14
อดีต
‘ไปเอาเด็กออกซะวิชุดา เธอก็รู้ว่าคืนนั้นมันเป็นแค่ความพลั้งเผลอ เด็กนี่ก็ไม่ได้เกิดจากความรัก มันเกิดมาจากอารมณ์แค่ชั่ววูบ...’ร่างของติณภพสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้าของอีกวัน ความฝัน สองมือหนายกขึ้นลูบใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของตัวเองทั้งๆที่ในห้องนอนก็เปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้เสียจนเย็นเฉียบ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝันถึงเรื่องนี้ แต่ครั้งสุดท้ายที่ฝันมันก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว...
ถอยหลังกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน การออกเที่ยวในสถานเริงรมณ์ยามค่ำคืนยังเป็นสิ่งที่ลูกชายเจ้าของธุรกิจใหญ่วัยยี่สิบห้าปีอย่างเขาทำเป็นประจำทุกคืนโดยที่ไม่สนใจจะรับผิดชอบหน้าที่การงานในบริษัท รูปรสกลิ่นเสียงและสิ่งมัวเมาทั้งหลายในเวลานั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่สวยงามน่าหลงใหลจนยากที่จะถอนตัว
ผู้หญิงที่มีเข้ามาให้เลือกมากหน้าหลายตา เขาไม่เคยรักใครและไม่คิดจะรักเพราะการผูกมัดคือสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น การประมาทเลินเล่อเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เขาพบเจอบทเรียนที่สำคัญบทหนึ่งในชีวิต
เขาทำวิชุดาท้อง...
เธอตั้งท้องอ่อนๆกับเขาด้วยอายุเพียงสิบหกปี จากความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งในวันที่ติณภพรู้เรื่อง วิชุดาเป็นคนเดินมาบอกเขาด้วยตัวเองพร้อมกับแถบวัดผลเพื่อใช้ยืนยันเป็นหลักฐาน เธอถามเขาว่าเขาจะรับผิดชอบเธอยังไงต่อไป แต่คำตอบของติณภพในตอนนั้นกลับกลายเป็นเพียงแค่การเขียนเช็คให้เธอใบหนึ่ง แล้วบอกให้เธอไปเอาเด็กในท้องออกซะ...
...คำตอบ...ที่ไม่แม้แต่จะคิดลังเล...
วิชุดาตบหน้าเขาอย่างแรงทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเธออีกนอกจากสายตาที่มองเขาด้วยความเกลียดชัง
ความสัมพันธ์ที่จบลง วิชุดาไม่เคยติดต่อมาหาเขาอีกเลยหลังจากวันนั้นและเขาเองก็ไม่ได้สนใจที่จะติดต่อกลับไปหาเธอเช่นกัน
ไม่มีความรู้สึกผิด ติณภพในตอนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกผิดต่อวิชุดาและเด็กในท้องที่ไม่มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวของคนที่เป็นพ่อแม่เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเวลาผ่านไปสองปีให้หลังจากนั้น วันที่เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงคนที่เขาตกหลุมรักจนหมดหัวใจ ผู้หญิงที่ทำให้เขาหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็น
ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อภรรยาของเขาตั้งท้องอ่อนๆลูกคนแรก ติณภพรู้สึกดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็กลับเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องนึกถึงสิ่งที่เคยทำกับผู้หญิงอีกคนเอาไว้...
ภรรยาของเขาลื่นล้มในห้องน้ำอย่างแรงในระหว่างที่เขาไปทำงานที่บริษัทตามปกติ เธอไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เนื่องจากเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและมีเลือดออกมาก จนกระทั่งสาวใช้ที่เข้ามาทำความสะอาดห้องเดินมาพบเข้าแล้วรีบวิ่งลงไปบอกคนข้างล่าง เธอจึงได้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แต่นั่นก็ช้าไป...ระยะเวลาระหว่างที่รอให้ใครมาพบนั้นทำให้เธอเสียเลือดมากจนเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เธอเสียชีวิตก่อนที่จะถึงมือหมอ
เสียชีวิตไปพร้อมกับลูกในท้อง...
ติณภพเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนคิดไปว่าสวรรค์คงนึกอยากลงโทษให้คนอย่างเขาสำนึกผิดถึงบาปกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต ในตอนนั้นเขาคิดว่าเขาสูญเสียผู้หญิงที่ตัวเองรัก และเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไปแล้วถึงสามชีวิต
ถ้ากลับไปได้ ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเวลานั้นตัวเขามีจิตสำนึกของความเป็นคนมากกว่านี้ ถึงเขาจะไม่ได้รักวิชุดา...แต่เขาก็คงจะไม่บอกให้เธอไปทำเรื่องที่โหดร้ายแบบนั้น
ชีวิตโสดของติณภพเริ่มต้นอีกครั้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดยที่เขาไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวใหม่อีกเลย เขาทุ่มเทและใช้ชีวิตทุกวันไปกับการทำงานในบริษัทจนคนเป็นพ่อไว้ใจที่จะให้เขาขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธานใหญ่ของบริษัทแทนตัวเองที่เริ่มจะแก่ตัวลงทุกวัน
ติณภพเคยคิดที่จะพยายามจะติดต่อกับวิชุดาอีกครั้งเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่หากก็ต้องล้มเลิกไปเสียทุกครั้งด้วยความคิดที่ว่า มันจะมีประโยชน์อะไรในการที่เขาจะกลับเข้าไปสานสัมพันธ์กับเธอต่อในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็เชื่อว่าวิชุดาเอาเด็กคนนั้นออกไปแล้วตามที่เขาบอก
ทว่าสิ่งที่เขาปักใจเชื่อมาตลอดหลายสิบปีมันก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อวินาทีที่เขาได้พบกับเด็กคนนั้นเมื่อวานนี้แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่อะไรบางอย่างมันก็บอกให้เขาเลือกที่จะเสี่ยง เสี่ยงในสิ่งที่ตัวเองเคยคิดจะทำแต่ไม่ได้ทำ
แสงสว่างจุดเล็กๆที่ผุดขึ้นภายในอุโมงค์มืดที่เขาเดินอย่างไร้จุดหมายมาตลอด...
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงแล้วพาตัวเองไปที่ห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ก่อนจะออกไปบริษัทตามที่นัดกับชิตชัยเอาไว้
ความหวังอันริบหรี่ที่ว่าในตอนนั้นวิชุดาอาจจะไม่ได้ทำตามที่เขาบอก ความหวังที่ตอนนี้เขานึกอยากจะให้มันเป็นจริง และถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่ได้เป็นอย่างที่ใจหวัง แม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลยก็ตาม แต่ตอนนี้เขาก็อยากที่จะลองทำ เพราะมันก็คงจะดีกว่าหากจะต้องมานั่งเสียใจภายหลังเหมือนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต
.......................
.....................................
วิพารันต์เดินขยี้ตาโซเซเข้าไปในห้องน้ำด้วยอาการมึนศีรษะเล็กน้อย
เสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อย...ร่างบางยืนมองตัวเองในกระจกอยู่พักใหญ่ด้วยความสงสัย สมองประมวลผลได้ว่าเมื่อคืนนี้หลังจากที่เขาดื่มน้ำรสชาติแปลกๆที่งานเข้าไปก็ง่วงมากจนเผลอหลับไป แต่หลังจากนั้นก็จำไม่ได้อีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วเขาไปเปลี่ยนเสื้อตอนไหนกัน...
“ค่อยๆเดินก็ได้ครับรัน วิ่งมาแบบนั้นเดี๋ยวก็หกล้มหรอก...”
นิธิศเอ่ยปากเตือนวิพารันต์ที่วิ่งหน้าตาตื่นหอบกระดานไวท์บอร์ดเข้ามาหาเขาในห้องครัว แต่เจ้าตัวเล็กก็ฟังเขาเสียที่ไหนล่ะ
‘พี่ไนท์ ทำไม...ทำไมรันใส่ชุดนอนล่ะ’มือเล็กยกกระดานไวท์บอร์ดในมือให้อีกฝ่ายอ่านด้วยความอยากรู้คำตอบ นิธิศหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดร่างบอบบาง
“แล้วมันแปลกตรงไหนครับคนเก่ง เข้านอนก็ต้องใส่ชุดนอนสิ”
นิธิศแกล้งตอบเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรทำเอาวิพารันต์ต้องรีบลบกระดานแล้วเขียนข้อความใหม่ลงไป
...ได้แกล้งคนตัวเล็กให้ทำแก้มพองๆก่อนออกไปทำงานตอนเช้าได้นี่มันก็มีความสุขไปอีกแบบ...
‘ไม่ใช่ คือ...เมื่อคืนรันไม่ได้เปลี่ยน แล้ว พี่ไนท์...เปลี่ยนให้รันเหรอ…’ถามเองก็เขินเอง...แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นความอยากรู้ก็ยังมีมากกว่า
“ก็อยู่กันแค่สองคน ถ้าพี่ไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนแล้วใครจะเปลี่ยนให้รันล่ะครับหือ”
แก้มเนียนใสขึ้นเป็นสีแดงเรื่อทันทีที่นิธิศก้มลงไปกระซิบตอบที่ข้างหู อาย...อายจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีต้องเห็นหมดแล้วแน่ๆ ร่างบอบบางนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำตอนที่ไปหัวหินคราวก่อน ยังจำได้ดีว่าตอนนั้นทั้งเขินทั้งอายมากขนาดไหน เพราะความรู้สึกในเวลานี้ก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก
ความจริงแล้วเมื่อคืนนิธิศก็ไม่ได้อยากจะจับวิพารันต์ลอกคราบเปลี่ยนเป็นชุดนอนให้ตัวเองใจสั่นเล่นเสียเท่าไหร่หรอก ถ้าเจ้าตัวไม่ละเมออาเจียนค็อกเทลที่ดื่มเข้าไปออกมาจนเลอะเสื้อผ้าไปหมด
เหมือนบททดสอบความอดทนที่ยากพอสมควร เพราะกว่าที่เขาจะนั่งสงบจิตสงบใจตัวเองไม่ให้ทำอะไรเกินเลยกับร่างกายขาวๆนิ่มๆของเจ้าตัวเล็ก แล้วตั้งใจเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างเดียวได้ก็กินเวลาไปมากอยู่เหมือนกัน
และเพื่อเป็นการลงโทษเจ้าตัว ข้อหาที่เมื่อคืนทำให้เขาเกือบจะข่มตานอนไม่หลับ นิธิศเลยจัดการรวบเอวอีกฝ่ายที่ยืนก้มหน้างุดด้วยความอายเข้ามากอดไว้แน่น ก่อนจะไล้ริมฝีปากลงไปฝากรอยสีสวยที่ไว้ต้นคอขาวจนวิพารันต์ต้องย่นคอหนีด้วยความเจ็บ
“ไปอาบน้ำได้แล้วเด็กขี้สงสัย เดี๋ยวพี่ต้องออกไปทำงานแล้วนะ”
เมื่อทำโทษเจ้าตัวจนพอใจแล้วนิธิศถึงได้ยอมคลายอ้อมกอดของตัวเองออกให้คนกำลังเขินเดินกลับเข้าไปอาบน้ำในห้อง
ยิ้ม ยิ้มได้บ่อยๆ ช่วงนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่ชอบยิ้มคนเดียว มองตามแผ่นหลังเล็กที่หายเข้าไปในห้องแล้วก็ยิ้มอีก ท่าทางจะอาการหนักแล้วจริงๆ สงสัยช่วงนี้...ถ้าเขาไม่ไปหายาลดความสุขมากินเอง ก็คงต้องไปหายาลดความน่ารักให้อีกคนกินแล้วล่ะ เพราะไม่อย่างนั้น...
คงจะได้มีคนบ้าตายเพราะยิ้มไม่เลิกแน่ๆ...
..............................
.............................................
อากาศในตอนบ่ายที่ร้อนอบอ้าวจนแทบจะไม่มีใครอยากจะกระดิกตัวออกไปไหน มาริสายังคงนั่งเฝ้าร้านอยู่กับวิพารันต์ที่หน้าเคาท์เตอร์เหมือนปกติ ลูกค้าที่มีเข้ามาประปรายทั้งที่หลบร้อนเข้ามาหาขนมกินตากเครื่องปรับอากาศเย็นๆ และทั้งที่ตั้งใจเข้ามาซื้อขนมกลับไปฝากคนที่บ้านทำให้ภายในร้านวันนี้ดูไม่เงียบเหงานัก
กรุ๊งกริ๊งเสียงกระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงประตูหน้าร้านดังขึ้นพร้อมกับร่างของท่านประธานใหญ่แห่งบริษัททีทีกรุ๊ปที่เดินเข้ามา หลังจากเพิ่งเสร็จธุระจากการสั่งงานให้คนสนิทไปสืบเรื่องสำคัญ
“อ้าว สวัสดีค่ะคุณติณภพ หายไปนานเลยนะคะ นึกว่าจะเบื่อขนมร้านนี้ไปแล้วเสียอีก”
บางทีโลกมันก็กลมเกินไปอย่างที่คนเขาว่ากันจริงๆ...ติณภพเป็นลูกค้าประจำร้านที่บ้านของมาริสามาหลายสิบปีแล้ว แต่ช่วงที่ต้องหายไปนานเกือบปีนี่ก็เป็นเพราะมัวแต่ยุ่งกับงานโปรเจ็คใหญ่ที่ทำร่วมกับบริษัทที่นิธิศเป็นผู้จัดการอยู่ ซึ่งนั่นก็ตรงกับช่วงที่มาริสาเพิ่งจะรับวิพารันต์มาอยู่ด้วยในช่วงตอนกลางวันพอดีทั้งสองคนจึงไม่เคยได้เจอกันมาก่อน
“พอดีช่วงก่อนนี้งานยุ่งๆน่ะครับเลยไม่ค่อยได้มา”
ท่านประธานตอบ ก่อนที่พลันสายตาจะไปสะดุดเข้ากับร่างบอบบางที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในส่วนของเคาท์เตอร์ไม่ห่างจากตรงนั้นเสียเท่าไหร่นัก
และในระหว่างที่เขาต้องยืนรอมาริสาจัดขนมที่สั่งอยู่ ติณภพจึงไม่ขอพลาดโอกาสที่จะเดินเข้าไปพูดคุยกับคนตัวเล็กถึงแม้จะยังแปลกใจอยู่เล็กน้อยว่าเจ้าตัวมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“หนู...”
วิพารันต์รีบเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีคนเรียก โครงหน้าหวานประกอบกับดวงตากลมโตสีดำสนิทสบเข้ากับตาของติณภพอย่างพอดิบพอดี
คล้ายมาก...ยิ่งได้มีเวลามองอย่างเต็มตาแบบนี้แล้ว ใบหน้าของเด็กคนนี้ก็ยิ่งคล้ายกับวิชุดาในความทรงจำของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนมากเหลือเกิน...
“จำฉันได้ไหม ที่งานเลี้ยงเมื่อวาน...”
คนถูกถามมองหน้าอีกฝ่ายอย่างใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆกลับไปให้
...คุณลุงที่ตัวเองเผลอถอยหลังไปชนในงานเลี้ยงเมื่อวานนี้
‘ขอโทษนะ เมื่อวานรันไม่ได้ตั้งใจ’ติณภพรับแผ่นกระดาษชิ้นเล็กๆที่คนตัวเล็กตรงหน้าส่งมาให้อ่านอย่างไม่เข้าใจนัก ทำไมถึงเลือกที่จะสื่อสารแบบนี้แทนการพูดนะ
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่หนูชื่ออะไรเหรอ”
‘วิพารันต์...เรียกรันก็ได้’และเป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวเลือกที่จะใช้วิธีการเขียนสื่อสารกับเขา จนติณภพเองอดที่จะเอ่ยปากถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“คือรัน...ทำไมหนูถึงใช้การเขียนแทนการพูดล่ะ”
‘รัน...พูดไม่ได้...’วิพารันต์เขียนตอบกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าๆ ทำเอาท่านประธานใหญ่ที่ตัดสินใจถามคำถามนี้ออกไปถึงกับใจกระตุกวาบ
พูดไม่ได้ เด็กคนนี้...เป็นใบ้อย่างนั้นเหรอ
ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สงสาร เอ็นดู หลากหลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้ทำให้ติณภพเผลอเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กอย่างลืมตัว
ไม่หลีกหนี ไม่ตกใจ สัมผัสที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นได้ไม่ต่างกับนิธิศ คำตอบที่หาให้ตัวเองไม่ได้ แต่เหมือนเป็นความรู้สึกของอะไรบางอย่างที่ตามหามานาน
“เอ่อ...คุณติณภพกับน้องรันรู้จักกันด้วยเหรอคะ”
มาริสาที่เดินเอากล่องขนมมาส่งให้ติณภพเอ่ยขึ้นทักขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะปกติจะไม่ค่อยเห็นเจ้าตัวเล็กของเพื่อนรักอย่าง
นิธิศยอมคุยกับคนแปลกหน้าง่ายๆ แต่ถ้าถึงกับยอมให้ลูบศีรษะได้นี่ก็ต้องแปลว่าสนิทกันพอตัว
“ก็นิดหน่อยครับ”
ติณภพยิ้มให้มาริสาก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่ายเงินค่าขนมให้
ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะถาม หลายอย่างที่ยังต้องการข้อพิสูจน์ที่แท้จริง ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้น และแม้ว่าในวันนี้เขาจะยังไม่รู้อะไรไปมากกว่าชื่อของเด็กคนนั้น แต่การที่เขาได้พบเจอกับเจ้าตัวอีกครั้งในวันนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้อย่างน่าประหลาด...
ขอให้ใช่ที ขอให้เป็นแบบนั้นที ขอแค่นี้ จะแลกด้วยอะไรก็ยอม..............................
..............................................
เสียงเปาะแปะของน้ำฝนที่ตกลงมากระทบกับหลังคารถยุโรปคันหรู อากาศที่บอกไม่ได้ว่าตอนนี้อยู่ฤดูไหนกันแน่ สายตาของท่านประธานใหญ่แห่งบริษัททีทีกรุ๊ปเหม่อมองออกไปข้างนอกผ่านหน้าต่างกระจกใส สิ่งที่มองเห็นได้ในเวลานี้ก็คือบ้านทาวเฮ้าส์สองชั้นหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ
...ที่อยู่ปัจจุบันของวิชุดา
เพียงแค่สามวันสำหรับงานการตามสืบประวัติความเป็นมาของวิพารันต์ ข้อมูลที่ติณภพได้มาในตอนนี้ค่อนข้างที่จะมีความชัดเจนและสามารถใช้ยืนยันได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกที่เกิดจากเขาและวิชุดาจริงๆ แต่ที่เขาต้องมาที่นี่ในวันนี้นั้น ก็เพราะว่าเขาแค่อยากจะมาขอโทษเธอด้วยตัวเองสำหรับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต และรวมถึงบอกกล่าวเรื่องที่จากนี้ไปเขาจะรับวิพารันต์ไปดูแลเองด้วย
ที่ต้องบอก...ที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพราะอย่างน้อยเธอก็ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแม่...แม่ผู้ให้กำเนิดเด็กคนนั้น
“มาหาคะ...ใคร...”
เสียงกดกริ่งที่ดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งทำให้วิชุดาที่อยู่ในบ้านต้องเดินออกมาดู แต่แล้วเธอต้องชะงักไปนิดหน่อยเมื่อพบผู้ชายแต่งตัวดีในชุดสูทสองสามคนกำลังยืนกางร่มอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านของเธอ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นคนที่เธอจำได้ดี...ใบหน้าคมในตอนนั้นที่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็ไม่มีวันที่จะทำให้เธอลืมได้ลง
ติณภพ...ผู้ชายสารเลวในความคิดของเธอ
“เดี๋ยววิชุดา เปิดประตูให้ฉันเข้าไปหน่อย เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ติณภพเอ่ยปากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้านทันทีที่เห็นหน้าเขา
“หึ มีเรื่องต้องคุยกันงั้นเหรอ แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่มีเรื่องต้องคุยกับคุณ กลับไปซะ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”
วิชุดาเอ่ยปากไล่ ความสัมพันธ์ที่ตัดขาดกันไปแล้วโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันนั้น แต่หากคิดว่าจะยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ สิ่งนั้นก็คงจะเรียกว่าความเกลียดชัง...
“ฉันขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา ฉันเสียใจที่ทำกับเธอแบบนั้นวิชุดา แต่วันนี้ฉันอยากจะมาคุยกับเธอเรื่องลูกของเรา...”
“เก็บคำขอโทษของคุณเอาไว้ใช้กับคนอื่นเถอะติณภพ แล้วเรื่องลูกของเรางั้นเหรอ เหอะ อย่ามาพูดให้อายปากหน่อยเลย ฉัน
เอามันออกไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ลืมไปแล้วหรือไง หรือว่าต้องให้ฉันทวนประโยคนั้นให้คุณฟังอีกรอบถึงจะจำได้”
วิชุดายิ้มเหยียด คำพูดที่แสดงออกว่าประชดประชันอย่างชัดเจน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกความจริงกับผู้ชายคนนี้ เพราะในเมื่อไม่ว่าคำตอบของเธอจะออกมาเป็นอย่างไร ความจริงในตอนนี้ก็คือเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว
“เธอไม่ได้ทำแบบนั้นฉันรู้วิชุดา วิพารันต์...เด็กคนนั้น ฉันเจอเขาแล้ว...”
คำพูดของคนตรงหน้าทำให้วิชุดารู้สึกอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“แล้วไง...เจอเด็กคนนั่นแล้วยังไง ดีใจหรือเสียใจล่ะที่มันยังอยู่ รู้สึกยังไงที่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่...”
“ฉันดีใจ ฉันดีใจนะที่เธอไม่ได้ทำแบบนั้นวิชุดา แล้ววันนี้ที่ฉันมาหาเธอ ก็เพราะเรื่องนี้ ฉันอยากจะมาบอกเธอว่าหลังจากวันนี้ ฉันจะรับลูกมาอยู่กับฉัน”
“คุณไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาบอกกับฉัน เพราะตอนนี้ฉันขายขาดมันให้คนอื่นไปแล้ว ถ้าอยากได้คืนก็ไปหาวิธีกันเอาเอง ถ้าหมดธุระแล้วก็รีบกลับไปซะ”
ติณภพรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ตำหนิหรือว่าอะไรเกี่ยวกับการกระทำของวิชุดาที่ทำต่อวิพารันต์ ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นสิ่งที่โหดร้าย เพราะสิ่งที่เขาเคยทำไว้ในอดีตมันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการที่เขาสั่งฆ่าลูกตัวเองไปแล้วเหมือนกัน
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ถ้าต่อจากนี้เธอขาดเหลืออะไรก็บอกฉันได้นะวิชุดา เพราะไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ฉันก็ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธออยู่เรื่องของลูก”
“หึ...เก็บเงินของคุณไว้ดูแลไอ้เด็กภาระนั่นเถอะติณภพ เพราะตอนนี้ฉันก็กำลังจะแต่งงาน ฉันกำลังจะมีครอบครัวใหม่ และมันก็จะเป็นการดีมากถ้าคุณกับเด็กนั่นจะไม่โผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีกตลอดชีวิตนี้!”
ท่ามกลางสายฝนที่ยังตกลงมาไม่หยุด ติณภพมองตามหลังวิชุดาที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไปด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้เรื่องระหว่างเขากับวิชุดาจะจบลงอย่างไม่สวยงามนัก แต่นี่ก็คงเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดแล้วสำหรับทั้งสองคน
ไม่ต้องพบเจอและไม่ต้องรู้สึกผิดต่อกันอีก...
‘...ขอบใจนะวิชุดา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รักและดูแลลูกของเรามาอย่างดี แต่ฉันก็ขอบใจ ที่อย่างน้อยเธอก็ยอมให้เขาเกิดมา ขอบใจที่เธอไม่ทำตามที่ฉันบอกในวันนั้น ขอบใจ...ที่ทำให้ฉันมีโอกาสได้ชดเชยในสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นตราบาปมาตลอดชีวิต...ฉันขอขอบคุณเธอจริงๆ’TBC.
Rewrite
ตอนนี้ออกแนวหนักๆกันหน่อยนะคะ เรื่องของผู้ใหญ่เกือบทั้งนั้น แอบเขียนยากอยู่เหมือนกันกว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ กลัวเขียนแล้วจะสื่อกันไม่รู้เรื่องอีก (ฮา) ตอนหน้าคงต้องมาดูกันค่ะว่าคุณพ่อจะประกาศตัวยังไง แล้วจะรับน้องรันไปอยู่ด้วยได้ไหม หรือจะหวงลูกสาวเอ้ยลูกชายขนาดไหน 555 ติดตามกันต่อไปนะคะป.ล.หลายคนอ่านมาถึงตอนนี้ยังสงสัยว่าน้องรันเป็นอะไรถึงพูดไม่ได้ คืออย่างที่เขียนไว้ในตอนที่สองค่ะ(หลายคนอาจจะอ่านข้ามไป) คือน้องรันเหมือนคนปกติทุกอย่างค่ะเพียงแค่มีอาการกล่องเสียงผิดปกติมาตั้งแต่เกิดเลยทำให้เปล่งเสียงออกมาไม่ได้เท่านั้น แต่การได้ยินครบถ้วนค่ะ ในกรณีอาจจะไม่ค่อยเจอกันนัก แต่มนลองๆหาข้อมูลดูแล้วว่ามีค่ะ แต่พบได้น้อยมาก ซึ่งอาจจะรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัดค่ะ (เอ้า เราเผลอหลุดอะไรออกไป55) มีคำถามอะไรนอกจากนี้เข้าไปถามได้ในแฟนเพจข้างล่างนี่เลยนะคะ ขอบคุณทุกการติดตามค่า