บทที่ ๑๙
อกเอยมันแค้น(ครึ่งแรกจ้ะ

)
อกเอยผิดหวัง ผิดหวังดังหยั่งน้ำคลอง
หยั่งจนถึงดั่งปองลึกในคลองแค่ไหน
ฝั่งนองวารี ซ้ายและขวามีเจนใจ
คลองลึกกว้างยาวเพียงใด หยั่งไปไม่ถึงซึ่งตม
อกเอยมันแค้น มันแค้นจนแน่นคับทรวง
ก้นคลองลึกหลอกลวง ถึงเพียงทรวงซ่านสม
ก้นคลองมีโคลนถึงหยั่งถึงโคลนและตม
ตมนั้นก็เป็นดั่งหล่ม ที่มีความลึกเกินหยั่ง*“คืนนี้.. ไม่ไปดูหนังแล้ว”
จ้อยสบตาสิงห์แวบหนึ่งแล้วก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ใจหนอใจ.. เพราะอะไรจึงแปลบวาบเพียงสบสายตาคู่นั้น ความผิดหวัง ความเสียใจ บรรจุอยู่ในประกายตาตัดพ้อนั้นเต็มเปี่ยม
“ทำไม..” เสียงแหบห้าวไม่ดังไปกว่ากระซิบนั่นก็บาดลงใจจ้อยเช่นกัน หนุ่มน้อยเอาแต่ก้มหน้านิ่ง อับจนถ้อยคำ ความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่เต็มอก แต่จ้อยไม่รู้จะทำอย่างไร คุณนายพูนทรัพย์บังคับให้เอามาคืน บังคับให้ปฏิเสธไม่ไปดูหนัง ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันผิดที่ผิดเวลา แต่เดี๋ยวเขาต้องไปเข้าเรียนแล้ว ถ้าไม่ปฏิเสธเสียแต่ตอนนี้ การปล่อยให้สิงห์รอเก้อจนเย็นจนค่ำจะไม่เป็นการทำร้ายกันยิ่งกว่าหรือ
“ข้าถามว่าทำไม!” เสียงห้าวตะคอกลั่น ร่างสูงใหญ่ปราดเข้าประชิด มือหยาบบีบต้นแขนเล็กจนแน่นทั้งสองข้าง สิงห์ขบฟันกรอด นั่นละเจ้านักเรียนครูจึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตระหนก ความผิดหวังเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความเดือดดาลคลุ้มคลั่งอย่างง่ายดายเหมือนน้ำเดือดบนเตาไฟ
เพียงถูกน้องปฏิเสธ มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนถูกไอ้พวกเจ๊กนั่นชกกลับ เจ็บกว่าตอนถูกพ่อตบบ้องหูเสียอีก สิงห์อยากฉีกอกขาวๆ ตรงหน้าแล้วควักหัวใจออกมาดู อยากรู้นักว่ามันจะดำเหมือนอีกาไหม
“ใกล้..ใกล้สอบแล้ว.. ต้องอ่านหนังสือ” เสียงเล็กละล่ำละลัก มือบางพยายามแกะคีมเหล็กออก แต่สิงห์ยิ่งเพิ่มแรงบีบแน่นจนจ้อยนิ่วหน้า
“งั้น..ถ้าสอบเสร็จแล้วล่ะ ไปกับพี่ได้ไหม” พูดไปแล้วก็แสนสมเพชตนเองนัก ถูกปฏิเสธขนาดนี้แล้วยังมีหน้าไปวิงวอนเหมือนคนโง่
“ไม่เอา วันไหนก็ไม่ไป ปล่อย..” ไม่ ไม่ ไม่ คำว่า ‘ไม่’ หล่นจากกลีบปากสีเรื่อนั่นกี่ครั้งแล้ว เสียงห้าวแค่นหัวเราะ เล่นยืนกรานกระต่ายสามขาแบบนี้ เหตุผลที่แท้จริงคือต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบหรือนักเรียนครูผู้แสนดีไม่อยากเดินกับอันธพาลสวะสังคมอย่างเขากันแน่ คิดถึงตรงนี้ มือหนาเค้นแรงลงโดยไม่รู้ตัว เนื้อขาวๆ แทบทะลักตามง่ามมือแกร่ง สิงห์ออกแรงนิดเดียวก็ตรึงร่างบอบบางไว้กับฝาเรือนได้อย่างง่ายดาย
“อยากรู้น้ำใจเอ็งนัก” เสียงแหบพร่าลอดไรฟัน สายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนั้นคลอวับด้วยหยาดน้ำใส “ถ้าพี่ขาดใจตายลงต่อหน้า เอ็งจะไปเผาผีพี่ไหม จะเสียน้ำตาให้พี่สักหยดหรือเปล่า”
“ไม่..ไม่รู้.. ปล่อย!” จ้อยลนลานดิ้นปัดๆ ต่อต้านสุดกำลัง แต่ตัวบางๆ เหมือนตุ๊กตากระดาษจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาขัดขืนเขาได้ “ปล่อยเดี๋ยวนี้! จะไปเรียนแล้ว ปล่อย..อุ๊บ!”
โดยไม่ทันให้ตั้งตัว ใบหน้าคมคร้ามโน้มลงกดจูบริมฝีปากบางอิ่มทันที ปิดกลีบปากที่ดีแต่เอ่ยถ้อยคำตัดรอนเสียด้วยจูบหักหาญบ้าคลั่ง
“อื๊อ..” เสียงประท้วงถูกช่วงชิงไปเสียสิ้น นัยน์ตาคู่สวยเบิกโพลง ร่างเล็กดิ้นพราดเหมือนจะขาดใจ แขนขากระแทกฝาเรือนดังตึงๆ ด้วยแรงพยศ เสียงดังจนน่าจะได้ยินไปทั้งเรือน แต่สิงห์กลับไม่สนใจสักนิด คุกคามตะโบมจูบอย่างเอาแต่ใจ เสียงลมหายใจร้อนผ่าวรุนแรงเหมือนสัตว์ป่า ยิ่งใบหน้าเล็กพยายามส่ายหนี ริมฝีปากรุมร้อนยิ่งตามติด ลิ้นแข็งราวกระเบื้องสอดแทรกเข้าไป ดูดกลืนหนักหน่วง ไม่สนใจร่างในอ้อมกอดที่สั่นสะท้านอย่างตื่นกลัว ฟันคมขบเม้มจนได้รสเลือดเค็มปร่าในปาก เขารู้ว่ามันกลัว รู้ว่ามันเจ็บ แต่ช่วยไม่ได้ มันอยากมาทำให้เขาเจ็บก่อนทำไม ยิ่งมันดิ้นรนขัดขืน เขายิ่งกระหน่ำความรุนแรงประเคนให้อย่างถึงอกถึงใจ
ไอ้งูเห่าเลี้ยงไม่เชื่อง แผลที่หน้าก็ได้มาเพราะอุตส่าห์ปกป้องมัน สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเขาปกป้องมันเพื่อให้มันมาเอามีดแทงใจเขาภายหลัง มันเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ ความจริงมันโดนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ!
เสียงทุบประตูดังรัวอยู่ภายนอก ตามมาด้วยเสียงน้าแป้นตะโกนเรียกชื่อพวกเขาโหวกเหวก สิงห์ยังไม่มีทีท่าจะปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ หนุ่มน้อยยิ่งออกแรงขัดขืนสุดใจ หัวใจเต้นรัวจนกลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก กลัวเหลือเกินว่าน้าแป้นจะเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพบัดสี จนกระทั่งได้ยินเสียงบานประตูลั่นออด น้าแป้นกำลังเปิดประตูเข้ามาแล้ว! ทำอย่างไรดี!
เมื่อนั้น ลูกชายกำนันยอมผละออกอย่างง่ายดาย น้ำลายอ่อนใสทิ้งสายเป็นทางตามเรียวลิ้นที่ถอดถอน น้าแป้นกับหนูน้ำฝนเข้ามาทันเห็นเพียงจ้อยทรุดกายฮวบลงกับพื้น สองมือเล็กปาดป้ายริมฝีปากเจ่อช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนก
“สิงห์ทำอะไรครูน่ะ!” สองแม่ลูกปราดเข้ามาหา ก่อนน้าแป้นหันไปถามคนที่ยืนหอบอย่างคาดโทษ “มันเรื่องอะไร ทำไมถึงต้องตีกันล่ะพ่อ”
หนูน้ำฝนหิ้วล่วมยาเข้ามาด้วย สองแม่ลูกคงตั้งใจมาทำแผลให้ลูกชายกำนัน หากดวงตาคมปลาบนั้นกลับจ้องมองจ้อยไม่วางตา ร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยแรงชิงชังเมื่อเห็นอีกฝ่ายแลบลิ้นเลียริมฝีปากเอร็ดอร่อย ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มหยันก่อนเดินออกไปไม่สนใจไยดี หากพอน้าแป้นเรียกให้มาทำแผลก่อนก็ตะคอกใส่อย่างก้าวร้าว
“ช่างมัน! ปล่อยให้ตายโหงตายห่าไปซะ!”
เสียงฝีเท้าตึงตังทิ้งระยะห่างออกไปแล้ว เสียงก่นด่าของลุงกำนัน และเสียงร่ำเรียกหาของคุณนายพูนทรัพย์อึงอลอยู่ข้างนอก ชั่วอึดใจเดียว จ้อยก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไทร์อัมพ์ดังกระหึ่มจากใต้ถุนเรือน
เสียงเร่งเครื่องห้อตะบึงไปไกลจนหายไปจากโสตประสาท แต่จ้อยก็ยังกอดตัวเองตัวสั่นงันงก ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะพยุงกายลุกขึ้น ต้นแขนขาวขึ้นรอยแดงเป็นรูปห้านิ้วจนเห็นได้ชัด
“ตายจริง! ครูปากแตกด้วย! โดนตาสิงห์ชกเอาสิเนี่ย” น้าแป้นร้องขึ้นเมื่อเห็นรอยช้ำบนริมฝีปาก มือขาวรีบปาดเช็ดลนลาน หนูน้ำฝนเดินไปหยิบห่อขนมและถุงเสื้อที่กระจัดกระจายขึ้นมาแกะดูอย่างสนอกสนใจ
“น้ำฝนเอาไปกินสิ” จ้อยเสเปลี่ยนเรื่อง พยายามหันเหความสนใจน้าแป้นออกจากริมฝีปากเขาสักที แต่แม่หนูน้อยกลับเบ้หน้า ส่งห่อขนมคืนหน้าตาเฉย
“หนูกินไม่ได้ มีแต่ขนมแข็งๆ ไม่มีฟันเคี้ยว” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างอวดฟันหลอ เล่นเอาใจคนฟังกระตุกวูบ
คุณนายพูนทรัพย์พูดถูก สิงห์ตั้งใจซื้อของพวกนี้มาให้เขา
ใบหน้าขาวซีดก้มมองพื้นนิ่ง ความรู้สึกผิดถาโถมกัดกินใจ ครั้นยกมือขึ้นแตะปากเจ่อช้ำของตนก็ถึงกับสะดุ้ง คล้ายริมฝีปากผ่าวร้อนของใครคนนั้นยังติดตรึงอยู่ไม่วางวาย
******************************
วันนี้จ้อยเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องทั้งวัน ทั้งที่คาบภาษาอังกฤษของหม่อมราชวงศ์เลอมานออกจะสนุกสนานครึกครื้น คุณชายสูงศักดิ์หิ้วกระเป๋าเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาที่ห้องเรียนแต่เช้า ใครๆ ก็ต่างรอคอยคาบสอนของคุณชายเล็กของจ้อยกันทั้งนั้น ค่าที่นอกจากจะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ จากเพลงแล้ว ยังได้ฟังเพลงฝรั่งพร้อมคำแปลที่ครูฝึกสอนรูปสวยสรรหามาใช้เป็นสื่อการสอนด้วย
คุณชายจะแจกกระดาษโรเนียวให้นักเรียนทุกคน ในนั้นมีเนื้อเพลงที่ใช้สอนประจำวัน แต่บางช่วงของเนื้อขาดหายไปเป็นช่องว่าง รอให้นักเรียนครูทั้งหลายเขียนคำศัพท์ลงไป
When the moon hits your eye like a big a pizza pie, That’s amoreทันทีที่เข็มจรดแผ่นไวนิล ๑๒ นิ้ว ทำนองเพลงคุ้นหูดังขึ้น สง่าก็หัวเราะก๊ากอย่างห้ามไม่อยู่
“คุณชาย นี่มันเพลงเด๊ดสะมอเร่นี่” นักเรียนจอมทะเล้นยังหัวเราะกึกๆ ไม่หาย
“หือ” หม่อมราชวงศ์เลอมานขมวดคิ้วมุ่น ดูท่าจะงงกับคำศัพท์ใหม่อยู่ไม่น้อย “เด๊ดสะมอเร่? แปลว่าอะไร”
“เด๊ดสะมอเร่ เก๊าะตายแหงแก๋น่ะซี” สง่าลอยหน้าลอยตาตอบ ซ้ำสงเคราะห์ให้ด้วยการร้องเพลงยียวน “รักคนผิด คิดจนกลุ้ม หัวชมตุ่ม ขนชี้เด่..เด๊ดสะมอเร่..” เรียกเสียงหัวเราะได้ฮาครืน ก็สง่าเล่นแปลงเขามาอีกที บางคนมีการปรบมือให้จังหวะเสียด้วย “น้ำใจเธอ ช่างแปรปรวน ล้วนโกหก พกลมยิ่ง รักจึงรวนเร”
อาจารย์ฝึกสอนผู้สูงศักดิ์ยิ้มมุมปาก นิ่งมองนักเรียนตัวแสบวาดมืออวดลีลาร้องเพลง มือขาวเท้าแขนลงกับโต๊ะ เคาะชอล์กในมือก๊อกๆ ทำหน้าเหมือนสะกดอารมณ์บางอย่างไว้สุดกลั้น เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนเป็นครูบาอาจารย์นั้นเหนื่อยยากเพียงใด นี่อาจเป็นกรรมที่เขาเคยทำไว้กับเหล่ามาสเซอร์ที่โรงเรียนย้อนกลับมาสนองก็เป็นได้
นึกแปลกใจตัวเองที่อารมณ์เย็นลงกว่าตอนเพิ่งมาที่นี่วันแรกๆ ลิบลับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน โดนหัวเราะขนาดนี้เขาคงตวาดลั่นห้องไปแล้ว
มือเรียวกำชอล์กแน่น หรี่ตากะระยะและองศาเป็นมั่นเหมาะ เงื้อง่าขึ้นเล็ง..
“เมื่อยามรัก ปากก็บอกว่าจริง ว่าจะแอบจะอิง ไม่ทอดทิ้ง ฉันให้ว้า.. อุ๊บ!” ปากที่อ้ากว้างมีอันต้องหุบฉับ สง่าโก่งคอถุยๆๆ จนหน้าแดงก่ำ เพื่อนนักเรียนพากันหัวเราะขำ
จะอะไรเสียอีก คุณชายเล่นปาชอล์กเข้าปาก ปาแม่นเสียด้วย
เลอมานปัดมือสาสมใจ มือแม่นอย่างนี้เขาหันไปเอาดีทางโปโลน้ำท่าจะเหมาะ
อ้อ ลืมไป.. เขาว่ายน้ำไม่เป็นนี่ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้อาจารย์คนึงสอนให้ก็ได้ ง่ายจะตาย
“โธ่คุณเล็ก! เล่นอะไรนี่!” สง่าเช็ดปากป้อยๆ สำลักไอจนหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มสูงศักดิ์เดินตรงเข้าหา ก้มหน้ากระซิบให้พอได้ยินกันสองคน
“กล้าหือกลับฉันหรือสง่า ระวังคืนนี้จะชวดดูหนังเสียหรอก” เล่นเอาคนฟังคอหด นั่นแน่ รู้จักคำว่า ‘หือ’ กับ ‘ชวด’ เสียด้วย สง่าเดาว่าคุณชายคงไปได้ยินมาจากใครสักคนแล้วเอาไปถามอาจารย์ร่วมห้องเป็นแน่ เจอขู่เข้าไปแบบนั้นจอมป่วนประจำห้องก็เงียบกริบ
ดวงตาสีน้ำตาลใสกวาดมองรอบห้อง พบภาพขัดหูขัดตาอีกภาพ
นักเรียนครูร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าห้อง นักเรียนที่ตั้งใจเรียนที่สุดในห้อง วันนี้กลับดูเหม่อลอยซึมเซา ดวงตาที่เคยสดใสกระตือรือร้นอยู่เป็นนิจมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากอยู่นั่น
“จ้อย!” เลอมานย่องไปตบโต๊ะดังตึง! เรียกเสียงดังเล่นเอาคนใจลอยสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นพรวดพราด
“คะ-ครับ!”
“มัวเหม่ออะไรอยู่ อยากโดนชอล์กอีกคนหรือไง” เสียงใสตวัดขุ่นมัว นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ทันทีที่เจอหน้ากันจ้อยก็เล่นบอกว่าไปดูหนังด้วยไม่ได้แล้ว ทั้งที่เขาตั้งใจว่าจะพาไปเที่ยวให้สนุกกันแท้ๆ ยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์
“เปล่าครับ” หนุ่มน้อยก้มหน้าตอบอุบอิบ ยิ่งทำให้คุณชายขวางหูขวางตานัก เห็นอยู่ว่าเหม่อแล้วยังจะเถียงข้างๆ คูๆ
“ว่าแต่จ้อย วันนั้นคุณเล็กก็เหม่อ” สง่าเจ้าเก่าขัดขึ้น เลอมานรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบกลางแสกหน้า
“อะไร เมื่อไร” เขาเลิ่กลั่กอย่างซ่อนไม่มิด “ฉันเปล่าเหม่อนะ”
“ช่วงนี้เลือกแต่เพลงรักมาสอน เอ.. กำลังมีความรักหรือเปล่าคุณเล็ก” นักเรียนครูตัวแสบถามเข้าเป้าไม่เกรงใจใคร “เมื่อวานก็เพลง One night with you”
“นั่นสิ คืนหนึ่งกับใครหรือ” สันติถามขึ้นมาเป็นลูกคู่ เลอมานอับจนคำตอบ รู้สึกเหมือนถูกต้อนจนมุม เจ้าพวกที่เหลือก็พากันเป่าปากเฮฮา มีแต่จ้อยที่กลับไปนั่งเหม่อเหมือนเดิม
“นั่นแน่.. ถามแค่นี้ทำไมต้องหน้าแดงด้วย” สง่าแซวขึ้นมาอีก คุณชายสะดุ้งโหยง ยกสองมือปิดแก้มร้อนผะผ่าว คราบชอล์กบนฝ่ามือทิ้งรอยขาวเปื้อนแก้มเป็นปื้น
ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตกหลุมพรางเข้าแล้ว
“ห้องนี้ครึกครื้นดีนะ ขอเรียนด้วยคนสิ” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยดังขึ้น เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หันมองตาม ร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกอมยิ้มอยู่หน้าประตู มายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้
เลอมานยิ่งออกอาการเลิ่กลั่ก สองแก้มร้อนวาบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคงแดงซ่านไปถึงใบหู ทั้งที่เมื่อคืนนี้นอนหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดกันและกันแท้ๆ หากพอมามองตากันต่อหน้านักเรียนทั้งห้องแบบนี้
อาจารย์คนึงไม่รอคำอนุญาต เล่นเดินอาดๆ เข้ามานั่งลงตรงโต๊ะนักเรียนที่ว่างอยู่หน้าตาเฉย อาจารย์ผู้เข้มงวดมาปรากฏตัวแบบนี้ ทำให้บรรยากาศการสอนดูจริงจังขึ้นมา.. นิดหน่อย
“ใครแกล้งคุณชายเล็กครูจะหักคะแนนให้หมด” เสียงห้าวประกาศไม่จริงจังนัก แต่ก็เล่นเอาสง่ากับสันติหัวหด เสียงโอดครวญดังขึ้นเซ็งแซ่ทั่วทิศ
เลอมานกระแอมแก้เก้อ เดินไปปรับเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้เริ่มเล่นเพลงใหม่ หลบสายตาคนึงที่มองตามเขาทุกอิริยาบถด้วยดวงตาเป็นประกาย เมื่อเหล่านักเรียนก้มหน้าก้มตาเขียนคำศัพท์ลงในเนื้อเพลง ครูฝึกสอนร่างเล็กเดินตรวจตรารอบห้อง ทันทีที่ผ่านหน้าคนึง มือแข็งแรงก็คว้าแขนเขาหมับ
เด็กหนุ่มชะงักงัน ยิ่งใจสั่นเมื่อมืออบอุ่นยื่นมาเช็ดรอยเปื้อนที่แก้มออกให้อย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่ใสเหลียวมองรอบห้องเลิ่กลั่ก นึกโล่งใจที่เหล่านักเรียนพากันก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรยุกยิก
การสอนดำเนินไปตามปกติ เลอมานก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แม้หัวใจจะเต้นโครมครามทุกครั้งที่หันไปเห็นดวงตาสีเข้มทอดมองมาอย่างชื่นชม เขาเฉลยคำศัพท์และแปลความหมายเนื้อเพลงไปตามที่เคยทำ เหล่านักเรียนก็เฮฮากันไปอย่างเคย
มาไม่เหมือนเคยก็ตอนที่..
มือขาวจรดตัวอักษรลงบนกระดานดำเสร็จสิ้น ก่อนหันมาถามนักเรียนในห้อง “มีใครไม่เข้าใจคำไหนอีกบ้างไหม” ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่ว คนที่มักยกมือขึ้นถามอยู่เสมออย่างจ้อย ตอนนี้ก็ยังคงเหม่อลอย.. อืม.. ปล่อยไป ส่วนคนอื่นเอาแต่นั่งเงียบ เด็กไทยก็อย่างนี้ ไม่ค่อยกล้ายกมือถามอาจารย์ในชั้นเรียน
หากใครคนหนึ่งกลับยกมือขึ้น เลอมานตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเป็นอาจารย์คนึง
“That’s amore แปลว่าอะไรหรือ” เสียงทุ้มถามพร้อมรอยยิ้ม ดูไม่ออกว่าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งเขากันแน่
ริมฝีปากเรื่อเม้มแน่น เขาละเลยคำนั้นไปเพราะเห็นว่ามันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงจนร้อนผ่าวทั้งสองแก้ม ความหมายที่รู้อยู่แก่ใจพาความหวานจากไหนไม่รู้มาอวลซ่านอยู่เต็มอก
“เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า..” เลอมานสบสายตาคนถาม ภายใต้สีหน้าที่ดูปกตินั้นคือหัวใจที่เต้นรัวจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมาจากอก เผลอมองริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้ม ริมฝีปากนี้ไม่ใช่หรือที่เมื่อคืนเพิ่งฝากรอยจุมพิตไว้บนปากเขา คิดถึงตรงนี้แล้วใจก็สั่นหวิว ยามเอื้อนเอ่ยความหมาย.. ความนัย..
“นี่แหละความรัก”
**********************************
แค่เนี้๊ยะ
ย่องมาอัพเงียบๆ แล้วจากไป มาช้าแล้วยังมาน้อยอีกนะ โธ่ถัง
ดอกไม้
๒๕ ก.ย. ๕๕