บทที่ ๓๑
คำสารภาพของชายโฉด(ครึ่งหลังจ้า

)
ลมทุ่งพัดมารวยริน หอบเอากลิ่นมหาหงส์และดอกแก้วที่ปลูกไว้ชายน้ำโชยเข้ามาถึงในกระท่อม บานเย็นคลี่ดอกสีสดจ้าออกรับแดดอ่อนที่กำลังจะลับลาทิวเขา นกกระจิบกระจาบตลอดจนยางกรอกขยับปีกโบกโบยบินกลับรวงรัง ต้นพุทราเนื้อดีข้างกระท่อมกำลังจอแจเซ็งแซ่ด้วยสำเนียงนกกระจอกที่กำลังจะเข้ารัง กระดึงคอวัวกำลังกลับบ้านดังกังวานแว่วมาแต่ไกล กลางความเงียบสงัดของชายทุ่งยามสายัณห์
แม่เฒ่าช้อยวางมือจากกระด้งหมากที่แกเก็บเข้ามาไว้ข้างในหลังจากฝานตากแดดไว้เกือบทั้งวัน ก่อนเข้าไปในครัว ดูปลาดุกที่ปิ้งไว้จนเหลืองหอมน่ากิน เหยาะน้ำปลาทำเองซึ่งหมักจากปลาสร้อยเนื้อหวานลงถ้วยตะไลใบจิ๋ว
ห่วง ‘สมาชิกใหม่’ จะกินต้มกะทิหัวปลาช่อนแห้งกับใบมะขามที่เจ้าจ้อยมันทำไว้ไม่เป็น
“พ่อเล็ก!” แกออกไปป้องปากตะโกนหน้ากระท่อม ต้องเรียกอีกสองหน หนุ่มน้อยที่นั่งเดียวดายอยู่ที่ท่าน้ำจึงหันมา “มากินข้าวเถอะลูก”
พิลึกคนจริง ยังหนุ่มยังแน่น นั่งเงื่องหงอยมองฟ้ามองน้ำอยู่ได้เป็นนานสองนาน
มื้อเย็นผ่านไปอย่างเงียบเหงา ยายช้อยเปิบข้าวเอร็ดอร่อย ขณะที่เลอมานเอาแต่ใช้ช้อนสังกะสีเขี่ยข้าวเหม่อลอย แสงตะเกียงนวลสะท้อนความระทมหม่นไหม้ฉาบใบหน้า
กระท่อมนี้ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตะเกียงกระป๋องใส่น้ำมันมะพร้าว ไม่มีปล่องครอบ ขนาดก็ไม่ใหญ่โตนัก ไส้ตะเกียงใช้ด้ายดิบ แสงไฟวอมแวมด้วยสายลมหนาวหวีดหวิว ตะเกียงอย่างใหญ่ที่สุดของยายคือตะเกียงเจ้าพายุที่จ้อยเอาติดหัวเรือพายหายไปตั้งพักใหญ่แล้ว
พูดถึงแล้วยังต๊กกะใจไม่หาย แกกะลังตะบันหมากอยู่ดีๆ หลานรักก็พาหนุ่มน้อยหน้ามนมาถึงบ้าน กระหืดกระหอบยังก๊ะหนีใครมา หอบข้าวของมาพะเรอเกวียน ให้เหตุผลเสร็จสรรพว่าหม่อมราชวงศ์อาสาสมัครจากอังกฤษอยากศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างใกล้ชิด จึงอยากมาขออาศัยอยู่กับยายสักระยะไม่มีกำหนด ยายก็ได้แต่ปาดน้ำหมากเออออ มันก็ดีเหมือนกัน เพราะอยู่คนเดียวยายก็เหงาปาก จ้อยมันถูกคุณนายพูนทรัพย์ปล่อยตัวมาทั้งที ยายก็นึกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนยายให้ชื่นใจ ที่ไหนได้ ช่วงนี้พ่อไม่เคยอยู่ติดบ้าน ร่อนไปร่อนมายังกะแมวหง่าว ไม่รู้ไปติดสาวบ้านไหน อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน มันเอาคุณชายเล็กมาส่ง อยู่ทำต้มส้มกะทิไว้หม้อ เสร็จก็ตักโกยใส่หม้ออวย เปิดแน่บหายไปไหนแล้วไม่รู้ ไม่ไปตัวเปล่า เอาหมอนกับผ้าห่มไปด้วยสิหนอ
ระหว่างมื้อ พ่อเล็กแทบไม่พูดอะไร ถามคำตอบคำ แน่นอนยายเป็นคนถาม อร่อยไหม กินได้ไหม ยายแกะปลาให้ไหม และแน่นอน.. คำตอบที่ได้ มีแค่.. ครับ.. ครับ.. ไม่ครับ..
คนอาบน้ำร้อนมาเจ็ดสิบกว่าปีพอจะมองออกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นไข้ใจแสนสาหัส เพียงแต่ไม่ถามเท่านั้น
ลมกลางฤดูหนาวพัดแรงจัด อากาศเย็นเยือก ความมืดโรยตัวลงคลี่คลุมฟ้าอย่างรวดเร็ว หญิงชราชาวนากับหม่อมราชวงศ์บุตรชายท่านทูตนอนร่วมมุ้งเดียวกัน ยายช้อยนอนหัวค่ำจนชาชิน แต่อีกคนดูจะตรงข้าม
ในความเงียบงันอันมืดมิด หญิงชราแว่วเสียงร้องไห้ดังแผ่วมา แกนอนฟังอยู่อย่างนั้นสักพัก ถอนใจและปลดปลง สายตาที่เริ่มชินกับความมืดเห็นแผ่นหลังที่นอนตะแคงให้สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น
ยายช้อยลุกขึ้นจุดตะเกียง แสงนวลทอทั่วกระท่อมคับแคบ มือเหี่ยวย่นเอื้อมไปวางบนศีรษะราชนิกูลหนุ่มแผ่วเบา คนถูกสัมผัสยิ่งสะอื้นหนักจนตัวโยน และโดยไม่คาดคิด เลอมานซุกหน้าเข้ามานอนหนุนตักยาย กอดเอวผอมบางเอาไว้แน่นอย่างเด็กขวัญหาย
แม่เฒ่าทอดถอนใจ จะยิ่งใหญ่ยืนยงมาจากไหน พอร้องไห้แล้วก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ กันทุกคน
“สวดมนต์กันไหม” เสียงนั้นปรานีนัก มือข้างนั้นยังลูบเรือนผมนุ่มช้าๆ เลอมานรู้สึกราวกับมีหยาดหยดเย็นชื่นชโลมลงมา
หัวอกอันตรมไหม้ดั่งจะทุเลาลง “ยายมีหนังสือสวดมนต์ พระท่านให้มา หนูอ่านออกไหม”
เขาสูดจมูกฟืด พยักหน้ากับตัก มือหยาบกร้านอย่างคนกรำงานหนักมาทั้งชีวิตประคองหน้านวลเอาไว้ พลางพิศ
“เอ๊อ..ตาสวยนะเรา” ยายทำเสียงเล็กยังกะพูดกับเด็กน้อย เกลี่ยรอยน้ำตาบนแก้มให้ “แต่ชอบทำตาเศร้า คิ้วก็ดก.. แต่ชอบขมวดคิ้ว อย่างกับคนใจขุ่น” ทีนี้แกไล้หัวคิ้วอันมุ่นยุ่ง “คลายขมวดนั้นเสียลูก ใจจะได้เย็นลง”
และแล้วคืนนี้.. เสียงบทสวดชุมนุมเทวดา บทกรวดน้ำ บทแผ่เมตตาก็แว่วคลอเสียงลมหนาวจากกระท่อมน้อยริมคลอง
ที่ไหนได้ สัพเพสัตตายังไม่ทันจะจบดี ผู้อ่อนวัยกว่าก็เงียบเสียง ฟุบลงแน่นิ่งกับหมอน บทสวดมนต์ดั่งยากล่อมจิตใจชั้นเลิศ คลี่ปมหัวใจอันว้าวุ่นด้วยความง่วงงุนแทนที่ ยายช้อยอมยิ้มจาง แกจัดท่าจัดทางเจ้าหนุ่มน้อยให้นอนเหยียดสบาย โอ้โห.. ชุดนอนผ้าไหมเสียด้วย แบบที่พวกฝรั่งมันใส่กันในหนังขายยา ขัดกันเหลือเกินกับเสื่อผืนเก่าและมุ้งสีหม่น ผิวหรือก็บางนุ่มนิ่มนัก ตื่นเช้ามาจะเป็นรอยเสื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตะแกดึงผ้าผวยขึ้นห่มคลุมให้ถึงหน้าอก ตบปุๆ ลงตรงตำแหน่งหัวใจแผ่วเบาอย่างที่เคยทำยามหลานตัวน้อยทั้งสองร้องโยเยครั้งยังเป็นทารก
หม่อมราชวงศ์หนุ่มครางอือในคอแผ่วเบา แม่เฒ่าจับใจความได้แค่.. “อาจารย์..”
*****************************
ตะเพียนน้อยสองตัวที่แขวนไว้ขอบหน้าต่างกวัดไกวรุนแรงตามกระแสลมหนาว คนึงเดินไปปลดมันออกเสียด้วยเกรงว่าลมจะพัดแรงจนมันร่วงหล่นลงไป หาไม่.. เขาคงไม่มีอะไรไว้เป็นเครื่องแทนใจถึงความรักงดงามที่ครั้งหนึ่งเคยได้ครอบครองอีก
ความรักที่เกิดขึ้นแล้วจบลงอย่างง่ายดาย
ห้องน้อยที่ไม่มีเลอมานอยู่ด้วยอ้างว้างนัก ความอาดูรกลุ้มรุมเข้าจับจิตจนอาจารย์หนุ่มยากจะข่มตาหลับ หนูเล็กไปอยู่กับยายช้อย ไปอยู่กับจ้อย ให้เหตุผลแก่อาจารย์ปรีชาอย่างน่าฟังว่าอยากใกล้ชิดวิถีชีวิตชาวบ้านเสียด้วย ดีแล้ว.. เพราะยายช้อยก็เป็นคนดี จ้อยก็ไว้ใจได้ อย่างน้อยคนึงก็หมดห่วง
เขาทำถูกแล้ว.. เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว.. ชายหนุ่มพร่ำบอกหัวใจตัวเองในค่ำคืนเงียบงัน เตียงตัวเองก็มี แต่เหตุใดเขาจึงย้ายมานอนเตียงของหม่อมราชวงศ์เลอมานก็ไม่อาจรู้ได้ ดูซิกลิ่นแป้งหอมอ่อนๆ ยังติดตรึงอยู่บนหมอน เขาเพียรจูบแล้วจูบเล่า
หมอนข้างที่เลอมานเคยใช้ เขาเอามากอดก่ายเต็มสองแขน แค่นี้ครูคงฝันว่าได้กอดหนูเล็กไว้ในอ้อมอก
ป่านนี้คนดีของครูจะเป็นอย่างไรบ้าง บ้านยายช้อยมีเพียงเสื่อกับมุ้งเก่าๆ ผ้าผวยบางๆ นั่นจะคุ้มกันลมหนาวเจ้าได้ไหม
คิดถึง.. คิดถึง.. คิดถึงสุดหัวใจ อยากเห็นหน้า.. อยากได้ยินเสียงเหลือเกิน
แต่ต่อให้คิดถึงเจียนขาดใจแค่ไหน เขาจะไม่เยื้องกรายเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น จะไม่โผล่ไปให้เห็นหน้า แค่เจอกันที่โรงเรียน แค่ได้ลอบมองห่างๆ แค่ได้รู้ว่าอยู่สุขสบายดี แค่นี้คงพอหล่อเลี้ยงหัวใจอับเฉา ตัดบัวต้องอย่าเหลือใย
คนึงผ่อนลมหายใจหนักจิต หัวใจเอ๋ยจะทนทรมานได้ไหม จะแข็งแกร่งอยู่ได้สักกี่วัน
*****************************
ในกระท่อมรจนา.. เอ๊ย! กระท่อมท้ายโรงสีเถ้าแก่ฮง ครูจ้อยกำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กโค่งฟังอย่างออกรสออกชาติ
“เจอไอ้เข้!” หนุ่มน้อยประกาศชื่อเรื่อง คนฟังร้องห๊าตกตะลึง
ทีนี้ก็ถึงตอนสาธยายร่ายความ “กลางแม่น้ำนั่น ขี้หมาของมันก้อนเบ้อเริ่มเทิ่มบนหัว กางมือกางตีน แผ่หลาตัวยาวใหญ่” เจ้าตัวเล็กเล่าออกท่าออกทาง กางมือจนสุดแขน มีเสียงทุ้มห้าวอื้อหือเอ้อหาเป็นลูกคู่ “ขนหัวงี้ลุกซู่ สักพักมันจมบุ๋มลงในน้ำ จ้อยรีบจ้ำเสียแทบตาย กลัวมันจะมาหนุนท้องเรือ ถ้ากลับไปมีหวังมันยังรอกินจ้อยอยู่แน่ๆ”
เล่าไปมือน้อยก็บรรจงแต้มไพลลงหลังไหล่ล่ำสันที่เกลื่อนไปด้วยรอยช้ำจากงานหนัก บีบนวดให้ตามแนวบ่าแน่นตึง
คนที่นั่งหันหลังให้หัวเราะหึ “พี่น่ากลัวกว่าไอ้เข้อีก เอ็งไม่กลัวหรือ”
กระท่อมน้อยเกิดความเงียบงันขึ้นหนึ่งอึดใจ
พี่หารู้ไม่ ในความเงียบ น้องกำลังบรรจงก่ออิฐสร้างสะพานคอนกรีตเสริมใยเหล็กทอดไปให้ ไม่เดินข้ามมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
“ถ้ากลัวก็คงไม่มา”
ไอ้สิงห์หันขวับไปมองหน้าน้อง เห็นดวงตาลึกล้ำความหมายมองสบมาแน่วแน่ พุทโธ่เอ๋ย.. เทวดาอุ้มสมเสียละกระมัง มองเข้าไปในตาพ่อเจ้าประคุณหนไรหัวใจมันเต้นตูมตามเลือดลมแล่นซู่ยังไงพิกล ถ้าดูให้ดีก็หยั่งที่เขาว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจเห็นนัยๆ ก็แทบจะโมเมเอาได้ว่าน้องไม่ได้รังเกียจอะไรพี่เลยแม้แต่น้อย
แสงตะเกียงนวลจับแก้มงามลออตา นัยน์ตาคู่นั้นชวนให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ริมฝีปากเรื่อเผยอน้อยๆ กลิ่นแป้งหอมอวลบนเนื้อนิ่ม หัวอกแห้งแล้งของหนุ่มฉกรรจ์อดใจไม่ได้อีกต่อไป มือหยาบใหญ่เหนี่ยวร่างเล็กเข้ามาหา เขาทันเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาคู่นั้นชั่วแวบ ก่อนประทับจูบลงไปบนปากอิ่มแผ่วเบา ค่อยแตะ.. ค่อยต้อง.. ดั่งกลัวน้องเจ้าจะช้ำ
สุภาพราวแสงพระจันทร์ในคืนเมฆจับกลีบ และอ่อนโยนราวสายลมที่เคล้ากลิ่นหอมดอกไม้โชยมา
ลมหนาวเอย.. หาได้พัดมาเพียงกลิ่นดอกไม้ไม่ วูบนี้ลมมาแรงและเร็ว พัดหม้ออวยที่เหน็บไว้กะข้างฝาหล่นเคร้ง นักเลงหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ดั่งหม้ออวยเฮงซวยนั้นร่วงลงหัวกบาลหนักๆ
จู่ๆ พี่ก็ผลักน้องออกห่าง ใบหน้ารกเคราตื่นตระหนกยังกะคนเพิ่งก่อคดีอุกฉกรรจ์ ร่างสูงทะมึนผลุนผลันลงกระท่อม ยังแปลกใจว่าตัวเองดีหรือบ้า ขนาดอยู่ด้วยกันสองต่อสองในบรรยากาศอย่างนี้แล้วยังไม่ได้น้อง ถ้าหักโหมเอามีหรือเจ้าตัวเล็กจะไม่เรียบร้อยโรงเรียนไอ้สิงห์ แต่ไอ้นักเลงหนุ่มมันปักใจเอาไว้แล้ว ต่อจากนี้เรื่องหักโหมน้ำใจกันจะไม่มีอีกต่อไป!
“จะไปไหนน่ะ” คนถูกผลักไสเยี่ยมหน้ามาจากกระท่อม แสงตะเกียงสลัวส่องหน้าขาวๆ ที่ยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าว่าแต่เอ็ง ข้าเองก็สับสน!
“จะก่อไฟผิง!” พี่เสียงขุ่นใส่ ทึ้งหัวกบาลรุงรัง เดินงุ่นง่านไปคว้าดุ้นฟืนมากองๆ หน้าแคร่ จุดไม้ขีดก่อไฟแป๊บเดียวก็สว่างโชน อดีตอันธพาลไม่ได้หันไปมองน้องอีก อาศัยฟังเสียงไม้ฟากลั่นออดก็พอจะเดาได้ว่าจ้อยมันยืนมองอยู่อย่างนั้นชั่วดูดยาเส้นหนึ่งมวน
ด้วยดวงตาที่ผิดหวังสุดแสน.. ซึ่งไอ้สิงห์หารู้ไม่
ร่างสูงใหญ่ปักหลักนั่งตรองไม่ตกอยู่เช่นนั้นจนน้ำค้างลง ความทุกข์เทวษทิ่มแทงจนอกร้าวระบม
ยินเสียงไม้ฟากลั่นเอียดอาด จ้อยโผล่หน้าออกมาอีก “ไม่หนาวหรือ ขึ้นมาเถอะ”
คนใจแข็งไม่แม้แต่จะมองหน้า จ้องแต่เปลวไฟระริกเร่าราวกับจะเพ่งเตโชกสิณให้บรรลุ มือใหญ่กระชับผ้าขาวม้าห่อร่างกำยำแน่นเข้า หนาว.. หนาวฉิบหาย.. หนาวแบบนี้ถ้าได้กอดเนื้อตัวอุ่นๆ นิ่มๆ เนียนๆ สวรรค์ชั้นไหนจะลอยลงมารับกู
“เป็นอะไร” คำถามดังมาจากกระท่อม “รังเกียจอะไรกันนักหนา หรือหน่ายกันแล้ว”
หัวใจแข็งเป็นหินเกิดเต้นระรัวขึ้นมาอีก “วะ!” เขาทำดุกลบเกลื่อน “เอ็งนี่ยังไง ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง”
“ไม่ยังไงหรอก” น้องตัดพ้อเสียงเครือ “รู้แล้วล่ะ มันกรรมเวรแต่ชาติก่อนของจ้อยเอง ถูกเขากินแล้วก็เขวี้ยงทิ้ง บอกมาสักคำสิว่ารังเกียจ จะหอบผ้าหนีไปให้พ้นหน้าคืนนี้เลย”
“พี่ไม่เคยคิดยังงั้น” คนตัวโตเถียงทันควัน
“แล้วยังไงล่ะ!” เจ้าตัวเล็กขึ้นเสียงใส่ ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง สิงห์ฮึดฮัดตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกระชากคนช่างหาเรื่องมาตบกะโหลกเรียกสติสักทีดีหรือกระชากมาจูบให้รู้แล้วรู้รอดดี!
“เข้าใจแล้ว..” ไม่ทันขาดคำ น้องผลุนผลันเข้ากระท่อม เก็บข้าวของไม่ฟังเสียงใคร “ถ้าไอ้เข้ตัวนั้นมันยังอยู่ก็ปล่อยให้มันกินจ้อยไปเลย เป็นอาหารไอ้เข้เสียยังมีประโยชน์กว่ามาอยู่ขวางหูขวางตาใคร”
พี่โจนพรวดเดียวถึงตัว แขนน้อยๆ เท่าแขนลิงนี่ทำไมมันคว้ายากนัก ฮึดฮัดปัดป้องไม่พอ จ้อยมันตบเอาตีเอาตามแผงอกแลหลังไหล่ โธ่เอ๋ย.. เมื่อกี้เอ็งเพิ่งทายาให้พี่หยกๆ
“ตอนแรกรึตามเรานักตามเราหนา” น้ำตาที่คลอเอ่อทำท่าจะหยดแหมะ เก็บผ้าผ่อนผ้าผวยที่เพิ่งเอามามือเป็นระวิง ปากก็พร่ำพ้อ “ไอ้เราเกือบจะใจอ่อนแล้วกลับทิ้งกันเฉยเลย! ไอ้คนใจดำ!”
เจ้าตัวจ้อยหอบผ้าทำท่าจะลงกะได พี่โจนเข้ารวบกอดไว้ทั้งตัว มันพยศเหลือร้าย ทั้งผลักทั้งตบทั้งทุบ พี่ไม่รู้จะทำฉันใดก็กระชากร่างน้องตรึงไว้กับฝา แรงไหวสั่นกระท่อมกระเทือน เสียงภาชนะที่แขวนไว้กะฝาด้านนั้นหล่นกระทบพื้นดังเปรื่องปร่าง
กล่องเหล็กใส่ซิกาแรตใบย่อมที่เหน็บไว้กะตับจากก็พลอยร่วงลงมาด้วย ร่วงตรงไหนไม่ร่วง ร่วงใส่กลางกบาลเจ้าตัวแสบ เหมาะเหม็งดีแท้
“โอ๊ย!”
“จ้อย!” สิงห์รี่เข้าประคองคนที่ทรุดลงกองสิ้นท่ากะพื้น มือหยาบเที่ยวจับหัวหูดูว่าระคายตรงไหนมั่ง “เจ็บไหมหื๊อ!”
พี่มัวแต่เป่าเพี้ยงหาย แต่สายตาน้องหยุดอยู่ที่พื้นไม้ฟาก กล่องเหล็กเปิดอ้า แบงค์สองสามใบยับยู่ยี่ เหรียญเล็กเหรียญน้อยประดามีกระจัดกระจาย
น้องมองกองเหรียญกับหน้าพี่สลับกัน คนตัวโตหันไปก้มเก็บเงินงุดๆ ไม่พูดไม่จา
“เงินก็มีนี่” จ้อยถามพลางช่วยเก็บ แบงค์มูลค่าไม่มากนักหรอกมีแต่สีน้ำเงินสีเทา “ทำไมไม่เอาไปซื้อข้าวกิน กินแต่มันต้มอยู่ได้ตั้งหลายวัน”
“ไม่ได้” เขาโพล่งแล้วนิ่งไปอย่างจะรวบรวมความกล้า จนเป็นนานจึงเฉลย “เงินนี่ พี่เก็บไว้ใช้หนี้ให้เอ็ง”
ถึงมาดแม้นตกยากต้องถากหญ้า จะอาสาแทนน้องอย่าหมองศรีจ้อยนิ่งงันไปชั่วขณะ ดวงตาอันสื่อถึงดวงใจเต็มตื้นนั้นส่งผลให้คนหยาบช้าหัวอกเต้นโครมครามเหมือนเอากลองเภรีเข้าไปย่ำอยู่ในนั้นสักพันใบ สิงห์กุมมือน้องไว้แน่น จ้องแต่ดวงตาวาววามคู่นั้นด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น
“อย่าไปเลย..” เขารวบร่างเล็กมากอดแน่นแนบอก พรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในหัวใจหมดสิ้น “พี่คิดถึงจ้อย.. คิดถึงแต่จ้อย.. จะทำอะไรก็เห็นแต่หน้าจ้อย” เขากดจมูกลงสูดกลิ่นผมนุ่ม “แต่พอจ้อยมายืนอยู่ตรงหน้า พี่กลัว.. กลัวว่าคนเลวๆ อย่างพี่จะเผลอทำอะไรให้จ้อยเกลียดอีก”
เขาประคองใบหน้าน้องไว้ จ้องมองดวงตาที่ไม่เหลือเศษเสี้ยวความชิงชังราวกับอยู่ในห้วงฝัน
จ้อยไม่เคยมองพี่ด้วยสายตานี้มานานแค่ไหนแล้ว..
“หนนี้ต่อให้จ้อยร้องจะกลับ พี่ก็ไม่ปล่อยให้กลับแล้ว” เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว เขากุมมือน้อยแนบลงตรงตำแหน่งหัวใจเต้น “เอ็นดูพี่เถิด..”
พี่จูบ.. มันเป็นจูบที่อ่อนโยน.. ขลาดเขลา.. ก่อนทวีเป็นจูบที่หิวกระหาย น้องเงยหน้ารับเหมือนรอคอยมาชั่วชีวิต ทุกสัมผัสสะท้านสะเทือนตราตรึง
ลมหนาวไม่หนาวอีกต่อไป ใยรักถักทอล้อมร่างทั้งสองไว้เกิดเป็นสายใยอบอุ่นหวานล้ำ หวาน.. หวานสุดหวาน.. เอาน้ำตาลทั้งโลกลงเคี่ยวแล้วตักป้อนจะหวานได้เท่าจูบนี้ไหม น่าแปลก.. จ้อยคิดว่าจ้อยจะเกลียดกลัวพี่มากกว่านี้ แต่เหตุใดจึงยอมให้เขากอดจูบโดยง่าย หรือแท้จริงแล้ว.. จ้อยไม่เคยเกลียดพี่เลยชั่วชีวิต
(มีต่อจ้ะ

)