สุดขีด 10“พี่...”
“โง่!”
“อะ หา?”
ผมกำลังเอ่ยเรียกอีกฝ่ายแต่ดันโดนเสียงต่อว่านั้นกลบไปหมด ผมยืนเอ๋อ พี่เฮดีสปล่อยตัวผมแล้วก้าวถอยหลังออกห่าง อะไรน่ะ? ทำอย่างกับผมเป็นตัวเชื้อโรคไม่ควรเข้าใกล้อย่างนั้นแหละ
“มาทำไมที่นี้? หน้าโง่เอ๊ย! ไม่เจียมตัวเอาซะเลย คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน งี่เง่า! ไอ้งั่ง!”
“...”
เดี๋ยวนะ ทำไมผมต้องถูกพี่ว่าแบบนั้นด้วย! ผมชักสีหน้าเริ่มกรุ่นๆ บ้างแล้ว ผมยืนขมวดคิ้วมองดูคนที่ถอยหลังกรูพลางสาดคำด่าใส่ผมแบบไม่ยั้ง มีคำด่าไหนในโลกนี้พี่เขาสรรหามาชี้หน้าด่าผมแทบจะครบ
“ไสหัวกลับไปนอนได้แล้ว! ที่นี้ไม่ต้อนรับเด็กอมมือ!”
“แล้วทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วยไม่ทราบ! ผมจะไปไหนก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย!”ผมตะโกนตอบกลับด้วยความโมโหอย่างรุนแรง อ่า ทำยังไงดีล่ะ ผมเผลอตัวพูดออกไปแล้วทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์มาช่วยผมไว้แท้ๆ แต่มันน่าไหมล่ะ โดนด่าฉอดๆ แถมเจ้าตัวยังเดินถอยห่างออกไปแบบนั้น ท่าทางรังเกียจกันเสียเต็มประดา มันก็ต้องโมโหอยู่แล้ว!
พี่เฮดีสหรี่ดวงตาลง ขบกรามแน่น ผมแอบผวาเบาๆ กับท่าทางแบบนั้นของเขา นี่คงจะไม่พุ่งเข้ามาจัดการกับผมหรอกนะ ท่าทางจะโมโหที่ผมตะโกนตอบโต้ไปแบบนั้น ดวงตาน่ากลัวนั้นทอประกายเย็นยะเยือกอย่างรุนแรง จ้องผมเขม็งอย่างกับผมเคยไปเหยียบเท้าเขา ร่างสูงในชุดสีดำหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ!”
ผมพยายามเรียกเขาเอาไว้และวิ่งตามแต่ไม่ทันซะแล้วล่ะครับเพราะอีกฝ่ายหายตัวไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว ผมวิ่งตามมาก็หันรีหันขวางเพื่อหาตัว คนๆ นั้นใส่ชุดสีดำมันทำให้หายากในสถานที่แสงสลัวๆ แบบนี้ ผมมองหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เศษเล็บก็เลยเลิกหา ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้เป็นวิญญาณหรือตัวเป็นๆ กันแน่? เฮ้อ ทำไมถึงหายตัวไปเร็วแบบนั้นน่ะ เขาทำได้ยังไงกัน?
ผมเดินหอบความผิดหวังกลับมาหาพวกเพื่อนๆ ที่โต๊ะซึ่งมีซีเนียร์กำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ สงสัยจะแด๊นซ์จนเหนื่อยแล้วล่ะมั้ง ผมเดินมาหย่อนตัวนั่งลงที่เดิมแล้วก้มหน้าครุ่นคิดเหตุการณ์ที่คิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทำไมกันนะตอนที่ถูกช่วยไว้ผมกลับลืมความรู้สึกหวาดกลัวคนสถานการณ์และดีใจที่คนมาช่วยเป็นเขา นี่มันแปลกเกินไปแล้ว แถมยัง... เฮ้อ
พอคิดถึงเรื่องโดนจูบแล้วยิ่งสับสน ทำไมต้องจูบด้วยล่ะ? หรือว่าจะเป็นการแสดงเพื่อไม่ให้ผู้ชายคนนั้นเซ้าซี้? มันก็ได้ผลจริงๆ นั้นแหละผู้ชายคนนั้นถึงได้หนีหางจุกตูดไปอย่างนั้น แต่ว่า... ให้ตายเถอะ ผมกลับรู้สึกดีกับจูบหลอกๆ นั้นซะได้ นี่มันพิลึกจริงๆ นั้นแหละ พิลึกพอๆ กับที่ดีใจที่จริงๆ แล้วพี่เฮดีสไม่ได้ลืมเขาแต่ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีกว่าทำไมตอนนั้นถึงทำเมินกัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เป็นอะไรวะ? เบื่อเหรอ?”ซีเนียร์เลิกคิ้วถามผมด้วยความแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็ถอนหายใจยาวเป็นนาที ผมเงยหน้ามองเพื่อนแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“หรือว่าง่วงนอนแล้ว?”
“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง”ผมพยักหน้ารับไป จะว่าไปนี้มันก็ถึงเวลานอนของผมแล้ว พูดแล้วก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเลยแฮะ ซีเนียร์หัวเราะผมนิดหน่อยแล้วยกมือขยี้ศีรษะของผมเบาๆ จากนั้นก็หันไปโบกมือไปหาพวกพี่ฟีฟ่าที่กำลังเต้นกันมันกระจาย นี่พวกนั้นไม่รู้จักเหนื่อยกันหรือไง?
“มีอะไรวะ?”ซันเซ็ตที่เดินมาถึงเป็นคนแรกถามขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลย เหมือนเตรียมพร้อมจะไปลุยต่อได้ทุกเมื่อ ซีเนียร์บุ้ยปากมาทางผมเป็นคำตอบนัยๆ
“เอาล่ะๆ พวกเรากลับกันเถอะเพราะนี่ก็เลยเวลาที่เด็กจะนอนแล้ว!”พี่ฟีฟ่าที่เดินมาทีหลังเมื่อเห็นไอ้ซีเนียร์บุ้ยปากมาที่ผม ก็ยิ้มนิดๆ พยักหน้าเข้าใจในทันที ซันเซ็ตโห่ออกมาด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง ถ้ามึงไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับก็ได้นะไอ้ซัน ทำอย่างกับเอ็งไม่เคยมาเที่ยวงั้นแหละ
“กำลังสนุกอยู่เลย”
“นั้นสิ!”
ซันเซ็ตกับโอเล่จับมือกันประท้วงอย่างเข้าขา จนพี่ฟีฟ่าถอนหายใจพยักหน้ารับอย่างใจอ่อนแล้วปล่อยให้คนที่อยากอยู่สนุกต่อให้พวกมันอยู่ต่อไป พี่ดราฟต์อาสาอยู่ต่อแล้วจะไปส่งทุกคนกลับเอง ทำให้พี่ฟีฟ่าวางใจระดับหนึ่ง สุดท้ายแล้วคนที่กลับก็มีแค่ผมกับพี่ฟีฟ่า
“งั้นพี่พาเด็กน้อยเข้านอนก่อนนะ ไว้ว่างๆ เดี๋ยวมาสนุกด้วยกันอีกล่ะกัน”
“เย้~!! ผมจะตั้งตารอเลยล่ะครับ!!”ซันเซ็ตรีบเอ่ยอย่างรวดเร็วแล้วพยายามรั้งตัวพี่ฟีฟ่าเอาไว้อย่างอาลัยอาวรณ์ ผมเคยสงสัยมาก่อนว่าไอ้เพื่อนคนนี้มันเป็นญาติกับแฮร์รี่ พ็อตเตอร์หรือเปล่า? ก็แหมดูมันสิครับ ช่าง(ทำ)หม้อเหลือเกิน! พี่ฟีฟ่าโบกมือให้ผมออกไปรอก่อนเพราะจะไปเอารถที่จอดอยู่ด้านหลัง ผมพยักหน้ารับเข้าใจแล้วเดินออกมายืนรอที่หน้าร้าน
“...”
ผมยืนตัวเกร็งเล็กน้อย หัวใจเริ่มแกว่งไกวอยู่ในอก อ่า ทำไมพอตอนที่ไม่ได้เตรียมใจจะเจอกลับมาเห็นง่ายๆ เอาแบบนี้กันนะ ผมชำเหลืองสายตาไปมองอีกฝั่งพยายามไม่ให้เขารู้ตัวว่าผมกำลังแอบมองอยู่ พี่เฮดีสยืนพิงกำแพงกอดอกอย่างเท่ ปากคาบบุหรี่ไว้หมิ่นเหม่จนผมกลัวว่ามันจะหล่นไปไหม้เท้าพี่เขาเสียจริงๆ
“เอ่อ...”
มะ ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ!? พอผมเริ่มต้นอ้าปากจะพูดอีกฝ่ายก็หันมามองด้วยสายตาเย็นชาจนคำพูดที่ผมจะเอ่ยไปมันจุกตันอยู่ที่ลำคอหมด ผมอ้าปากพะงาบๆ อ้ำอึ้งอยู่นาน อ๊าก! ถ้ามัวแต่พูดติดอ่างอยู่แบบนี้พี่เขาจะรำคาญผมหรือเปล่าวะ? ขนาดตัวผมเองยังรำคาญตัวเองเลย! ผมกลั้นหายใจแล้วรวบรวมความกล้าด้วยการถอนลมหายใจเข้าปอดช้าๆ
“คือ...ที่ช่วยไว้เมื่อกี้นี้...ขอบคุณมากครับ”
“...”
พี่เฮดีสไม่ตอบอะไรกลับมา ใช้มือคีบม้วนก่อสารมะเร็งที่ผมอยากจะเอามันไปทิ้งไกลๆ เสียจริงๆ! กลิ่นบุหรี่ทำให้ผมอยากจะอ้วก แถมยังทำผมแสบตาบวกกับง่วงทำเอาตาแดงแสบจนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว
พี่เฮดีสดีดบุหรี่ในมือไปที่ดับบุหรี่อย่างแม่นยำ นี่ถ้ามันไม่ลงช่องล่ะก็อาจจะไฟไหม้ได้เลยนะ! แต่ก็ต้องขอบคุณที่โยนมันไปไกลๆ อากาศเริ่มน่าสูดเข้าปอดหน่อย อ๊ะ นี่คงไม่ใช่ว่าเขาทิ้งบุหรี่ที่ยังเหลืออีกเยอะแบบนี้เพราะผมหรือเปล่านะ? อืม มันจะเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า? ผมกำลังจะพูดอะไรออกไปแต่ก็มีเสียงแทรกเข้ามาแทน
“เฮดีส~ รอนานหรือเปล่าคะ? ไปกันเถอะ!”
สาวสวยในชุดรัดติ้วเนื้อนมไข่แทบจะเอาไม่อยู่มันจะทะลักออกมารอมร่อโผล่เข้ามากอดแขนของพี่เฮดีสพร้อมกับเอ่ยเสียงหวานออดอ้อนอย่างน่ารัก ผมหน้าแดงเมื่อร่างอ้อนแอ้นสุดวาบหวิวกระแซะเข้าแนบชิดกับร่างสูงที่ยังคงนิ่งเงียบ
“เฮดีสคะ?”
สาวเจ้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับก็เอียงหน้าเอ่ยเรียกอีกครั้ง พี่เฮดีสขยับก้มลงไปมองคนที่กอดแขน หว่า ขนาดผมสูงแค่นี้ยังเห็นอะไรต่อมิอะไรเกือบจะชัดเจนทุกส่วนคงไม่ต้องพูดถึงคนที่สูงและใกล้กว่าหรอกว่าเห็นขนาดไหน!? สาวสวยยิ้มหวานให้แล้วสังเกตเห็นผมยืนมองอยู่ใกล้ๆ ก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“คนรู้จักเหรอคะ?”
“ไปกันเถอะ”
พี่เฮดีสไม่ตอบกลับชวนเธอเดินออกไปด้วยกันไม่สนใจคำถามนั้นแม้แต่น้อย ผมมองตามทั้งสองไปด้วยตาปริบๆ อะไรกันน่ะ? ไอ้อาการเจ็บแปลบที่อกนี้มันอะไรกัน? ผมก้มมองอกซ้ายแล้วยกมือลูบเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ มองสองร่างนั้นเดินเบียดกันไปแล้วมันหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะครับ
รู้สึกอายนิดหน่อยที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาดับบุหรี่เพื่อผมแต่มันเป็นเพราะคนที่เขารอมาถึงแล้วต่างหากล่ะ เหอะๆ ให้ตายเถอะ! ผมเม้มปากแน่น รู้สึกชาเหมือนโดนหมัดตรงชกเข้าหน้าอย่างจัง อ่า~ ทำไมมันถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้กันนะ?
ปิ๊นๆ
เสียงแตรรถดังขึ้นผมเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นพี่ฟีฟ่าที่ขยับกระจกรถกวักมือเรียกให้มาขึ้นรถ ผมก็ถอนหายใจแล้วเดินมาเปิดประตูขึ้นรถไป พอขึ้นรถไปผมก็เงียบไม่พูดอะไร พี่ฟีฟ่าหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะใช้มือผลักศีรษะของผมเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบปนขำ
“อดทนหน่อย อีกเดี๋ยวก็ได้นอนแล้ว”
ผมไม่ตอบอะไรออกไปพยักหน้าแล้วเอนตัวซุกเบาะหลับตาพัก จากนั้นรถก็ค่อยๆ ออกตัวแล่นไป ไอ้ความรู้สึกหนักแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ อยากให้ถึงบ้านเร็วๆ จังจะได้พักสักที เฮ้อ ผมเป็นอะไรกันแน่? ทำไมช่วงนี้ถึงได้รู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ในบ่อโคลนที่ค่อยๆ จมลงไปและหายใจไม่ออก?
“เฮ้ย มึงไหวไหมเนี่ย?”
“ไหวๆ”
ผมมองไอ้คนที่พยักหน้ายืนยันแบบไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร ไหวบ้านเอ็งน่ะสิ ตอบเสียงเหมือนคนเมาขนาดนั้นน่ะ ผมถอนหายใจพยายามดูแลเจ้าพวกที่ท่องราตรีไม่หลับไม่นอนให้มันเดินดีๆ ไม่ไปชนเข้ากับเสาเสียก่อน มอตโตส่ายหน้ากับสภาพของพวกเพื่อนๆ ที่ไม่เมาค้างก็ง่วงสะลึมสะลือตาจะปิดอยู่รอมร่อ
“ไว้มาคราวหน้าไหม?”
“จะบ้าเหรอวะ อุตส่าห์มาถึงที่มันแล้วจะมาใหม่หาหอกเหรอ!?”ซันเซ็ตตอบกลับอย่างรวดเร็วเมื่อมอตโตเสนอความคิดเห็น เจ้าคนที่ไม่เห็นบุญคุณแถมยังส่งค้อนให้ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ มอตโตยักไหล่เลิกสนใจซากศพเดินได้แล้วหันมาคุยกับผมที่ยืนเหม่ออยู่
“รัญ? เฮ้ย รัญ”
“หือ?”
“เป็นอะไร?”มอตโตมองผมด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ผมส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าพี่ยูจะออกจากโรงบาลวันไหนน่ะ?”
“พ่อบอกว่าวันนี้แหละ”
“งั้นเหรอ?”ผมพยักหน้ารับ ค่อยโล่งอกหน่อย อาการดีขึ้นมากแล้วสินะ หลังจากเลิกเรียนพวกผมตัดสินใจยกพลมาเยี่ยมพี่ยูตามที่ได้นัดกันเอาไว้ แถมมาได้ถูกวันเสียด้วยเพราะพอขึ้นไปที่ห้องพักก็เห็นคุณหมอหรือก็คือพ่อของมอตโตกำลังเก็บกระเป๋าพลางเทศนาพี่ยูอยู่พอดีเลยล่ะครับ
“พี่ยู!!! เป็นยังไงบ้างครับ~!?”
“พวกเอ็งจะเสียงดังทำไม!!? ที่นี้โรงพยาบาลนะ มีมารยาทไหม!?”พี่ยูที่อารมณ์บูดเพราะมีคุณหมอเจ้าของไข้บ่นอยู่ข้างๆ ก็หันมาตวาดไอ้ซันเซ็ตที่เปิดประตูโผล่เข้าไปพร้อมกับถามเสียงดัง
“เธอนั้นแหละที่เสียงดัง”คุณพ่อของมอตโตหันมาดุพี่ยูทันทีทำเอาคุณพี่ชายของผมทำหน้าบึ้งหนักข้อเข้าไปอีกแถมยังทำปากขมุบขมิบไม่หยุด พวกผมเดินเข้ามาในห้องคุณพ่อของมอตโตก็ยิ้มอบอุ่นต้อนรับ มอตโตเดินไปช่วยพ่อของตัวเองเก็บข้าวของ ผมก็รีบเข้าไปช่วยอีกแรงแต่คุณพ่อของมอตโตโบกมือแล้วบอกให้ผมไปนั่งตามสบาย
“อ่า~~!!! มอตโต! มานี่ๆ ปล่อยให้ตาแก่เก็บไปคนเดียวเถอะ!”
พี่ยูที่นั่งบึ้งเห็นมอตโตก็ทำตาเป็นประกาบวิบวับแล้วทำตัวดี๊ด๊ามีความสุขขึ้นมาทันควัน ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ มอตโตได้ยินเสียงถอนหายใจเบื่อจากเจ้าตัวอย่างชัดเจน แต่ก็เดินไปหาพี่ยูอย่างว่าง่าย พี่ยูยิ้มกว้างแล้วคว้าหนุ่มแว่นสุดเท่กอดหมับพร้อมกับหอมแก้มหลายฟอดในทันที ผมอึ้งเงียบ ทุกคนในห้องมีปฏิกิริยาเหมือนผมเป๊ะยกเว้นคนเดียวก็คือคุณพ่อนั้นเอง!
ทำไมคุณพ่อถึงได้ใจเย็นขนาดนั้นกัน? ยังเก็บข้าวของต่อไปพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผมเป็นปกติ ผมค่อยๆ ยิ้มตอบกลับไปอย่างมึนงง พี่ยูสนิทกับมอตโตขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? โอเล่อ้าปากเหวอชี้หน้ามอตโตแล้วถามออกมาอย่างรวดเร็ว
“มึง...มึงคบกับพี่ยูเหรอวะ!?”
คบ? หมายถึงเป็นแฟนกันงั้นเหรอ? ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทำไมโอเล่ถึงถามไปแบบนั้นล่ะ? ก็แค่กอดกับหอมแก้มเอง? ผมยังสงสัยแค่สองคนนี้สนิทกันตั้งแต่เมื่อไรแค่นั้นเอง ทำไมโอเล่ถึงได้ถามอะไรที่ข้ามขั้นแบบนั้นไปล่ะ? อีกอย่างพี่ยูก็เป็นผู้ชายส่วนมอตโตก็เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ อืม พี่ยูเป็นเกย์งั้นเหรอ? เฮ้ย ไม่จริงน่ะ ผมเติบโตมาด้วยกันกับพี่ยูเชียวนะ!
“ให้สิบล้านยังไม่เอาเลย”มอตโตปฏิเสธด้วยใบหน้านิ่งที่มีแววเบื่อหน่ายสุดๆ
“อย่าเอาหน้านั้นพูดแบบนี้นะ!”พี่ยูโวยวายแล้วปิดหน้าเหมือนจะร้องไห้ มอตโตถอนหายใจอีกรอบ
“ดีแค่ไหนที่ไม่บอกว่าไปตายซะ”
“อ๊ากกก! หน้าเหมือนกันขนาดนี้แท้ๆ แต่ทำไมนิสัยถึงได้ตรงกันข้ามแบบนี้กันนะ!”
“มอตโต อย่าไปแกล้งพี่เขาสิลูก ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงเราก็ไม่เคยพูดออกไปนะ”คุณพ่อเข้ามาห้ามปรามคุณลูกชายที่กำลังจะพูดทิ่มแทงพี่ยูที่ดูเหมือนกำลังเสียสูญจุดยืนของตัวเอง แต่ดูเหมือนพี่ยูจะเป็นหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก พวกผมยืนงงกับสถานการณ์กลายเป็นส่วนเกินไป
“ไม่เข้าใจเลยว่าพี่โพมชอบอะไรหมอนี้นัก”มอตโตเดินส่ายหน้าออกมาแล้วบ่นพึมพำกับพ่อตัวเอง
“คนเราก็หลงผิดกันได้นะลูก”คุณพ่อยิ้มกว้างแล้วตบไหล่ปลอบใจลูกชายที่ทำเอาพี่ยูแผดร้องเสียงดัง
“พ่อลูกคู่นี้นิสัยแย่พอกัน!”
“เอ่อ ผมขอตัวไปข้างนอกแป๊บหนึ่งนะครับ”ผมเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างเหนื่อยๆ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่วะ? ไม่เข้าใจ! ไอ้ซันเซ็ตรีบเกาะผมตามออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว พี่ยูก็ร้องตามหลังผมมาทันที
“รัญญญญ! อย่าลืมซื้อขนมมาด้วยนะ!!”
จะกลับอยู่แล้วยังจะกินอีกนะครับพี่! ผมถอนหายใจ ชักจะเข้าใจความรู้สึกของมอตโตและคุณพ่อซะแล้ว คนชื่อโพมคงจะเป็นพี่สาวของมอตโตล่ะมั้ง? นี่พี่ยูมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ? ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย จะว่าไปแล้วทำไมผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเขาเลยหรือไงเนี่ย!? ซันเซ็ตที่เกาะผมเดินโซเซอย่างกับคนจะเป็นลมทำให้พยาบาลที่เดินผ่านมาทักขึ้นอย่างเป็นห่วง ไอ้เพื่อนตัวดีนามสกุลพ็อตเตอร์ก็ยิ่งอาการหนักมากกว่าเดิมแล้วเข้าไปเกาะแกะคุณพยาบาลคนสวยแทน ทำเอาคุณพยาบาลแตกตื่นรีบพาเพื่อนผมไปตรวจเช็คอาการ
ผมว่าคุณคุณพยาบาลถูกมารยาล้านเล่มเกวียนเข้าซะแล้วล่ะ!
ผมเดินมานั่งที่ม้านั่งนอกตึก ตั้งแต่มาถึงที่นี้ผมก็รู้สึกอึดอัดมาตลอดก็เลยมาหาอากาศปลอดโปร่งข้างนอก ผมเหม่อคิดถึงวันที่มาครั้งแรก เฮ้อ ผมท่าทางจะเป็นเอามากเลยทีเดียว แป๊บๆ ก็คิดถึง พอเผลอตัวทีไรก็เป็นอันต้องมีภาพอีกฝ่ายลอยเข้ามาอยู่ในสมองแบบไม่ตั้งใจทุกทีสิน่า นี่ผมคล้ายเหมือนมีอาการของคนตกหลุมรักเลยน่ะเนี่ย แต่อีกฝ่ายเป็นพี่เฮดีสน่ะสิผมถึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น!
ผมนั่งเหม่อมองยอดต้นไม้สีเขียวที่ไหวตัวเพราะลมพัดเบาๆ และรู้สึกเหมือนมีใครเดินมานั่งม้านั่งตัวเดียวกันกับผม แถมยังมานั่งมองยอดไม้ด้วยกันอีก หรือจะเป็นไอ้ซันเซ็ต? ไปหลอกลวงนางพยาบาลมาเร็วนี่น่า เงียบกันอยู่นานผมก็ตัดสินใจจะชวนเพื่อนกลับไปที่ห้อง ผมหันไปมองกำลังเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายลุกขึ้นแต่ก็รีบกลืนคำพูดนั้นลงคอทันที
นี่มันอะไรกันน่ะ!!?
ผมประสาทหลอนหรือเปล่า!?
ผมหันขวับกลับมาอย่างตกใจสติแทบจะหลุดลอยออกจากตัว เมื่อกี้ยังคิดถึงอยู่แป๊บๆ ตอนนี้กลับโผล่มาแบบตัวเป็นๆ เลย! หัวใจของผมเต้นโครมครามรู้สึกตื่นเต้นยากต่อการระงับอาการแต่แล้วมันก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติแถมยังเต้นอืดเสียอีก อะไรกัน เดี๋ยวก็เมินเดี๋ยวก็มาสนใจ นี่กำลังเล่นอะไรอยู่งั้นเหรอ? เอาแต่ปั่นหัวคนอื่นแบบนี้มันสนุกหรือไงกัน!?
ผมเหลือบมองพี่เฮดีสด้วยหางตาพยายามไม่มองเขาอย่างโจ่งแจ้ง เหอะ ใครใช้ให้มาเมินผมก่อนล่ะ! ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ พี่เฮดีสใส่ชุดของโรงพยาบาลด้วยล่ะครับ!? น่ะนี่มันหมายความว่ายังไงกัน เมื่อคืนยังดูแข็งแรงดีอยู่เลยนี่! หรือว่าระหว่างขากลับไปมีเรื่องมาอีกแล้ว ผมเผลอตัวหันไปมองตรงๆ เพราะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา อย่าบอกนะว่าไอ้ตอนที่ผมได้ยินเรื่องผ่าตัดอะไรกันหรือเปล่า!? พอโดนผมจ้องเขาก็หันมามองผมพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้...
“...”
รอยยิ้มที่ทำเอามึนงงพร้อมๆ กับรู้สึกแปลกใจ นี่ใช่พี่เฮดีสจริงๆ งั้นเหรอ? พี่เฮดีสยิ้มได้แบบนี้ด้วยเหรอ? เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่เขายิ้มเต็มๆ ตาแบบนี้แฮะ ผมตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่มารยาทพื้นฐานอย่างยิ้มตอบกลับเมื่อคนยิ้มมาผมยังลืมทำเลยครับ! ได้แต่นั่งสมองว่างเปล่า
“วันนี้อากาศดีนะครับ”
หือ?
“อ่า นั้นสินะครับ”
ผมตอบตามน้ำไปในทันที อะไรกัน? ความรู้สึกนี้มัน... ต่างกันจริงๆ! ถ้าผมไม่หันมามองหน้าเขาก็คงจะไม่คิดว่าคนๆ นี้จะเป็นพี่เฮดีสได้หรอก ผมขมวดคิ้วข้องใจหันไปมองคนข้างๆ อีกครั้งแล้วก็เจอกับรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเหลาเช่นเดิม ผมเม้มปากไว้แน่นก่อนจะค่อยๆ เรียกอีกฝ่าย
“เอ่อ...พี่เฮดีส?”
“เรียกผมว่าอะไรนะครับ?”
เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะเอียงหน้าถามกลับมาเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินสิ่งที่ผมพูดถูกต้องหรือเปล่า เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมากว้าง ผมก็ค่อยๆ เอ่ยกลับไปอย่างช้าๆ และชัดๆ
“เอ่อ...เฮดีส?”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่เฮดีสหรอก”
คนที่มีใบหน้าเหมือนพี่เฮดีสอย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันหัวเราะหน่อยๆ ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมเบิกตากว้าง ไม่ใช่พี่เฮดีส!? งั้น...งั้น...แล้วเป็นใครกันล่ะ!? ทำไมหน้าเหมือนพี่เฮดีสขนาดนี้!!? เขามองผมแล้วหัวเราะเสียงเบาก่อนจะแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคนๆ นี้ต่างแตกจากพี่เฮดีสคนละขั้วเลยล่ะ!
“ผมเป็นพี่ชายของเฮดีสน่ะครับ”
ความลับเล็กๆ น้อยๆ (?)ของเฮดีสเฉลยแล้วหนึ่ง!
จริงๆ แล้วคนที่อยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เฮดีสแต่เป็นพี่ชายของเฮดีสจ้า~
แต่ความลับของพี่ชายคนนี้ยังไม่หมดหรอกนะ
ตอนหน้ามาทำความรู้จักกับเฮดีสเวอร์ชั่นหนุ่มอ่อนโยนกัน!