งตัว สว่างไสวสุดๆ แต่พอมาเห็นโพไซดอนเรียกได้ว่าช็อกมากกว่าตอนเจอซูสเสียอีก คนหรือหมีเอ๊ย ไม่ใช่สิ เขาไม่เหมือนซูสหรือพวกฉัน แถมยังไม่เหมือนพ่อด้วย”
“พี่ก็สนใจเรื่องพี่น้องเหมือนกันนะครับ” ผมยิ้มแล้วเอ่ยแซวคนที่พูดร่ายยาว พี่ไนซ์หันมามองแล้วยิ้มเขินๆ ให้
“แหม ก็ช่วยไม่ได้นี่น่า ฉันรู้ว่าเยอะเลยล่ะ โดยเฉพาะเรื่องของฝาแฝดตัวเองเนี่ย” คนป่วยทำหน้าภาคภูมิใจในข่าวกรองของตัวเอง ผมยิ้มรับเล็กน้อย ไม่ได้ถามอะไรต่อถึงจะอยากรู้เรื่องของฝาแฝดของคนตรงหน้าก็เถอะ เดี๋ยวจะถูกแซวอีก พวกเราสองคนเงียบไปเหมือนไม่มีอะไรจะคุยกัน ต่างอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ผมถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาเห็นพี่ไนซ์ที่มองผมนิ่งด้วยสายตาที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร เขาหลบสายตาไปมองทางอื่นก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
“ขอโทษนะ”
“ครับ?”
“ฉันไม่น่าดึงเธอเข้ามายุ่งด้วยเลย รบกวนหลายอย่างจนต้องลำบากไปด้วย ขอโทษนะ”
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเด็กๆ พี่ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ได้ลำบากอะไรมากขนาดนั้น” ผมโบกมือไปมาแล้วเอ่ยไม่ให้พี่ไนซ์ต้องคิดมาก เดี๋ยวจะพาลไปกระทบกับการฟื้นตัวของร่างกายซะเปล่าๆ พี่ไนซ์หันกลับมามองผมแล้วถอนหายใจก่อนจะยิ้มกว้างหัวเราะเสียงใสเหมือนเดิม
“เธอนี่ดีเกินไปแล้ว เสียดายจังที่ต้องยกให้เฮดีส แต่ถ้าหมอนั้นยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“อะไรเหรอครับ?”
เปลี่ยนใจอะไร? ผมมองหน้าพี่ไนซ์ ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด พี่ไนซ์หัวเราะเบาๆ
“ก็ตามนั้นแหละ หึๆ”
พี่ไนซ์หัวเราะ ผมก็หัวเราะตามไปแบบงงๆ
อารายยย มาต่อเร็วกว่ารอบที่แล้วนะ (แก้ตัวไว้ก่อน 555)
ตอนนี้ก็เปิดตัว 'พี่โพม' เป็นทางการจ้า!!! ต๊ายยย!!! สะใภ้ เอ๊ย เซอร์ไพร้ส์กันไหม?
แล้วใครลุ้นให้อิพระ-นางสวีตอินเลิฟหลังจากอิพระเอกหลุดปากล่ะก็เสียใจ
เพราะรัญก็ยังคือรัญ ค่าาาา! ทึ่มได้อีก ถ้าเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็คงจะ...หลายยกแล้ว(อะไร!?)
เรื่องกำลังเจ้มจ้นเลย โอ๊ยยย ค่อยๆ คลี่คลายไปทีละปม
ส่วนใครกังวลว่าจะมีศึกพี่น้องล่ะก็ไม่ต้องกังวลค่ะ มีแน่นอน!Character in this chapter
แล้วเจอกันตอนหน้านะฮับ