ค่ำแล้วตลาดโต้รุ่งยังคึกคัก จ้อยนั่งตัวลีบอยู่ในร้านข้าวหมูแดงชื่อกระฉ่อน คนนั่งเต็มทุกโต๊ะ เสียงสั่งอาหารวุ่นวายจอแจ จ้อยยังอกสั่นขวัญบินกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย ตั้งแต่รู้จักไอ้สิงห์มา เพิ่งเคยเห็นมันทะเลาะกับแม่ใหญ่โตก็วันนี้ คุณนายพูนทรัพย์ก็เช่นกัน จ้อยเพิ่งเคยเห็นแกด่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนรุนแรงขนาดนี้
เพราะจ้อยหรือ?
มือใหญ่วางขวดน้ำแดงลงตรงหน้า เปิดฝาปักหลอดมาให้เสร็จสรรพ จ้อยเพียงเหลือบมองแล้วเบือนหน้าหนี แอบลูบข้อมือตัวเองป้อยๆ ไม่ได้สมัครใจมากับมันสักนิด ถูกมันฉุดกระชากลากถูมาทั้งนั้น
คนตัวโตถอนใจแผ่วเบา ลากเก้าอี้หัวโล้นมานั่งชิดอย่างถือวิสาสะ จ้อยเขยิบหนีออกห่างจนไหล่แทบไปเกยกะหน้าอกนางแบบในปฏิทินข้างฝา มันทำท่าขยำไหล่ตัวเองอย่างเมื่อยขบ ก็แน่ละ.. พายจ้ำเอาๆ จากบ้านกำนันมาถึงตลาดในชั่วเคี้ยวหมากจืดเช่นนี้ ไม่เมื่อยได้อย่างไรไหว
“กินอะไรดี” มันถาม จ้อยสั่นหัวแทนคำตอบ
“ไม่หิวหรือ” มันถามอีก จ้อยก็ส่ายหน้าอีก
“แต่เมื่อกี้เอ็ง..”
“บอกว่าไม่หิว!” จ้อยตะคอกใส่อย่างหมดความอดทน แต่แล้ว...
โครกกกกกกกกกกกกกก ท้องไส้ประท้วงอย่างหน้าไม่อาย จ้อยมองหน้าไอ้สิงห์แล้วเม้มปากแน่น ดังออกปานนี้มันต้องได้ยินแน่ๆ สองมือกุมท้องตัวเองไว้ มันจะได้ไม่ส่งเสียงโครกครากประจานใครได้อีก
หนุ่มน้อยเบือนหน้าหนีสายตาคู่นั้น ป่านนี้มันคงยิ้มหยัน เยาะเย้ยคนอวดดีที่ปากเก่งบอกว่าไม่หิว แต่แท้จริงแล้วไส้กิ่วแทบจะขาด
“ข้าวหมูแดงจานนึง พิเศษด้วย!” เสียงห้าวตะโกนสั่ง เฮียเจ้าของร้านรับคำเสียงดัง จ้อยหันมองหน้ามัน ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองมา ทว่าไม่มีแม้เศษเสี้ยวความขบขันสักนิด ผิดจากที่คาดเอาไว้โข
มันมองจ้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กินน้ำ” มือใหญ่คว้าขวดน้ำแดง ดึงหลอดยื่นมาจ่อปาก จ้อยเบือนหน้าหลบ อยากจะจองหองบอกว่าไม่กินอยู่หรอก แต่สีแดงสดสวยนั้นล่อใจเสียจริง หยดน้ำเกาะพราวรอบขวดท่าทางเย็นเฉียบ รสชาติมันจะยังหวานซ่าชื่นใจเหมือนเดิม เหมือนเมื่อตอนจ้อยได้ลิ้มรสมันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อนโน้นไหม
จ้อยกลืนน้ำลายเอื๊อก เหล่ตามองปลายหลอดที่มันจะป้อนให้ “กินเองได้” เสียงเล็กอ้อมแอ้ม ยื่นมือไปรับ มันทำท่าเหมือนไม่ยอมปล่อยให้ แต่สุดท้ายก็ยอม เหมือนอยากจะ ‘ตามใจ’
ขวดน้ำแดงสีสวยมาอยู่ในมือซ้ายของจ้อยได้สำเร็จ มันเย็นเจี๊ยบจนจ้อยต้องใช้มือขวาที่เจ็บช่วยประคอง แต่ทว่า.. ขวดลื่นเกินไป หรือมือจ้อยไม่มีเอ็นอย่างไรไม่ทราบได้
ริมฝีปากยังไม่ทันจรดหลอดด้วยซ้ำ ขวดแก้วเย็นๆ ก็ลื่นหลุดมือลงพื้นซีเมนต์แตกเปรื่อง ของเหลวสีแดงเป็นฟองกระจายไหลไร้ทิศทาง หลายสายตาในร้านหันมองเป็นตาเดียว
จ้อยหน้าเสีย แต่ลึกลงไปในอก ใจเสียยิ่งกว่า ดวงตาตื่นตระหนกมองมือขวาตัวเองนิ่ง มันสั่นสะท้านจนจ้อยต้องกุมเอาไว้บนตัก
ไอ้สิงห์ไม่พูดอะไรสักคำ หัวหน้าอันธพาลย่อตัวลงเก็บเศษขวดแก้วแทบเท้าจ้อยให้ และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมา.. จ้อยก็เห็น.. สายตาที่เต็มไปด้วย.. อะไรบางอย่าง.. อะไรบางอย่างที่ดั่งจะปลอบประโลมหัวใจ
“กินข้าวซะ” มันว่าเสียงเรียบ “เดี๋ยวพี่จะพาไปหาหมอ วันนี้ครบกำหนดตัดไหมแล้วไม่ใช่หรือ”
ทีนี้.. พอน้ำแดงขวดใหม่ยกมาเสิร์ฟ จ้อยก็สิ้นพยศ ยอมให้มือใหญ่ๆ คู่นั้นป้อนน้ำให้แต่โดยดี กระทั่งข้าวหมูแดงจานโตนั่นด้วย ตอนแรกก็ทำเก่งจะกินเองด้วยมือซ้ายอยู่หรอก แต่พอจ้อยทำช้อนสังกะสีงอเป็นเลขเจ็ดและทำข้าวหกเกลื่อนเท่านั้น จ้อยก็จำใจให้มันป้อนอย่างหมดท่า
“อิ่มแล้ว” เสียงเล็กอุบอิบ เบือนหน้าหนีมือใหญ่ที่ยื่นช้อนจ่อปาก สิงห์เลิกคิ้วฉงน มองจานข้าวหมูแดงที่ถูกตักกินไปได้แค่สองคำอย่างไม่เข้าใจ
“อิ่มเร็วนักเล่า”
“เอ่อ..” วงหน้าอ่อนใสก้มงุด “ห่อกลับบ้านได้ไหม”
“ทำไมไม่กินให้หมดที่นี่ จะห่อกลับทำไม”
จ้อยไม่บอกหรอก เรื่องอะไรจะบอกให้มันสมเพชเปล่าๆ หัวเด็ดตีนขาดจ้อยก็ไม่บอก
“แล้ว..” เสียงเล็กอ้อมแอ้ม “เดี๋ยวไปหายายนะ” พูดได้แค่นั้นก็ต้องเบือนหน้าหลบลูกตาที่มองมาราวกับจะทะลุทะลวงถึงเนื้อใน สายตาที่ทอดนิ่ง.. อุ่นเอื้อ.. เอ็นดู..
มันมองจ้อยเช่นนั้นอยู่ชั่วอึดใจ
“เอ็งจะบ้าหรือไง” สุดท้ายก็โพล่งลั่น ทำหน้าเหมือนอยากเขกมะเหงกจ้อยเต็มแก่ “คิดว่ายายช้อยจะมีฟันเคี้ยวเรอะ หมูกรอบเอย กุนเชียงเอย” ปากก็บ่น มือก็คว้าช้อนที่เพิ่งรวบเรียบร้อยตักหมูแดงชิ้นโตยัดใส่ปากจ้อย “เอ็งนั่นแหละ กินเข้าไปให้หมด”
จ้อยเคี้ยวตาเหลือกตาปลิ้น นี่.. ไอ้สิงห์มันรู้ได้ยังไง?
จ้อยยังไม่ได้บอกมันสักคำว่ายายไม่เคยกินข้าวหมูแดงมาก่อนเลยในชีวิต และจ้อยก็แค่.. อยากให้ยายได้กินของอร่อยอย่างจ้อยในตอนนี้บ้าง
“เฮีย! ข้าวหมูตุ๋นใส่ห่อ” มันตะโกนสั่งลั่นร้าน ก่อนหันมาบอกจ้อย “ยายเอ็งต้องกินของนิ่มสิ หมูตุ๋นร้านนี้เขาเคี่ยวเปื่อย โดนลิ้นก็แทบละลาย”
มีการยักคิ้วให้ ส่วนมือก็ยังอุตส่าห์เขี่ยกุนเชียงเก็บไว้ให้จ้อยกินเป็นอันดับสุดท้าย
มันชักจะรู้ใจจ้อยดีเกินไปแล้ว!?
***********************
สถานีอนามัยยังไม่ปิดทำการตอนที่พวกเขาไปถึง หมออนามัยเอ็ดเล็กน้อยว่านึกว่าจะลืมนัดตัดไหมวันนี้เสียแล้ว แต่พอเห็นแผลก็ชมเปาะว่าแผลสะอาดดี แบบนี้สิถึงได้หายเร็วและไม่ลุกลามเป็นแผลเรื้อรัง บ่งบอกถึงการดูแลอย่างดี ไม่ให้โดนน้ำ แถมยังล้างแผลอย่างเอาใจใส่อย่างเสมอด้วย
สิงห์อยากจะยืดอกภูมิใจอยู่หรอก แต่พอเห็นหน้าซีดขาวแทบไร้สีเลือดของน้องแล้ว หัวใจก็พลันยวบลงไปอีก มือน้อยข้างนั้นสั่นสะท้านจนอีกข้างต้องกุมไว้ รอยกังวลฉายชัดในดวงตา
ใครเลยจะรู้.. ในหัวอกอันว้าวุ่น จ้อยคิดไปสะระตะ มันก็ไม่เจ็บปวดแล้ว แต่ทำไมจ้อยยังจับปากกาไม่ได้ หยิบจับอะไรก็ลื่นหลุดมือไปเสียหมด เพราะคุณนายพูนทรัพย์ตัดเส้นเอ็นจ้อยขาดจริงๆ หรือจ้อยแค่วิตกจริตเกินไปกันแน่ อาการไหนคือจินตนาการที่จ้อยสร้างขึ้น อาการไหนคือความจริง มันตีกันจนสับสนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
มือเทอะทะเป็นใบพายวางลงบนมือเล็กแผ่วเบา จ้อยสะดุ้งเฮือก หาใช่เพราะรังเกียจไม่ หากเพราะกระแสอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากมือนั้นต่างหาก
น่าแปลก.. จ้อยไม่สะบัดมือหนี และมือข้างนั้นก็ค่อยๆ สงบนิ่งลง
หัวใจของจ้อยเองก็เช่นกัน
เสร็จสิ้นกระบวนการในเวลาไม่นานนัก ความมืดโรยตัวลงคลุมท้องฟ้า จันทร์เสี้ยวเกี่ยวแขวนเปล่งแสงสีเงินยวง มืดจนมองไม่เห็นลายมือ แต่จ้อยก็ยังเอาแต่จ้องมือขวาที่ว่างเปล่าของตน มันเป็นอิสระจากพันธนาการผ้าพันแผลแล้ว แต่จ้อยยังเอาแต่กำๆ แบๆ มือตัวเองอยู่นั่น
บนเรือน้อย สิงห์คัดท้ายพาน้องกลับบ้าน เบื้องบนคือดวงดาวกะพริบพราวอยู่กลางฟ้า เบื้องล่างคือท้องน้ำระยับวาว เสียงลมไหวไผ่ริมคลองดังซู่ๆ สลับกับเสียงวาดพายจ๋อมๆ แสงตะเกียงตรงหัวเรือส่องให้เห็นเจ้าตัวเล็กที่ยังเอาแต่ก้มหน้ามองฝ่ามือตน แน่วแน่อยู่เช่นนั้นจนไม่สนใจทัศนียภาพรอบข้าง เรือน้อยลัดเข้าคลองท่อ สิ่งซึ่งบ่งบอกว่าใกล้ถึงบ้านยายช้อยเข้าไปทุกทีคือต้นลำพูสองฝั่งแน่นขนัด และ ณ คุ้งน้ำนั้น.. จุดสีทองเรืองแสงนับหมื่นพันกระจัดกระจายเรื่อเรืองดั่งหลงทางเข้ามาในแดนดาว
หิ่งห้อยบางตัวบินผ่านหน้าเขาไป ที่เกาะตามกิ่งลำพูก็เปล่งแสงวูบวาบจนตาพร่า งดงามดั่งภาพฝัน.. แต่น้องไม่สนใจจะมองสักนิด
นักเลงหนุ่มถอนใจแผ่วเบา ข้อลำล่ำสันคัดท้ายเรือเข้าเทียบตลิ่ง ก่อนขยับเข้าไปใกล้แผ่นหลังเล็ก นั่นละ.. เจ้าตัวดีจึงหันขวับกลับมา
“จอดเรือทำไม!” เสียงเล็กขู่ฟ่อ
“ขอดูมือหน่อย” เขาพูดดีๆ ไม่มีแม้ความกรรโชกสักนิด หากไอ้ตัวจ้อยดันถลึงตาใส่ กุมมือตัวเองไว้แน่น ขยับถอยกรูดยามเขาชะโงกตัวเอื้อมหยิบตะเกียงมาวางตรงหน้า แสงวอมแวมสะท้อนให้เห็นหน่วยตาดำมีแววระแวงฉายชัด
“ยังเจ็บอยู่ไหม” เขาถาม น้องยังเอาแต่จ้องหน้า ทำท่าเหมือนกลับพร้อมจะโดดน้ำตูมหนีไปได้ทุกเมื่อ พิรี้พิไรแบบนี้เป็นเมื่อก่อนเขาคงใช้กำลังกระชากมือข้างนั้นมาแล้ว
แต่คืนนี้.. ตรงนี้.. ไอ้สิงห์ทำได้แค่สบดวงตาคู่นั้นนิ่งงัน
“กลัวเขียนหนังสือไม่ได้หรือ” คำถามอุ่นเอื้อ ชายหนุ่มเห็นดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลง ก้มมองมือตัวเองอีกครั้ง “ลองเขียนหนังสือดูไหม” เขาชักชวนกระตือรือร้น จ้อยเงยหน้าขึ้นมองงงๆ คิ้วมุ่นเป็นโบว์
ครั้นพอมือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกง ยื่นอะไรบางอย่างไปให้ จ้อยเอาแต่มองมันนิ่งงัน
ปากกาด้ามหนึ่ง..
ปากกาที่เขาไปขอยืมเจ้าหน้าที่อนามัยมาเมื่อกี้ ยี่ห้อบิค สีเหลืองสลับดำ ปากเรียวแหลม
“ลองเขียนดู” เขาคะยั้นคะยอ เจ้าตัวเล็กกัดริมฝีปากชั่งใจ ก่อนมือสั่นเทายื่นมารับ ดวงตาคู่นั้นสับสนปนเปกันอยู่ระหว่างความกลัวและความกล้า มองปากกาในมือดั่งเครื่องชี้ชะตา
สิงห์แบมือยื่นไปตรงหน้าเมื่อเห็นน้องยังลังเล “เอ้า.. เขียนกับมือพี่ก็ได้” และแล้ว.. มือขวาอันสั่นเทาข้างนั้นก็จรดปากกาลง
ธรรมชาติของคนเรา ยามต้องเขียนตัวหนังสือสักตัวหรือคำสักคำ เขาเขียนอะไรกันหรือ?
แน่นอน.. ชื่อตัวเอง..
ท่ามกลางแสงตะเกียงสว่างนวล คำว่า ‘จ้อย’ บนฝ่ามือเขาแจ่มชัดยิ่งกว่าสิ่งใด
“เขียนได้ไหม”
ใบหน้าเล็กพยักรัวให้ฝ่ามือเทอะทะ เขาคะยั้นคะยออีก “ลองเขียนอีกก็ได้ เขียนเยอะๆ”
ตอนนี้ฝ่ามือเขามันเต็มไปด้วยคำว่า จ้อย.. จ้อย.. จ้อย.. แล้วก็.. จ้อย บางสิ่งบางอย่างค่อยๆ ถ่ายเทลงสู่หัวใจ
“เขียนได้แล้ว” จ้อยโพล่งออกมาด้วยความดีใจ เงยใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสขึ้นมองกัน เก็บดาวบนฟ้ามาร้อยเรียง ยังไม่เจิดจ้าเท่า
หัวใจเอ๋ย.. ไม่เคยไหวคลอนถึงเพียงนี้
ไอ้สิงห์ได้แต่มองรอยยิ้มนั้นผ่านสายตาพร่าพราย ฝูงหิ่งห้อยหรือม่านน้ำที่เอ่อขึ้นจากหัวใจเต็มตื้นกันแน่ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น หัวใจเกิดเต้นรัวขึ้นมาอีก เมฆที่ตั้งเค้าในอกพลันแตกสลาย ฝนที่เคยโปรยสายจนฟ้าและดินไม่มีช่องว่างก็ขาดเม็ดทิ้งช่วง เหมือนมีแสงทองสาดมา
เพียงรอยยิ้มหนึ่ง.. จุดจันทร์แจ่มขึ้นในสายตา..
ดวงใจอันมืดมน ไม่มืดมิดอีกต่อไป
หัวอกอันตรมไหม้ ก็ไม่ขมขื่นอีก
ซ้ำยัง.. หวาน.. หวานฉ่ำยิ่งกว่าวันที่เขาได้ตักตวงริมฝีปากนั้น หวานฉ่ำยิ่งกว่าวันที่เขาได้ครอบครองน้องทั้งเรือนกาย
ชายหนุ่มอยากวางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มนั้นนัก แต่เขาต้องหักใจ เพราะแค่รอยยิ้มเดียว.. ก็คล้ายจะหล่อเลี้ยงใจไอ้สิงห์ได้ชั่วชีวิตแล้ว
ถึงบ้านยายช้อย กระท่อมเก่ามอซอนิ่งสงบอยู่ในความสงัดริมน้ำ ความมืดสนิทบ่งบอกว่ายายเข้านอนไปนานแล้ว แต่พอหลานรักส่งเสียงร้องเรียกหา หญิงชราก็ตื่นขึ้นพร้อมดวงใจอันปิติ
ข้าวหมูตุ๋นในห่อเอร็ดอร่อยกว่าทุกมื้อในชีวิต ยายไม่ยอมกินคนเดียว แกว่ากินข้าวไปแล้ว เลยคะยั้นคะยอชักชวนกินด้วยกัน ไอ้สิงห์แตะไปแค่แมวดม เพราะใจมันอิ่มเอิบมาตั้งแต่ตรงริมน้ำนั่น
จ้อยหยิบจับช้อนแคล่วคล่องกระฉับกระเฉง ไม่มีทีท่าสั่นกลัวจะทำลื่นหลุดมืออีก นักเลงหนุ่มจึงได้รู้ความจริงอีกอย่างว่า ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ จริงๆ
ข้าวหมดห่อ หลานก็ทำท่าจะลากลับ แอกความเป็น ‘ขี้ข้า’ ยังค้ำคอ หากลูกชายกำนันบอกว่าดึกมากแล้ว ให้นอนเสียที่บ้านนี่แหละ ครั้นพอร่างสูงใหญ่ทำท่าจะลงจากกระท่อมเท่านั้น มือเหี่ยวย่นก็คว้าต้นแขนเอาไว้
“ดึกแล้ว พ่อสิงห์ก็ค้างที่นี่สักคืนซี”
ดวงตาสีเข้มเหลือบมองเจ้าตัวจ้อย เห็นไม่พูดไม่ว่ากระไร เอาแต่นั่งมองลายบนพื้นกระดาน
ใครจะรู้บ้างไหม ว่าบัดนี้หัวใจไอ้สิงห์มันพองโตเกินกำปั้นกำ
************************
ลูกชายกำนันตื่นแต่เช้ามืดโดยไม่ต้องให้ใครปลุก เสียงจ้อยกุกกักอยู่ในครัว ส่วนยายกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างในความมืด
นอกกระท่อม เสียงไก่ขันถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ตื่นแต่เช้าเชียวพ่อ” หญิงชราทักทายแจ่มใส
“นอนไม่หลับน่ะยาย” นักเลงหนุ่มเกาหัวแกรกแก้เก้อ
“นอนไม่สบายสินะ” แกยิ้มกว้างเห็นฟันดำ “บ้านยายเล็กแค่นี้ คนอยู่บ้านหลังโตอย่างพ่อสิงห์คงไม่ชิน”
เปล่าหรอกยายจ๋า.. ไอ้สิงห์อมยิ้มในหน้า ยายคงไม่รู้ว่าระยะหลังเขาตื่นแต่เช้าจนเคยชินแล้ว ขืนนอนตื่นสายก็อดอาบน้ำให้จ้อย อดช่วยทำกับข้าวและทำงานบ้านต่างๆ แทนมัน อดใส่บาตรร่วมขันและอดพายเรือไปส่งมันที่โรงเรียนน่ะซี
เพียงแต่เมื่อคืนนี้มันวิเศษกว่าทุกคืน กว่าพวกเขาจะอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ยายก็เข้ามุ้งยึดริมหนึ่งไปครองแล้ว พวกเขาสบตากันอยู่ในความเงียบ จ้อยไม่ได้พูดอะไรตอนเปิดมุ้งเข้าไปนอนข้างยาย เหลือที่ว่างฝั่งหนึ่งไว้ให้เขา
สิงห์ใจระรัวเป็นตีกลอง มันตื่นเต้น มันตื้นตันในหัวใจ แบบนี้ใครเล่าจะข่มตาหลับลง
“ตื่นแต่เช้าก็ดีจะได้เห็นแสงเงินแสงทอง” เสียงยายปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์
“แสงเงินแสงทองเป็นอย่างไรหรือยาย” หัวหน้าอันธพาลว่าพลางเงยหน้ามองขอบฟ้า
“แสงเงินจะมาก่อนแสงทอง ที่เห็นฟ้าเหลือบๆ เรื่อๆ นั่นแหละแสงเงิน เดี๋ยวสายหน่อยก็จะเห็นแสงทองที่สะท้อนจากตะวัน”
สิงห์เพ่งขึ้นไปบนฟ้าสีเทา แสงเงินเรื่อเรืองอยู่ทางทิศตะวันออก ฟากฟ้าเปิดแย้ม ดวงดาวและความมืดกำลังจะถูกไล่ บรรยากาศยามเช้าเหมือนให้ความหวังแก่ชีวิต ไก่จากหลายบ้านขันรับอรุณฟังดูเบิกบาน ชายหนุ่มยังคงเฝ้ารอแสงทองอยู่เงียบๆ
มันแบมือขวาออกดู รอยปากกาคำว่า ‘จ้อย’ ยังเขียวพรืดอยู่เต็ม ต้องอาบน้ำระวังแทบตายกว่าจะเก็บไว้ให้มันยังคงอยู่เช่นนี้
หากเชื่อเถิด.. ตัวหนังสือ.. สักวันต้องเลือนลบ แต่ชื่อนั้น.. เจ้าของชื่อนั้น.. จะสลักจารึกอยู่ในหัวใจเขาตราบนานเท่านาน
จ้อยสาละวนอยู่ในครัวไม้ฟาก จ้วงข้าวสารสี่ห้าฟายมือหุงในหม้อดินเก่าคร่ำ เช้านี้ต้องหุงให้มากหน่อยเพราะมีคนท้องยุ้งพุงกระสอบมาร่วมสำรับด้วย
ห นุ่มน้อยลงจากกระท่อมมุ่งหน้าเข้าสวน ผ่านคนตัวโตที่กำลังกวาดใบไม้แห้งแกรกๆ ยายสอนเสมอว่าคนตื่นเช้าได้กินผักยอดปลาย คนตื่นสายได้กินผักยอดด้วน จ้อยก็นึกว่าคนอย่างไอ้สิงห์มันคงจะได้กินผักยอดด้วนทั้งปีทั้งชาติ แต่ที่ไหนได้ หลังๆ มานี้มันตื่นเช้าเสมอ เผลอๆ จะตื่นก่อนจ้อยเสียอีก
เถาบวบที่เคยออกดอกสีเหลืองบนร้านที่ทำด้วยไม้ไผ่สีสุก บัดนี้ออกผลยาวอวบอ้วนเขียวงามน่ากิน จ้อยเลือกเด็ดเอาแต่ที่อ่อนๆ แถมด้วยตำลึงสดๆ อีกกำมือกลับเข้ามาในกระท่อม ดึงปลาย่างที่เหน็บไว้กะตับหญ้าคาเหนือเตาไฟ เลือกเอาออกมาโขลกในครกเสียงขรม พักเดียวก็เทน้ำลงหม้อดินยกขึ้นตั้ง พอเดือดพลุ่ง บุบหัวหอมหย่อนลงไป นั่งมองดูเปลวไฟจากกองฟืนเต้นระริกเร่า
เสียงดุเหว่าแว่วมา เคล้ากับเสียงห้าวๆ อย่างหนุ่มฉกรรจ์กับเสียงยายคุยกัน หัวเราะร่าเริง เสนาะในโสตอย่างน่าประหลาด
ทั้งสามคนล้อมวงกินข้าวกันนอกชานกระท่อม สรวลเสเฮฮา เป็นบรรยากาศที่จ้อยไม่ได้สัมผัสมานานเนิ่น กับข้าวบ้านนาอย่างต้มโคล้งปลาย่าง, ผัดบวบและน้ำพริกผักจิ้มดั่งเป็นอาหารเลิศรส ยายดูเจริญอาหาร ส่วนไอ้สิงห์.. จ้อยเห็นมันพุ้ยเอาพุ้ยเอา ข้าวจานที่สามเข้าไปแล้ว
จ้อยก็นั่งกินของจ้อยอยู่ดีๆ แต่ยายส่งสายตามา มองหน้าจ้อยกับหม้อข้าวกับจานว่างเปล่าของไอ้สิงห์สลับกัน เล่นเอาจ้อยขมวดคิ้ว ก็ใครนะเอาหม้อข้าวมาวางไว้ข้างจ้อย
เล่นบังคับกันทางสายตาอย่างนี้ จ้อยจะทำอะไรได้
“ไอ้..” นักเรียนครูพลั้งปาก รีบกลืนลงคอแล้วพูดใหม่อ้อมแอ้ม “..พี่สิงห์”
“จ๋า” มันขานอ่อนหวาน แต่จ้อยทำไขหู
“เติมข้าวไหม” จ้อยชวนอย่างเสียไม่ได้
“จ้ะ” มันยื่นจานเปล่ามา สายตางี้หยาดเยิ้มเป็นน้ำเชื่อม เล่นเอาจ้อยต้องรีบซดน้ำแกง
เอาเปรี้ยวตัดหวานน่ะซี!
จ้อยไม่รู้ว่าทำไมยายถึงดูเบิกบานนัก จะว่าดีใจที่จ้อยกลับมาหาหลังจากไม่ได้แวะมาเสียนานก็ไม่น่าใช่ สายตาที่ยายมองจ้อยสลับกับไอ้สิงห์ เป็นประกายอิ่มเอิบเปี่ยมสุข แถมยังพร่ำย้ำไม่ขาดปาก ให้รักใคร่กลมเกลียว ดูแลกันและกันแบบนี้ จ้อยทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในขณะที่ไอ้สิงห์รีบกระดิกหางรับคำเป็นมั่นเหมาะ นี่ถ้าจ้อยเป็นผู้หญิง ยายคงจัดจ้อยใส่พานประเคนมันไปแล้วกระมัง
ตะวันขึ้นสายโด่ง ช่วงเวลาแห่งการล่ำลามาถึง ไอ้สิงห์ต้องกลับบ้าน และจ้อยก็ต้องกลับไป ‘นรก’ ของจ้อยเสียที ยายหายเข้าไปในสวนตั้งใจจะไปตัดกล้วยห่ามๆ เอาไปฝากคุณนายพูนทรัพย์ ปล่อยจ้อยกับมันสาละวนเอาเรือออกอยู่ที่ตีนท่า
ลำคลองเงียบสงบ นานๆ ทีจะมีเรือผ่านมาสักลำ ดอกมหาหงส์แน่นขนัดริมน้ำส่งกลิ่นหอมเย็น หมู่ผีเสื้อปีกสวยบินวนตอมเกสร จ้อยยกยอคันน้อยที่ท่าขึ้น มีปลาสร้อย ปลาแขยงติดอยู่ท้องยอหลายตัว ตั้งใจจะเอาไปฝากน้าแป้น ไอ้สิงห์รีบกุลีกุจอมาช่วย คัดปลาแยกใส่ถังสังกะสี
ชั่วขณะหนึ่ง มือต่อมือสัมผัสกัน.. โดยไม่ตั้งใจ หากมือใหญ่เทอะทะกลับคว้ามือจ้อยเอาไว้ จ้อยเงยหน้าขึ้นมองมัน เห็นดวงตาสีสนิทเหล็กมองตรงมา ดวงตาที่มีแต่ความแน่วแน่.. ซื่อตรง..
“พี่ขอโทษ..” เสียงทุ้มแผ่วหวิว จับมือจ้อยแน่น “พี่เห็นจ้อยอยู่สูง.. ห่างไกลพี่ไปทุกที พี่กลัวสักวันจะเอื้อมไม่ถึง” จ้อยก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่สะบัดหนี ไม่แม้แต่จะหลบตา หรือเพราะพรายน้ำระริกไหวในดวงตาคู่นั้น “แทนที่พี่จะตะเกียกตะกายขึ้นไปหาจ้อย พี่กลับดึงจ้อยให้ต่ำลงมา”
เสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบนั้น หนักแน่นชัดเจนทุกถ้อยคำ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คว้าถังสังกะสีจ้วงน้ำหล่อเลี้ยงปลาก่อนวางลงหัวเรือ แล้วจากนั้น.. ไอ้นักเลงโตก็ก้าวลงไปนั่งแหมะในเรือ.. คนเดียว..
จ้อยทำท่าจะไต่เดียะตามไป จ้อยต้องกลับไปทำงานใช้หนี้ แต่แขนกำยำกลับใช้พายยันตีนท่า เบนหัวเรือห่างไป
“จ้อย.. ถ้าแม่พี่ทำกับจ้อยถึงขนาดนี้ อย่าอยู่บ้านพี่อีกเลย” ไม่มีแม้ส่วนใดของร่างกายยื่นมาแตะต้อง หากสายตาคู่นั้น.. ราวกับโอบอุ้มทั้งตัวและหัวใจของจ้อยเอาไว้ “พี่จะปล่อยจ้อยไป.. ต่อจากนี้กลับมาอยู่กับยายเถอะ”
ยายกลับมาพร้อมกล้วยน้ำว้าสีเหลืองนวล แกดูแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นมันลงเรือไปคนเดียว
จ้อยพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ในสมองว้าวุ่นปนเป ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างพายเรือจากไปจนลับสายตาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกับอิสรภาพที่มาเร็วเกินตั้งรับ จ้อยควรจะดีใจใช่ไหม? แต่ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกว่างเปล่า ราวกับอกซ้ายกลวงกลายเป็นช่องว่างมีลมหนาวพัดผ่านไป
ราวกับมันเอาหัวใจของจ้อยไปด้วย..
โปรดติดตามตอนต่อไป------------------------------------------------------------------------------------------------------
* แล้วจะรู้ว่าพี่รัก, คำร้อง ไพบูลย์ บุตรขัน, ขับร้อง ทูล ทองใจ
** สุนทรภู่ มาช้ามากๆๆๆๆๆๆ เลยค่ะ ขอโทษคนอ่านด้วยนะคะ ช่วงนี้ดอกไม้งานเยอะมากจริงๆ คิวงานเต็มทุกวันจันทร์ยันอาทิตย์ วันไหนเลิกไม่ดึกมากก็พอมีเวลามาเขียนต่อนิดๆ หน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะกลับบ้านแล้วทิ้งร่างลงเตียงค่ะ น้ำท่าไม่อาบ อายไลเนอร์ไม่ล้งไม่ล้างแม่ม กรี๊ดดดดดดด ซกมก เยาวชนอย่าลอกเลียนนะคะ
ตอนนี้ถึงจะมาช้าไปหน่อย (ไม่หน่อยละมั้ง) แต่ก็มายาวเป็นพิเศษเลยนะคะ คิดเสียว่าชดเชยที่มาช้าละกันเด้อ เค้าไปนอนก่อนละคะ เจอคำผิดตรงไหนฝากแก้ให้ด้วยนะคะ (อ้าวอิชุ่ย

) เค้าง่วง เค้าไปนอนละ น้ำยังไม่อาบเลย ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยอาบสองรอบละกันค่ะ คร่อกกกกกก

รักคนอ่านนะคะ
ดอกไม้
๘ ส.ค. ๕๗