จวบจนอาทิตย์อัสดง ได้เวลาเลิกงานกันเสียที กุลีแต่ละคนที่ตรากตรำอาบเหงื่อต่างน้ำกันมาทั้งวันยืนเข้าแถวเรียงรายหน้าโต๊ะทำงานเถ้าแก่ฮงในออฟฟิศเปิดพัดลมเย็นฉ่ำ
การจ่ายค่าจ้างนั้นไม่ได้คิดเป็นรายวัน แต่จะจ่ายตามจำนวนที่แต่ละคนแบกได้ ลูกชายกำนันในสภาพเหงื่อโซมเต็มตัว ผิวที่คล้ำลงเพราะตากแดดจัดทั้งวันจนเป็นสีน้ำตาลเข้มยื่นบัตรหมายเลขหนึ่งให้เถ้าแก่ที่กำลังดีดลูกคิดง่วน
ปกติจ้อยไม่เคยยุ่งกับรายได้ของพี่เลย ยกเว้นวันนี้.. หนุ่มน้อยเข้ามาดูการจ่ายค่าจ้างกับเขาด้วยอีกคน
ชายจีนวัยกลางคนร่างอ้วนนับไม้ติ้วหมายเลขหนึ่งที่สิงห์ยื่นให้หน้าระวางเรือ ก่อนขานเสียงดัง “๘๒ อัน!”
จ้อยขมวดคิ้วครุ่นคิด..
มืออูมอันประดับด้วยแหวนหยกเม็ดโตดีดลูกคิดป๊อกแป๊ก “ไอ้สิงห์ นี่ค่าแรงของลื้อวันนี้”
ธนบัตรยับย่นและสตางค์เหรียญถูกยื่นมาให้ นักเลงตกยากรับมาโดยไม่นับสักนิด ไม่ลืมพนมมือไหว้ขอบคุณ สิงห์เดินมาหาน้อง ยิ้มฟันขาวตัดกับผิวเกรียมไหม้ หลังไหล่ล่ำสันยังเกลื่อนร่องรอยตรากตรำ จูงมือเล็กหมายจะกลับกระท่อมไปพักผ่อนเสียที
แต่จ้อยรั้งพี่เอาไว้ หัวคิ้วยังมุ่นไม่คลายยามแบมือขอเงินจากพี่ไปนับ เล่นเอาสิงห์ยืนบื้อ ร้อยวันพันปีจ้อยไม่เคยอยากรู้เรื่องเงินทองของเขา
มือขาวนับเงินไปมาหน้าตาเคร่งเครียด นับแล้วนับอีกจนแน่ใจ!
“หมายเลขสอง ไอ้ทิดปลั่ง วันนี้ลื้อได้..”
“เดี๋ยวก่อนเถ้าแก่!” เสียงเล็กขัดจังหวะ ทุกคนชะงักกึก มองนักเรียนครูหนุ่มน้อยที่เดินเข้ามากลางวงเป็นตาเดียว ใบหน้าอ่อนใส หากดวงตาแน่วแน่ สิงห์มองน้องอย่างตะลึงไป เพราะสีหน้าจ้อยผิดไปจากที่เคยเป็น
“ผมมาขอลูกสาวเถ้าแก่นับไม้ติ้วเบอร์หนึ่งเมื่อเช้า” จ้อยว่าเสียงเรียบ “มีทั้งหมด ๑๐๐ แท่ง”
มือเล็กคว้ากระบอกไม้ติ้ว “ถ้าวันนี้พี่สิงห์แบกข้าวสารได้ ๘๒ รอบอย่างเถ้าแก่ว่า ไม้ติ้วเบอร์หนึ่งในนี้ต้องเหลือเท่าไรครับ” ไอ้พี่สิงห์พยายามนับเงอะงะ นับนิ้วทั้งสิบไปมา แทบจะงัดนิ้วตีนมานับด้วยรอมร่อ จนจ้อยถอนใจพรืดอย่างอ่อนใจ “๑๘ แท่ง”
นักเรียนครูเทไม้ติ้วออกมานับต่อหน้าทุกคน “แต่นี่นับยังไงก็ได้ ๑๑ แท่ง” ดวงตาวาวใสหันไปคาดคั้นเจ้าของโรงสี “มันหายไปไหน ๗ แท่งครับเถ้าแก่”
ทุกคนมองเถ้าแก่เป็นตาเดียว
“ส่วนมัดนี้ เป็นไม้ติ้วที่พี่สิงห์ส่งให้เถ้าแก่ที่ระวางเรือ เถ้าแก่บอกว่า ๘๒ แท่ง” จ้อยชูมัดที่วางอยู่บนโต๊ะ “รวมกับไม้ติ้วที่เหลือบนโต๊ะเสมียน ๑๑ แท่ง ถึงไม่เท่ากับร้อยแท่งละครับ เถ้าแก่ตอบผมหน่อย ไม้ติ้วหายไปไหน ๗ แท่ง”
“อ่า..” ชายจีนร่างอ้วนอึกอัก เหงื่อตกหัวล้านมันแผล่บ
“ผมนั่งดูพี่สิงห์ทำงานทั้งวัน ผมนับรอบที่พี่เขาแบกกระสอบได้ ๘๙ รอบนะครับ” สิ้นสุดคำเฉลย ไอ้สิงห์ตบโต๊ะเถ้าแก่ดังเปรี้ยง!
“ไอ้ฮง!” เสียงห้าวดังกัมปนาท เล่นเอาคนฉ้อฉลสะดุ้งโหยง
“ยังไม่หมดนะ” จ้อยถอนใจ “เถ้าแก่บอกพี่สิงห์แบกได้ ๘๒ รอบ รอบละ ๒๐ สตางค์ ค่าแรงต้องเป็นเท่าไร”
อีกครั้งที่สิงห์นับเงอะงะ “๑,๖๔๐สตางค์ หรือ ๑๖ บาท ๔๐ สตางค์” หากจ้อยคำนวณรวดเร็วราวกับในหัวบรรจุลูกคิด “แต่ทำไมผมนับได้ ๑๖ บาท ๒๐ สตางค์ล่ะ อีก ๒๐ สตางค์หายไปไหน”
“นี่มันหมายความว่า..” นักเลงหนุ่มเริ่มพอเห็นเค้าลาง
“เขาโกงพี่สองต่อ” จ้อยปิดประตูตีแมว “โกงไม้ติ้วไม่พอ ยังโกงค่าแรงอีก ถ้ายอมรับเงินจำนวนนี้รู้ไหมว่าวันนี้เท่ากับพี่แบกข้าวสารฟรีกี่รอบ”
เกิดความเงียบงันน่าอึดอัดขึ้นในออฟฟิศ แทบได้ยินเสียงหัวใจเถ้าแก่ฮงเต้นรัวไม่เป็นส่ำ เคล้ากับเสียงไฟพิโรธโหมในหัวใจไอ้สิงห์ดังเปรี๊ยะๆ รอเวลาระเบิดอย่างอดทน
“๘ รอบ!” จ้อยเฉลยอย่างสุดกลั้น เท่านั้นก็ระเบิดลงตูม!
“ไอ้ฮงเดี้ย!” ร่างกำยำโผนเข้าชกปากเถ้าแก่ฮงจนหงายหลังร่วงจากเก้าอี้ คนงานแตกฮือเป็นฝูงผึ้ง วุ่นวายโกลาหล
“ไอ้สิงห์!” เถ้าแก่ตะเกียกตะกายขึ้นยืน มือกุมปากที่แตกเลือดอาบ “ทำไมลื้อทำกะอั๊วะอย่างนี้!”
“ยังน้อยไปน่ะซีไอ้หมูตอน!” สิงห์ร้องออกมาอย่างโกรธเคือง ชี้หน้าอาฆาต “เอ็งไปถามกุลีทั้งโรงสีดูซิว่าคนจัญไรพรรค์นี้มันน่ายิงทิ้งเสียมากกว่าชกไหม นี่ข้าคิดว่าเอ็งเคยมีบุญคุณรับข้าไว้ ไม่งั้นพ่อจะยิงเสียให้ไส้ออกมาลากดิน”
“อย่ายิง! อย่ายิงอั๊วะ!” เถ้าแก่โดดเหย็งไปหลบหลังโต๊ะ
“บอกมาว่าเอ็งโกงคนอื่นเขากี่หนแล้ว!”
“หนเดียว หนเดียวจริงๆ ให้ตายโหงตายห่า ให้เจ้าลากคอ..” แกพนมมือไหว้ปะหลกๆ
“ไม่ต้องสาบาน! เอ็งเอาเงินคืนมาให้ข้า อยู่กะเอ็งไม่ได้เสียแล้ว กินน้ำเห็นปลิง”
เถ้าแก่ฮงรีบดึงลิ้นชัก นับเงินส่งให้งกเงิ่น
“ที่โรงสีคุณนายพูนทรัพย์ให้ค่าแรงกระสอบละสลึง มากกว่าที่นี่ตั้ง ๕ สตางค์” จ้อยประกาศ คนงานที่เหลือฮือฮา บ้างหันไปปรึกษากัน “ถึงแกจะตระหนี่ แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยคดโกงใคร”
กับไอ้สิงห์แกยังโกงได้ แล้วกับคนงานคนอื่นเล่าจะเหลืออะไร ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฝูงกุลีลุกฮือกรูกันเข้ามาหมายจะรุมสะกรัมคนคด จ้อยรีบห้ามไว้ทันใด บอกให้แจ้งตำรวจดีกว่า พยานวัตถุพยานบุคคลก็มีพร้อมหมด จำเลยดิ้นไม่หลุดแน่
ได้ยินคำว่าตำรวจ นายฮงก็กลัวหัวหด “อย่าๆๆ อั๊วะยอมเลี้ยวๆ อย่าแจ้งปอลิก!”
เถ้าแก่ฮงสิ้นสภาพ แกพนมมือเหนือหัวอ้อนวอนปะหลกๆ ไอ้ห้ามไม่ให้แจ้งความน่ะห้ามได้ แต่ห้ามไม่ให้คนงานแห่กันลาออกทั้งกระบิเห็นทีคงห้ามไม่ไหวละ รับเงินงวดสุดท้ายแล้ว ทุกคนพร้อมใจตบเท้ากันลาออก หน้าที่ขาวอยู่แล้วของเถ้าแก่ยิ่งซีดเป็นไก่ต้ม นึกถึงหายนะของโรงสีที่ไม่มีกุลีแบกข้าวสารได้ลางๆ
สุดท้ายนายฮงถึงกับขอร้องให้สิงห์อยู่ทำงานต่อ มีสิทธิพิเศษให้มากมายสารพัด กระท่อมริมคลองก็จะให้อยู่ฟรี แถมค่าแรงก็จะเพิ่มให้เป็นสองเท่าด้วยเอ้า!
สิงห์ไม่อยากกลับบ้านอยู่แล้ว เจอข้อเสนอดีๆ แบบนี้จึงปลงใจยอมทำงานต่อให้ แต่มีข้อแม้ว่าเถ้าแก่ฮงต้องห้ามโกงค่าแรงคนงานอีกเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงกับเขา แต่หมายรวมถึงกุลีทุกคน
จบสิ้นกระบวนความ สิงห์หันมองน้อง.. มอง ‘ครู’.. มอง ‘พ่อพิมพ์ของชาติ’ เจ้าตัวดียืนรอเขาอยู่หน้าประตู แสงตะวันอร่ามเรืองฉาบเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ราวทองทา ริมฝีปากเรื่อคลี่ยิ้มให้ ดวงตาเป็นประกายเฉิดฉาน
มีการยักคิ้วให้หนึ่งทีด้วย!
ร้ายนักเจ้าตัวแสบ
นักเลงหนุ่มอดยิ้มไม่ได้ สายตาที่มองจ้อย ชื่นชมและเชิดชูดั่งมองเพชรน้ำงามที่ผ่านการเจียระไนจนเป็นประกายล้อแสง เพชรไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ยังเป็นเพชร จะจมดินเปื้อนโคลนอย่างไร จะเคยถูกแม่เขาโขกสับ จะเคยถูกเขาเหยียบย่ำเพียงไหน ก็ไม่อาจลดทอนคุณค่า
เป็นยอดเมียแก้วที่ควรค่าแก่การภาคภูมิใจอย่างแท้จริง
สิงห์ก้มมองตัวเอง แล้วเขา.. สารรูปแบบนี้ สภาพทุเรศแบบนี้ คู่ควรกับน้องแล้วหรือ?
“ความรู้น้อยก็ถูกคนอื่นเขารังแกแบบนี้” จ้อยเปรยขึ้นบนแคร่หน้ากระท่อม สองคนเอนหลังมองดูฟ้าประดับดาวด้วยกัน ใต้ผ้าห่มผืนเดียว “อาจไม่ใช่รังแกด้วยกำลัง แต่เขาก็รังแกพี่ด้วยสมอง”
กองไฟที่ก่อไว้เพิ่มความอบอุ่นลุกโชน “ทีนี้จะเรียนหนังสือกับจ้อยได้หรือยัง” จ้อยหันหน้ามาถาม ดวงตาสุกใสสว่างกว่าดาวดวงใด สาดแสงกระจ่างใจอันเคยมืดบอด
ไอ้สิงห์มีคำตอบแล้ว
ความรู้คู่เปรียบด้วย กำลัง กายเฮย
สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง
ปัญญาประดุจดัง อาวุธ!********************************
ชีวิตนี้เห็นทีเลอมานจะหนีผู้ชายสองคนนี้ไม่พ้น
หนึ่งคืออาจารย์คนึง
สองคือไอ้ลอย!
ทั้งสองต่างมีผลกระทบต่อจิตใจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ใกล้คนไหนก็พาลให้อึดอัดใจไปเสียหมด อาจารย์ก็ทำให้ถวิลหาไม่รู้คลาย ที่อยากตัดก็ตัดไม่ขาดเสียที ส่วนไอ้ลอยก็น่ารำคาญไม่มีใครเทียบ
และที่หนักที่สุดคือยามที่ทั้งสองอยู่พร้อมหน้ากัน
อาจารย์คนึงก็ยังคงเป็นอาจารย์คนึง เคร่งขรึม เย็นชา ไม่พูดไม่จากระไร แต่สายตาคู่นั้นคอยสอดส่องเขาแทบไม่คลาด ส่วนไอ้ลอย.. ตรงข้ามกันทุกอย่าง เจ้าหมอนี่ปากว่ามือถึงเป็นที่สุด สายตาซอกแซกคอยแต่จะจ้องจับผิดเขากับอาจารย์ทุกฝีก้าว และที่สำคัญ อาชีพอันธพาลเห็นทีจะว่างงานจัด มันจึงมีเวลามาตอแยเขาบ่อยกว่าอาจารย์
เช่นวันนั้น.. ยายช้อยกำลังสอนหม่อมราชวงศ์หนุ่มยาเรือแต่เช้าตรู่ แกสอนเรื่องราวเกี่ยวกับเรืออยู่สองกรณี อย่างแรกเกี่ยวกับหลักการจราจรทางน้ำ “หลีกรถหลีกรา หลีกซ้าย หลีกเรือหลีกพาย หลีกขวา” ชาวบ้านใช้เรือเป็นหลักใหญ่ พายเรือในลำคลองต้องหลีกกับเรือที่พายสวนมา ถ้าไม่แอบชิดขวาไว้ไม่ถูกเขาชน ก็ไม่พ้นพายเรือชนเขาตลอดทาง
อย่างที่สอง คือการยาเรือ “ยาเรือยาแพ ยาข้างนอก ยาขันยาจอก ยาข้างใน”
การยาเรือไม่ให้รั่ว ต้องยาชันตามแนวเรือด้านนอก จึงจะปิดแนวเรือได้แน่นสนิท แรงดันของน้ำนอกลำเรือไม่สามารถซึมทะลุเข้ามาในเรือได้ เรือยายช้อยทั้งหมดเป็นฝีมือต่อเรือของสามีผู้ล่วงลับซึ่งบากไม้ตามแนวนอกเรือเป็นร่องเพื่อการยาชัน ในขณะที่แนวเรือข้างใน ไม้จะแนบชิดสนิทกัน
เลอมานใช้แปรงปาดชันเหนียวข้นยาตามแนวเรือเพลินๆ ได้ไม่นาน
“เจ้านกน้อยน่ารักร้องทักว่า ไปไหนมาหนูเล็กเด็กชายหญิง..” มันมาแล้ว ขับขานบทกลอนกวนประสาทขึ้นท่ามาหน้าตาเฉย เลอมานไม่ชอบเลย คำว่า ‘หนูเล็ก’ มันจงใจหมายถึงเขาแน่แท้
คำนี้เขาสงวนไว้ให้อาจารย์เรียกคนเดียว!
ร่างใหญ่โตนั่งลงเคียงข้าง เลอมานเหลือบตามองก็เห็นลูกตาวาววับจ้องเอาจ้องเอา ไม่เคยเห็นคนหรือ!?
“..ทั้งรูปร่างหน้าตาน่ารักจริง ข้ายิ่งดูก็ยิ่งจำเริญตา” มือหยาบถือวิสาสะลูบแก้มเขา คุณชายสะดุ้งเหมือนถูกของร้อน ปัดมือมันออกอย่างรังเกียจ ลุกพรวดพราดเดินหนีไปเตรียมอาบน้ำอาบท่าไปโรงเรียน ปล่อยให้มันอาสายาเรือลำนั้นแทนเขาไป
น่ารำคาญสุดจะทน ใครเขาขอให้มา!
แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าไม่ทันไร ร่างสูงใหญ่ในชุดข้าราชการสีกากีก็พายเรือมาเทียบท่าอีกคน มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าหม้อใบใหญ่ใส่น้ำตั้งเตาจนเดือด เทผสมกับน้ำเย็นเฉียบจนขึ้นไอในตุ่มท้ายกระท่อม
...ให้เขาอาบ...
ทีตอนนี้ละทำเป็นห่วง อาจารย์ไม่รู้หรือว่าท่าทีเย็นชาที่อาจารย์มีต่อเขาก่อนหน้านี้ บาดลึกราวมีดน้ำแข็ง เชือดหัวใจเขาแทบขาดจากขั้ว เจ็บปวดรุนแรง ทรมานเสียยิ่งกว่าอาบน้ำเย็นในฤดูหนาวเสียอีก
หรือไม่.. อาจารย์คงแค่ทำตามหน้าที่ ถึงจะตัดขาดจากสถานภาพ ‘คนรัก’ แต่ยังเหลือสถานภาพ ‘ผู้ดูแล’ เป็นบ่วงค้ำคอ พอถึงเวลาจึงมาเทียวรับเทียวส่งไม่ขาดเช่นนี้
อาจารย์มาเพราะอ้างรับส่งตามหน้าที่ เช่นนั้นเขาจะหัดพายเรือ ส่วนไอ้ลอย.. มันอ้างมาทวงหนี้ เช่นนั้นเขาจะใช้หนี้แทนจ้อยเสียให้หมดสิ้น!
ถ้าเขาพายเรือไปโรงเรียนเองได้ อาจารย์คงไม่หาข้ออ้างมาวอแววุ่นวายกับชีวิตอีก
ตกเย็น.. เลอมานไปที่เรือไม้ลำเล็กที่เพิ่งช่วยยายช้อยยาเมื่อเช้า ปลดเชือกล่ามเรือ ปีนขึ้นยืนบนเรือและใช้ไม้ถ่ออย่างที่เคยเห็น เรือหมุนเป็นวง บางครั้งไม้ถ่อติดจมในโคลน แต่สุดท้ายเขาก็พาเรือออกจากฝั่งได้ ออกไปไกลเรื่อยๆ ไกลจนไม้ถ่อไม่ถึงพื้น เลอมานเก็บไม้ถ่อแล้วใช้พายแทน เรือเริ่มหมุนเป็นวงอีก บางทีก็ไปซ้าย บางทีก็ไปขวา ไม่อาจควบคุมทิศทางได้ เขาเริ่มรู้สึกกลัว เรือแล่นไกลจากบ้านยายช้อยมากขึ้นทุกที
ตอนยายช้อยพายเรือนั้นดูง่ายดาย ครั้นพอเขาลองทำด้วยตัวเองกลับยากเย็นเข็ญใจ หน้าหนาวเช่นนี้ ความมืดโรยตัวลงอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นยะเยือก หม่อมราชวงศ์หนุ่มตะโกนเรียกยาย ขณะเดียวกันก็พยายามใช้ไม้พายจ้วงให้เรือเคลื่อนเข้าฝั่ง แต่เรือกลับหมุนเป็นวงและห่างออกไปทุกทีๆ เลอมานเพิ่งสังเกตว่าบัดนี้น้ำในเรือเพิ่มถึงระดับแข้งแล้ว ไม่มีอะไรจะตักน้ำออกจากเรือได้นอกจากใช้มือวิดทีละนิด
น่าแปลก! เรือลำนี้ยาแล้วนี่ ทำไมยังมีรูรั่ว!
“ยายครับ! ช่วยด้วย!” หนุ่มน้อยตะโกนด้วยความหวาดหวั่น สองมือล้าจากการพายเรือเป็นวงและวิดน้ำจนแทบยกไม่ขึ้น
น้ำซึมเข้าในเรือมากขึ้นทุกทีๆ เหลือเพียงคืบกว่าก็ถึงกราบเรือ หนุ่มน้อยรู้สึกถึงอันตราย ณ ขีดสุดของความกลัว เขาตะโกนเรียกคนที่เกลียดแสนเกลียด เกลียดเสียจนต้องหนีมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงเรียกเขาก็ไม่อาจรู้หัวใจตน
“อาจารย์! ช่วยเล็กด้วย!”
ที่ท่าน้ำปรากฏร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่าน จากตรงนี้ เลอมานมองหน้าใครคนนั้นไม่ถนัด บวกกับม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นกลบตา เขามองไม่ออกว่านั่นคืออาจารย์.. หรือไอ้ลอย
“อาจารย์!” คุณชายตะโกนสุดเสียง “ช่วยเล็กด้วย!”
‘ใครคนนั้น’ โจนลงน้ำตูม แหวกว่ายฝ่ากระแสน้ำเข้ามาหา เลอมานเริ่มใจชื้น หากพอเข้ามาใกล้ เริ่มเห็นชัดถนัดตา.. ไม่ใช่อาจารย์..
ไอ้ลอย!
“นะ..นายลอย ช่วยฉันด้วย” คุณชายวิงวอน ปัดความเดียดฉันท์และศักดิ์ศรีทิ้งลงกระแสน้ำอย่างสิ้นท่า ในแสงสุดท้ายยามอัสดง เขาเห็นใบหน้าชุ่มน้ำนั้นยิ้มพราย
มือใหญ่ยึดกราบด้านหนึ่ง ออกแรงกระชากจนเรือโคลง คนบนเรือใจหล่นวูบ เมื่อกี้เรือเกือบคว่ำ อีกนิดเดียวเขาก็ตกน้ำแล้ว
“นายลอย! ไม่เล่นนะ!”
มันหาได้ฟังไม่ ดวงตาดำสนิทมองมาอย่างหมายมาด ออกแรงโยกเรืออีกหนจนโคลงเคลงไปทั้งลำ น้ำทะลักเข้าทางกราบเรือ ยิ่งเขากรีดร้องเหมือนมันยิ่งสบอารมณ์ โยกโคลงเรือเหมือนเล่นตุ๊กตา
กว่าจะรู้ว่ามันเอาจริง! มือใหญ่คู่นั้นก็กดกราบเรือลงสุดกำลัง เรือที่เพียบน้ำอยู่แล้วพลิกคว่ำง่ายดายเหมือนพลิกกะลามะพร้าว เลอมานหล่นตูมลงน้ำเสียงดังสนั่น!
เขาพยายามตะเกียกตะกาย แขนขาล้าแรงตีน้ำตูมตาม จู่ๆ ก็ปวดแปลบกะทันหัน น้ำเย็นจัดทำให้เส้นเลือดหดตัวจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ทัน ตะคริวจับทันที!
เลอมานรวบรวมกำลังทะลึ่งตัวขึ้นสูดอากาศเหนือน้ำ กลับถูกมือแข็งแรงกดศีรษะลงไปใต้น้ำอีก
เด็กหนุ่มสำลัก ในหูที่อื้ออึงไปด้วยเสียงคลื่นน้ำและเสียงแขนขาตัวเองตะเกียกตะกายครืนโครม เขาได้ยินเสียงแหบห้าวอำมหิตกระซิบเลือดเย็น
“ไงไอ้ผู้ดี เข้าใจความรู้สึกคนจะจมน้ำตายหรือยัง”
โปรดติดตามตอนต่อไป___________________________________________________________________________
*วานลมจูบ, สง่า อารัมภีร คำร้อง, ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ขับร้องมาแล้วค่า หนนี้เค้ามาเร็วมั้ยๆ ไม่ถึงเดือนเลยเค้าอัพแล้วนะ เย้ๆ ถ้าเป็นไปได้เค้าจะพยายามอัพให้ถี่กว่านี้นะคะ ไม่แน่..ต่อไปอาจได้อาทิตย์ละตอนก็ได้ คิๆๆๆ
ครึ่งตอนแรกมีคนฮือฮาเรื่องจินดากันเยอะเลย หนักไปทางสับสนและพลิกล็อคกันน่าดูถล่มทลายนะคะ(ว้าย..เพลงฟ้องอายุ) ดอกไม้ขอยกที่ชี้แจงในเพจ 'จิฮิโร่และดอกไม้' มาแปะไว้ตรงนี้อีกทีละกันเน้อ เผื่อมีใครยังไม่เห็น
**ขออนุญาตชี้แจงกรณี "ลอยxจินดา" ค่ะ**
ใจจริงแล้วดอกไม้ไม่นิยมการอธิบายเนื้อหาในนิยายด้วยวิธีนี้นะคะ ส่วนตัวคิดว่านิยายที่ดีควรเขียนให้คนอ่านเข้าใจด้วยตัวนิยายเอง แต่เนื่องจากคนเขียนรู้ตัวว่าเป็นคนเขียนช้า+ไม่ค่อยมีเวลาเขียน กว่าปมนี้จะคลาย เกรงว่าจะคนอ่านค้างคาใจกันนานค่ะ เลยต้องออกมาแถลงข่าวคู่นี้นี่แล
- เพราะมีเสียงเรียกร้องจากคนอ่านให้เขียนเรื่องที่ไอ้ลอยเป็นพระเอก
- ดอกไม้เลยจะเขียน "ดอกฟ้าในมือโจร" ให้มันเป็นพระเอกสมใจ
- แต่คาแรกเตอร์ไอ้ลอยในมหาหงส์ เลวบริสุทธิ์จริงๆ เลือดเย็น ไร้หัวใจ แล้วถ้ามันเป็นพระเอก มันจะรักใครสักคนได้รึ? ่
- ไหนๆ ในมหาหงส์ ก็จงใจเขียนให้คนอ่านรู้สึกถึง "อะไรบางอย่าง" ระหว่างลอยและจินดาอยู่แล้ว
- จินดาจึงถูกยกมาพูดถึง ต่อเติมนิดหน่อย เพื่อเสริมให้ตัวละครไอ้ลอย มีมิติ มีหัวใจ เจ็บได้ รักเป็นค่ะ
- จินดารักครูคนึงนี่ แล้วทำไมได้กะไอ้ลอย งง? หรือนางควบสอง? อันนี้ไม่บอก แต่อยากให้ตามอ่านนะคะ ทุกอย่างจะเฉลยในดอกฟ้าในมือโจร
- แต่จะค่อยๆ คลายปมนี้ทีละนิดในมหาหงส์
- ทุกการกระทำของทุกตัวละคร มีเหตุผลค่ะ และทุกคำที่ดอกไม้เขียน ก็มีที่มาที่ไป และเชื่อมโยงกันเช่นกัน แต่เพราะเขียนช้าไง กว่าจะเฉลย คนอ่านลืมพอดี T^T
- จินดาไม่ใช่ "ดอกฟ้า" ดังนั้นนายเอก "ดอกฟ้าในมือโจร" ไม่ใช่จินดาค่ะ
- ดอกฟ้าในมือโจรเป็นเหตุการณ์หลังมหาหงส์ประมาณ ๕-๖ ปีค่ะ
- มีเสียงเรียกร้องให้เขียนคู่กัน อัพให้อ่านคู่กัน แต่ไม่สามารถค่ะ เนื้อเรื่องในดอกฟ้าฯ มันสปอยมหาหงส์อ่ะจ้าา
เจอกันใหม่ตอนหน้าเน้อ รักคนอ่านค่า
ดอกไม้
๖ เม.ย. ๒๕๕๘