บทที่ ๑๙
อกเอยมันแค้น(ครึ่งหลังจ้ะ

)
ตกเย็นย่ำค่ำ เรือนไทยไม้สักหลังงามของกำนันเสริมแสนเงียบเหงา อาหารมื้อค่ำผ่านไปอย่างอ้างว้างเนื่องจากเหลือเพียงคุณนายพูนทรัพย์นั่งกินอยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ตัวกำนันนั้นออกไปตั้งแต่บ่ายยังไม่กลับ แกบ่นว่ารำคาญลูกเมียเหลือทน แล้วก็ให้น้าเวกขับเรือยนต์พาออกไป ไปไหนก็สุดที่จะรู้ได้ ส่วนไอ้สิงห์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณนายยิ่งแล้วใหญ่ นักเลงหนุ่มบิดรถเครื่องออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้า ดูท่าหนนี้เตลิดไปไกลกว่าทุกที ป่านฉะนี้ยังไม่เห็นแม้เงา
กับข้าวกับปลาที่จ้อยทำค่ำนี้ดูจะจืดชืดไปเสียสิ้น เจ้าแม่เงินกู้ดั่งกินข้าวคลุกน้ำตา จ้อยเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ หัวอกคนเป็นแม่ หลงดีใจที่ระยะนี้ลูกชายกลับมากินข้าวบ้านทุกวัน ผ่านไปไม่ทันไรก็เกิดเรื่องให้ลูกชายเตลิดหายไปอีก คุณนายแตะข้าวแค่แมวดมก็รามือ ปลีกตัวกลับเข้าห้อง จ้อยเก็บสำรับกับข้าวเห็นเหลือบานเบอะแล้วให้รู้สึกสะท้อนใจนัก
“น้ารึหลงดีใจ เห็นหมู่นี้ตาสิงห์อยู่ติดบ้าน ไม่ทันไรก็ดีแตกเสียแล้ว เฮ่อ” น้าแป้นถอนใจเฮือก ใบหน้าโศกสลด จ้อยได้แต่ก้มหน้าเจียนใบตองไม่พูดจา ดูเถอะ ขนาดคนอื่นอย่างน้าแป้นยังสลด แล้วผู้เป็นแม่อย่างคุณนายจะยิ่งเสียใจสักแค่ไหน ไม่แน่.. ในห้องนอนใหญ่ที่มีปิดไฟมืดนั่น คุณนายอาจนอนน้ำตาเปียกหมอนอยู่ก็เป็นได้
สิงห์โชคดีกว่าเขาตั้งเยอะที่เกิดมามีพ่อแม่สมบูรณ์พร้อม แทนที่จะเคารพบูชาดั่งพระในเรือน แทนที่จะถนอมใจห่วงใยความรู้สึกผู้ให้กำเนิดสักนิด กลับทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ระวังเถิด ตายไปจะต้องไปแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรน้ำตาแม่
น้าแป้นยังถอนใจเฮือกๆ ราวกับไม่มีวันหมด สองคนช่วยกันเจียนใบตองไว้ห่อข้าวต้มผัดใต้แสงตะเกียงเรืองรอง รายการของหวานเปลี่ยนแปลงกะทันหัน คืนนี้บ้านเงียบเหงา ทำกล้วยบวชชีไปก็ไม่มีคนกิน จึงตั้งใจว่าจะรอให้กล้วยงอมจัดแล้วเอามาทำข้าวต้มผัดแทน
คิดไปก็เข้าที.. อย่างน้อย.. สิงห์ก็ชอบกินข้าวต้มผัด
ใจหนอใจ แปลกจริง ทั้งที่เกลียดแสนเกลียด แล้วไยกลับจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ได้ขึ้นใจ
“ตาสิงห์จะไปไหนด๊าย” น้าแป้นว่าเสียงสูง “หายไปทั้งวันอย่างนี้ คงไม่แคล้วไปขลุกอยู่กับพวกไอ้ลอย เพื่อนพาเลวแท้ๆ”
จ้อยเห็นด้วยอยู่ในใจ มงคลชีวิตข้อที่หนึ่งยังว่าไว้ ‘อย่าคบคนพาล’ หากสิงห์ไม่หลงระเริงไปตามเพื่อนเลวๆ เสียก่อน ป่านนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงยังสวยงามเหมือนตอนเด็กๆ
แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปอย่างใจนึก เขาไม่ชอบนินทาคนอื่น ทว่าเหมือนน้าแป้นจะจัดอยู่ในจำพวกตรงข้าม
“คนอย่างไอ้ลอยน่ะนะ มันไม่กินแต่ขี้ไม่ปี้แต่หมา” ถ้อยผรุสวาทแสนเผ็ดร้อนมีอันต้องสะดุด เมื่อคนฟังชะงัก เงยหน้าจ้องเขม็งคล้ายจะปราม นักเรียนครูเหลียวซ้ายแลขวา เห็นแม่ผ้าขาวผืนน้อยนั่งเล่นเม็ดน้อยหน่าอยู่ไกลออกไปก็โล่งใจ
จ้อยไม่ชอบคำหยาบ โดยเฉพาะคำหยาบที่พูดต่อหน้าเด็ก
“ขอโทษทีนะครู น้ามันไม่มีการศึกษา คำพูดคำจาก็เป็นอย่างนี้ละ” สาวใหญ่หดคอกระซิบกระซาบ ก่อนเล่าต่อด้วยแววตาจงเกลียดจงชัง “แต่จริงๆนะ ไม่รู้มันจะเกิดมาทำไม ไอ้เคาะกะลามาเกิด สันดานหมาแท้ๆ ครูเชื่อไหม กับน้า..หน้างอกออกฝี แถมแก่เป็นแม่มันได้ มันยังไม่เว้นเล้ย วันก่อนที่ตลาด มันหลอกจับมือถือแขนน้าด้วย”
หนุ่มน้อยเกือบพลาดเฉือนนิ้วตัวเอง อย่าว่าแต่น้าแป้น เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังเคยถูกมัน..
ไม่สิ.. ไม่ใช่แค่ไอ้ลอย สิงห์ก็เคยทำกับเขาแบบนั้นเหมือนกัน
แต่.. ทำไม.. จ้อยกลับรู้สึกว่ามันต่างกัน..
“เฮ้อ.. ไม่รู้ตาสิงห์ไปคบมันได้ยังไง” น้าแป้นยังคงจ้อไปเรื่อย ขณะที่จ้อยปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปาก.. ซ้ำๆ..
****************************
คืนวันศุกร์ นักเรียนชายเดินกันเป็นกลุ่มๆ หน้าโรงหนังเปรมประชา โรงหนังทำด้วยไม้ หลังคาสังกะสี ข้างหน้าโรงติดไฟสว่างจ้า ข้างในมีม้านั่งไม้แข็งๆ นั่งไม่สบายนักแต่ก็เหมาะสมกับการดูหนังคาวบอยอันเป็นหนังประเภทที่นิยมกันมากดี
ส่วนการประกาศหนังนั้น เขาใช้รถบรรทุกคันเล็กๆ ปิดป้ายสองข้าง ตีกลองและฉาบแล่นช้าๆ ไปทั่วเกาะเมือง วันนี้ขณะกำลังตรวจการบ้านนักเรียนในห้องพักครู เลอมานยังได้ยินเสียงรถประกาศแว่วมา
การแปลชื่อหนังเป็นภาษาไทย มีความมุ่งหมายที่จะเรียกร้องเร้าใจให้อยากดู ‘The Magnificent Seven’ ก็กลายเป็น
’เจ็ดเสือแดนสิงห์’ เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ยืนอ่านโปสเตอร์อีกใบที่แปะอยู่ติดกัน อืม.. ‘The Frogman’ ยังกลายเป็น ‘เสือใต้น้ำ’ เลยแฮะ คำว่า ‘เสือ’ ปรากฏอยู่ในชื่อหนังหลายเรื่อง จนเขาคิดว่าถ้าไม่มีคำนี้อยู่ในภาษาไทย คนแปลคงลำบากไม่ใช่น้อย
ค่าตั๋วดูหนังตกราคาใบละ ๑๐ บาท ทีแรกเลอมานจะเป็นคนออกให้เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะเลี้ยงทั้งสง่า, สันติและอาจารย์คนึง แต่อาจารย์กลับไม่ยอมท่าเดียว ดึงดันจะจ่ายให้ทุกคนเอง เถียงกันอยู่นาน จนสง่าต้องแอบกระซิบว่าการปฏิเสธน้ำใจผู้ใหญ่นั้นเสียมารยาท เล่นเอาคุณชายหน้าเจื่อน
เขาแค่เกรงใจ เพราะรู้มาว่าเงินเดือนข้าราชการครูนั้นไม่ได้มากมายอะไร ทุกวันนี้ก็เห็นคนรักจับจ่ายใช้สอยอย่างมัธยัสถ์ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นคนึงฟุ่มเฟือย คนึงไม่เคยเที่ยวเตร่ตามสโมสรหรือโรงบิลเลียดอย่างอาจารย์คนอื่น ซ้ำยังต้องแบ่งเงินเดือนส่งฝากธนาณัติไปให้พ่อแม่ผู้ชราภาพเป็นประจำทุกเดือน
“ไม่ต้องห่วง แค่นี้ครูขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก” เขาทำสีหน้าแบบไหนออกไป เสียงทุ้มอ่อนโยนจึงหล่นจากริมฝีปากได้รูป ประกายอ่อนเอื้อจึงฉายชัดจากดวงตาสีเข้ม ความอ่อนละมุนใดคลี่พันหัวใจไว้จนอุ่นซ่าน
“เอาไว้เล็กค่อยตอบแทนครูวันหลัง..” ใบหน้าคมสันโน้มลงกระซิบให้พอได้ยินกันแค่สองคน “..ด้วยอย่างอื่น”
คุณชายอมยิ้มแก้มแดงเรื่อ ความอุ่นทวีเป็นความร้อนเสียแล้วซี
จวนได้เวลาฉายหนัง สง่ากับสันติพาคุณชายเข้าไปหาที่นั่งด้านใน จัดแจงกันเองเสร็จสรรพไม่ปรึกษาใคร กว่าเลอมานจะรู้ตัวอีกที ก็ถูกจับให้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองสหายแล้ว
อาจารย์คนึงที่นั่งติดกับสง่ากระแอมขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “สง่า สลับที่เดี๋ยวนี้ ให้คุณชายนั่งข้างครู”
“อะไรเล่าอาจารย์ เด็กๆ เขาจะคุยกัน” เด็กขี้เถียงอย่างสง่าพูดแบบนี้ เล่นเอา ‘ผู้ใหญ่’ เม้มปากเป็นเส้นตรง
“เผื่อคุณชายฟังไม่ทันตรงไหน พวกผมจะได้คอยอธิบายไง” สันติเข้าข้างเพื่อนเต็มที่ เลอมานได้แต่อึกอัก เหลือบมองคนรักที่ถูกสง่านั่งขวางกั้นไว้อย่างอึดอัดใจ
“พูดไม่รู้ฟังนะ” อาจารย์เริ่มทำหน้าดุขึ้นมาแล้ว “หรืออยากโดนหักคะแนน”
เจอขู่แบบนี้เข้าไปคู่หูก็หัวหด สง่าจึ๊ปากเสียดมเสียดายก่อนยอมสลับที่กับเลอมานอย่างเสียไม่ได้ ในที่สุด.. อาจารย์ก็ได้นั่งข้างศิษย์รักสาสมใจ
แสงไฟสว่างค่อยดับมืดลง เหลือเพียงแสงจากจอผ้าใบตรงหน้า เลอมานกำลังจดจ่ออย่างตื่นตาตื่นใจมีอันต้องสะดุ้งเมื่อมือที่วางไว้บนพนักถูกลูบไล้ไปมาแผ่วเบา
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หันมองตัวการข้างกาย คนอะไร ทำเป็นตั้งหน้ามองตรงราวกับตั้งใจดูหนังเต็มที่ แต่มือซุกซนกลับกุมมือเขาเอาไว้จนแน่น ค่อยๆ แทรกนิ้วกุมกระชับ เลอมานได้แต่อมยิ้มในแสงสลัว ใจเต้นถะถี่ขึ้นมา มือเล็กกุมมือใหญ่นั้นไว้แน่นเหนียวเช่นเดียวกัน
*****************************
นาฬิกาลูกตุ้มที่แขวนไว้ข้างผนังตีเหง่งหง่างบอกเวลา ๓ ทุ่ม จ้อยปิดหนังสือถอนใจเฮือกๆ ตัวหนังสือที่อ่านไปไม่เข้าหัวเลยสักนิด
ใจมันคอยพะวงอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ดึกป่านนี้แล้ว ไอ้สิงห์จะกินข้าวหรือยัง แผลเลือดโกรกที่ขมับจะเป็นอย่างไรบ้าง มีใครดูแลทำแผลให้หรือยังหนอ แล้วค่ำคืนนี้ไอ้นักเลงหัวไม้คนนั้นจะนอนที่ไหน จะไปก่อเรื่องวิวาทกับใครอีกหรือเปล่า
เห็นไหม เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น แต่จ้อยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงหยุดคิดไม่ได้
ใจที่ลอยเหม่อไปไกลมีอันต้องชะงัก ทั้งร่างสะดุ้งโหยง เมื่อบานประตูไม้เปิดออกชนิดไม่ให้สุ้มให้เสียง หากพอเห็นผู้มาเยือนถนัดตา ริมฝีปากที่เตรียมแย้มยิ้มส่งให้มีอันต้องหุบฉับ
คุณนายพูนทรัพย์ในชุดนอนกรุยกรายยืนอยู่ตรงหน้า หาใช่คนที่เขารอคอยอยู่ไม่
คิดถึงตรงนี้ก็ตกใจ นี่เขากำลัง ‘รอคอย’ ไอ้สิงห์อยู่อย่างนั้นหรือ
“ตาสิงห์ยังไม่กลับมาอีกหรือ” เมียกำนันถามเสียงละห้อยเมื่อกวาดตามองไปรอบห้องแล้วไม่พบลูกชายสุดที่รัก
“ยังเลยจ้ะ” ฟังคำตอบแล้วคุณนายก็ถอนใจเฮือกๆ เดินไปทรุดกายนั่งลงบนเตียงกว้าง มือขาวลูบไล้หมอนลูกชายแผ่วเบา
“เฮ้อ.. ป้าข่มตาหลับไม่ลงเลยจริงๆ” นัยน์ตาที่กราดเกรี้ยวใส่จ้อยอยู่เสมอ บัดนี้กลับสลดลงอย่างน่าสงสาร “จ้อยเอ๋ย อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ไปตามตาสิงห์ให้หน่อยได้ไหม”
หนุ่มน้อยนึกประหลาดใจที่เขาไม่รู้สึกขัดข้องสักนิด รอยยิ้มอ่อนจางเจือบนใบหน้าละมุนกระทบแสงตะเกียงเรืองรอง เสียงอ่อนโยนรับปากผู้ใหญ่เป็นมั่นเหมาะ เพราะอดคิดไปไม่ได้ว่าเป็นความผิดของตนเหมือนกัน ที่ทำให้ลูกชายกำนันเตลิดออกจากบ้านไปแบบนั้น
ป้าทรัพย์ไหว้วานแบบนี้ก็ดีเสียอีก อย่างน้อยจ้อยจะได้มีข้ออ้างไปตามหา เจ้ากุ๊ยกะโหลกกะลานั่นจะได้ไม่หลงเข้าใจว่าจ้อยเป็นห่วง
ห่วงหรือ? ไม่หรอก ไม่ได้เป็นห่วง แค่อยากรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เท่านั้นเองจริงๆ
คล้อยหลังคุณนายพูนทรัพย์ จ้อยก็ลุกขึ้นมาจัดแจงตัวเอง แอบยืมน้ำมันใส่ผมตันโจของสิงห์มาลูบลงผมสักนิดพอให้หายยุ่ง คว้าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่สิงห์ซื้อให้มาสวม เผื่อพี่เห็น พี่จะได้ดีใจที่น้องไม่ได้เอาไปทิ้งขว้าง
และหากพบกันสองคน หากเป็นไปได้ จ้อยก็อยากจะเอ่ยปาก ‘ขอโทษ’ สักคำ
****************************
จันทร์ไม่สกาว ดาวจึงแข่งแสงซุกซน ฟ้าบนมืดเหมือนผืนกำมะหยี่ ประดับอัญมณีเป็นรูปเป็นรอย ตรงนั้นลูกไก่ ๗ ตัว ตรงโน้นจระเข้ ตรงนู้นคันไถ
หนังจบแล้ว คนึงขับรถพาเด็กๆ เดินเที่ยวตลาดโต้รุ่งเลียบคลองเมือง สง่ากับสันติได้ข้าวหลามคนละกระบอก ส่วนคุณชายเดินแทะไหมฝันสีฟ้าอย่างใจลอยอ้อยอิ่ง เดินกินกันไปคุยกันไปใต้แสงดาวพราว
“ทำไมทุกคนในหนังถึงพูดเสียงเดียวกันหมด” เลอมานถามสง่าและสันติถึงประเด็นข้องใจในหนังที่เพิ่งดู “แล้วทำไมผู้หญิงพูดเสียงแหลมอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน”
“ไม่รู้หรอกหรือ” สง่าร้องถามแล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก
“รู้หรือเปล่าว่าผู้ชายเป็นคนพากย์” สันติถามกลับ “คนพากย์คนเดียวพูดแทนหมดทุกตัว” แล้วก็หัวร่อกันใหญ่ เลอมานได้แต่พยักหน้าหงึก เพิ่งรู้เอาเดี๋ยวนั้นเองว่าคนพากย์มีความสามารถแค่ไหน พูดคล่องคนเดียวได้ตลอดเรื่อง ไม่มีตะกุกตะกักเลย
อาจารย์หนุ่มเดินรั้งท้ายตามหลัง คล้ายระมัดระวังความปลอดภัยให้นักเรียนในความดูแล แต่สายตาจับจ้องอยู่เพียงคนเดียว
“คำว่าฉิบหายแปลว่าอะไร” เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ถามซื่อๆ แต่เล่นเอาคนฟังแทบสำลัก สันติทำหน้าเหมือนข้าวหลามติดคอขึ้นมาดื้อๆ อาจารย์คนึงกระแอมไอ ต่างพากันอธิบายอยู่นานกว่าเลอมานจะนึกออกว่าตรงกับภาษาอังกฤษว่า ‘Damn’ นั่นเอง
“เออ คุณเล็ก” สง่าก็อยากถามบ้าง “ทำไมฝรั่งมันจูบกันแต่ละที ขยี้ซะปากบิดปากเบี้ยว” ไม่ถามเปล่า ทำปากยื่นปากยาวประกอบเสียด้วย เล่นเอาคุณชายหัวเราะคิก
“เมืองนอกมันหนาวละม้าง” สันติออกความเห็น ดันแว่นขึ้นดั้งจมูกท่าทางทรงภูมิ
“คุณเล็กเคยจูบใครปากบี้อย่างนั้นหรือเปล่า” สง่าเล่นถามแบบนี้ คนถูกถามถึงขั้นหน้าร้อนวาบ เหลือบมองคนตัวโตที่เดินตามหลังมาติดๆ
“เคยแต่ถูกจูบ” คำตอบยิ้มๆ
“ฮ้า!” สง่าร้องลั่น ตาโตเท่าไข่ห่าน “สาวฝรั่งนี่ใจกล้าขนาดนั้นเชียว”
เลอมานไม่ตอบคำ ได้แต่ยิ้มละมุนก้มหน้าบิไหมฝันเนื้อนุ่มเข้าปาก รสหวานซ่านแล่นลามจากปลายลิ้นสู่หัวใจ
อยากบอกสง่าเหลือเกินว่า สาวฝรั่งที่ไหน หนุ่มไทยใกล้ตัวนี่ละ ร้ายนักเชียว
ศิษย์อาจารย์พากันเดินกลับมายังรถจี๊ปที่จอดไว้ สง่าตาไวกว่าใคร เพียงเห็นเพื่อนตัวเล็กเดินมาแต่ไกลก็โบกมือร้องเรียกโหวกเหวก ดึงดูดสายตาอีกสามคนที่เหลือให้หันมองเป็นตาเดียว
คนที่เป็นฝ่ายตกใจกลับเป็นจ้อย หนุ่มน้อยทำหน้าเหมือนเด็กขโมยขนมแล้วถูกจับได้ ได้แต่ยืนทื่อเป็นตุ๊กตายอมให้สองสหายลากแขนคนละข้างมาคุยกันที่รถแต่โดยดี
“โอ้โห.. แล้วนี่จะไปไหน แต่งตัวเสียเรี่ยม” สง่าเพิ่งเห็นเพื่อนรักถนัดตา เจ้าตัวกะเปี๊ยกในเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ รีดเรียบ ซ้ำยังหอมกลิ่นการบูรอ่อนๆ คนถูกสำรวจด้วยสายตาได้แต่ยืนเก้อ มือไม้ลูบผมเงอะงะเหมือนไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหน
“ทีเราชวนละไม่ยอมมา” คุณชายโอดไม่จริงจังนัก แต่เพียงคมตาคมปลาบเหมือนใบข้าวตวัดฉับเดียวจ้อยก็หน้าเจื่อนแล้ว
“นัดสาวที่ไหนหรือจ้อย” อาจารย์คนึงแซวขึ้นมาบ้าง เล่นเอาจ้อยโบกไม้โบกมือหน้าตาตื่น ครั้นพอให้เหตุผลว่าคุณนายพูนทรัพย์ใช้ให้มาตามหาลูกชาย เพื่อนๆ ของจ้อยก็บ่นเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งบ่นเมียกำนันที่ใช้งานไม่ดูเวล่ำเวลา ทั้งติเตียนเจ้านักเลงที่ดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้คนอื่น
ยิ่งพอรู้ว่าจ้อยเดินขาลากตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาด เที่ยวเสาะหาตามโรงบิลเลียด แม้กระทั่งซ่องนางทองใบก็ไปด้อมๆ มองๆ มาแล้ว เสียงบ่นก็ทวีความเผ็ดร้อนเป็นเสียงก่นด่าแทน คนึงเห็นวงหน้าอ่อนใสชื้นเหงื่ออย่างนั้นก็สงสาร ชักชวนกึ่งบังคับให้ขึ้นรถไปตามหาด้วยกัน
จ้อยสุดแสนจะเกรงใจ แต่เขาปฏิเสธอาจารย์ไม่เป็นจริงๆ
***********************