บทที่ ๑๗
ชายเดียวในดวงใจ(ครึ่งหลังจ้ะ

)
เลอมานรู้สึกว่าพื้นฟากที่ตนนั่งอยู่นุ่มนวลเหมือนปุยเมฆ ไม่มีเพลงเหมือนในหนังที่เคยดู มีเพียงเสียงฝนที่พลัดกระจายจากฟ้า ไม่มีสิ่งแวดล้อมสวยงามหรือดวงดอกไม้ใด หากลืมตาขึ้น สายตาที่เริ่มชินกับความมืดเห็นเพียงกระท่อมเก่าซอมซ่อ
แต่ที่สอดแทรกเข้ามาในความรู้สึกนึกคิด ไยงดงามเลิศล้ำ หวานสุดหวาน หรือริมฝีปากของอาจารย์เคลือบด้วยน้ำผึ้ง
เด็กหนุ่มหลับตาพริ้ม เลื่อนมือขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่ม แทรกปลายนิ้วเข้าไปในเรือนผมดกดำ ริมฝีปากแนบชิด แลกเปลี่ยนต่อกันและกัน ความอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นความร้อนเร่า ความร้อนเร่าทวีเป็นความดุดัน
คนึงสุดจะดาลใจ ลิ้นที่สอดเข้าในโพรงปากเล็ก เกี่ยวกระหวัดรัดพัน ก่อให้เกิดเสียงคล้ายน้ำไหลจากโตรกชะง่อนผา ไม่มีจุดไหนบนร่างเล็กที่ไม่ถูกแตะต้อง ริมฝีปาก.. สองมือ.. เดินทางกวาดไล้ไปทั่วเนื้อตัวสั่นสะท้าน ซอกคอ ลาดไหล่ แผ่นอกขาวเนียน หน้าท้องเรียบ คล้ายเรือนกายเลอมานเป็นดินแดนที่คนึงเพิ่งค้นพบ เป็นสระน้ำเสน่หาที่น่าแหวกว่าย คนึงนึกอยากแปลงกายเป็นปลาในสระน้อย สำราญให้สาใจ
ชายหนุ่มดึงผ้าออกจากร่างขาวผุดผาด บนอกขาวเนียนมีจุดกะจิดริดสีเรื่อ อดใจไม่ไหวจนต้องลองชิมรส วูบวาบในใจ เขาไม่อยากให้หลังสวยๆ ต้องแดงช้ำเพราะไม้ฟาก จึงปลดผ้าผืนนั้นรองรับเลอมานไว้
ในท่าเอนหงาย หม่อมราชวงศ์สูงศักดิ์กลับกลายเป็นเพียงคนคนหนึ่ง น่ารักน่าใคร่น่าเสน่หา คนึงไม่อาจรู้จริงๆ ว่าความรู้สึกที่ปะทุขึ้นนี้มาจากไหน มีความละเมียดบาดคม มีอารมณ์ที่แทรกมาไม่ขาดสาย แตะมือแตะปากลงตรงไหนก็หวานหอมไปเสียสิ้น เสียงครางหวานหูกระตุ้นเร้าให้ใจเตลิด เมื่อชายหนุ่มส่ายศีรษะไล่รุกเอารสจากต้นขาที่สั่นไหว มือเล็กที่เอื้อมมากดหัวดูไร้เรี่ยวแรงสิ้นดี
เลอมานสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วอุ่นไล้ลงซอกมุมเร้นลับ ความเจ็บแปลบเสียดแทงเข้ามา ร่างเล็กขยับหนีโดยสัญชาติญาณ หากคนึงปิดริมฝีปากที่กำลังจะเปล่งเสียงร้องนั้นไว้ด้วยจูบอ่อนหวาน ปลายนิ้วชำแรกรุกรานถึงเนื้อใน ในเรือนกายร้อนผะผ่าวมีตาน้ำซุกซ่อนอยู่ที่ใดหนอ
“อะ..อาจารย์..” เสียงหวานครางหวิว ปลายเล็บจิกลงหัวไหล่กำยำจนขึ้นรอย ดั่งมีมวลพายุก่อตัวในกาย ทั้งร่างสั่นเกร็งไหวสะท้าน ก่อนกรีดร้องออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อถึงขีดสุด
เหลือเชื่อ คนึงขยับนิ้วไม่กี่ที ตาน้ำก็ทะลักทลาย ความปรารถนา ความโหยหาหลั่งรินเนืองนอง
เด็กหนุ่มยังนอนหอบหายใจระทวย แต่พลัน ไม่มีการเตือนล่วงหน้า คนึงรุกเข้าในพื้นที่ส่วนตัว ด้วยบางสิ่งที่ร้อนกว่า แน่นกว่า แข็งกว่า ใหญ่โตกว่าปลายนิ้วหลายเท่านัก
เลอมานเจ็บจี๊ด แผดเสียงลั่น ดั่งรู้ คนึงยอมหยุดอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคร้ามก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อ แค่ขยับตัวนิดเดียวร่างเล็กก็สะเทือนสะท้านทั้งกายใจ แขนเรียวโอบรัดรอบลำคอหนา
อาจารย์พรมจูบทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่ ทั้งที่เจียนขาดใจ ทั้งอุ่น ร้อน รัดแน่น ดูดกลืน บีบรัด ชุ่มฉ่ำจนละลานใจ ลมหายใจผะผ่าว..เหงื่อหลายล้านหยดรดลงชโลมกัน
คุณชายเจ็บจนความเหยเกแสดงออกทางใบหน้า แต่พยายามกัดฟันแน่นเมื่อคนึงผ่านเข้าไป ในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งหวาดหวั่น ทั้งเต็มตื้น เหมือนถ่ายเทความลึกซึ้งถึงกัน ก่อเกิดเป็นสายใยผูกพันสองดวงใจ จูงมือกันข้ามผ่านพรมแดนความเป็นอื่น
“อาจารย์.. ผมรักอาจารย์” เลอมานสำลักด้วยเสียงสะอื้น สายตา..วาจา..ถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจออกมาจนหมดสิ้น
รัก.. คำนั้นช่างประหลาดนัก เหมือนเรียกฝนเรียกฟ้ามาจนสั่นสะเทือน คำคำเดียวปลุกบางสิ่งในตัวชายหนุ่มคุโพลง ดั่งมีผีเสื้อกระพือปีกอยู่ในตัวและหัวใจ ในช่วงเวลาที่ปราศจากสถานะ ฐานันดรใด ปราศจากอดีตและอนาคต มีแค่ปัจจุบัน มีเพียงเลือดเนื้อร้อนเร่า หัวใจสั่นไหว กับการเอาใจใส่อีกฝ่าย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เรียนรู้กันและกัน ปรารถนาจะให้ เต็มใจที่จะรับ
คนึงไม่ยับยั้งการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
มือใหญ่แยกขาเรียวออกกว้าง ขยับกายถะถี่ดั่งใจปรารถนา
“อะ..อ๊าาาา” เลอมานหวีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เจ็บราวทั้งร่างจะฉีกออกเป็นสองซีก หากเพียงอาจารย์มอบจูบอ่อนหวานให้ ความเจ็บร้าวก็ลดลงอย่างเหลือเชื่อ มีความรู้สึกอื่นที่สดใหม่หวานล้ำเข้ามาแทนที่ อาจารย์สอนให้เขาเรียนรู้ความสุขสมที่ไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยมีใครมอบให้ ดั่งอาจารย์ฉุดมือพาเขาดำดิ่งลงห้วงนรกเดือดพล่าน แล้วอีกอึดใจก็พาฉุดขึ้นสรวงสวรรค์ หลับตาลงเห็นดวงดาวพลัดพราย เหมือนมีจักรวาลเล็กๆ อยู่ใต้เปลือกตา จักรวาลของพวกเขาสองคน ไม่มีช่องว่าง ไม่มีพื้นที่เหลือให้เรื่องอื่นใด.. หรือคนใด
ฝนภายนอกซาลงแล้ว แต่ภายในกลับทวีความคลุ้มคลั่งปั่นป่วน เลอมานไหวโยกไปทั้งร่างตามจังหวะที่อีกฝ่ายควบคุม กอดรัดกันและกันแนบแน่น เสียงหวานครางลั่นปานโลกจะสะเทือน ลมพัดมาแรงและเร็ว หอบดอกไม้หอมอวลกระจายฟุ้ง
พายุแห่งแรงสวาทปรารถนา
ได้พัดพาเพลงแผ่วพรแว่วหวาน
ฝนน้ำค้างพร่างพรูสู่วิมาน
เริงสำราญระหว่างห้วงสองดวงใจ**........................
คนึงเคาะไม้เรียวในมือลงพื้นอย่างใช้ความคิด คิ้วเข้มขมวดมุ่น บรรยากาศในห้องเรียนอึมครึมเหมือนท้องฟ้าขมุกขมัวภายนอก นักเรียนทั้งห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงไม้เรียวเคาะพื้นดังก๊อกๆ แสนอึดอัดและกดดัน
แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กนักเรียนตรงหน้านี่จะไม่สะทกสะท้านสักนิด
“ทำไมมาสาย” เสียงห้าวถามห้วน ดวงตาสีเข้มเคร่งเครียด
“ไปธุระครับ” จินดาตอบกลับมาสั้นๆ ใบหน้าหวานคมเรียบเฉย ดวงตาคู่สวยมองสบมาแน่วแน่ ชายหนุ่มพยายามมองหาความเกรงกลัวในแววตาคู่นั้น แต่กลับไม่พบแม้เพียงเศษเสี้ยว
พบเพียงความอวดเก่ง ถือดี
“ธุระอะไร”
“เรื่องส่วนตัวครับ” คำตอบแทบจะในทันที ยังคงสู้สายตาไม่ลดละ
คนึงลอบกัดฟันกรอด กำไม้เรียวในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว สายตาตำหนิสำรวจอีกฝ่ายหัวจรดเท้า เด็กหนุ่มตรงหน้า.. จินดา นักเรียนในความดูแลของเขาคนนี้ ร่างเล็กผอมบางอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดอกจำปาที่มีรอยปะชุนสองสามแห่ง กางเกงขายาวสีกากีเก่าจนซีด ผมเผ้าแม้ไม่ถึงกับยาวรุงรังแต่ก็ถือว่าผิดระเบียบ ไม่รู้ว่าไม่มีเงินค่าตัดผมหรือจงใจทำตัวเป็นกุ๊ยกันแน่
แล้วนั่น.. ประกายอะไรในแววตา ก้ำกึ่งกันระหว่างความเด็ดเดี่ยวและโอหัง มีรอยบาดบางๆ บนแก้มขาว มือข้างหนึ่งก็พันผ้าพันแผล ดูท่า.. คงไม่พ้นไปหาเรื่องต่อยตีกับใครมา
คนึงพิพากษาในใจ พวกดื้อเงียบ เด็กพวกนี้จัดการยากกว่าพวกเกะกะเกเรเสียอีก
ความจริง การเรียนของจินดาถือว่าพอใช้ แต่ที่ต่ำติดลบคือระเบียบวินัย ขนาดเป็นแค่นักเรียนครูยังมาเข้าเรียนสายเป็นชั่วโมงได้ทุกวัน แถมบางคาบยังนั่งหลับต่อหน้าต่อตาเขาในห้องเรียน ถ้าจบออกไปเป็นครู จะดูแลสั่งสอนนักเรียนได้หรือ
คนเคร่งครัดอย่างเขาต้องสั่งสอนให้หลาบจำ
ไม้เรียวฟาดลงสะโพกนักเรียนตัวเล็ก ๑๐ ที เขานึกทึ่งนิดหนึ่งที่จินดาไม่ส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดสักนิด ขณะที่พวกนักเรียนคนอื่นถึงกับครางอือเหมือนเจ็บแทน
จากนั้นมือใหญ่เปิดลิ้นชัก คว้ากรรไกรคมกริบมายืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ดึงปอยผมที่ยาวระใบหูออกมาแล้วตัดฉับจนแหว่ง เสียงคมกรรไกรบั่นเส้นผมนิ่มดังฉับอยู่ในความเงียบงัน มีความตื่นตระหนกอยู่ในดวงตาคู่สวยแวบหนึ่ง ก่อนเส้นผมที่ถูกตัดร่วงละลิ่วลงพื้น
นักเรียนทั้งห้องส่งเสียงฮือฮา บางคนถึงขั้นลูบผมตัวเองอย่างเสียวไส้ อาจารย์ผู้เข้มงวดยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น กรรไกรในมือยังคงทำหน้าที่ของมัน ตัดปลายผมที่ยาวผิดระเบียบออกอีก ๔-๕ จุดจนทั้งหัวจินดาแหว่งวิ่นเหมือนหนูแทะ
จินดาไม่ขัดขืน ไม่โอดครวญอะไรเลย จนกระทั่งคนึงถอยออกมาพิจารณาผลงานตัวเอง
หวังว่าพรุ่งนี้จะเห็นเจ้าเด็กดื้อเงียบในทรงผมที่ถูกระเบียบ
ชายหนุ่มเห็นเงาตัวเองฉายชัดในดวงตาคู่สวยที่คลอรื้น แต่เขาไม่สนใจ กลับยิ่งหงุดหงิดเสียมากกว่า เป็นผู้ชายทั้งแท่ง โดนลงโทษแค่นี้อย่ามาบีบน้ำตาเหมือนผู้หญิงหน่อยเลย
ความจริง.. แค่นี้มันยังน้อยไป
“ถ้าไม่อยากเรียนนัก คาบนี้ก็ไม่ต้องเรียน” เขาสั่งเสียงกร้าว ชี้ไปที่สนามหน้าโรงเรียน ดวงตายังไม่คลายความโกรธลงเลย “ไปวิ่งรอบสนาม ๑๐ รอบ”
นักเรียนทั้งห้องฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ” แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับตอบรับสั้นๆ ก่อนวิ่งตื๋อออกไปวิ่งรอบสนามอย่างยอมรับความผิด
คนึงดึงความสนใจนักเรียนที่เหลือด้วยการสอนหนังสือดังเดิม นาน.. นานเท่าไรก็ไม่รู้ได้ นาน.. จนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนามอยู่ข้างนอก
จนกระทั่งฝนตกลงมาดังคาด เทกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน นักเรียนฝั่งริมหน้าต่างลุกขึ้นปิดหน้าต่างวุ่นวาย อาจารย์หนุ่มออกไปยืนหน้าห้อง
ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้าเด็กดื้อคนนั้นยังวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน ท่าทางโผเผอ่อนล้าเต็มที มองจากชั้นสองตรงนี้ ร่างนั้นราวกับจุดเล็กๆ จางๆ กลางใยแก้วนับหมื่นสาย
เพื่อนๆ ในห้องพากันมาชะโงกดูอย่างห่วงใย
“อาจารย์..คือ..” นักเรียนคนหนึ่งอ้อมแอ้มเรียกเขา พอดวงตาดุๆ หันไปมองก็ทำท่ากลัวจนหัวหด แต่ก็ยังตั้งใจพูดสิ่งที่อยากพูด “จินดา..ตั้งแต่เช้ามืด..เขาไปรับจ้างตัดหญ้าแฝกให้พ่อผม ผมเป็นคนจ้างเขาเอง เห็นว่าเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ผมก็เลย..”
คล้ายมีค้อนหนักๆ ตีกลางแสกหน้า
“แล้วทำไมไม่พูด”
“ก็.. ก็อาจารย์น่ากลัว ผมก็เลย..”
ไวเท่าความคิด อาจารย์หนุ่มวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังร่างที่เดินสะโหลสะเหล หากพอเห็นเขา จินดาก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง..วิ่ง..และวิ่ง วิ่งไปทั้งที่หอบเหนื่อยจนตัวโยน
“จินดา! กลับเข้าห้องเดี๋ยวนี้!” มือใหญ่กระชากต้นแขนขาว ร่างเล็กเปียกปอนไปทั้งตัว เสื้อบางเฉียบแนบเนื้อ เท้าเปล่าเปื้อนโคลนเฉอะแฉะ
“ยังเหลืออีก ๖ รอบ” เสียงแห้งโหยตอบกลับมา ซ้ำยังออกแรงผลักเขาออกห่างแล้วตั้งหน้าวิ่งต่อไป คนึงใจหายวาบ เส้นรอบสนามเป็นระยะทาง ๔๐๐ เมตร จินดาวิ่งมา ๔ รอบแล้ว.. งั้นก็..
“พอแล้ว! ครูบอกให้กลับเข้าห้อง!” คนึงปราดเข้าไปหาอีกครั้ง หากร่างเล็กกลับทรุดฮวบลงต่อหน้าต่อตา “จินดา!”
คนตัวโตวิ่งไปยังร่างที่นอนคว่ำหน้าสิ้นสติกับพื้นดินเจิ่งน้ำ “จินดา!” เขาพลิกร่างบอบบางขึ้นทันที หากใบหน้าขาวซีดที่เห็นกลับทำให้เลือดในกายทุกหยดเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ขนตายาวเป็นแพทาบแก้ม จมูกโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากบางเฉียบซีดเผือดไร้สีเลือด
นี่.. ไม่ใช่จินดา..
“เล็ก!” คนึงตะโกนก้อง ร่างน้อยแน่นิ่งราวไร้ลมหายใจ ไม่ว่าเขาจะเขย่าหรือพร่ำเรียกเท่าไรดวงตาคู่นั้นก็ไม่ลืมขึ้น “ไม่จริง.. เล็ก! เล็ก!”
มันเจ็บเหมือนมีใครมากระชากหัวใจเขาหลุดจากขั้ว
“เล็ก!” ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียง เอื้อมมือคว้าไขว่ในอากาศไม่รู้ตัว
“หืม..” เสียงเล็กครางงัวเงียอยู่ใกล้ๆ พลันนั้นคนึงสะดุ้งลืมตาโพลง!
เลอมานนอนซบอิงอยู่ในอ้อมกอด ดวงตาคู่ใสมองมาตาแป๋ว กลีบปากสีเรื่อคลี่ยิ้มน้อยๆ คนึงเหลียวมองรอบตัว เช้าแล้ว.. แสงแรกของวันใหม่ทอสายเข้ามาตามช่องว่างข้างฝา เสียงไก่ขันดังแว่วอยู่ไกลๆ
ฝันไปหรือนี่!?
“ฝันร้ายหรือครับ” เด็กหนุ่มในอ้อมกอดถามอย่างห่วงใย มือนุ่มนิ่มเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าผากให้ ชายหนุ่มกลับคืนสู่ความจริงเต็มสติ ความห่วงหาแล่นพรูจับหัวใจ คว้ามือน้อยนั้นมาจูบซ้ำๆ ก่อนรวบร่างขาวผุดผาดเข้ามาแนบอก ราวกับจะตอกย้ำความจริง ขับไล่ฝันร้ายที่ทำเอาใจหายวาบ ร่างเล็กในอ้อมกอด มีเลือดเนื้อ มีอุ่นไอ ไม่ได้เย็นชืดอย่างในความฝัน พรมจูบลงขมับชื้นเหงื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความใคร่มลายหายไปแล้ว เหลือเพียงความอบอุ่น อ่อนหวานโอบพันรอบดวงใจจนเต็มตื้น
เลอมานเงยหน้าจูบปลายคางคนึง มองริมฝีปากที่คลี่ยิ้มด้วยความหลงใหล รัดเขาอีกแน่นๆ เหมือนเด็กที่รู้แล้วว่าได้กลับบ้าน มอบให้เขาไปหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ ใส่พานประคองรองดอกไม้ยื่นให้ ดีใจเหลือเกินที่อาจารย์ไม่ปัดทิ้ง หากกลับทะนุถนอมวางแนบไว้ข้างหัวใจ
ดอกรักงอกงามขึ้นมาแล้ว ง่ายแสนง่าย เหมือนหยอดเมล็ดลงดินในช่วงสองสามอาทิตย์แล้วผลิกิ่งก้านใบ หลับลงอีกไม่กี่คืน ดอกไม้สวยหอมก็เบ่งบานรับอรุณ
***************************
เช้าวันนั้น อาจารย์อุ้มเขาลัดเลาะออกมาที่ริมคลอง ใจเขาอยากเดินเองแต่ไม่รู้เรี่ยวแรงหดหายไปไหนหมด ลมหายใจร้อนผ่าว ลำคอแห้งผากเป็นผุยผง รออยู่ที่ท่าไม่นานก็พบเรือชาวบ้าน ไหว้วานให้ช่วยพาไปส่งที่โรงเรียนได้ไม่ยาก
เลอมานนอนซมเพราะพิษไข้อยู่สองวันสองคืนเต็ม อย่าว่าแต่ลุกเดินเลย แค่ขยับตัวแต่ละทีก็เจ็บระบม ซ้ำยังแปลบปลาบตามเนื้อตัวที่เกลื่อนไปด้วยรอยจูบแดงช้ำ ระหว่างนั้นคนึงทะนุถนอมเขาเหมือนแก้ว เลอมานแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร แม้แต่เวลาจะกิน ก็มีใครคนหนึ่งรีบร้อนจากหน้าที่การงานมาป้อนข้าวให้ ซ้ำยังคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อย่างไม่คิดรังเกียจ
แม้ยามนอน คนึงยังทิ้งเตียงมานอนเคียงข้าง เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หลับใหลอย่างเป็นสุขทุกคืนในอ้อมแขนอุ่นจัดที่คอยตระกองกอด
ล่วงเข้าวันที่สาม อาการไข้สร่างลงแล้วจนเกือบหายเป็นปกติ แต่อาจารย์ก็ยังไม่ยอมให้เขาออกไปไหน ฝ่ายนั้นให้เหตุผลว่า เขายังไม่หายดี ไม่อยากให้ออกไปต้องแดดต้องลม แต่เลอมานพอจะเดาออกว่าอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะรอยรักที่เริ่มห้อเลือดจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงรอบลำคอเขามากกว่า อาจารย์ถึงต้องให้สวมเสว็ตเตอร์ปิดคอไว้ยามที่มีใครมาเยี่ยมเยียน
มีไม่กี่คนหรอกที่มาเยี่ยมเขา นับนิ้วได้ก็มีอาจารย์ใหญ่และภรรยา อาจารย์ประพนธ์ สง่า สันติและจ้อย อ้อ.. อาจารย์วิรัชก็มาด้วยแต่ดูเป็นห่วงเป็นใยเขาเกินจริงอย่างไรพิกล
เช้านี้หม่อมราชวงศ์หนุ่มได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องเสียที หลังจากอยู่แต่ในห้องมาตั้ง ๓ วัน รอยจูบที่คอก็จางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เขาจึงมาขลุกอยู่กับพวกจ้อยที่ชมรมกสิกรรมตามความเคยชิน
ช่วงที่นอนป่วยโดยที่ไม่มีคนึงอยู่ใกล้ๆ ช่างน่าเบื่อหน่าย เลอมานฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือ ต้องเป็นหนังสือภาษาไทยด้วยเพื่อฝึกปรือ เด็กหนุ่มจึงได้รับรู้เรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
ชื่อคนไทยนั้นมีความหมายต่างๆ มากมี ไม่เหมือนชื่อฝรั่ง
ณ แปลงผักกาดเขียวสด สายลมพัดโชยไอเย็นจากคลองมากระทบใบหน้า หอมกลิ่นดินชอุ่มฝน แดดเช้าสาดมาตามคาคบใบมะม่วง เป็นสายแสงเรืองรองจรดพื้นดิน ห้องเรียนภาษาไทยที่สวยที่สุดของเลอมานก่อตัวขึ้นตรงนั้น
“สันติแปลว่าอะไร” เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ในเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นเอ่ยถามเจ้าของชื่อ ละมือจากการเด็ดวัชพืชจากแปลงผัก เงยใบหน้าหมดจดขึ้นถามตาแป๋ว
“สันติ แปลว่า ความสงบสุข พีซ” สันติตอบได้ทันที ผายมือออกเป็นวงกว้างราวกับมหาศาสดา ดวงตาใต้กรอบแว่นกลมหลับลง จะได้ดู ‘สงบสุข’ สมชื่อ
“แล้วสง่าแปลว่าอะไร” เลอมานหันหาเป้าหมายต่อไป
สง่าสะดุ้งโหยง เรียนภาษาอังกฤษมา ๖ ปีแล้ว แต่เหมือนไม่ค่อยจะเข้าหัว ขอตอบเป็นภาษาไทยแทนคงไม่ผิด มีการกระแอมเรียกขวัญเสียด้วย “แปลว่า คนที่ผึ่งผาย น่าเกรงขาม น่ายกย่อง ยิ่งใหญ่ องอาจ”
อธิบายไปก็ยืดอก กำหมัด เบ่งกล้ามอย่างนักเพาะกายไป หารู้ไม่ว่าคำตอบนั้นทำเอาคนถามงงยิ่งกว่าเก่า
“แกรนด์ แม็กซ์นิฟิเซ็นต์” จ้อยหัวเราะ เงยหน้าจากแปลงขึ้นมาตอบให้ซะเลย
“โอ้ว เยส แกรนด์ แม็กนิฟิเซ็นต์” สง่าว่าเสียงสูง ตบมือฉาด แล้วก็พึมพำความหมายชื่อตัวเองไปมา แหม.. แกรนด์ แม็กนิฟิเซ็นต์ มันเท่น้อยอยู่เมื่อไร
“แล้วจ้อยล่ะ” คุณชายหันหาเป้าหมายต่อไป
“ก็เหมือนชื่อคุณชายนั่นละ” หนุ่มน้อยตอบพลางยิ้มอ่อนหวานมาให้
“หืมม์?” เลอมานงงจนคิ้วผูกโบว์ เผลอใช้ปลายนิ้วมอมแมมเกาขมับจนเลอะเป็นปื้นไม่รู้ตัว “เลอมานหรือ?”
“ไม่ช่าย..” จ้อยส่ายหัวจนผมสะบัดระแก้มใส “เล็กไง ไทนี่” ไม่ตอบเปล่า มีการจีบนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ให้ดูด้วย สื่อความหมายว่า ‘เล็กจิ๊ดริด’
“อ้อ..”
“เพราะตอนเกิดจ้อยมันตัวเล็กกะจ้อยร่อย ยายช้อยเลยตั้งชื่อให้ว่าจ้อย” สง่าแทรกเข้ามาสาธยายเพิ่ม พวกเขาไปบ้านจ้อยบ่อย ยายช้อยได้น้ำขาวไปสี่ซ้าห้าอึกก็เผาหลานรักเสียป่นเป็นผุยผง
“ตอนแรกจ้อยเกือบชื่อแดงแล้ว รู้ไหมทำไม” สันติเข้ามารับช่วงเป็นลูกคู่ พอเห็นคุณชายส่ายหน้า สง่าก็ตอบโพล่ง
“ตัวแดงแจ๋เลยน่ะสิ แดงเหมือนลูกหนู แม้แต่ไข่ยังแดงแปร๊ด”
“สง่า!” จ้อยเอ็ดเพื่อนเสียงเขียว มือเล็กตบป้าบเข้าให้กลางหลังล่ำสัน แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่สะเทือนสักนิด
“โตขึ้นมาถึงได้ขาวจั๊วะ คุณชายรู้ไหม เด็กแรกเกิดมันตัวแดงๆ เหมือนกันหมด ถ้าอยากรู้ว่าโตขึ้นจะขาวหรือดำให้ดูที่ไข่” เรื่องเรียนละไม่ค่อยเอาความ ทีเรื่องลามกจกเปรตละของถนัดของสง่าล่ะ “ถ้าไข่แดงก็ขาว ถ้าไข่ดำก็ดำ อย่างผมนี่ไง ตอนเด็กตัวขาวจั๊วะ ไข่ดำปี๋ โตขึ้นมาก็อย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ไข่?” คุณชายไม่เข้าใจที่สง่าพูดสักคำ ไข่แดงไข่ขาวไข่ดาวไข่เจียวอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง!
“ไข่อะไรหรือจ้อย” คุณชายถามจริงจัง ‘ซีเครียด’ เลยเชียวล่ะ
จ้อยกับสันติมองหน้ากัน แล้วนายสี่ตาคงแก่เรียนก็เป็นคนตอบอ้อมแอ้ม “เอ่อ..อัณฑะ”
คนถามยิ่งทำหน้างงหนักเข้าไปใหญ่
“เทสทิส” จ้อยสงเคราะห์ตอบให้เป็นภาษาอังกฤษ ตอบโดยไม่สบตา เอาแต่ก้มหน้าดึงหญ้างุดๆ ก็เลยไม่ได้เห็นดวงตาคู่สวยค่อยๆ เบิกกว้าง เลือดสูบฉีดจนแก้มขาวซับสีเลือด ก่อนแดงเถือกไปถึงใบหู
ถ้ายายช้อยมาเห็นคงอุทาน ‘หน้าแดงเป็นตูดลิงเชียวพ่อ!’
“ไฮ้ นั่นมันเอกพจน์ ไข่อยู่เป็นคู่ เป็นพหูพจน์ ต้องเทสทีสสส์” สง่าม้วนลิ้นออกเสียงสำเนียงฝรั่งด้วยลีลาเหมือนมีหนอนแก้วนอนกกอยู่ในปาก เล่นเอาจ้อยคันไม้คันมือ นึกอยากเอาปุ๋ยคอกยัดปากเพื่อนขึ้นมาตงิดๆ ทีเรื่องพรรค์นี้ละฉลาดนัก
ครานี้ เลอมานเลยได้ศัพท์ใหม่เพิ่มมาอีกคำหนึ่ง จะจำใส่หัวไปจนตายเลยเชียว
“อย่าเอาไปพูดกับอาจารย์เชียวนะ เดี๋ยวโดนตีตาย” สันติดักคอไว้ก่อนเมื่อเห็นเพื่อนสูงศักดิ์หน้าแดงซ่าน ตาเหม่อลอยชวนฝัน
“รู้น่ะ” หม่อมราชวงศ์หนุ่มตวัดเสียงฉับ หากกลับโพล่งขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ “เออนี่ ฉันถามอีกชื่อนึงสิ ชื่อสุดท้ายแล้ว” นักเรียนกึ่งสหายทั้งสามมองมาเป็นตาเดียว คุณชายกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก หน้ายังแดงซ่านยามเอ่ย..
“คนึง.. แปลว่าอะไร”
สง่าเกาหัวแกรก เพิ่งตระหนักรู้ว่านอกจากภาษาอังกฤษจะไม่กระดิก ภาษาไทยของเขาก็ยังอ่อนหัดเหลือหลาย
“แปลว่าคิดถึง..” สันติต้องเป็นคนตอบให้
“คิดถึงด้วยใจผูกพัน” โดยมีจ้อยช่วยขยายเพิ่ม
ความหมายอันแสนอบอุ่นทำเอาหัวใจเลอมานพองโต
‘คิดถึงด้วยใจผูกพัน’ อย่างนั้นหรือ
ใบหน้าอ่อนเยาว์ร้อนวูบ ในอกราวกับมีดอกไม้เบ่งบาน ริมฝีปากเรื่อคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้แปลงผักโดยไม่รู้ตัว
“แกรนด์ แม็กนิฟิเซ็นต์” สง่าพึมพำความหมายชื่อตัวเอง คุ้นๆ คลับคล้ายคลับคลา พอนึกออกก็ดีดนิ้วเป๊าะ “เดอะ แม็กนิฟิเซ็นต์ เซเว่น เจ็ดเสือแดนสิงห์ คุณชายดูหรือยัง ไปดูกันไหม ฉายที่โรงเปรมประชา”
คุณชายตาลุกวาว เอได้ยินชื่อหนังคาวบอยในดวงใจ นำโดยสตีฟ แมคควีน เคยดูมาสองรอบแล้วเมื่อครั้งยังอยู่อังกฤษ ที่ต้องดูถึงสองรอบเพราะชอบแสดงนำทั้ง ๗ คน เหลือเชื่อว่าจะได้ดูครั้งที่สามที่นี่
เลอมานพยักหน้าหงึก นัดแนะไปดูกันในคืนวันศุกร์ หมายมาดว่าจะชวนอาจารย์คนึงไปด้วย ยิ่งเพื่อนสูงศักดิ์ออกปากว่าจะเลี้ยง สง่ากับสันติยิ่งตกลงทันทีไม่รีรอ มีแต่จ้อยที่อิดออด อ้างว่ากลัวคุณนายกำนันจะดุ จนคุณชายต้องเคี่ยวเข็ญกึ่งบังคับให้ไปด้วยกันให้ได้ กระทั่งจ้อยจนใจ รับปากอุบอิบ
สามคนที่เหลือคุยกันเรื่องหนังโขมงโฉงเฉง หากหลานยายช้อยกลับลอบถอนใจเฮือกใหญ่ ตั้งแต่เกิดมาจ้อยยังไม่เคยไปเหยียบโรงหนังเลยสักครั้ง เคยดูก็แต่หนังกลางแปลงตามงานวัด มีคนมาชวนทั้งทีมีหรือจะไม่อยากไป
แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านด่านคุณนายพูนทรัพย์ได้หรือเปล่าน่ะซี
*************************
“ไม่ได้ย่ะ!”
นั่นไงจ้อยว่าแล้ว แค่เอ่ยปากขออนุญาตไปดูหนังกับเพื่อนเท่านั้นละ ยังไม่ทันได้อธิบายเหตุผลหรือชี้แจงรายละเอียดอะไรเลย คุณนายพูนทรัพย์ก็ตั้งท่าปฏิเสธแล้ว
จ้อยอุตส่าห์คว้าช่วงเวลาก่อนมื้อเย็นเป็นฤกษ์ดี คุณนายเอนกายอ่านนิยายกับหมอนขวาน ส่วนกำนันก็กำลังบิมะละกอป้อนนกหัวจุกท่าทางอารมณ์ดี
เวลานี้แหละเหมาะ จ้อยต้องรีบขออนุญาตก่อนไอ้สิงห์จะกลับมา
แต่ดูท่าจะเหลวเสียแล้ว
“แหม้..” ริมฝีปากเคลือบสีแดงสดแสยะยิ้มเหยียดหยัน มองจิกหนุ่มน้อยที่นั่งพับเพียบกับพื้นหัวจรดเท้า “เป็นขี้ข้าริอ่านจะเข้าโรงหนังเรอะยะ แกว่างนักรึไง งานกองอยู่ท่วมหัวยังคิดจะไปเที่ยวเล่น”
นักเรียนครูคนซื่อไม่เถียงสักคำ ได้แต่ก้มหน้าเจียมตน กำนันเสริมลอบถอนหายใจอยู่ไกลๆ
“คบเข้าไปสิเพื่อนเลวๆ น่ะ หนอย.. พากันเข้าโรงหนัง เดี๋ยวอีกหน่อยคงพากันไปเสียผู้เสียคน” สิ้นเสียงเมีย กำนันถึงกับส่ายหัว แม่ทรัพย์ด่าคนอื่นไม่ดูลูกชายตัวเองเล้ย
“คุณชายเล็กเป็นคนดีนะจ๊ะ” วงหน้าอ่อนใสเงยขึ้นประท้วง ป้าทรัพย์จะว่าจ้อยอย่างไรจ้อยไม่ว่า แต่อย่ามาว่าเพื่อนรักของจ้อย
“ไม่รู้ละ ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้” คุณนายว่าเฉียบขาด “เลิกเรียนแล้วรีบกลับมาทำงาน จะไปเที่ยวเถลไถลเหมือนใครเขาไม่ได้ อย่าลืมสิว่าแกมันไม่ได้มีพ่อมีแม่เหมือนคนอื่นเขา จำใส่กะลาหัวไว้”
จ้อยก้มหน้าซ่อนสายตาปวดร้าว
คำว่า ‘ไอ้ลูกไม่มีพ่อมีแม่’ คล้ายลิ่มแหลมที่ตอกตรึงอยู่ในใจจ้อยตั้งแต่เด็ก ตอกย้ำความไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการของใครกระทั่งพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมานานเนิ่น เพราะถูกพ่อแม่ทิ้งไป จ้อยจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อภายภาคหน้าจะได้เป็นครูสมดั่งใจหวัง จะได้ทำตนให้มีค่า เป็นที่ต้องการของใครต่อใครขึ้นมาได้บ้าง
แต่จ้อยไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอกย้ำดูแคลนเช่นนี้จากปากผู้ใหญ่ที่ใครต่อใครพากันยกมือไหว้
“จะอะไรกันนักหนาแม่ทรัพย์” กำนันเสริมตัดบทอย่างสุดทน ส่ายหน้าเอือมระอาเต็มที “ให้เด็กไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะน่า อีกอย่างครูก็เป็นเด็กดี คงไม่ไปก่อเรื่องเสื่อมเสียที่ไหนหรอก กดขี่ข่มเองกันเกินไปแบบนี้ ชาวบ้านรู้ถึงไหนแม่ทรัพย์นั่นแหละจะอายถึงนั่น”
ลุงกำนันพูดแบบนี้จ้อยค่อยยิ้มออก ความหวังเรืองรองระยิบในดวงตาใสแจ๋วเหมือนลูกแก้ว ตาแบบนี้ละที่คุณนายเงินกูรังเกียจนัก
“ไม่รู้ละ” ฝันไปเถอะว่าคนอย่างคุณนายจะยอมลงให้ง่ายๆ กำนันถือท้ายมันไปคนแล้ว แต่ไอ้จ้อยคงลืมไปว่าบ้านนี้ยังมีคนที่เป็น ‘นาย’ ของมันอีกคน
“แกต้องไปขออนุญาตตาสิงห์ก่อน ถ้าเขาให้ไปแล้วค่อยว่ากัน”
ชื่อใครอีกคนที่ได้ยินเล่นเอาใจจ้อยเต้นรัวขึ้นมาจนอึดอัดไปทั้งอก และยิ่งสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงห้าวดังมาพร้อมฝีเท้าหนักแน่นขย่มเรือน
“ใครจะขออนุญาตอะไร!”
โปรดติดตามตอนต่อไป________________________________________________________________________________
*ชายเดียวในดวงใจ, พยงค์ มุกดา คำร้อง, สวลี ผกาพันธ์ ขับร้อง
**สร้อยเสน่หา, อนุสรณ์ ลิ่มมณีคุยกันเนอะ

พี่สิงห์ออกมาแล้วน๊า อืม..ออกมาทั้งทีมีบทพูดประโยคเดียว แหงะ

ขอโทษแม่ยกพี่สิงห์ด้วยนะจ๊ะ
ว่าแต่เมื่อไรอาจารย์กับหนูเล็กจะดราม่าน้อ คนเขียนเขียนฉากหวานๆ แล้วตะครั่นตะครอ ตะพึดตะพือ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองจนลมพิษจะขึ้นมืออยู่แล้ว แอ๊~

อยากตอบเม้นจัง แต่ยังตอบไม่หมดเลย ขอต๊ะพื้นที่ไว้ก่อน วันจันทร์เนตแรงๆ (เนตที่ทำงานค่ะ^^) จะเอามาแปะนะคะ
เราชอบตอบเม้น เหมือนได้คุยกับคนอ่าน ชอบๆ

รักคนอ่านค่ะ
ดอกไม้
๒๕ ส.ค. ๕๕