All I want : It's the END (หน้า25) 8/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: All I want : It's the END (หน้า25) 8/6/55  (อ่าน 324466 ครั้ง)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: All I want 17 (หน้า16) 30/03/55
«ตอบ #480 เมื่อ06-04-2012 20:41:00 »

All I want # 18

“ทำต่อสิ  โทโมกิ  ต่อให้นายนอนอยู่อย่างนั้นฉันก็ไม่ปล่อยนายกลับห้องหรอกนะ  จนกว่านายจะทำได้ครบร้อยครั้งนั่นแหละ”
โทโมกินอนทำตาปริบ ๆ มองคนที่เดินพูดเจื้อยแจ้วอยู่บนหัว  แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในชุดยูโดเหมือนกันแต่ก็แค่เดินออกคำสั่งไปมาเท่านั้น

“คุณพี่ไม่เห็นทำบ้างเลย”  ถ้าปกติก็คงจะเงียบเฉยอยู่  แต่นี่เหนื่อยถึงขีดสุดแล้ว  ความเกรงอกเกรงใจจึงไม่ค่อยจะมี

ฮิโรอากิเหลือบมองเจ้าตัวเล็กที่นอนแผ่อยู่กับพื้นเสื่อทาทามิของโรงฝึกประจำบ้าน  “ตอนอายุเท่านาย  ฉันทำมาเยอะแล้ว”

โทโมกิเม้มปากพลางขมวดคิ้วอย่างขัดใจ  เขากำลังถูกบังคับให้ฝึกตบเบาะให้ครบร้อยครั้งตามคำสั่งของนายแม่  ถ้าแค่ร้อยครั้งมันก็คงไม่เท่าไรหรอก  แต่ท่าตบเบาะของการเล่นยูโดมีประมาณ 4 – 5 ท่า  แล้วต้องทำท่าละร้อยครั้งนี่สิ...สำหรับคนเพิ่งฝึกได้ไม่นานอย่างโทโมกิมันก็โหดร้ายเอาเรื่องเหมือนกัน

“แล้วทำไมผมต้องมาฝึกยูโดด้วยเนี่ย!”  เด็กหนุ่มชักเสียงดัง  พออารมณ์บูด  นิสัยขี้โวยวายอย่างเมื่อก่อนก็เริ่มจะออกมาแล้ว

“ก็ถามตัวเองสิว่าทำอะไรเอาไว้  คุณพ่อถึงได้สั่งให้นายเรียนยูโดเนี่ย”  ฮิโรอากิตอบอย่างไม่ยอมกัน

โทโมกิกัดริมฝีปาก  เขาถูกโอโนเสะสั่งให้เรียนยูโดหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเดือนก่อน...เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นสักนิด  ถ้าเจ้าหมอนั่นไม่มาที่นี่...คิดแล้วก็โกรธตัวเอง  เด็กหนุ่มฮึดกลับมาเริ่มตบเบาะต่ออีกครั้ง

ฮิโรอากิมองน้องชายที่มุ่งมั่นฝึกตามคำสั่งแล้วก็ส่ายหน้า  เด็กก็ถูกยุง่ายแบบนี้แหละ...แต่เมื่อคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนแล้ว  ที่พ่อของเขาสั่งมาแบบนั้นมันก็สมเหตุสมผลดีทีเดียว

...

ต้นเดือนเมษายน  หลังจากที่ซากุระเริ่มผลิดอกได้ไม่นานนัก  โทโมกิก็เข้าไปเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งใหม่  ด้วยความที่ทุกคนในชั้นเป็นเด็กใหม่เหมือนกันหมด  แม้จะมีคนที่เคยรู้จักกันมาบ้าง  แต่ก็ไม่ทำให้โทโมกิประดักประเดิดเท่าตอนเข้าเรียนกลางภาคเมื่อปีที่แล้ว  หากเด็กหนุ่มก็ยังคงทำตัวเป็นคนไม่มีเพื่อน  ด้วยโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนระดับสูงที่ผู้มีฐานะดีทั้งหลายส่งลูกมาเรียน  เพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดคือคนระดับเดียวกับตระกูลโอโนเสะ  หรืออย่างกระจอกก็เป็นลูกของหัวหน้าแผนกในบริษัท  ซึ่งโทโมกิให้คำนิยามกับตัวเองว่า  “ไฮโซ”  เด็กหนุ่มเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยก็จริง  แต่เขาไม่เคยมีฐานะทางสังคมแบบนั้น  พ่อแม่ไม่เคยพาเขาออกงานที่ไหน...จะว่าไปทั้งสองคนแทบจะไม่เคยออกงานด้วยกันด้วยซ้ำ  มีเพียงเงินทองเท่านั้นที่มีให้ใช้จ่ายเกินจำเป็นและทำให้เขาเป็นเด็กเกเรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  เรื่องมารยาทสังคมหรือข่าวสารในแวดวงไฮโซที่พวกเพื่อน ๆ คุยกันนั้น  โทโมกิไม่เคยรู้เรื่อง  ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมักจะปลีกตัวอยู่คนเดียวเงียบ ๆ  และชื่อสกุลโอโนเสะอาจทำให้มีคนคอยมองบ้าง  แต่ก็เป็นไม้กันหมาที่ดีที่ทำให้ไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องเขา

ทางบ้านใหญ่ของตระกูลโอโนเสะเองก็ไม่เคยเคี่ยวเข็นให้โทโมกิปรับตัวเข้าหาเพื่อนฝูงหรือให้คบหาสมาคมกับคนระดับเดียวกัน  นายแม่สนใจในเรื่องการเรียนและสิ่งที่ฝึกฝนที่บ้านเสียมากกว่า  ซึ่งโทโมกิทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นที่น่าพอใจ  และตัวเด็กหนุ่มเองก็มีความสุขที่จะกลับบ้านมานั่งเล่นในสวนเงียบ ๆ หรือพูดคุยกับฮิโรอากิเสียมากกว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมชมรมอะไร  ที่นายแม่จับสังเกตได้ก็คือหลังจากที่โทโมกิมาอยู่ที่บ้านนี้แล้ว  ฮิโรอากิก็เที่ยวเตร่น้อยลงและกลับมานอนที่บ้านมากกว่าแต่ก่อน
ในระหว่างที่ชีวิตมัธยมปลายของโทโมกิเริ่มเข้าที่เข้าทาง  วันหนึ่งโอโนเสะก็เรียกเขาไปพบหลังเลิกเรียน  วันนั้นฮิโรอากิก็อยู่บ้านด้วยจึงถือวิสาสะเข้าไปในห้องด้วยกัน

“เห็นยูคาริว่าปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่ได้แล้วเรอะ?”  โอโนเสะถามหลังจากทักทายกันแล้ว  เขายังอยู่ในชุดสูทเรียบร้อยซึ่งแสดงว่าหลังจากนี้ไปคงจะมีงานที่ไหนต่อ

“ก็...ครับ”  โทโมกิตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้  เขาปรับตัวเข้ากับการเรียนและวิชาเรียนได้ก็จริง  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้ากับสังคมในโรงเรียนได้  ไม่รู้ว่านายแม่รายงานเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า

“อืม...ก็ดี  ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว”  นายใหญ่ตระกูลโอโนเสะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วหมุนเล่นอยู่ในมือ  “แต่ทางนี้มีปัญหานิดหน่อยน่ะนะ”

คำว่าปัญหากับสีหน้ายิ้ม ๆ ของโอโนเสะไม่ได้ไปด้วยกันเลย  โทโมกิมองหน้าผู้เป็นพ่อเลี้ยงอย่างนึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป  เขารู้ว่าเดี๋ยวโอโนเสะจะต้องตอบในสิ่งที่เขาสงสัยเป็นแน่

“ตอนนี้ทั่ว ๆ ไปเริ่มรู้กันในวงกว้างแล้วว่าเธอเป็นคนของบ้านโอโนเสะ”

นั่นไง  เข้าเรื่องแล้ว

“ทีนี้...จะพูดยังไงดีล่ะ  การเป็นลูกคนรวยนี่มันมีปัญหานะ  ไอ้ตัวเล็ก”

โทโมกินิ่วหน้ากับสรรพนามนั้น  แต่ดูเหมือนโอโนเสะจะชอบเรียกเขาแบบนี้มากกว่าชื่อจริง

“มีปัญหาตรงไหนครับ  คุณพ่อ?”  เป็นฮิโรอากิที่แทรกขึ้นมา

“แกอาจจะไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา  เพราะแกอยู่กับชื่อโอโนเสะมาแต่เกิด  แต่ไอ้ตัวเล็กนี่ไม่เคยน่ะนะ”  โอโนเสะยังคงพูดด้วยท่าทางอารมณ์ดี

“ผมก็ยังไม่เข้าใจที่คุณพ่อพูดอยู่ดีละครับ”  ฮิโรอากิว่า  และโทโมกิพยักหน้าเห็นด้วย

“คืออย่างนี้  การเป็นลูกคนรวยเนี่ย  โอกาสถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ก็เยอะ  จริงมั้ย?  แล้วยิ่งบ้านเราก็ใช่ว่าจะทำแต่เรื่องดี ๆ  อาจจะมีคนเขาเกลียดขี้หน้าจนอยากฆ่าให้ตายบ้างใช่มั้ยล่ะ?  นี่แค่ตัวอย่างง่ายๆของปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเป็นลูกบ้านนี้น่ะนะ”

“ไม่เห็นเคยมีอะไรเลย”  ฮิโรอากิเถียงอุบอิบ

“ที่ไม่มีก็เพราะแกมีมือดีตามประกบตลอดเวลาไงล่ะ  ฮิโรอากิ  อย่าบอกนะว่าอุเอดะเขาไม่ตามแกไปทุกหนทุกแห่งน่ะ”

“อืม...พูดอีกก็ถูกอีกละครับ”  ขนาดไปนอนกกผู้หญิงที่ไหน  อุเอดะ  บอดี้การ์ดของเขายังตามไปเฝ้าเลย

“เพราะงั้น...ถึงเวลาแล้วที่เจ้าตัวเล็กนี่จะมีบอดี้การ์ดเป็นของตัวเองเสียที”  โอโนเสะสรุป

“เอ๊ะ?”  โทโมกิเอียงคอ  อย่างเขานี่จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดด้วยงั้นหรือ

“ถ้างั้นทำไมไม่จัดให้เสียตั้งแต่แรกล่ะครับ?”  ฮิโรอากิถาม  โทโมกิมาอยู่ที่บ้านนี้ครึ่งค่อนปีแล้ว  ทำไมเพิ่งจะมาหาบอดี้การ์ดให้เอาป่านนี้

“เพราะว่าตอนนี้คนรู้เยอะแล้วว่าเจ้าตัวเล็กเป็นคนบ้านนี้  และเราก็ต้องฝึกคนของเรานิดหน่อยน่ะสิ”

“ยังต้องฝึกอีกเหรอครับ?”  คนที่ถูกฝึกให้เป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยมีเป็นสิบ  ขนาดเจ้าหนุ่มที่เคยให้ไปเป็นครูสอนพิเศษให้โทโมกิยังพอจะทำงานนี้ได้เลย

“ของเจ้าตัวเล็กเป็นกรณีพิเศษน่ะ  เอาละ  จะแนะนำให้รู้จักนะ  เข้ามาได้”  โอโนเสะพูดแล้วก็ตบมือเบา ๆ

ประตูกระดาษเลื่อนเปิดออก  ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูนั้นโค้งคำนับแล้วเข้ามาในห้อง  เพียงเห็นร่างนั้นชัด ๆ โทโมกิก็ชาวาบไปทั้งตัวเหมือนโดนสาดด้วยน้ำแข็ง  ใครคนนั้นนั่งลงตรงข้ามโทโมกิกับฮิโรอากิแล้วโค้งให้อีกครั้งพร้อมกับกล่าวทักทาย


“วายะ  ชุนครับ  ยินดีที่ได้รู้จักครับ  คุณหนู”


เหมือนระเบิดลงกลางห้อง  ฮิโรอากิผุดลุกขึ้นยืน  ส่วนโทโมกิตัวแข็งเกร็ง  เบิกตากว้างจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“วายะซัง!?  นี่มันอะไรกันครับ  คุณพ่อ!?  วายะซังเป็นโฮสต์ของลูนาติก คลับไม่ใช่เหรอครับ  แล้วทำไมถึงได้...!?”

“ใจเย็น ๆ ก่อน”  โอโนเสะพูดเรียบ ๆ พลางโบกมือบอกให้ฮิโรอากินั่งลง  “เรื่องมันยาวน่ะ  เอาละ  โทโมกิ  วายะจะมาเป็นบอดี้การ์ดของเธอตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

โทโมกิจ้องหน้าโอโนเสะ  นี่จะต้องเป็นการเล่นตลกอะไรกันแน่...โอโนเสะรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว  จะต้องไม่ให้ผู้ชายคนนี้เข้าใกล้เขาอีกเป็นแน่...แล้วนี่อะไร  ทำไมโอโนเสะถึงพูดแบบนั้น  ทำไมถึงจะเอาเขาไปไว้ข้างตัวผู้ชายที่อันตรายที่สุดสำหรับเขาคนนั้น
เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่ง  สองมือที่วางบนตักกำแน่นและสั่นระริก  ทั้งที่อากาศยังเย็นแต่เหงื่อก็ผุดออกมาเต็มหลัง...กลัว...เขากลัวผู้ชายตรงหน้านี่  ถ้าเผลอแม้แต่วินาทีเดียว  คนคนนี้จะต้องฆ่าเขาแน่  คงจะบีบคอ  และฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็นเหมือนตอนนั้น...

ฮิโรอากิสังเกตเห็นอาการนั้นของโทโมกิ  เขาโอบไหล่เด็กหนุ่มแล้วตบเบา ๆ พลางหันไปมองผู้เป็นพ่อ

“ไม่ไหวหรอกครับ  คุณพ่อ”  หนุ่มน้อยที่นั่งข้าง ๆ เขาสั่นไปทั้งตัว  แค่อยู่ในห้องเดียวกันและมีคนอื่นอยู่ด้วย  โทโมกิยังกลัวมากขนาดนี้  จะให้อยู่กับวายะตามลำพังสองคนน่ะ  ไม่ไหวหรอก

โอโนเสะเองก็เห็นอาการนั้น  แม้จะผ่านการบำบัดทางจิตมาหลายเดือนแล้ว  แต่เพราะโดนตอกย้ำถึงสิ่งที่ฝังอยู่ในใจถึงสองครั้ง  ทำให้โทโมกิมีจุดอ่อนในเรื่องนี้อย่างมาก  แต่เพราะอย่างนี้แหละ  จึงต้องรักษาให้เด็ดขาด

“กลัวเหรอ  โทโมกิ?”  นายใหญ่ตระกูลโอโนเสะเอ่ยเบา ๆ

โทโมกิไม่ตอบหากพยักหน้าอย่างลนลาน  เขาอยากออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด  ไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

“แล้วคิดจะกลัวไปตลอดชีวิตเหรอ?”

ไม่มีคำตอบ...โทโมกิไม่เข้าใจคำถามนั้น  เขาก็ไม่ได้อยากกลัว  แต่มันเป็นไปเอง  ทันทีที่เห็นหน้าวายะก็เหมือนเห็นความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้า...เขายังไม่อยากตาย

“เขาไม่ฆ่าเธอหรอก”

คำพูดนั้นแทงเข้าไปในหัวใจของโทโมกิ  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองโอโนเสะอย่างไม่คิดจะเชื่อ...ทำไมโอโนเสะถึงกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้  ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้เคยจะฆ่าเขา...ดวงตาสีดำขลับระริกไหว  มีแววตัดพ้อและคลางแคลงใจ

“หน้าที่ของเขาตอนนี้คือปกป้องเธอ  ด้วยชีวิตของเขา  ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น...ก็ตาย  ถ้าเขาพยายามจะทำร้ายเธออีก...ก็ตาย  และถ้าเขาจะฆ่าเธออีก...ก็ตาย  ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วสำหรับคนคนนี้  ฉันไม่ให้เขาเลือก”

วายะก้มหน้านิ่งและกำมือแน่น  พยายามไม่มองไปยังร่างเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง  เมื่อหลายเดือนก่อนโอโนเสะก็พูดกับเขาแบบนี้เหมือนกัน  โอกาสที่โอโนเสะหยิบยื่นให้  คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะไม่มีทางแก้ตัวได้อีก  หากพลาดพลั้งควบคุมตัวเองไม่ได้แม้แต่นิดเดียว  จุดจบคือความตาย  และเขารู้ว่าโอโนเสะทำได้จริง...กระนั้นเขาก็ยังคว้าโอกาสนั้นไว้  แม้จะไม่อาจแตะต้องคนที่ต้องการที่สุดคนนี้ได้  แต่ก็ยังดีกว่าจากกันไปชั่วชีวิต  ก็แค่ควบคุมตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง...เขาคิดแบบนั้นมาตลอด  แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลยเมื่อโทโมกิมาอยู่ตรงหน้า  แค่จะกดความรู้สึกอยากกอด  ต้องใช้ความพยายามมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ...

โทโมกิกลัวเขาอย่างเห็นได้ชัด...กลัวมากขนาดนั้นเชียวหรือ  ที่ผ่านมา...ก็กลัวเขาแบบนี้งั้นหรือ  ที่เขาไม่เคยรู้เป็นเพราะฤทธิ์ยามันกดเอาไว้หรือเพราะเขาเองที่ไม่เคยใส่ใจ  ทั้งที่คิดว่ารู้จักทุกอย่างของโทโมกิดีแล้ว  แต่เมื่อได้มานั่งดูให้ถนัดตาแบบนี้...ตัวเล็กเหลือเกิน  ทั้งเล็กทั้งบอบบาง  ผ่านมาตั้งปีกว่าแล้วแต่กลับดูเหมือนไม่สูงขึ้นเลยทั้งที่อยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโตแท้ ๆ...ยังคงตัวเท่า ๆ กับวันนั้นที่เขาได้ช่วงชิงทุกอย่างของเด็กคนนี้ไป  เหมือนเวลาของโทโมกิได้หยุดอยู่ที่วันนั้น  สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปคือจิตใจ...โทโมกิไม่เหลือคราบของเจ้าแมวดื้อปากร้ายที่เขาเคยอยากเลี้ยงอีกเลย

เขาเอง...เป็นคนทำให้โทโมกิเป็นอย่างนี้...

โทโมกิลอบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างรวดเร็ว  แม้จะอยู่ในชุดสูทและรวบผมไว้เรียบร้อยแปลกตา  แต่วายะก็คือวายะ  ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิมที่เขารู้จัก...โหดร้าย  เอาแต่ใจ  และคิดจะฆ่าเขา...สภาพที่เห็นตอนนี้มันก็แค่เอาปลอกคอไปสวมให้สัตว์ป่าและล่ามเอาไว้เท่านั้น  เมื่อไรที่โซ่หลุด...เมื่อนั้น...มือนั้นจะเอื้อมมาที่เขา  และจะต้องฆ่าเขาอีกเป็นแน่

โทโมกิส่ายหน้า

“ไม่เอา...ไม่เอาครับ...”  น้ำเสียงนั้นสั่นอย่างควบคุมไม่ได้  เขาจ้องหน้าโอโนเสะเหมือนจะอ้อนวอน  “คนนี้...ไม่เอาครับ...”

โอโนเสะจ้องหน้าเด็กหนุ่ม  โทโมกิไม่เคยปฏิเสธคำพูดของเขา  นี่เป็นครั้งแรก  แต่เขาไม่แปลกใจหรอก  ก็ดูอาการสั่นไปทั้งตัวแบบนั้นสิ  โทโมกิกำลังหวาดกลัววายะจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“แต่ฉันตัดสินใจแล้ว  โทโมกิ”

“มะ...ไม่เอาครับ...”  โทโมกิละล่ำละลัก  “...ไม่นะครับ...ไม่เอา...ชุน...”

คำสุดท้ายนั้นก้องกังวานในหัวใจของวายะ  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าทันที

โอโนเสะเองก็สังเกตเห็น  โทโมกิอาจจะไม่รู้ตัว  แต่เขารู้ดีว่าโทโมกิจะเรียกชื่อวายะทุกครั้งที่ร่างกายเกิดความต้องการ  ชื่อของวายะฝังอยู่ในสมองและความทรงจำของเด็กหนุ่มอย่างล้ำลึก  บางทีในหัวใจของโทโมกิอาจจะมีวายะอยู่สองคน...คนหนึ่งที่เคยทำให้เขามีความสุข...และอีกคนที่คิดจะฆ่าเขา...แต่ความทรงจำตอนที่จะถูกฆ่ามีพลังรุนแรงมากกว่า  ทำให้หวาดกลัวมากถึงขนาดนี้

ถ้าสามารถคลี่คลายความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้ได้ละก็...ถ้าโทโมกิสามารถเรียนรู้ความรู้สึกของวายะได้ละก็...ผลลัพธ์สำหรับสองคนนี้อาจจะไปได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้

มันเป็นวิธีที่เสี่ยง  แต่โอโนเสะก็พร้อมที่จะเสี่ยงทุกครั้งถ้ามองเห็นความเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อย

“โทโมกิ  นี่เป็นคำสั่ง  วายะจะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ”  โอโนเสะตัดบท

เด็กหนุ่มสะท้านสั่นแล้วยึดเสื้อของฮิโรอากิไว้แน่นเหมือนจะหาที่พึ่ง  และฮิโรอากิก็เข้าใจ

“คุณพ่อ!  ไม่ไหวหรอกครับ  โทโมกิน่ะ...”

“กลัวเหรอ  โทโมกิ?”  โอโนเสะถามคำถามเดิมซ้ำ

โทโมกิพยักหน้า  ไม่ใช่แค่กลัว  แต่เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้ว  แค่มีผู้ชายคนนี้อยู่ในห้อง  จะหายใจก็ยังลำบาก

“ถ้ากลัวนักละก็  เอาชนะมันให้ได้สิ”

“เอ๊ะ...?”

นายใหญ่ตระกูลโอโนเสะจ้องตอบดวงตาสีดำที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้ากลัวนัก  ก็จงเอาชนะมัน  จงแข็งแกร่งขึ้นจนเอาชนะมันได้  ก้าวข้ามมันไปให้ได้  ถ้ามันเกะกะชีวิตนักก็ฆ่ามันทิ้งซะ...ถ้าเธอกลัวผู้ชายคนนี้นัก  ก็ฆ่ามันทิ้งซะให้ได้ก่อนที่มันจะฆ่าเธอสิ”

...

ถ้าแข็งแกร่งขึ้น  สักวันก็จะฆ่าต้นเหตุแห่งความกลัวนั้นทิ้งได้...โทโมกิบอกตัวเองแล้วฝึกตบเบาะต่อไปอย่างมุ่งมั่น  เขาจะต้องเก่งขึ้น  เข้มแข็งขึ้น...ต้องไม่กลัววายะ!

ร่างสูงเดินมาตามระเบียงแล้วค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งพิงเสา  นั่งฟังเสียงตบเบาะที่ดังก้องออกมาจากโรงฝึกประจำตระกูล  ในฐานะลูกจ้าง  เขาไม่ควรจะมานั่งสบายอารมณ์ด้วยท่าทางเหมือนอยู่บ้านตัวเองในเรือนใหญ่แบบนี้  แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรก็จะเปลี่ยนแปลงนิสัยของเขาไม่ได้

เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง  อีกฝ่ายยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทัก

“ฝึกเสร็จแล้วเหรอ  วายะซัง?”

“อืม  ปวดไปทั้งตัวเลย”  วายะเพียงแค่ยักไหล่  “โทโมะขยันฝึกดีเหรอ?”

“ก็มีงอแงนิดหน่อย  แต่ก็ตั้งใจฝึกดี  คนไม่เคยก็แบบนี้ละนะ  พวกผมน่ะฝึกกันมาแต่เด็กแล้ว”  ฮิโรอากิหันไปมองคนในโรงฝึกที่ดูท่าจะยังไม่รู้ตัวว่าถูกพูดถึงอยู่

“ฉันก็ไม่เคย”

“ลำบากใช่มั้ยล่ะ?”

“ไม่เท่าไรหรอก  เรื่องแค่นี้  ที่ลำบากกว่านี้ก็ยังผ่านมาแล้ว”  วายะเองก็ต้องรับการฝึกสำหรับการเป็นบอดี้การ์ดสารพัดรูปแบบเช่นเดียวกัน  โดยเฉพาะวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว  เขาเปิดดูรอยช้ำที่ท่อนแขนซึ่งถูกคู่ฝึกเตะเอาเมื่อวาน  ไม่ใช่แค่ยูโด  แต่เขาจำเป็นต้องรู้จักการต่อสู้หลายอย่างเพื่อใช้ในการทำงาน  ยังดีที่เขามีพื้นฐานร่างกายที่ดีและคุ้นเคยกับการวิวาทอยู่แล้ว  การฝึกพวกนี้ก็เป็นการเพิ่มทักษะของเขาให้สูงขึ้นเท่านั้นเอง

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: All I want 17 (หน้า16) 30/03/55
«ตอบ #481 เมื่อ06-04-2012 20:46:40 »

“แบบนี้กว่าโทโมกิจะทำฝันให้เป็นจริงได้คงอีกนาน”  ฮิโรอากิส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างระอาใจ

“ที่จริงก็ไม่นานหรอก  ถ้ามันจะกล้า  มีดเล่มเดียวก็ฆ่าฉันได้แล้ว  ถ้ามันกล้าแทงน่ะนะ”

“นั่นแหละที่ยาก  โทโมกิกลัวคุณจะตายไป”

วายะเหม่อมองสวนที่ปลูกไว้อย่างเรียบง่าย  ทอดสายตาไปตามทางเดินปูด้วยหิน  ก่อนจะถอนใจน้อย ๆ  “เพราะงั้น  ฉันถึงต้องคอยอยู่ข้าง ๆ ไง  จนกว่ามันจะเข้มแข็งพอที่จะฆ่าฉันได้”

“ถ้าจุดจบของการอยู่เคียงข้างเขาคือความตาย...แล้วคุณจะทำทั้งที่รู้ผลลัพธ์แล้วทำไม  กลับไปเป็นโฮสต์แล้วเลิกยุ่งเกี่ยวกับโทโมกิซะไม่ดีเหรอ”  ฮิโรอากิมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจ  ดูเหมือนว่าคำว่าตายจะล้อมวายะเอาไว้ทุกด้าน  และดูเขาจะพูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเหลือเกิน

“แบบนี้  โทโมะจะไม่มีวันลืมฉันไง”  วายะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ  “เอาละ  ต้องไปซ้อมปืนต่อ  แล้วเจอกันนะ”

“ปืน?  นี่...ถ้าคุณแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้โทโมกิจะฆ่าคุณได้ไงเนี่ย”

“ไม่ต้องห่วง  ถ้าถึงตอนที่มันจะฆ่าฉัน  ฉันจะยอมให้ฆ่าแต่โดยดีเลยละ  แต่ที่ฉันต้องแข็งแกร่งขึ้นตอนนี้  มันเป็นงานน่ะ  ไปนะ”  วายะโบกมือให้ฮิโรอากิน้อย ๆ แล้วเดินจากไป

ฮิโรอากิมองตามแผ่นหลังนั้นไป  วายะไม่เคยวางตัวกับเขาเหมือนคนอื่น ๆ ในบ้าน  แม้จะเข้ารับตำแหน่งบอดี้การ์ดของโทโมกิแล้ว  วายะยังคงทำตัวเหมือนเมื่อครั้งเป็นโฮสต์  ยังคงพูดกับเขาด้วยคำพูดธรรมดาเป็นกันเอง  ไม่เคยทำตัวเรียบร้อยหรือเกรงใจเขา  ซึ่งนั่นก็ดี  เขาเองก็ไม่อยากเห็นวายะที่มาเคารพนบนอบอะไรเขาหรอก  วายะที่เป็นแบบนี้มันก็สมกับเป็นวายะดีแล้ว

ความรู้สึกที่เกี่ยวพันกันของวายะกับโทโมกิมันช่างซับซ้อน  เขาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีนัก  และที่เขาทำได้ในตอนนี้คือคอยช่วยเหลือโทโมกิและคอยเฝ้าดูเท่านั้น...ฮิโรอากิส่ายหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปในโรงฝึก

“ครบหรือยัง  โทโมกิ  ยืดยาดเกินไปแล้วนะ”

...

ในโรงฝึกอันเงียบสงัด  มีเพียงเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังซ้อมท่ายูโดกับผ้าคาดเอวที่ผูกเอาไว้กับเสาไม้ต้นใหญ่  ทั้งที่อากาศกลางฤดูใบไม้ผลิยังค่อนข้างเย็น  แต่ตอนนี้เขามีเหงื่อไหลโทรมกาย  บอกให้รู้ว่าการฝึกได้ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว  สีหน้าแน่วนิ่งมีสมาธิจดจ่อกับการเคลื่อนไหวของตน  ยิ่งเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ความรวดเร็วและแม่นยำก็เพิ่มมากขึ้น

“ขยันจังนะ  วายะ”  เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นที่ประตูโรงฝึก  ร่างสูงในชุดลำลองยืนพิงกรอบประตูอยู่ตรงนั้น

“ว่างน่ะ”  ปากก็ตอบไปอย่างนั้นแต่ยังไม่หยุดการซ้อม

“นี่นายยังมีเวลาว่างอีกเหรอ  ยังต้องเรียนอีกหลายอย่างไม่ใช่หรือไง”

“เอาไว้ตอนกลางคืน  เคนซังนั่นแหละ  ว่างเหรอ  ถึงได้มาเตร่อยู่ในบ้านได้?”

“วันนี้ท่านประธานหยุดพักผ่อน  ฉันเลยได้หยุดด้วย”  พูดแล้วก็นั่งลงตรงนั้น  “อย่ายกเท้าสูงนัก  ให้มันเลียดไปกับพื้นมากกว่านี้  จังหวะยกแขนขึ้นอย่ากระชาก  ให้มันพร้อม ๆ กับจังหวะที่ดึงแขนอีกข้างนึงด้วย”

“อื้ม...”  วายะปฏิบัติตามที่อีกฝ่ายบอกทันที

ผู้ชายที่นั่งเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ประตูโรงฝึกคือเคน  บอดี้การ์ดประจำตัวโอโนเสะ  และเป็นครูสอนวิชาต่าง ๆ ในชั้นต้นให้วายะด้วย  เพราะไม่มีเวลาว่างนักจึงมักจะจัดตารางฝึกและการเรียนเอาไว้ให้แล้วฝากให้คนระดับเดียวกันดูแลแทน  นาน ๆ ครั้งก็จะมาทำการทดสอบสักหน  ซึ่งวายะก็ยอมรับว่าเคนนั้นชั้นหนึ่งจริง ๆ

ฝึกต่ออีกไม่กี่นาที  วายะก็หยุดมือ

“เอ้า  ทำไมไม่ทำต่อล่ะ?”

“ครบห้าร้อยครั้งแล้ว”

“ทำไมไม่ทำให้ครบพัน?”

วายะเหล่มองเคนแล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนจะด่า  แต่ก็ตอบไปแค่ว่า  “ต้องไปรับโทโมะแล้ว”

เคนส่ายหน้า  “บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกคุณหนูโทโมกิ”

“โทโมะเป็นโทโมะแหละดีแล้ว  เป็นมากกว่านั้นมันน่าเกลียด”  วายะถอดเสื้อฝึกออกแขวนผึ่งไว้

“ดูเหมือนแกจะไม่เข้าใจเลยนะว่าทำไมแกต้องมาทำหน้าที่นี้”

“เข้าใจสิ  ฉันถูกส่งมาให้เป็นทาสไอ้เด็กนั่นก็เพื่อให้ฉันเรียนรู้ที่จะยอมรับมันในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน  ฉันก็ยอมรับแล้วไง  แต่โทโมะก็คือโทโมะ  จะเรียกให้สวยหรูยังไงก็คือโทโมะ  เพราะงั้นไม่ต้องเปลืองน้ำลายหรอก”  ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ใยดีก่อนจะเดินออกจากโรงฝึกไป

เคนเพียงแต่จุดบุหรี่แล้วมองออกไปยังท้องฟ้าสีสดใสด้านนอก  แล้วคิดถึงคนที่เพิ่งเดินจากไป...วายะเป็นสัตว์ป่าที่ไม่เคยอยู่ในกรอบของกฎใด ๆ ทั้งสิ้น  และเขาเองก็เคยเป็นเช่นนั้น  ทั้งเคยทำเรื่องผิดกฎหมายมาหลายครั้งก่อนจะมาพึ่งใบบุญของโอโนเสะ  ดังนั้นเขาจึงนอบน้อมและยอมให้โอโนเสะในฐานะผู้มีพระคุณล้นพ้นกับเขา  แต่วายะต่างออกไป  แม้การที่วายะได้มาอยู่ตรงนี้จะเป็นการให้โอกาสของโอโนเสะ  แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องนั้นเกี่ยวพันมาถึงโทโมกิ  เขาไม่ได้วางโทโมกิไว้ในระดับเดียวกับโอโนเสะแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีฐานะเป็นลูกบุญธรรมของโอโนเสะแล้วก็ตาม  สำหรับวายะแล้ว  เด็กคนนั้นยังคงเป็นนักโทษในห้องเก็บเสียงนั้นงั้นหรือ...

แต่สองสามเดือนที่ผ่านมา  วายะก็ทำหน้าที่ได้ดี  ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากไปรับไปส่งที่โรงเรียน  และคอยตามดูแลเมื่อออกไปข้างนอก  แต่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนก็เพิ่มการไปส่งที่โรงฝึกยูโดเก่าแก่ซึ่งเจ้าของเป็นคนรู้จักของโอโนเสะจึงได้ฝากให้โทโมกิไปฝึกที่นั่น

เอาเถอะ  ก็ต้องรอดูกันต่อไป...เคนพ่นควันบุหรี่ให้ลอยกระจายไปในอากาศแล้วจ้องมองก้อนเมฆอย่างไร้ความหมาย


รถเบนซ์สีดำคันงามเข้าจอดที่หน้าโรงฝึกยูโดเก่าแก่แห่งหนึ่ง  วายะดับเครื่องแล้วเปิดหน้าต่างนั่งรออยู่ในรถพลางจุดบุหรี่สูบ  รออยู่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากหลังกำแพงรั้วแบบโบราณนั้น  ชายหนุ่มจึงดับบุหรี่แล้วลงจากรถ

บรรดาลูกศิษย์ของสำนักยูโดค่อย ๆ ทยอยเดินออกมาจากประตูหน้าพร้อมกับจับกลุ่มพูดคุยกันเสียงดัง  วายะไม่ชอบเสียงเอะอะของเด็กพวกนี้  แต่ที่ไม่ชอบยิ่งกว่าคือสายตาที่แอบชำเลืองมองมาที่เขาในความหมายต่าง ๆ กัน  ทั้งระแวง  ไม่ไว้ใจ  กลัว  และสงสัย  เขาไม่ชอบอะไรที่อ้ำอึ้งแบบนั้น  ถ้าเข้ามาถามเอาตรง ๆ เสียเลยยังจะน่าพูดด้วยหน่อย  แต่ก็รู้ว่าคงไม่มีใครกล้าถาม  เพราะรูปลักษณ์ของเขามันชวนให้คิดว่าเป็นตัวอันตราย  ไหนจะผมสีทองยาว  แว่นกันแดด  และสูทสีดำที่เป็นเสมือนเครื่องแบบ  แค่นี้ก็มากพอที่จะกันคนออกห่างตัวได้

โทโมกิเดินรั้งท้ายออกมาจากโรงฝึก  ในขณะที่เด็กคนอื่นเดินคุยกันเป็นกลุ่ม ๆ แต่โทโมกิกลับเดินคนเดียว...ไม่ว่าเมื่อไรโทโมกิก็จะอยู่คนเดียวเสมอ  ทั้งที่โรงเรียนและที่โรงฝึก  วายะนึกสงสัยว่าเมื่อก่อนโทโมกิมีกลุ่มเพื่อนบ้างหรือเปล่า  แต่ถ้าจะมีก็คงจะเป็นพวกเด็กเกเรประจำโรงเรียน  ไม่ใช่เด็กที่จะมาเข้าโรงฝึกแบบนี้กระมัง

เมื่อเห็นวายะ  เด็กหนุ่มก็หยุดยืนตัวแข็ง  มือที่ถือกระเป๋ากีฬาที่ใส่ชุดฝึกไว้เกร็งแน่น

“เอากระเป๋ามาสิ”  วายะยื่นมือออกไป  แต่อีกฝ่ายไม่ส่งให้เสียที  เขาจึงฉวยคว้ากระเป๋าออกจากมือนั้น  เพียงแค่นั้นโทโมกิก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก  “ไปขึ้นรถซะ”

ชายหนุ่มเปิดประตูให้โทโมกิตามหน้าที่ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี  หนุ่มน้อยก้าวขึ้นไปนั่งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  แม้ที่ผ่านมาวายะจะยังไม่เคยทำอะไรเขาเลยก็ตาม  แต่เขาก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี

ในรถกรุ่นไปด้วยกลิ่นบุหรี่คุ้นจมูก  กลิ่นที่เคยโอบล้อมเขาไว้ทั้งคืนวันในห้องไร้กาลเวลาแห่งนั้น  แต่ตอนนี้มันทำให้เขาอึดอัดมันทำให้เขารู้สึกถึงตัวตนของวายะมากเกินไป  ยิ่งพอชายหนุ่มขึ้นมานั่งประจำที่ที่นั่งคนขับ  กลิ่นน้ำหอมอันเป็นกลิ่นประจำกายก็ตามมาด้วย...กลิ่นทั้งสองที่ผสมผสานกันทำให้โทโมกิคิดถึงอ้อมกอดและรสสัมผัสของวายะ

เด็กหนุ่มนั่งตัวเกร็งและเบียดตัวเองเข้ากับประตูรถ  พยายามจะอยู่ให้ห่างจากวายะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  วายะมองอาการนั้นทางกระจกมองหลังแล้วก็ไม่พูดอะไรนอกจากออกรถไปโดยแรง

นี่เป็นช่วงเวลาที่อึดอัดที่สุดสำหรับพวกเขาทั้งสองคน  และเป็นช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันที่สุด  แต่ก็เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยกางกั้นไว้  และทั้งที่อยู่หลังกำแพงนั้น  หากโทโมกิก็ยังหวาดกลัวจนแทบประสาทเสีย

นั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงที่โทโมกิมีต่อเขางั้นหรือ...วายะได้แต่ลอบถอนใจ  ที่ผ่านมานั่นเป็นเพียงแค่ฤทธิ์ของยากล่อมประสาทเท่านั้นสินะ  โทโมกิคงจะเกลียดกลัวเขามาตลอดจริง ๆ...แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ  ถ้าเขาเอาชนะความกลัวนี้ได้ละก็...

“วันนี้ฝึกเป็นไงบ้าง?”  วายะชวนคุย  แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงโทโมกิก็สะดุ้ง

เด็กหนุ่มไม่ตอบแถมยังยิ่งกอดตัวเองและเบียดตัวซุกเบาะหลังแน่น

“เอาหัวโขกพื้นไปกี่ที?”  อดีตโฮสต์หนุ่มยังคงพูดไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจและพยายามควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่

โทโมกิส่ายหน้า  นึกภาวนาให้ถึงบ้านเร็ว ๆ

“หัวไม่โขกพื้นก็ดีแล้ว  อย่าลืมฝึกตบเบาะเยอะ ๆ ล่ะ”

บทสนทนาจบลงแค่นั้นเมื่อคู่สนทนาไม่ยอมคุยด้วย  วายะเพียงแต่ขับรถต่อไปเงียบ ๆ  ผ่านมาหลายเดือนแล้วที่เขาเป็นคนไปรับไปส่งโทโมกิมาตลอด  แต่ที่จะกลัวขนาดนี้มันก็ไม่แปลก  ในเมื่อเขาเป็นคนที่เคยพยายามฆ่าเด็กคนนี้มาก่อน

นั่นคือสิ่งที่เขาจะต้องแก้ไข  ผลพวงของความผิดที่เคยได้ก่อเอาไว้  เขาจะต้องเป็นคนแก้ไขด้วยตัวเอง

แต่ละสัญญาณไฟจราจรเหมือนกับยาวนานนับปีสำหรับโทโมกิ  แม้วายะจะไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก  แต่แค่กลิ่นบุหรี่กับกลิ่นน้ำหอมของวายะก็เล่นงานเขาจนย่ำแย่เต็มทีแล้ว  บรรยากาศในรถตอนนี้เหมือนในห้องนั้นไม่มีผิด  และโทโมกิรู้ดีว่าบรรยากาศแบบนี้กำลังกระตุ้นความปรารถนาอันดำมืดของเขาให้ตื่นขึ้นมาอีก

เขาไม่อยากยอมรับ...ทั้งร่างกายและหัวใจนี้ไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

มันไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้หรอก  เขาเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว  เพียงแต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและการฝึกซ้อมยูโดมีชัยเหนือห้วงอารมณ์ลี้ลับทำให้ผล็อยหลับไปเสียก่อนที่ความทรมานจะเริ่มต้นขึ้น  แต่ร่างกายก็คงอัดอั้นเต็มทีวันนี้ถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้

ในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าบ้าน  ทันทีที่รถจอดสนิท  โทโมกิก็รีบเผ่นลงมาทันทีโดยไม่รอให้วายะมาเปิดประตูให้  แล้วรีบเดินผ่านบรรดาคนที่มาเข้าแถวรับด้วยอาการเกือบจะวิ่ง

วายะหิ้วกระเป๋ากีฬากับกระเป๋านักเรียนของโทโมกิลงมาด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ แล้วส่งกุญแจรถให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ นำรถไปเก็บ

“เดี๋ยวนี้คุณหนูโทโมกิไม่ทักทายเลยน้า”  ใครบางคนบ่นขึ้น

“นั่นสิ  ปกติจะต้องมายืนงก ๆ เงิ่น ๆ แล้วทักทายตอบอย่างสุภาพแท้ ๆ”  คนอื่นเสริม...คุณหนูเล็กของบ้านมักจะทักทายพวกเขาตอบด้วยอาการประหม่าเพราะไม่คุ้นกับการตอนรับกลับบ้านแบบนี้  ทำให้ทุกคนค่อนข้างจะเอ็นดู

“นายทำอะไรคุณหนูหรือเปล่า  วายะ  คุณหนูถึงได้รีบร้อนแบบนั้นน่ะ”  บ่นแล้วก็หันมาคาดโทษกับบอดี้การ์ดหน้าใหม่

“จะไปทำอะไรได้  ขับรถมือไม่ว่างแบบนั้น  ถ้ามีคนขับให้สิค่อยทำได้หน่อย”  วายะตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“จะทำอะไรวะ?”

อดีตโฮสต์หนุ่มเพียงแต่หันไปยิ้มให้อย่างมีเลศนัยแล้วก็เดินเข้าบ้านไปพร้อมกับสัมภาระของคุณหนูคนเล็ก  ปล่อยให้คนอื่น ๆ ยืนเกาหัว

“วายะมันเคยเป็นโฮสต์ใช่มะ?”  หนึ่งในนั้นถามขึ้นระหว่างที่เริ่มแยกย้ายกันไปทำงานต่อ

“เห็นเขาว่างั้น”

“หน้าตามันดีเนอะ  เป็นโฮสต์น่าจะได้เงินเยอะ”

“อิจฉามันเรอะ?”

“เปล่า  แค่สงสัยว่าแล้วมันมาเป็นบอดี้การ์ดให้คุณหนูโทโมกิทำไม”

“โฮ้ย  ก็แล้วแต่นายท่านแหละ  สงสัยอะไรไม่เข้าเรื่อง  ไปทำงานต่อไป๊”

เรื่องของวายะกับโทโมกิ  นอกจากคนในตระกูลแล้วไม่มีใครในบ้านโอโนเสะรู้เรื่องมาก่อน  บางครั้งจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาฆ่าเวลาระหว่างวัน  แต่ก็ไม่เคยมีใครให้คำตอบที่แท้จริงได้อยู่ดี

วายะเคาะกรอบไม้ของประตูกระดาษหน้าห้องโทโมกิเบา ๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต  โทโมกินั่งกอดเข่าอยู่บนกรอบหน้าต่างเหมือนที่เคยทำเป็นประจำจนถูกนายแม่ดุอยู่บ่อย ๆ  ดวงตาทอดเหม่อออกไปยังสวนด้านนอก

“เอากระเป๋ามาให้  เสื้อยูโดฉันเอาไปให้คุณแม่บ้านซักแล้ว”  ชายหนุ่มวางกระเป๋ากีฬากับกระเป๋านักเรียนลงที่ข้างประตู

โทโมกิไม่แสดงท่าทีรับรู้หรือได้ยินคำพูดนั้นเสียด้วยซ้ำ  แล้ววายะก็เกลียดปฏิกิริยาแบบนี้ของเด็กหนุ่ม  หากก็พยายามทำใจเย็นไว้

“ไปอาบน้ำซะ  เขาเตรียมน้ำร้อนไว้ให้แล้ว  เดี๋ยวจะได้ทำการบ้านด้วย”  ชายหนุ่มบอกอีก  แต่โทโมกิยังคงนิ่ง  “ถึงจะเข้าหน้าร้อนแล้ว  แต่ชื้นเหงื่อแบบนั้นจะเป็นหวัดนะ”

ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์

วายะถอนใจอย่างหัวเสีย  จนอดรนทนไม่ไหว  เขาจึงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มแล้วดึงแขน  “โทโมะ  ไปอาบน้ำ”

โทโมกิกระชากแขนออกทันทีแล้วรีบผละหนีโดยลืมไปว่าตัวเองอยู่บนกรอบหน้าต่าง  ร่างเล็กเสียหลักหงายหลัง  แต่วายะก็ไวทายาด  แขนแกร่งรีบโอบร่างของโทโมกิกระชากกลับ  อีกมือก็คว้ายันกรอบหน้าต่างไว้ได้ทัน

เด็กหนุ่มตื่นตะลึงเมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดของวายะ  เขาไม่ได้ตกใจที่ตนจะหงายร่วงลงไป  แต่ตกใจกับสภาพแบบนี้ของตนเองมากกว่า  ใบหน้าของเขาแนบอยู่กับแผ่นอกอุ่นกว้างซึ่งตอนนี้มีเสียงหัวใจที่คุ้นเคยเต้นระรัวอยู่ในนั้น  ทั้งร่างกายและกลิ่นอายของวายะโอบล้อมเขาไว้แนบแน่น...เช่นเดียวกับเมื่อตอนนั้น...

ยังไม่ทันจะได้ดิ้นรนหรือขัดขืนอะไร  วายะก็ค่อย ๆ ดึงโทโมกิลงจากกรอบหน้าต่างแล้ววางลงกับพื้นห้อง  ก่อนจะถอนใจอย่างฉุนเฉียว  เพียงแค่นั้นก็ทำให้โทโมกิรีบกอดตัวเองแน่น...จะต้องโดนลงโทษอีกแน่...เด็กหนุ่มหวาดผวา  หากมีเพียงมือใหญ่ที่เขกเบา ๆ ที่ศีรษะของเขาเท่านั้น

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ  มันอันตราย”  เสียงต่ำ ๆ นั้นอ่อนลงกว่าเคย  “ไปอาบน้ำซะ”

กลิ่นอายของวายะถอยห่างออกไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่มุ่งหน้าไปยังประตูห้อง  แต่โทโมกิยังคงนั่งกอดเข่าขดตัวอยู่ที่ใต้หน้าต่าง  ทั้งร่างสะท้านน้อย ๆ ด้วยห้วงอารมณ์ลี้ลับที่ตนรู้จักดี  ถึงขีดจำกัดแล้ว...ร่างกายของเขาต้องการปลดปล่อยแล้ว...

“กลับมาแล้วเหรอ  โทโมกิ  ไปอาบน้ำกัน”  ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเสียงของฮิโรอากิที่ร่าเริงเต็มที่  แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า  “อ้าว...วายะซัง  แล้วโทโมกิล่ะ?”

ชายหนุ่มเพียงแต่เบี่ยงกายหลบให้  แล้วฮิโรอากิก็เห็นร่างเล็กนั่งขดอยู่ริมหน้าต่าง  เขารีบปราดเข้าไปทันที

“เป็นอะไรไป  โทโมกิ?”

ไม่มีคำตอบนอกจากอาการสั่นสะท้านไปทั้งร่าง  ฮิโรอากิจึงหันมาหาวายะ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ  วายะซัง?”

“แค่เกือบตกจากหน้าต่าง  เลยคว้าไว้”  เขาตอบสั้น ๆ  “เดี๋ยวฉันมีธุระสักสองสามชั่วโมง  ฝากดูโทโมะด้วยนะ”

ร่างสูงพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็ออกจากห้องไป  ฮิโรอากิมองตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างไม่เข้าใจแล้วก็รีบหันกลับมาหาโทโมกิ

“เกิดอะไรขึ้น  วายะซังทำอะไรนายหรือเปล่า?”

โทโมกิส่ายหน้า  แต่ตัวยังสั่นไม่หยุด  ลมหายใจหอบสะท้านอย่างน่าประหลาด

“แล้วเป็นอะไรไป  ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้?”  อาการมันดูจะมากกว่าความหวาดกลัวที่มีต่อวายะ  ฮิโรอากิจึงคาดคั้น

“...ผม...ผู้ชายคนนั้น...ผม...ไม่เอา...ไม่เอา...”  เสียงตอบกระท่อนกระแท่น

“ไม่เอาอะไร  วายะซังทำอะไรนาย?”

มือเล็กกดลงที่ท้องน้อยแน่นเหมือนพยายามจะสะกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างที่พลุ่งพล่านออกมาจากจุดนั้น

“ไม่เอา...ไม่อยาก...ไม่...ไม่เอานะ...ชุน...ไม่เอา...”

เพียงเท่านั้นฮิโรอากิก็เข้าใจความหมาย  ตัวตนของวายะได้กระตุ้นบางอย่างในใจโทโมกิมากกว่าความหวาดกลัว  เขาดึงร่างที่สั่นสะท้านนั้นมากอดไว้แน่น

“ไปอาบน้ำด้วยกันนะ  เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง”

สิ่งที่เขาทำได้  มีเพียงแค่นี้เท่านั้น...ฮิโรอากิบอกกับตัวเอง




(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ผลงานชิ้นอื่นๆครับ

Come closer
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28761.0

Daylight
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31210.0

Parallel Reality
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31255.msg1811578#msg1811578

SINLESS
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18056.0

ในค่ำคืนอันเงียบงัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17805.0

Kiss of Ice-Scream
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18472.0

Hilight & Deep shade
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17315.0

No word
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31467.0

เธอไม่อยู่แล้วหรือ...
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31791.0

Dark side Romance
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32265.0

Incubus's Dream
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29924.0

Incubus's Dream : Sweet Cake with Vodka
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30216.0

Oyasumi
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29563.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2012 20:56:38 โดย KOKURO »

Minako

  • บุคคลทั่วไป
Re: All I want 18 (หน้า16) 6/04/55
«ตอบ #482 เมื่อ06-04-2012 20:49:01 »

จิ้มก่อนค่อยอ่าน อิๆ  :z13:

ออฟไลน์ moobarpalang

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +185/-6
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #483 เมื่อ06-04-2012 21:12:24 »

มันหน้าจับโทโมะกดจริงๆ
ไม่ได้ลองแล้วจะมาไม่เอาๆๆๆๆ
ทั้งๆที่รักเค้าซะขนาดนั้น

ออฟไลน์ maple4120

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #484 เมื่อ06-04-2012 21:22:42 »

เข้าใกล้ตอนปัจจุบันแล้วว ตื่นเต้นจัง  :-[

ออฟไลน์ biw43

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #485 เมื่อ06-04-2012 23:45:22 »

วายะอดทนไม่จับโทโมะกดไว้ได้เช่นไร
เป็นเรานะ ไม่อยากจะทน ฮ่าๆ  :z2: :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2012 23:49:52 โดย biw43 »

gngane

  • บุคคลทั่วไป
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #486 เมื่อ07-04-2012 00:10:24 »

เริ่มใกล้ปัจจุบัน้ข่าไปเรื่อยๆ เเล้วสิ่ o18

ออฟไลน์ ~มือวางอันดับ1~

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #487 เมื่อ07-04-2012 00:23:39 »

ชอบ อ่ะ ชุน :sad4: โทโม๊ะ น่ารัก :o8:+1

ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #488 เมื่อ07-04-2012 00:50:30 »

วายะอดทนได้สุดยอดจริงๆ ค่ะ
ไม่น่าจะอดทนได้นานขนาดนี้แท้ๆ
น่าจะทรมานน่าดูล่ะค่ะ
โทโมกิเล่นกลัวจนตัวสั่น น่าจับกดขนาดไหน!!!

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #489 เมื่อ07-04-2012 01:03:05 »

น่าสงสารโทโมะ คงรู้สึกขัดแย้งในใจเต็มที

อยากโดนกอด แต่ก็กลัวโดนฆ่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
« ตอบ #489 เมื่อ: 07-04-2012 01:03:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #490 เมื่อ07-04-2012 02:02:06 »

 :m31:สงสารวายะ

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #491 เมื่อ07-04-2012 02:06:12 »

เอาใจช่วยได้อย่างเดียวเลย เดาทางไม่ออก

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #492 เมื่อ07-04-2012 02:19:52 »

เข้าใกล้ตอนปัจจุบันเข้าไปทุกทีๆ

ออฟไลน์ aloney

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-4
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #493 เมื่อ07-04-2012 02:38:43 »

นึกว่าถึงตอนปัจจุบันแล้วซะอีก 


เหอๆ  สงสารวายะ

ออฟไลน์ dear77

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #494 เมื่อ07-04-2012 10:37:09 »

เขียนแสดงอารมณ์ได้ดีจริงๆ ค่ะ

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #495 เมื่อ07-04-2012 12:23:11 »





    สู้ๆนะโทโมะ วายะน่ะไม่ได้น่ากลัวสักหน่อยน้าาาาาา





ออฟไลน์ jitsupa apple

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #496 เมื่อ07-04-2012 12:28:33 »

 :z3:

ออฟไลน์ natalee22

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-3
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #497 เมื่อ07-04-2012 12:45:33 »

โทโมะสู้ๆนะ ถ้ากำจัดความกลัวออกไปแล้วจะได้เห็นว่าจริงๆแล้วชุนไม่ได้คิดจะฆ่าโทโมะนะ

ชุนก็เหมือนกัน ถ้ามองให้ลึกผ่านความหวาดกลัวของโทโมะลงไป ก็จะได้เห็นว่าโทโมะก็ต้องการอ้อมกอดของชุนนะ

wolfram

  • บุคคลทั่วไป
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #498 เมื่อ07-04-2012 13:38:14 »

อยากให้บรรยากาศแบบนี้ ผ่านไปไวๆจัง!!  :กอด1:

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #499 เมื่อ07-04-2012 13:42:42 »

All I want is your love, otherwise you had better kill me...
c'mon baby, I'm waiting for your knife...

แบบว่า อ่านตอนนี้แล้วเกิดกระแดะอยากเพ้อเป็นภาษาปะกิต ไวยากรณ์เพี้ยนๆอย่าว่ากันเนาะ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
« ตอบ #499 เมื่อ: 07-04-2012 13:42:42 »





ออฟไลน์ jiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1567
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +175/-2
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #500 เมื่อ07-04-2012 15:20:48 »

แล้วก็ไประบายออกกับึนอื่นทั้งคู่เลยเนี่ยนะ
โอ๊ย กรรม
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักทีนะ

vocaloid

  • บุคคลทั่วไป
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #501 เมื่อ07-04-2012 15:31:23 »

รู้สึกสมน้ำหน้าวายะ ทำกับโทโมะไว้เยอะ
ย้อนกับมาโดนตัวเองเลย  o13

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #502 เมื่อ07-04-2012 15:59:49 »

โอ้ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วทำให้ได้หลายอารมณ์ทุกตอนเลยค่ะ  :L2:
จะคอยติดตามผลงานเรื่องอื่นๆด้วยนะคะ สไตล์นี้ลุ้นระทึกมากๆ  o18

 :pig4: นะคะ

ออฟไลน์ tong_pub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-5
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #503 เมื่อ07-04-2012 17:09:31 »

อยากจะโขกหัวตัวเองสักสิบที อ๊ากกกกกกกกกกกก
ทำไมฮิโรอากิต้องมา...ทำไมไม่ให้วายะช่วยห๊ะ!!
เดี๋ยวตบหัวหลุดเลยโทโมกิ =w=

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #504 เมื่อ07-04-2012 21:23:30 »

อยากจะโขกหัวตัวเองสักสิบที อ๊ากกกกกกกกกกกก
ทำไมฮิโรอากิต้องมา...ทำไมไม่ให้วายะช่วยห๊ะ!!
เดี๋ยวตบหัวหลุดเลยโทโมกิ =w=

โทโมะ..."คะ...เค้าไม่ผิดนะ แง้ว! ชุนผิด!!"

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #505 เมื่อ08-04-2012 13:22:21 »

ใกล้จะถึงตอนที่โดนลักพาตัวแล้วววววว(ดีจายย)

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #506 เมื่อ08-04-2012 13:24:29 »

 :L2:

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #507 เมื่อ13-04-2012 21:41:21 »

All I want # 19

วายะขับรถเบนซ์สีดำเรื่อยไปตามถนนที่คุ้นเคยที่มุ่งหน้าไปสู่โรงฝึกยูโดเก่าแก่  วันนี้เขาช้ากว่าปกติไปไม่น้อยทีเดียวเพราะหลังจากที่ไปส่งโทโมกิแล้วเขายังต้องเลยไปทำธุระที่นายแม่ไหว้วานมาอีกด้วย  ถนนวันธรรมดาช่วงเวลานี้ยังมีรถน้อย  แต่เพราะเป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อน  พวกเด็กวัยรุ่นจึงดูหนาตาเป็นพิเศษ

พลันชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นร่างเล็ก ๆ ที่คุ้นตาเดินอยู่ข้างทาง  เขารีบหยุดแล้วกลับรถทันที...กลางถนนนั่นแหละ...โชคดีที่ไม่มีรถบนถนนตอนนั้น  และก็โชคดีที่ไม่มีตำรวจด้วย  วายะขับรถเลียบริมทางเท้าแล้วเปิดกระจกรถ

“โทโมะ!  ทำไมมาอยู่แถวนี้!?”

คนถูกเรียกสะดุ้งนิด ๆ แล้วหันมามอง  ก่อนจะเมินหน้าหนีไป

วายะจิ๊ปากอย่างขัดใจแล้วหาที่จอดรถข้างทาง  ก่อนจะลงไปด้วยท่าทางหัวเสีย  เขาตรงไปหาคนตัวเล็กกว่าแล้วยืนขวางหน้าไว้

“โทโมะ  ทำไมไม่รออยู่ที่โรงฝึก?”

“มาช้าเอง  อย่ามาพูดมากนะ”  เสียงที่สวนมาก็ดูหงุดหงิดไม่แพ้กัน

“ฉันบอกแล้วนี่ว่าต้องไปทำธุระให้นายแม่  บอกให้รอไง”

“ใครจะไปบ้ารออยู่ได้  เดินกลับก็ถึงบ้านเท่ากันนั่นแหละ”

วายะยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วที่ปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมากับเสียงแหวที่เถียงไม่มีหยุดนั่น  เขาเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋ากีฬาที่สะพายอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม  ยังผลให้อีกฝ่ายถึงกับสะดุ้ง  แต่เขาก็ไม่สนใจ  ยื้อกระเป๋านั้นมาถือไว้จนได้

“ขึ้นรถ”  พร้อมกับคำสั่งนั้นชายหนุ่มก็ก้าวยาว ๆ ไปเปิดประตูรถแล้วโยนกระเป๋าของโทโมกิเข้าไป

“ฉันจะเดินกลับ”

“จะบ้าเรอะ?”  วายะพูดอย่างไม่ใส่ใจกับอารมณ์พาล ๆ นั้น

“ไม่บ้า  ฉันจะเดินกลับ”  ไม่พูดเปล่า  โทโมกิยังรีบเดินไปให้พ้นจากสายตาของคนรอบข้างที่เริ่มหันมามองพวกเขาอีกด้วย

วายะนับหนึ่งถึงสิบในใจอีกครั้งก่อนจะถอนใจยาวแล้วรีบตามไปคว้าแขนโทโมกิไว้  เด็กหนุ่มสะบัดออกเต็มแรงด้วยความตกใจ  แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับร่างสูงเลย

“ไปขึ้นรถ  อย่ามาท่ามาก”  พูดพลางก็ลากดึงโทโมกิกลับไปที่รถ

“ฉันบอกว่าจะเดินกลับไงเล่า”  กลัวทั้งกลัวแต่ก็ยังไม่วายทำฤทธิ์

บอดี้การ์ดหนุ่มไม่ฟังเสียง  เขาเปิดประตูหลังแล้วผลักเด็กหนุ่มเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง  พอโทโมกิขยับตัวเหมือนจะพุ่งลงมาจากรถก็ชี้หน้า

“อย่าดื้อกับฉัน  ฉันเคยสอนแกแล้วใช่มั้ย  โทโมะ”

น้ำเสียงแข็งกร้าวทำให้โทโมกิรู้ว่าวายะเอาจริง  เขาส่งสายตาจ้องหน้าร่างสูงเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ  ก่อนจะกระแทกตัวลงกับเบาะอย่างขัดเคือง

วายะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ  เหยียบคันเร่งกระชากรถออกอย่างแรง  โทโมกิถึงกับผงะหงาย

“จะบ้าเหรอ!  จะรีบไปตายหรือไง!”  เสียงตวาดแว้ดดังมาจากเบาะหลังทันที

“หุบปากซะ  ไม่งั้นฉันจะพาแกไปตายจริง ๆ”  เสียงที่ตอบกลับมาเรียบเย็น  วายะกำลังข่มความโกรธไว้จนถึงขีดสุดแล้ว

และโทโมกิก็รู้  เขาทิ้งตัวพิงเบาะ  หยิบหูฟังวอล์คแมนมาเสียบหูแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง  ไม่อยากจะรับรู้ถึงตัวตนของคนขี้โมโหที่กำลังเหยียบคันเร่งเหมือนอยู่บนซุปเปอร์ไฮเวย์  เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าเขาเองที่เป็นคนทำให้วายะโกรธถึงขนาดนี้...แต่เพราะเป็นวายะนั่นแหละ  เขาถึงได้ทำ

รถเลี้ยวเข้าจอดหน้าเรือนใหญ่พร้อมกับเสียงเบรกดังสนั่นอย่างไม่เกรงใจใคร  เล่นเอาบรรดาชายฉกรรจ์ที่อยู่แถวนั้นกระโจนหนีกันกระเจิดกระเจิง  แต่ทุกคนก็ยังมาตั้งแถวต้อนรับคุณหนูคนเล็กได้ตามปกติ

โทโมกิลงรถมาทักทายทุกคนนิดหน่อยแล้วรีบเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว  ทิ้งกระเป๋ากีฬาไว้ให้วายะจัดการตามปกติ

ฝ่ายบอดี้การ์ดก็ลงรถมาปิดประตูโครม  เดินอ้อมไปหยิบกระเป๋าแล้วก็ปิดประตูอีกโครม  ก่อนจะโยนกุญแจรถให้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

“นี่แกจะฆ่าพวกฉันใช่มั้ย  วายะ?  เลี้ยวรถเข้ามาได้  ไม่ทับซะให้ตายไปเลยล่ะ?”

“เงียบปากไป”

เสียงสั้น ๆ ห้วน ๆ พร้อมกับหน้าตาที่เหมือนพร้อมจะฆ่าคนได้สักสองสามคนทำให้ไม่มีใครพูดอะไรอีก  กระทั่งวายะเดินหายเข้าบ้านไปแล้ว  จึงได้มีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นเบา ๆ

“มันไปกินรังแตนมาจากไหนวะ”

“สงสัยคุณหนูโทโมกิขว้างใส่”

“เออว่ะ  หน้าบูดพอกันเลย”

“ไอ้นี่ก็กระไร  มีเรื่องกับคุณหนูได้”

“นั่นสิ  ช่างกล้า”

เสียงนินทาจางหายไปพร้อมกับกลุ่มคนที่สลายตัวกลับไปทำงานของตัวเองต่อ  แต่ความโกรธที่กรุ่นอยู่ในใจวายะไม่ได้หายไปด้วย  เขาเดินกระแทกส้นปึง ๆ ไปตามระเบียงอย่างไม่เกรงใจใครแม้จะรู้ว่าอีกเดี๋ยวคุณแม่บ้านจะต้องออกมาด่าแน่ก็ตาม  ชายหนุ่มเปิดประตูห้องโทโมกิแล้วโยนกระเป๋าเข้าไปอย่างไม่ใยดี  ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กที่ตั้งอยู่ด้านหลัง  ไม่ใส่ใจกับเสียงคุณแม่บ้านที่ตะโกนไล่หลังมา  ตอนนี้เขาต้องการที่เงียบ ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์

ประตูห้องส่วนตัวเล็ก ๆ ถึงกระแทกปิดปัง  วายะถอดสูทขว้างลงพื้นอย่างหัวเสียแล้วเดินวนไปวนมาในห้องเหมือนหนูติดจั่นอยู่เป็นครู่จึงได้จุดบุหรี่สูบ  หลังจากอัดควันลึกเข้าปอดแล้วก็ค่อยสงบใจลงได้หน่อย

เดี๋ยวนี้โทโมกิดื้อกับเขา  แถมยังปากร้ายอีกด้วย  ไม่รู้ฮิโรอากิเสี้ยมสอนอะไรมา  มันก็ดีกว่าเอาแต่กลัวลนลานอยู่หรอก  แต่โดนแหวเข้าหลายทีมันก็ชักอยากหวดให้สักป้าบ  แต่เพราะโทโมกิเป็นลูกบ้านนี้แล้วจึงทำไม่ได้...เขาเคยอยากเลี้ยงแมวดื้อ ๆ  แต่ทั้งดื้อและโวยวายแบบนี้มันก็ไม่ไหว

วายะทอดสายตาผ่านประตูกระจกออกไปยังท้องฟ้าฤดูร้อนข้างนอก  เรือนเล็กแห่งนี้เป็นที่พักของบรรดาลูกจ้างที่ทำงานให้ตระกูลโอโนเสะ  ลักษณะเหมือนหอพักที่มีห้องน้ำรวม  มีห้องพักเล็ก ๆ แยกให้พนักงานระดับสูงแต่ละคนเพื่อความเป็นส่วนตัวซึ่งจะตกแต่งเองอย่างไรก็ได้  ส่วนพวกลูกจ้างระดับล่าง ๆ จะมีเรือนนอนรวมแยกไปอีกต่างหาก  วายะเองถือว่าเป็นสมาชิกใหม่ที่ได้อภิสิทธิ์พอสมควร  โอโนเสะสั่งให้เขารับงานนี้แบบกึ่งบังคับ  ซึ่งที่จริงแล้ววายะจะเลือกเป็นโฮสต์ต่อก็ได้  แต่ในเมื่อให้ความร่วมมือที่จะเยียวยาโทโมกิแล้ว  จึงได้รับห้องส่วนตัวเป็นการพิเศษ

อดีตโฮสต์หนุ่มสูดควันสีเทาเข้าปอดช้า ๆ  การหายใจลึก ๆ ช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นแม้สิ่งที่สูดเข้าไปจะมีพิษบ้างก็เถอะ  เขาเปิดประตูกระจกแล้วนั่งคาประตูอยู่ตรงนั้นพักใหญ่จึงได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เชิญ”  วายะตอบไปห้วน ๆ  เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะมาหาเขาถึงห้อง

คนที่เปิดประตูเข้ามาคือเคน

“คุณแม่บ้านเรียกหาแน่ะ”

“จะเรียกไปด่าสิท่า”

“ไปทำอะไรไว้ให้เขาอยากด่าล่ะ?”

“เดินลงส้นที่เรือนใหญ่  โยนกระเป๋าโทโมะ  ปิดประตูเสียงดัง”  วายะไล่โทษตัวเอง

“อืม  ความผิดเดิม ๆ ทั้งนั้นนี่”

“เด็กมันกวนโมโห”  หางเสียงสะบัดด้วยความไม่พอใจ

“อีกแล้วเรอะ?  แปลกดีนะ  พอเลิกกลัวแล้วก็กวนประสาทเนี่ย”  เคนเดินเข้ามายืนเท้ากรอบประตูอยู่ใกล้ ๆ  “แต่ก็ดีกว่ากลัวจนหัวหดไม่ใช่หรือไง?”

“ก็ดีหรอก...แต่มันอยากจะทุบให้สักอึ้ก”  พูดพลางก็หักข้อนิ้วอย่างมันเขี้ยว

“อย่าไปทุบเข้าจริง ๆ ล่ะ”

“ก็เพราะทุบไม่ได้ถึงได้คันไม้คันมืออยู่นี่ไง”  ว่าแล้วชายหนุ่มก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ใกล้ ๆ มือ  “เอาละ  เดี๋ยวผมไปก่อน  ขืนช้าเดี๋ยวแกด่าเพิ่มอีกเรื่อง  เคนซังจะเฝ้าห้องให้ก็ตามสะดวกแล้วกัน”

“เออ  ไปดีมาดีนะ”


โทโมกิแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ  แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่การอาบน้ำอุ่นจะช่วยกำจัดเหงื่อไคลที่หมักหมมมาตลอดทั้งวันได้ดี  แถมเขาก็เล่นยูโดมาด้วย  ดังนั้นการอาบน้ำอุ่นแล้วไปซ้ำด้วยน้ำเย็นมันทำให้ร่างกายสดชื่นดีจริง ๆ  เพียงแต่บางอย่างยังขุ่นมัวอยู่ในหัวใจ

เขาเกลียดวายะ  ฮิโรอากิเป็นคนบอกให้เขาเกลียด

“ถ้านายยังเอาแต่กลัววายะซังอยู่อย่างนี้  นายไม่มีทางเอาชนะหรือฆ่าเขาได้หรอกนะ”  ฮิโรอากิพูดขึ้นในวันหนึ่งที่โทโมกินั่งตัวสั่นและหายใจไม่ออกมาตลอดทางบนรถที่วายะขับไปรับมาจากโรงพยาบาลหลังจากไปพบจิตแพทย์  ทั้งที่มีฮิโรอากินั่งมาด้วย

“แล้วคุณพี่จะให้ผมทำยังไง...ผม...ผม...ผมไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว  แค่เขาอยู่ใกล้ ๆ ผมก็...”  โทโมกินั่งกอดตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าต่าง  ทั้งร่างยังสะท้านน้อย ๆ ด้วยซ้ำ

ฮิโรอากินิ่งคิด  จากสภาพของโทโมกิในตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้จริงๆนั่นแหละ  แต่จะปล่อยไปแบบนี้ก็ไม่ได้  เขาควรจะทำอะไรสักอย่าง  มันควรจะมีคำแนะนำบางอย่างที่จะช่วยโทโมกิได้

ถ้าเป็นพ่อของเขา...จะทำยังไงนะ

พ่อที่มักจะหักดิบกับทุกคนเสมอ  พ่อที่มักจะมีคำแนะนำที่ไม่น่าเป็นไปได้เสมอ...

“เกลียดวายะซังซะสิ  โทโมกิ”

“เอ๊ะ?”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที

“เกลียดซะ  เปลี่ยนความกลัวของนายให้เป็นความเกลียดซะ  เกลียดให้เข้ากระดูกดำ  เกลียดชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ไปเลย”  ฮิโรอากิย้ำ

“เกลียดเหรอ...”

“ใช่  ที่นายไม่อยากให้เขาแตะต้องเพราะนายขยะแขยงสัมผัสของเขา  ที่นายอยู่ใกล้เขาแล้วหายใจไม่ออกก็เพราะนายไม่อยากหายใจร่วมกับเขา  เขาเป็นคนที่ยัดเยียดชะตากรรมที่โหดร้ายให้นายถึงขนาดนี้  นายไม่ควรจะกลัวเขา  แต่ควรจะเกลียดต่างหาก!”

โทโมกิเก็บคำของฮิโรอากิมาท่องไว้ในใจ  เขาไม่แน่ใจว่ามันจะดีจริงหรือเปล่า  แต่เขาก็ทำ...ผ่านไปหลายเดือน  การบอกตัวเองให้เกลียดวายะเริ่มเห็นผล  เขาไม่ได้หวาดกลัวถึงขนาดเป็นลมหรือหายใจไม่ออกอีกต่อไป  แต่ทุกครั้งที่วายะอยู่ใกล้ ๆ เขาอาละวาดและทำทุกอย่างที่วายะเกลียด  ยิ่งเอาแต่ใจแล้วได้เห็นวายะมีสีหน้าลำบากใจหรือไม่ชอบใจเขาก็ยิ่งสะใจและยิ่งแผลงฤทธิ์มากขึ้น  ความรู้สึกบางอย่างค่อย ๆ เติมเต็มขึ้นในหัวใจของเขา...ความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน...เขาเคยเป็นคนแบบนี้  เคยเป็นวายร้ายที่เอาแต่ใจแบบนี้!

ยิ่งรู้สึกว่าวายะเป็นคนกดขี่และกักขังตัวตนของตัวเองไว้  โทโมกิก็ยิ่งทำตัวหนักข้อขึ้นทุกที  ทั้งโวยวายและดื้อดึง  ยิ่งพอทำอย่างนั้นแล้วเห็นวายะโกรธเคืองแต่ไม่อาจทำอะไรตนได้  โทโมกิก็ยิ่งรู้สึกว่าตนมีอำนาจและมีชัยชนะเหนือชายหนุ่ม

แต่...บางสิ่งลึก ๆ ในหัวใจบอกตัวเองว่าไม่ใช่...

แม้วายะจะเคยเกรี้ยวกราดกับเขา  ทำร้ายและทุบตีเขา...แต่วายะก็เคยกอดเขา  มือที่เอาแต่ใช้กำลังนั้นเคยโอบกอดและลูบไล้เรือนผมของเขาอย่างอ่อนโยน  ความอบอุ่นของอ้อมกอดที่วายะเคยมอบให้นั้น...ยังคงฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา  ไม่เคยลืมเลือน
แล้ว...แบบนี้มันดีแล้วเหรอ...ถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปแบบนี้...

...แต่ผู้ชายคนนั้นเคยพยายามฆ่าเขา...เสียงหนึ่งในหัวใจบอกกับตัวเอง

ใช่...ทั้งที่เขาเชื่อใจและเชื่อมั่นในความอบอุ่นนั้น  แต่วายะกลับทำลายทุกอย่างเพียงเพราะเขาไม่สามารถเป็นอย่างที่วายะต้องการได้

“...แบบนี้ดีแล้ว...ดีแล้วละ”

โทโมกิบอกกับตัวเอง  อย่าไปโหยหาความอบอุ่นจอมปลอมนั่นเลย  วายะไม่ได้กอดเขาจริง ๆ หรอก  วายะเพียงแค่ใช้เขาเพื่อแทนใครบางคนเท่านั้น  วายะไม่ได้รักเขาเลย...แล้วเขาล่ะ...คิดยังไงกับวายะ...

“ไม่เอาแล้ว!!”

โทโมกิกดตัวเองลงน้ำจนจมมิดหัว  เขาไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว  ทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังจะต้องคิดถึงเรื่องของวายะทุกครั้ง  และจะวนเวียนอยู่เช่นนี้เสมอ...ถ้าเกลียดมากกว่านี้จะลืมได้ไหมนะ  ถ้าชิงชังจนหมดหัวใจจะไม่คิดถึงผู้ชายคนนั้นได้ไหมนะ...ถ้าเกลียดมากกว่านี้...

มือเล็กยกขึ้นกอดตัวเองแน่น  และเผลอลูบไล้รอยแผลที่สะบักซ้าย

...บางอย่างในหัวใจบอกกับตัวเองว่าไม่อยากลืม...

...

“เกลียด!  เกลียด!  เกลียด!  เกลียดที่สุด!!  ทำไมคุณพ่อโอโนเสะจะต้องเอามันมาอยู่กับเราด้วยนะ!?  แค่เห็นหน้าก็จะอ้วก!  เกลียดมันที่สุด!!”

“เมื่อคืนนอนไม่หลับ  แล้วก็ฝันถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นด้วย  ยังจำกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ นั่นได้เลย  เตียงนุ่ม ๆ นั่น  ห้องมืด ๆ นั่น...ทำไมจนป่านนี้แล้วถึงได้ยังฝันถึงอีกนะ  เพราะเห็นหน้ากันทุกวันใช่มั้ย  เพราะอยู่ข้าง ๆ กันใช่มั้ย...เกลียดหมอนั่นที่สุดเลย”

“เกลียดมันชะมัด!  มันคิดว่ามันเป็นใคร  ถึงได้กล้าพูดแบบนั้นกับเรา!  แต่มันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้วนี่  อวดดีก็เท่านั้น  ปากดีก็เท่านั้น  ทั้งที่มีดีแค่ไอ้นั่นแค่นั้นเอง!!  ทุเรศที่สุด!”

“ทำไมจะต้องมาลูบผมเราแบบนั้นด้วย  ทั้งที่เกือบจะลืมได้แล้วแท้ ๆ...มือใหญ่ ๆ นั่นน่ะ...ถ้าลืมได้จะดีสักแค่ไหน  ถ้าไม่ต้องจำความอบอุ่นนั้นได้จะดีแค่ไหน...จะได้ไม่ต้องโหยหา  จะได้ไม่ต้องอยากได้มันคืนมาอีกครั้ง  เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ที่สุดเลย  แล้วก็เกลียดหมอนั่นด้วย”


โอโนเสะปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กแล้วส่งคืนให้หมอคาไซที่นั่งรออยู่

“สับสนสิ้นดีเลยนะ”  เขาพูดยิ้ม ๆ แต่สีหน้าออกจะมีแวววิตกเล็กน้อย

“ครับ  แต่ถึงทุกหน้าจะมีแต่คำว่าเกลียด  ก็พอจะเข้าใจได้ใช่มั้ยครับว่าบางทีเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ”  คาไซเก็บสมุดเล่มนั้นเข้าในลิ้นชัก

เขาให้โทโมกิเขียนบันทึกทุกวันแล้วให้เอามาส่งทุกครั้งที่มาเข้ารับการบำบัดจิตซึ่งตกเดือนละครั้ง  วิธีการนี้เรียกว่าการบำบัดด้วยการเขียน  คนไข้จะค่อย ๆ ทำความเข้าใจและพิจารณา  รวมไปถึงปรับความรู้สึกและสภาพจิตใจของตนเองไปทีละน้อยได้  ซึ่งจะช่วยให้การรักษาเป็นไปได้ง่ายขึ้น

“จะบอกว่ารักแต่ไม่อยากจะยอมรับ  อะไรแบบนั้นสินะครับ”

“โทโมกิคุงคงจะ...รู้สึก...ว่าตัวเองรักผู้ชายคนนั้นน่ะครับ  แต่ที่ไม่ยอมรับก็เพราะเขาเป็นผู้ชายที่เคยกักขังและทารุณกรรมตัวเองมาก่อน  เคยเกือบจะฆ่าด้วยซ้ำ  ถ้าจะยอมรับไปตรง ๆ ว่ามีความรู้สึกพิเศษให้  จิตใจบางส่วนก็ยอมรับไม่ได้”

“ที่จริงโทโมกิไม่น่าจะเกิดความรักกับวายะได้นะ  โดนทำถึงขนาดนั้น”  นี่เป็นอีกเรื่องที่โอโนเสะไม่ค่อยเข้าใจ

“ความรักของโทโมกิคุงเป็นผลจากกลไกป้องกันตัวเองทางจิตครับ  เมื่อโดนทารุณมาก ๆ จนเกินที่จิตใจจะรับได้  จิตใจก็จะปรับสภาพตัวเองให้เกิดความรู้สึกแบบอื่น  เช่น  ยอมโอนเอียงไปตามการกระทำของอีกฝ่ายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกทารุณอีกต่อไป  หรือบอกตัวเองว่าตนรักอีกฝ่ายถึงได้ยอมรับความทรมานนั้นได้  อะไรทำนองนี้น่ะครับ”  หมอคาไซอธิบายคร่าว ๆ  “แต่กรณีของโทโมกิคุงมีเงื่อนไขบางอย่างที่ซับซ้อนกว่านั้น  นั่นคือ  ผู้ชายคนนั้นเป็นคนแรกในชีวิตที่โอบกอดและให้ความอบอุ่นแก่เขา  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้รับแม้แต่จากผู้ให้กำเนิด  ทำให้ความรู้สึกรักนั้นผูกปมซ้อนกันสองชั้น  ทั้งรักฉันชู้สาวและรักเหมือนคนในครอบครัว  ซึ่งทำให้สับสนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าน่ะครับ”

“ดูท่าผมจะคิดผิดที่ให้วายะไปเป็นบอดี้การ์ดของโทโมกินะ”

“ก็...คงใช่มั้งครับ”  หมอคาไซยิ้ม  “แต่ผมคิดว่าบางส่วนก็เป็นผลดี  อย่างน้อยก็ทำให้โทโมกิคุงเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น  ถ้าจะเป็นไปในแง่ดีที่สุด  ก็คือเขาจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้  และปรับสภาพเข้ากับผู้ชายคนนั้นได้...แต่ที่ผมหนักใจอยู่ตอนนี้คือคำว่าเกลียดที่เขียนไว้เต็มไปหมดนี่สิครับ”

“อ้อ  ผมลืมบอกหมอไป  โทโมกิน่ะเลิกกลัววายะแล้วละครับ”

“โอ๊ะ  แบบนั้นก็เป็นเรื่องดีสิครับ”  รอยยิ้มเบิกบานของหมอคาไซหุบลงทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมา

“เลิกกลัวแต่เกลียดแทนน่ะครับ”

“ให้มันได้แบบนี้สิ”

“มีเด็กเวรบางคนไปสอนให้น่ะครับ  บอกว่าเกลียดเสียยังดีกว่ากลัว  เหมือนพวกกลัวแมงมุม  พอเปลี่ยนเป็นเกลียดแล้วเวลาเจอแมงมุมก็จะได้ฆ่าให้ตายได้น่ะครับ”

“เด็กเวร?”

“ลูกชายผมเอง”

คาไซกุมขมับ  บ้าระห่ำพอกันทั้งพ่อทั้งลูก  แต่บางทีแบบนี้อาจจะเป็นผลดีจริง ๆ ก็ได้  เพราะอย่างน้อยโทโมกิก็ไม่มีอาการเป็นลมหมดสติเพราะความกลัวที่มีต่อวายะอีกต่อไป

...

ผ่านไปหลายเดือน  บรรยากาศบนรถผ่านไปอย่างอึมครึมทุกวัน  ไม่ใช่แค่บนรถหรอก  ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันจะต้องเหมือนมีเมฆทะมึนดำแผ่ปกคลุมไปหมดทุกที่สิน่า...วายะลอบถอนใจ  แบบนี้มันจะดีแล้วแน่หรือ  เขารู้มาว่าฮิโรอากิเป็นคนยุให้โทโมกิเกลียดเขา  เจ้าตัวสารภาพเองกับปาก  บอกว่าสงสารที่เห็นโทโมกิต้องหวาดกลัวจนหายใจไม่ออกและบางครั้งถึงขึ้นหมดสติ...ไอ้สงสารโทโมกิมันก็ดีหรอก  แต่แบบนี้แล้วจะไม่สงสารเขาบ้างเชียวหรือ...

“วายะ  จอดตรงนี้!”  เสียงใส ๆ บอกมาห้วน ๆ พร้อมกับชี้มือไปที่ข้างทาง

“ฉันสอนให้เรียกฉันว่ายังไง?”  คนทำหน้าที่ขับรถตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

โทโมกิทำหน้าขัดใจ  “ชุน!  จอดตรงนี้!”

“จะจอดทำไม?”  วายะลอบยิ้ม  อย่างน้อยเจ้าเด็กดื้อขี้โวยวายนี่ก็ยังจำได้ละนะว่าเขาสอนอะไรไว้บ้าง

“ฉันจะซื้อของที่นั่น”  โทโมกิชี้ไปที่ร้านเครปที่มีบรรดานักเรียนต่อแถวเรียงกันอยู่

“เครปเนี่ยนะ...”  ชายหนุ่มบ่นแต่ก็ยอมจอดรถให้โดยดี

“ไปซื้อสิ”

“หา?”  วายะมองคนออกคำสั่งผ่านกระจกหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“ฉันบอกให้ไปซื้อให้หน่อย”

“ไปซื้อเองสิโว้ย”  คราวนี้ชักจะฉุนขึ้นมาแล้ว  ก็ดูลูกค้าที่ออกันอยู่หน้าร้านแล้วเทียบกับตัวเขาดูสิ  มันไม่ได้มีตรงไหนที่จะไปด้วยกันได้เลยนะ  ถ้าลงไปซื้อแล้วจะโดนมองด้วยสายตายังไงเนี่ย

“บอกให้ซื้อก็ซื้อเซ่  ชุน!”  โทโมกิยังคงดึงดันแผลงฤทธิ์ต่อไป

แต่คงเพราะชื่อที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มละมั้ง  ที่ทำให้วายะยอมลงรถไปซื้อเครปมาให้แต่โดยดี  แน่นอนว่าเขาถูกกลุ่มเด็กนักเรียนที่อยู่ตรงนั้นมองมาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด  แต่ด้วยหน้าตาท่าทางที่บอกชัดว่าไม่ใช่คนที่ทำงานสุจริตแน่  ทำให้เขา  “เบ่ง”  แบบที่นาน ๆ จะทำสักที  ลัดคิวซื้อเครปมาหน้าตาเฉย

โทโมกิเปิดกระจกรถมารับเครปไปแล้วก็เบ้หน้า

“นี่มันไม่ใช่ที่ฉันชอบนี่”

“ก็แล้วทำไมไม่บอกว่าจะกินไส้อะไร”

“อย่ามาพูดมากนะ!”  ตวาดแว้ดแล้วก็เอาเครปไส้คัสตาร์ดครีมสดในมือขว้างใส่วายะ

เกิดความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นในพริบตานั้น  ถ้าเป็นเมื่อก่อนโทโมกิจะต้องรู้ได้ทันทีว่าเขาหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวแล้ว  แต่เพราะเป็นตอนนี้...ตอนที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจเหนือผู้ชายคนนี้  เขาจึงได้ปิดกระจกรถพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

“ไม่กินแล้ว!  กลับบ้าน!!”

วายะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  เขาถูกหยามท่ามกลางสายตาของไอ้พวกเด็กเวรที่ยืนมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น  มือแกร่งกำเกร็งแน่นก่อนจะค่อย ๆ คลายลงแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบครีมสดที่ติดอยู่บนสูท  และกลับขึ้นรถด้วยสีหน้าเฉยชา

รถเคลื่อนตัวออกอย่างปกติ  และกลับไปถึงหน้าเรือนใหญ่ของบ้านโอโนเสะอย่างเรียบร้อย  ไม่มีการกระชากลากถูเหมือนอย่างเคย

โทโมกิลงจากรถและทักทายคนที่มาต้อนรับตามปกติก่อนจะเข้าบ้านไป  ส่วนวายะก็ลงจากรถมาหยิบกระเป๋าของโทโมกิแล้วส่งกุญแจให้คนนำรถไปเก็บตามปกติเช่นกัน

แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือสีหน้าและแววตาของชายหนุ่ม  ทั้งที่สีหน้าเย็นชาราวกับฉาบไว้ด้วยหน้ากากน้ำแข็ง  แต่แววตากลับลุกโชนราวกับมีเปลวเพลิงเต้นระริกอยู่ในนั้น

ยังไม่ทันที่ใครจะได้ถามว่าเสื้อสูทของเขาไปเปื้อนอะไรมา  วายะก็เดินเข้าเรือนใหญ่ไป

โทโมกิที่นั่งอยู่บนกรอบหน้าต่างได้ยินเสียงประตูห้องเลื่อนเปิด  เขารู้ว่าเป็นวายะที่เอากระเป๋ากีฬามาให้  แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ...เพียงแต่วันนี้ไม่มีเสียงโยนกระเป๋าโครมครามเหมือนเคย  และประตูนั้นก็ปิดลงอย่างเงียบเชียบ  ด้วยความเอะใจ  เด็กหนุ่มจึงหันไปมอง  แล้วก็ถูกกระชากตัวลงมาจากกรอบหน้าต่างอย่างแรง

“โอ๊ย!!”  โทโมกิร้องด้วยไม่ทันตั้งตัวจึงร่วงลงพื้นมาทั้งอย่างนั้น  มือแกร่งบีบต้นแขนของเขาไว้แน่นจนต้องนิ่วหน้า  “เจ็บนะ!  ทำบ้าอะไร...”

ถามยังไม่ทันจบประโยค  ฝ่ามือใหญ่ก็ตบฉาดเข้าให้ที่แก้มขวาจนหน้าหัน

โทโมกิงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปชั่วขณะจิต  แต่ก่อนที่จะนึกอะไรได้  หลังมือก็สะบัดกลับมาตบที่แก้มซ้ายอีกครั้งด้วยกำลังแรงขนาดว่าถ้าไม่ถูกยึดต้นแขนไว้แล้วจะต้องถลาไปตามแรงนั้นแน่

“อึ๊...”  ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง  เขาพยายามตั้งสติแล้วดึงตัวออกห่าง  แต่มือที่กำรวบแขนของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย  แล้วดึงให้เขาลุกขึ้นยืน

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
Re: All I want 18 (หน้า17) 6/04/55
«ตอบ #508 เมื่อ13-04-2012 21:52:44 »

“คราวนี้มันมากไปแล้วนะ  โทโมะ”

น้ำเสียงนิ่งเย็นที่มักจะเคยได้ยินเสมอตอนที่วายะโกรธจัดกลับมาให้ได้ยินอีกครั้ง  โทโมกิเบิกตากว้าง  แล้วก็ถูกจิกผมดึงให้เงยหน้าขึ้น

“ฉันไม่เคย...สอนแก...ให้เป็นคนแบบนี้...ไม่เคยสอน...ให้ทำแบบนี้กับใคร”  วายะพูดพร้อมกับประเคนฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มตามจังหวะการพูด

โทโมกิรู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้ายอย่างกะทันหัน  วายะทำร้ายเขา...ในเรือนใหญ่ของบ้านโอโนเสะนี่นะ!?

“แกกล้าดียังไง  ถึงได้เหยียดหยามคนอื่นแบบนี้ได้!  แกมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้กับฉัน!  ฉันไม่เคยสอนแกให้ดูถูกใครแบบนี้!  แล้วแกกล้าดียังไง!!”

รสสัมผัสของความรุนแรงที่ไม่เคยได้รับมานาน  ทำให้โทโมกิจดจำได้ถึงความหวาดกลัวที่มีต่อผู้ชายคนนี้  และครั้งนี้มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น  วายะทุบตีเขาไม่นับและไม่เลือกว่าจะหวดลงไปโดนตรงไหนบ้าง  เจ็บไปหมดทั้งตัว  คราวนี้วายะไม่ออมมือเลย...แล้วอีกเดี๋ยวคงจะฆ่าเขาให้ตาย

ตาย...?  ไม่เอา...เขายังไม่อยากตาย...

“ชะ...ช่วยด้วย  ช่วยด้วย!!”  โทโมกิตะโกนออกมาสุดเสียง  แล้วก็ถูกวายะตบสุดแรงจนถลาล้มไปกระแทกเสาห้อง

วายะเดินเข้าไปกระชากคอเชิ้ตของเด็กหนุ่มดึงขึ้น  เสียงร้องของโทโมกิเรียกให้คนทั้งบ้านมุ่งหน้ามาที่นี่

“ฉันไม่เคยสอนแกให้ทำแบบนี้  ไม่เคย!  อย่าทำแบบนี้กับใครอีก!  ไม่ใช่ว่าแกมีท่านประธานคุ้มหัวอยู่แล้วแกจะดูถูกใครได้หรอกนะ  จำไว้ด้วย!  เข้าใจมั้ย  โทโมะ!”

เสียงตะคอกของวายะแว่วผ่านเข้ามาในจิตใต้สำนึก  ภาพของชายที่อยู่ตรงหน้าพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาแห่งความกลัว...ใช่...ไม่ว่าจะเกลียดหรือกลัวสักแค่ไหน  เขาก็ไม่เคยมีอำนาจเหนือวายะเลย  ที่แล้วมาที่เขากล้าทำลงไปแบบนั้นก็เพราะวายะยอมลงให้เขามาตลอด...เขาไม่เคยมีอะไรเลย

เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ

“ขะ...ขอโทษ...ขอโทษ...ชุน...”

เสียงนั้นกระซิบเหมือนเพ้อ  และนั่นทำให้วายะรู้สึกตัว  เสียงฝีเท้าข้างนอกนั้นไม่ได้ทำให้เขาตกใจมากไปกว่าสภาพของโทโมกิที่ค่อย ๆ รูดลงไปนอนกับพื้นเมื่อเขาปล่อยมือ

“...โทโมะ...”

วายะรีบขยับจะรวบร่างนั้นขึ้นมา  แต่ก็ถูกกระชากตัวออกห่างจากโทโมกิ

“วายะ!  แกทำอะไรคุณหนู!?  แกทำบ้าอะไรเนี่ย!?”

เสียงตะโกนสับสนวุ่นวาย  แต่ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรออกไป  เขาแทบไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ  กำปั้นแข็ง ๆ กระหน่ำลงบนร่างของเขาในขณะที่ถูกลากออกห่างจากโทโมกิไปทุกที  วายะไม่ได้ขัดขืนหรือป้องกันตัว...มันสมควรแล้วกับสิ่งที่เขาทำลงไป  ทั้งที่สาบานกับตัวเองแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก...มันสมควรแล้ว...

...

วายะนั่งนิ่งอยู่ในคุกใต้ดินของบ้านโอโนเสะในเสื้อผ้าชุดเดิมที่มีรอยคราบเลือดของตัวเองเปรอะเปื้อนอยู่  แววตาทอดมองไปยังผนังเหม่อซึม  เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าอยู่ในนี้มากี่ชั่วโมงแล้ว  รู้แค่ว่าสุดท้ายโอโนเสะจะมาพบเขาเพื่อพิพากษาโทษ

...และคงไม่พ้นโทษตาย...

เสียงฝีเท้าลอยมากระทบหู  แต่วายะไม่ได้ขยับตัว  กระทั่งเสียงนั้นมาหยุดลงตรงหน้าประตู

“ลองตัดหูสักข้างหรือตัดนิ้วสักนิ้วดีมั้ย  วายะ?”  น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น

วายะไม่สนใจคำถามนั้น  แต่ถามกลับไป  “โทโมะ...เป็นอะไรมากมั้ย?”

“จะเหลือเรอะ”  เสียงของโอโนเสะฟังดูหงุดหงิด  “แต่ให้หมอจัดการแล้ว  ปลอดภัยแล้วละ”

“งั้นก็ดี...”

“ดีบ้าอะไร!  พวกแกนี่มัน...ให้ตายสิ  ฉันคิดผิดใช่มั้ยที่ยอมเปิดโอกาสให้แกแก้ตัวน่ะ!”  โอโนเสะตะโกนแล้วก็เดินไปลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าประตู  “ไหน  บอกมาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น!?”

“เรื่องงี่เง่าน่ะ...”  คิดดูแล้วมันงี่เง่าจนไม่น่าจะรับได้เสียด้วยซ้ำ

“จะงี่เง่าแค่ไหนก็เล่ามา  ฉันจะได้รู้ว่าฉันควรจะฆ่าแกให้ตายอย่างทรมานแค่ไหนดี”

ฟังจากน้ำเสียงแล้ว  วายะรู้ดีว่าโอโนเสะกำลังโกรธมาก  เขาเคยได้ยินโอโนเสะพูดแบบนี้เพียงครั้งเดียวเมื่อตอนที่เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับคิริฮาระเมื่อหลายปีก่อน...ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบัง  วายะจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้โอโนเสะฟังทั้งหมด

หลังจากฟังจบแล้ว  โอโนเสะก็นิ่งเงียบไปเป็นครู่

“...งี่เง่า  แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะงี่เง่า...”

วายะหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของผู้เป็นนาย

“แกผิด  แต่โทโมกิผิดมากกว่า...ให้ตายสิ  ฆ่าทิ้งเสียทั้งคู่ดีมั้ย”  โอโนเสะขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด

“โทโมะไม่ได้ผิดขนาดจะต้องเจ็บหนักแบบนั้นหรอก”

“อ้อ  มาสำนึกได้เอาตอนนี้เรอะ  ช้าไปมั้ง”  น้ำเสียงนั้นช่างประชดประชัน

วายะเพียงแต่แค่นยิ้ม  “มันโดนใจดำพอดีน่ะ...ถ้าอะไรที่ผมจะยอมไม่ได้จริง ๆ...ก็เรื่องโดนดูถูกนี่แหละ”

“แล้วไอ้ที่ผ่านมาแกไม่เคยโดนดูถูกหรือไง  ที่ฉันจับขังไปคราวก่อนนี่เป็นเรื่องสนุกสินะ”

“ท่านประธาน...มันไม่เหมือนกัน  ถ้าโดนดูถูกเพราะทำความผิดที่สมควรจะโดน  ผมไม่ว่าอะไรหรอก  แต่ที่โทโมะทำมันอีกเรื่อง  ถ้าเด็กตัวแค่นั้นกล้าที่จะทำอะไรแบบนั้น  พอโตขึ้นแล้วมันจะเป็นยังไง”

“แต่แกก็ไปฝึกจิตไปบำบัดมาแล้วตั้งเยอะ  ทำไมถึงได้จิตหลุดแบบนั้นได้”  สิ่งที่วายะทำลงไปมันไม่ใช่ลักษณะของบอดี้การ์ดมืออาชีพแม้แต่น้อย  คนพวกนั้นจะต้องฝึกความอดทนกับความกดดันและการรับมือคุณหนูที่เอาแต่ใจขนาดหนักมาแล้วทั้งสิ้น  จริงอยู่ว่าวายะไม่ใช่บอดี้การ์ดมืออาชีพที่ผ่านการฝึกมาหลายปีก็เถอะ

“นี่ผมทนมาครึ่งค่อนปีแล้วนะครับ  ท่านประธาน...คุณไม่รู้หรอกว่าไอ้ลูกชายคนเล็กของคุณมันแสบแค่ไหน  เป็นปกติละก็ผมเฆี่ยนตายไปนานแล้ว”  ...เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกไม่มีผิด...ประโยคสุดท้ายนั้นเก็บงำไว้ในใจ  ตั้งแต่ตอนที่โทโมกิเริ่มออกฤทธิ์กับเขานั้น  เวลาได้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว  และตอนนี้โทโมกิเองก็กำลังจะขึ้นมัธยมปลายปีสองแล้วด้วย

ที่วายะว่ามามันก็จริง  รายงานการฝึกของวายะนั้นออกมาดีมากทีเดียว  ถ้าโทโมกิไม่ไปจี้จุดอ่อนเข้าก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก

“แล้วที่แกเป็นโฮสต์  ไม่มีใครดูถูกแกว่าเป็นผู้ชายขายตัวหรือไง?”

“ไม่มีใครมาพูดใส่หน้าผมแบบนั้นนี่”  ถ้าจะมี...ก็โทโมกินี่แหละ...

โอโนเสะมองหน้าอดีตโฮสต์หนุ่ม  “วายะ...ทำไมคนอย่างแกถึงจะโดนดูถูกไม่ได้?”

“ไม่ใช่ไม่ได้  แต่มันต้องให้ถูกเรื่อง...ผมโดนคนดูถูกโดยที่ผมไม่ผิดมาเยอะแล้ว  ผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นอีกแล้ว”  พูดถึงตรงนี้แล้วดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกายวาบขึ้นมา

“เพราะเรื่องชาติกำเนิดของแกใช่มั้ย?”

“หมอปากหมานั่นเล่าให้ฟังเหรอ?”  คำพูดนั้นหมายถึงมาซาฮิเดะ  ที่มีนัดบำบัดกันเมื่อไรเป็นต้องได้ทะเลาะกันทุกที

“เล่าบางเรื่อง  ยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกเยอะ  อยากเล่าให้ฟังมั้ยล่ะ?”

วายะกรอกตาอย่างลังเลนิดหนึ่ง  ก่อนจะพูดขึ้น  “ก็ดี  เล่าไว้เป็นตำนานก่อนตาย...ว่าแต่ท่านประธานได้ฟังถึงไหนล่ะ  เรื่องผมไม่มีพ่อ  เรื่องที่ผมเป็นอันธพาล  หรือเรื่องที่ผมก่อคดีไว้ที่บ้านเกิด”

“ได้ฟังหมดแล้วทุกเรื่อง  แต่ไม่ลงรายละเอียด...เล่าให้ฟังแบบละเอียด ๆ ได้มั้ย?”

“...ก็ได้”

แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาจากปากของชายหนุ่มเช่นเดียวกับตอนที่เล่าให้หมอมาซาฮิเดะฟัง  ต่างกันแค่เพียงครั้งนี้เขาเล่าด้วยความสุขุมเยือกเย็นไม่ได้เต็มไปด้วยอารมณ์และความสับสนเท่าครั้งก่อน  ซึ่งหลายเรื่องหลายตอนก็ทำให้คนฟังแทบจะลืมหายใจ


“...วายะ”  โอโนเสะเอ่ยขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวของวายะจบไปสักครู่หนึ่ง

“ครับ?”

“ตอนนี้แกคิดยังไงกับโทโมกิ?”

“เหมือนเดิม  ยังอยากได้มาเป็นของตัวเองเหมือนเดิม”

“แล้วรันจังที่บ้านเกิดล่ะ?”

วายะนิ่งอึ้งไปเป็นครู่

“โทโมกิไม่ใช่ตัวแทนของรันจังของแกหรอกนะ”

“...ผมรู้  นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”

โอโนเสะถอนใจแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวคิ้ว  มีแต่เรื่องวุ่นวายมาให้แก้ไม่หยุดหย่อน

“กลับไปเคลียร์ตัวเองมาซะ”

“เอ๊ะ?”

“กลับบ้านไปเคลียร์ความรู้สึกของแกซะ  ถ้ายังเคลียร์ไม่ได้ไม่ต้องกลับมา  เลือกเอาว่าแกจะเอารันจังหรือโทโมกิ  ถ้าเลือกรันจังก็ไม่ต้องกลับมา  ถ้าเลือกโทโมกิ...ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง”

“ก็ผมบอกไปแล้วไงว่ากับรันจังน่ะมันไม่...”  วายะเถียง  แต่ไม่ทันได้จบประโยคก็โดนดักคอขึ้นมาก่อน

“ขนาดไม่มีหวังแกยังยึดติดกับเขาขนาดนั้น  แกอยากได้เขาพอ ๆ กับที่แกอยากได้โทโมกินั่นแหละ  แบบนี้แล้วคิดจะจับปลาสองมือหรือไง  แกยังหวังอยู่  วายะ...แกยังหวังว่าสักวันรันจังจะเป็นของแก  แต่ในขณะเดียวกันอีกใจที่บอกว่าไม่มีหวังแล้วก็คิดจะยึดโทโมกิเอาไว้...ถ้าเป็นแบบนี้ฉันยอมรับไม่ได้หรอกนะ”

ยอมรับงั้นหรือ...โอโนเสะคิดจะยอมรับคนอย่างเขางั้นหรือ...

“...งั้นเหรอ  จะกลับไปก็ได้สินะ...”  วายะก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง...มือนี้...ที่เคยทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

“ตอนนี้แกไม่อยู่สักพักน่าจะดีกว่า  โทโมกิต้องการเวลาพักฟื้น”

“แล้วตอนที่ผมกลับมา...”

“ถ้าแกจะกลับมา  แกต้องคิดแล้วว่าแกควรจะทำตัวยังไงกับโทโมกิ  จะทำยังไงให้เขายอมรับแก...นี่มันเรื่องของแกทั้งนั้น  ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก”  โอโนเสะลุกจากเก้าอี้  การสนทนาจบลงแล้ว

“เดี๋ยว...แล้ว...จะให้ผมกลับไปแบบนี้เลยจริง ๆ เหรอ?”

โอโนเสะชะงักเท้าแล้วหันกลับมาพูดกับวายะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ความผิดที่แกมาทำร้ายลูกชายฉัน  แกต้องจ่ายแพงชนิดนึกเสียใจไปจนตายเลยละ  วายะ”

...

หลังจากวันที่พลั้งมือทำร้ายโทโมกิไปคือนรก  วายะต้องจ่ายค่าชดใช้ราคาแพงอย่างที่โอโนเสะบอกไว้จริง ๆ  บางครั้งชายหนุ่มก็ยังนึกแปลกใจที่ตัวเองยังทนมาได้จนถึงตอนนี้...ตอนที่ปลายมีดกรีดลงบนผิวหนังที่แผ่นอก  เพื่อจะลอกมันออกอย่างที่เขาเคยทำกับโทโมกิ!

เขาคิดว่าวันที่ผ่าน ๆ มาคือที่สุดแล้ว...แต่สิ่งที่ได้รับในวันถัด ๆ มายิ่งเลวร้ายยิ่งกว่า

วายะถูกนำตัวออกจากคุกใต้ดินไปยังลานหน้าหมู่เรือนเล็กอันเป็นที่พักของคนที่ทำงานให้ตระกูลโอโนเสะ  ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาแค้นเคืองและอยากจะฆ่าเขามาจากรอบด้าน...ก็ไม่แปลก  ในเมื่อเขาเป็นคนลงมือทำร้ายคุณหนูเล็กของตระกูลนี่นะ  ไม่เคยมีใครกล้าทำเรื่องร้ายแรงแบบนี้ในบ้านมาก่อนเลยตลอดประวัติยาวนานของตระกูล

ข้อมือที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกุญแจมือถูกโยงยึดไว้กับสายโซ่ที่พันอยู่กับบาร์เหล็กที่ปกติเอาไว้ใช้ออกกำลังกาย  เสื้อเชิ้ตตัวบางท่ามกลางอากาศเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิบอกชัดว่าต่อจากนี้ไปคือการลงโทษ  บนลานนั้นมีคนห้อมล้อมอยู่เต็ม  ทุกคนมาเพื่อดูการลงทัณฑ์เจ้านักโทษอุกฉกรรจ์คนนี้

ดาบไม้คืออุปกรณ์ในการลงโทษ  วายะถูกเฆี่ยนตีไม่นับจนแตกยับไปทั้งหลัง  เลือดไหลซึมอาบเสื้อที่สวมอยู่จนแดงฉาน  บทลงทัณฑ์อันรุนแรงทำให้ผู้ที่เฝ้าดูอยู่หลายคนถึงกับทำหน้าสยองพร้อมกับระแวงว่าวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้าอาจจะได้ยินเสียงกระดูกของชายหนุ่มแตกก็ได้  แต่ผู้ทำการลงทัณฑ์คือมืออาชีพ  ทุกดาบที่กระหน่ำลงไปล้วนแต่โดนจุดไม่อันตรายทั้งสิ้น
แต่ในขณะที่คนดูรู้สึกสยดสยองพร้อมทั้งซึมซับเข้าไปในสมองว่านี่คือโทษสำหรับการแตะต้องคนในตระกูลโอโนเสะ  หากนักโทษไม่ปริปากร้องแม้แต่น้อย  ไม่มีคำอุทธรณ์ขอให้ลดหย่อนโทษให้  ไม่มีคำร้องขอชีวิต...กระทั่งสติหลุดออกจากร่างไปด้วยไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป

บาดแผลบนแผ่นหลังของร่างไร้สติของวายะได้รับการปฐมพยาบาลเพียงคร่าว ๆ และนำตัวเขากลับเข้าคุกใต้ดินไป  เพื่อที่จะตื่นมาพบกับวันต่อมาที่โหดร้ายยิ่งกว่า

ถอดเล็บ...คือสิ่งที่เคยเห็นและเคยได้ยินจากในหนังสือหรือภาพยนตร์เท่านั้น  หลายคนที่อยู่ ณ ลานหน้าเรือนเล็กนั้นไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมันเกิดขึ้นจริง ๆ เสียด้วยซ้ำ  แม้แต่วายะที่ถูกพันธนาการไว้บนอุปกรณ์ที่ล็อกแขนและขาของเขาไว้ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองเสียด้วยซ้ำ...แม้จะทำใจมาแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นการลงทัณฑ์แบบไหนก็จะยอมรับไว้ก็ตาม

นิ้วแรก  ชายหนุ่มกระตุกเฮือกสุดตัวและกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้จนเลือดไหลอาบ  มันเจ็บ...เจ็บยิ่งกว่าที่เคยเจ็บมาทั้งชีวิต  ตอนที่พลาดพลั้งถูกมีดของคู่อริแทงเข้าที่แขนยังไม่เจ็บเท่านี้เลย...ความเจ็บปวดที่ส่วนหนึ่งของร่างกายถูกกระชากออกไปสด ๆ แบบนี้  ถ้าจะมีอะไรเทียบเคียงได้...ก็คงเป็นความรู้สึกที่ถูกพรากโทโมกิไปเมื่อตอนนั้นกระมัง

เคนเดินเข้ามาตบหลังชายหนุ่มที่ฟุบสั่นระริกอยู่กับโต๊ะที่ตรึงมือของเขาไว้

“ร้องออกมาเถอะวะ  ไอ้ของแบบนี้...ไม่ว่าใครเขาก็ร้องกันทั้งนั้นแหละ  กลั้นไว้ก็ขาดใจตายเปล่าเท่านั้น  ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มหรอก  ฉันก็ร้องมาแล้ว”

วายะไม่มีอารมณ์มาขำกับคำปลอบติดตลกนั้น  แต่อย่างน้อยมันก็เป็นคำแนะนำที่ดี

การถูกถอดเล็บมันทรมานตรงที่มีเวลาหยุดพักให้ความเจ็บปวดบรรเทาลง  ดังนั้นแม้อยากจะหมดสติเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดก็ทำไม่ได้  ชายหนุ่มยังรู้ตัวเต็มที่เมื่อเล็บเท้าเล็บสุดท้ายถูกกระชากออกไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของตน
สภาพของวายะทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรกัน  แม้จะรู้ว่าสาสมกันดีแล้วกับความผิดที่เขาก่อขึ้น  แต่แค่คิดถึงความทรมานที่เกิดขึ้นนั้น  ก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้

ตอนที่ทำแผลและฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์  มือและเท้าของวายะชาดิกจนแทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว  และจากนี้มันจะเจ็บไปอีกนานจนกว่าเล็บจะงอกออกมาใหม่  ผ้าพันแผลที่พันไว้ให้บาง ๆ ไม่เป็นอุปสรรคกับการเคลื่อนไหวมากนัก  แต่ความเจ็บปวดต่างหากที่ขัดขวางเอาไว้  วายะถูกนำตัวกลับไปที่คุกใต้ดินและผ่านค่ำคืนนั้นมาโดยปราศจากยาระงับความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น

และตอนนี้...โอโนเสะจ้างหมอมาถลกหนังวายะให้เป็นรอยแผลเป็นแบบที่เขาเคยทำกับโทโมกิมาก่อน  หากไม่ใช่ที่แผ่นหลัง  แต่เป็นที่หน้าอก

“ทุกครั้งที่ส่องกระจก  แกจะจำได้ถึงความผิดที่แกเคยก่อขึ้น”  โอโนเสะบอกกับเขาอย่างนั้นก่อนที่จะส่งตัวเขาที่บอบช้ำจากการถูกเฆี่ยนและถูกถอดเล็บให้กับหมอ  “แต่ไม่ต้องห่วงนะ...แกต้องชอบสิ่งที่ฉันจะสลักไว้ให้แกแน่”

“โทโมกิ”  คือคำที่ถูกเขียนลงบนแผ่นอกด้านซ้ายของเขา  วายะไม่นึกแปลกใจ...เพราะนามนั้นคือทั้งหมดแห่งความผิด...อย่างน้อยก็ที่เขาก่อขึ้นต่อหน้าโอโนเสะ  และจากนี้ไปมันจะอยู่เตือนความจำเขาไปจนตาย

...แล้วเจ้าของชื่อนี้ล่ะ...จะอยู่กับเขาไปจนตายเหมือนบาดแผลนี้ไหม...

ทั้งร่างถูกพันธนาการไว้กับเตียงเพื่อไม่ให้ดิ้น  ขลุมปากถูกสวมเพื่อป้องกันเสียงร้องอันจะทำให้หมอเสียสมาธิได้  การถลกหนังโดยไม่ใช้ยาสลบหรือยาชาใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น  ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทานทนได้ด้วยจิตใจของตนเอง  วายะไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดและหมดสติไปหลายครั้ง  แต่ทุกครั้งก็จะถูกน้ำเย็นจัดสาดเข้าที่ใบหน้าเรียกให้ตื่นมารับรู้ความทรมานนั้นต่อไป

กระทั่งมันจบสิ้นลง...โอโนเสะเข้ามาตรวจดูผลงานของหมอแล้วเอ่ยชมว่าขอบบาดแผลนั้นคมกริบและสวยงามทีเดียว

ก็ดี...แผลสวย ๆ เวลาใครเห็นจะได้ไม่ต้องอายเขา...


วายะได้พักฟื้นเพียงสองสามวันก็ถูกไล่กลับบ้านเกิด  ตามสัญญาที่โอโนเสะให้ไว้  เขายังคงมีไข้สูงและเคลื่อนไหวไม่ถนัดจากการบาดเจ็บ  แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง  ชายหนุ่มรับเงินค่าเดินทางและขอพบโทโมกิอีกสักครั้ง

“โทโมกิยังช็อคไม่หาย  ตอนนี้หมอยังให้ยาระงับประสาทอยู่  ไม่รู้ว่าได้สติสมบูรณ์แค่ไหนนะ”  โอโนเสะบอก

“แค่เห็นหน้าก็พอ”  วายะบอก  แล้วก็ได้รับอนุญาต

ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนฟูกดูเล็กเหลือเกิน  อย่างกับจะจมหายไปในผ้านวมนุ่มอย่างนั้นแหละ  วายะค่อย ๆ เข้าไปนั่งใกล้ ๆ  ยาคงจะยังออกฤทธิ์อยู่  โทโมกิถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยทั้งที่เขาอยู่ข้าง ๆ แบบนี้...เด็กตัวเล็กแค่นี้เอง  โทโมกิตัวเล็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกันเยอะ  หมอบอกว่าอาจเพราะยากล่อมประสาทที่เขาบังคับให้กินเข้าไปทำให้ฮอร์โมนด้านการเจริญเติบโตของเด็กหนุ่มผิดปกติ...แต่ทั้งที่โทโมกิตัวเล็กแค่นี้  เขายังลงไม้ลงมือได้เต็มแรง...เขามันบ้า!

วายะค่อย ๆ สอดมือเข้าไปใต้ร่างเล็กนั้นอย่างเงอะงะ  ปลายนิ้วที่เจ็บปวดทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ถนัด  แต่กระนั้นเขาก็ยังโอบร่างเล็กขึ้นมากอดไว้แนบอกจนได้

ดวงตาสีดำสนิทปรอยปรือขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นและเสียงต่ำ ๆ เนิบช้าเป็นจังหวะที่คุ้นเคย  กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำหอมปะปนด้วยกลิ่นบุหรี่แบบนี้...ไม่มีใครอื่น...

“...ชุน...”

นี่คงจะเป็นความฝัน  ชุนไม่มีวันโอบกอดเขาไว้อย่างนี้อีกได้หรอก  คืนวันเช่นนั้นไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว...ดังนั้น  นี่จึงเป็นความฝัน...โทโมกิบอกกับตัวเองแล้วเบียดกายเข้าหาไออุ่นนั้น...แค่ฝันก็ยังดี  เขาอยากได้สัมผัสความอบอุ่นของชุนอีกสักครั้ง

“ขอโทษนะ  โทโมะ”

สัมผัสนุ่มนวลบางอย่างแนบลงที่หน้าผาก  แล้วร่างของเขาก็ถูกวางลงกับฟูกอีกครั้ง  พร้อมกับกลิ่นอายที่ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป  โทโมกิอยากจะคว้ามือนั้นไว้แต่ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง

...อย่าเพิ่งไปไม่ได้เหรอ...อยู่กับเขาให้นานกว่านี้อีกนิด...ในความฝันที่ไร้กาลเวลานี้...

หยาดน้ำอุ่น ๆ ไหลรินจากหางตา  ริมฝีปากอิ่มขยับน้อย ๆ เอ่ยเรียกชื่อที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ

“...ชุน...”




(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ผลงานชิ้นอื่นๆครับ

Come closer
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28761.0

Daylight
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31210.0

Parallel Reality
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31255.msg1811578#msg1811578

SINLESS
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18056.0

ในค่ำคืนอันเงียบงัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17805.0

Kiss of Ice-Scream
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18472.0

Hilight & Deep shade
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17315.0

No word
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31467.0

เธอไม่อยู่แล้วหรือ...
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31791.0

Dark side Romance
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32265.0

Incubus's Dream
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29924.0

Incubus's Dream : Sweet Cake with Vodka
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30216.0

Oyasumi
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29563.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2012 22:00:46 โดย KOKURO »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: All I want 19 (หน้า17) 13/04/55
«ตอบ #509 เมื่อ13-04-2012 22:20:10 »

ฟิลขาดทังคู้

บทลงโทษโหดจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด