บทที่ ๑๗
ชายเดียวในดวงใจ(ครึ่งแรกจ้ะ

)
อ้อมอกเธอเสมอห้องที่จะคอยป้องกันภัย
ฉันจะแอบแฝงกายอยู่ใกล้ตรงดวงใจนั้น
วงแขนเธออีกสองจะโอบกันผองโพยภัยฉกรรจ์
อ้อมอกเธอนี่เท่านั้นฉันพร้อมจะมอบดวงใจ*“เล็ก!!” คนึงตะโกนสุดเสียงแข่งกับเสียงพายุฝน เสียงฟ้าคำรามครืนครัน ดั่งธรรมชาติคลุ้มคลั่งอาละวาดไม่จบสิ้น เสียงลมเสียดวี้ดในช่องหู กระแสน้ำเชี่ยวกรากเวียนวน แม้กระทั่งคนว่ายน้ำแข็งอย่างเขายังยากจะทรงตัว แล้วเด็กหนุ่มที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเลอมานเล่า?
เหมือนมีใครมาปลิดหัวใจเขาออกจากขั้ว แรงดันน้ำบีบพื้นที่ปอดจนเสียดแน่นไปทั้งอก คนึงดำลงน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า สองมือควานหาสะเปะสะปะใต้สายน้ำขุ่นข้น น้ำเข้าตาจนแดงก่ำแสบพร่า หยดนั้นจากฟ้า หยดนั้นจากคลอง หยดนั้นคือน้ำตาที่เอ่อขึ้นจากหัวใจเจียนสลาย ผุดดำลงไปก็เจอแต่ห้วงน้ำมืดมิด ครั้นพอโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเหลียวรอบกายก็เจอแต่ท้องน้ำแปรปรวนเกลื่อนไปด้วยกิ่งไม้ใบไม้ ท่ามกลางความมืดที่เข้มข้นอย่างอำมหิต มืดเหมือนทั้งโลกถูกแช่จนชุ่มในหมึกดำ ชั่วขณะที่ฟ้าแลบนั่นละที่ส่องทุกอย่างให้สว่างโพลน
“เล็ก!!” เสียงห้าวตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า ดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ตายไม่ได้ ไม่ยอมให้ตายเด็ดขาด!
เลอมานจะมาตายต่อหน้าเขาเหมือนอย่างจินดาไม่ได้!
จนชั่วขณะหนึ่งที่ฟ้าแลบปลาบ กลางม่านฝนพร่าเลือน ชายหนุ่มเห็นร่างหนึ่งทะลึ่งตัวขึ้นพ้นน้ำ แล้วร่างนั้นก็จมดิ่งลงไปอีก “เล็ก!” เขาร้องเรียกเหมือนคนบ้า ประกายความหวังถูกจุดขึ้น เรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน เขาว่ายฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากเข้าไปหา ดำลงไปไขว่คว้าบ้าคลั่ง จนสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อเย็นชืดที่ยังเหลือแรงทุรนทุราย มือใหญ่กระชากร่างน้อยพาขึ้นเหนือน้ำทันที
ทันทีที่ทะลึ่งตัวขึ้นพ้นน้ำ เลอมานสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนสำลักไอจนตัวโยน ตื่นตระหนกเสียขวัญ ดิ้นรนจนคนึงกลัวพวกเขาจะพากันจมน้ำตายทั้งคู่ ชายหนุ่มตัดสินใจใช้รักแร้หนีบบ่าเล็ก วางแขนพาดผ่านหน้าอก ว่ายน้ำตะแคงข้างพาเลอมานเข้าฝั่ง ทุกวินาทีที่หายใจราวมีเข็มนับพันเสียดแทงปอดจนเจ็บร้าวไปหมด
ถึงพื้นดินแล้วทั้งสองโผเข้ากอดกันแทบจะในทันที เลอมานนั้นกอดด้วยความหวาดกลัวเสียขวัญ ฝ่ายคนึงนั้นกอดดั่งกอดดวงใจที่เกือบทำพลัดลอยหาย อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามฟ้ามาตั้งไกล หวุดหวิดจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว ถ้าเขาคว้าตัวไว้ไม่ทัน ไม่อยากคิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ขอเถอะ.. เขาทนรับการสูญเสียไม่ได้อีกแล้ว
ร่างเล็กทั้งหอบทั้งสำลักไอจนหน้าแดงก่ำ เนื้อตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนกที่หลงเข้าไปในใจกลางพายุ หยาดน้ำฝนหยดน้ำตาเนืองนองเต็มใบหน้าขาวซีด คนึงคลายอ้อมกอดออกเพื่อให้ร่างเล็กหายใจสะดวก ลูบหลังลูบไหล่เรียกขวัญจนเด็กหนุ่มทุเลาความตระหนกลง
ฟ้าฝนไม่ได้บรรเทาลงเลย ซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มแหงนมองกิ่งก้านต้นมะขามสูงแล้วให้พรั่นพรึง รู้ดีว่าเมื่อฟ้าคะนองให้หลีกเลี่ยงต้นไม้ใหญ่ อ้อมแขนล่ำสันจึงช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอก หมายพาไปที่ที่ปลอดภัย แขนเรียวคล้องรอบคอเขาแน่น ซุกใบหน้าเข้ามาราวกับจะยึดเอาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียว ฟ้าแลบแปลบสว่างวาบอีกหน ทัศนียภาพตรงหน้าขาวโพลนเพียงเสี้ยววินาที
หากเพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ทำให้อาจารย์หนุ่มรู้ว่าตอนนี้เขากับเลอมานถูกน้ำพัดมาขึ้นฝั่งที่ใด
ที่นาของยายช้อย!
คนึงจำแนวมหาหงส์ที่ขึ้นขนัดริมตลิ่งได้ จำต้นมะม่วงเขียวเสวยที่แตกก้านกางใบปกคลุมหัวคันนาตรงนั้นได้ด้วย เดินเลยไปอีกหน่อยก็จะพบทุ่งนาโล่งกว้าง และที่ปลายนา มีกระท่อมที่ยายช้อยปลูกไว้เก็บอุปกรณ์ทำนาอยู่หลังหนึ่ง
เขาตัดสินใจพาเลอมานไปที่นั่นทันที
กระท่อมร้างตั้งอยู่ปลายนาที่รกร้างมานานปี ตั้งแต่ยายช้อยเอาที่นาผืนนี้ไปจำนองไว้กับเมียกำนัน ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครมาแตะต้องมันอีก อาจารย์หนุ่มประคองร่างเล็กขึ้นบันได ตัวกระท่อมยกพื้นไม่สูงจากดินมากนัก พื้นฟาก ฝาขัดแตะ หลังคามุงใบจากเริ่มหลุดร่อนตามกาลเวลา ท่ามกลางลมฝนแปรปรวน หาที่กำบังได้เท่านี้ก็ดีเหลือแสน
ชายหนุ่มหอบหนักจนตัวโยน หลังอุ้มพาเลอมานลัดเลาะอ้อมไปทางเรือกสวนแทนที่จะลุยลัดผ่านทุ่งนาโล่งแจ้งให้เป็นเป้าสายฟ้า แม้จะเหนื่อยหนักเพียงใด อ้อมแขนที่เขาค่อยประคองวางร่างเล็กลงก็ยังทะนุถนอม
ดวงตาสีเข้มหันมองรอบกระท่อม สายฟ้าแลบปลาบสาดส่องให้เห็นเคียวเกี่ยวข้าวเหน็บติดฝา คันไถเก่าวางอิงผนังด้านหนึ่ง
เลอมานไม่สนใจสิ่งใดเลย เด็กหนุ่มเนื้อตัวเปียกโชกนั่งกอดเข่าสั่นสะท้าน สองมือเล็กยกขึ้นปิดหู สะดุ้งสุดตัวทุกครั้งเมื่อฟ้าคำรามลั่นเปรี้ยง คนึงเห็นอย่างนั้นให้นึกสงสารจับใจ
คนที่ดูภายนอกเหมือนเข้มแข็ง หากพอถึงขีดสุดของความหวาดกลัว ไยตัวสั่นได้น่าเวทนานัก
เลอมานเหมือนคนที่สร้างเกราะห่อหุ้มแข็งแกร่งไว้ เพื่อปกป้องบางสิ่งที่แสนเปราะบางภายใน คนึงยิ่งตระหนักรู้ขึ้นทุกที ภายใต้ท่าทีเย่อหยิ่งทระนง มีเพียงความอ่อนแออ่อนไหวซุกซ่อนไว้
ร่างสูงใหญ่สำรวจรอบกระท่อม ค้นเจอผ้าผวยผืนเก่าและหมอนขิดใบหนึ่งที่มุมกระท่อม ยายช้อยคงเอาไว้ใช้เมื่อครั้งแกต้องนอนเฝ้านา ผ้าผวยมีกลิ่นอับไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย คนึงสะบัดไล่ฝุ่นอยู่สองสามทีก็นำมาให้ร่างที่คู้กายสั่นเทิ้ม
วงหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือดแทบไร้สีเลือด หยดน้ำจากเรือนผมสีอ่อนหยดไหลลงพื้นแหมะๆ น้ำตายังไหลพรากจากดวงตาแดงก่ำ ชายหนุ่มใจหายวาบเมื่อแตะเนื้อตัวเปียกปอนแล้วพบว่ามันร้อนผ่าว มือใหญ่รีบปลดเงื่อนบนสาบเสื้อที่เขาเป็นคนผูกให้เมื่อเช้าออกทันที กางเกงชุ่มน้ำก็ด้วย ก่อนคลี่ผ้าห่มคลุมร่างเปลือยเปล่าให้ และใช้ผ้าผืนเดียวกันนั่นแหละเช็ดผมเปียกชื้นให้อย่างอ่อนโยน
“เล็ก” เสียงนุ่มละมุนกระซิบแผ่ว “กลัวหรือเปล่า หนาวไหม”
เลอมานพยักหน้าแทนคำตอบ กระชับผ้าผวยแนบตัว เปราะบางเหมือนแก้วจนอาจารย์อดใจไม่ได้ที่จะรั้งศีรษะเล็กเข้ามาแนบอก หากหยดน้ำจากเสื้อเขาสร้างรอยชื้นให้ร่างเล็กตัวสั่นขึ้นมาอีก คนึงตัดสินใจสลัดมันออกทันที
“ไม่เป็นไรนะ ครูอยู่นี่ ครูอยู่กับเล็ก” เสียงห้าวปลอบประโลม มือใหญ่ลงแรงยีผ้าผวยกับหลังไหล่ขาวสะอาดเพื่อหวังให้เด็กหนุ่มอบอุ่นขึ้น ผ้าผวยเพียงผืนเดียว เขาสละให้เลอมานทั้งหมด เขาก็หนาว.. แต่เขาทนได้
อาจารย์รัดอ้อมแขนกระชับร่างน้อยแน่นขึ้น ส่งกระแสไออุ่นถ่ายทอดทางเลือดเนื้อ อาการสั่นสะท้านของเลอมานค่อยทุเลาลงแล้วเชียว ทว่าเมื่อสายฟ้าแลบปลาบ ก่อนติดตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่ากึกก้อง คุณชายก็สะดุ้งสุดตัว แขนเรียวผวากอดรัดร่างกำยำไว้จนแน่น
“ฮือ..ผมอยากกลับบ้าน..” น้ำตาที่แห้งไปแล้วรินไหลลงมาอีก คนึงกอดลูกนกของเขาเอาไว้เต็มอ้อมแขน ไม่เหลือช่องว่างใดระหว่างกัน ทั้งกายและใจ.. มือใหญ่ลูบผมเปียกชื้น ไล้รอยน้ำตาให้ กระซิบถ้อยคำปลอบประโลมข้างใบหูเล็ก
แล้วอะไรกันหนอดลจิตดลใจ ความรัก.. ความหลง.. ความสงสาร.. หรืออะไรบางอย่างที่แม้คนึงเองก็ไม่อาจหาคำตอบ ร่างบอบบางในอ้อมกอด มีเลือดเนื้อ มีอุ่นไอ มีความโหยหาแทรกมาในมวลอากาศหนาวเหน็บ
ริมฝีปากอุ่นจรดลงบนเรือนผมสีอ่อน.. ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
หน้าผาก เปลือกตา ปลายจมูกโด่งรั้น สองแก้มนิ่มเย็น ไม่มีตรงไหนไม่ถูกชิมรส ไม่มีตรงไหนไม่หวานละมุน โดยเฉพาะกลีบปากอิ่มนุ่ม หวาน.. ดั่งน้ำตาล
“อาจารย์..” เลอมานครางแผ่ว คำเดียวสั้นๆ ฉุดกระชากสติคนึงกลับคืนมาทั้งหมด ใบหน้าที่โน้มลงซุกไซร้ซอกคอขาวชะงักกึก
เหมือนถูกใครตบหน้าฉาดใหญ่! เขาทำบ้าอะไรลงไป!
คนที่อยู่ตรงหน้า เป็นศิษย์ เป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ที่ข้ามฟ้ามาให้เขาดูแลปกป้อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาควรทำแบบนี้หรือ
ต้องรีบหยุดก่อนที่จะหยุดไม่ได้
เลอมานประหลาดใจไม่น้อย เมื่อจู่ๆ อ้อมแขนอุ่นล้ำที่ซุกกายอยู่ผลักไสเขาออกอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะที่ฟ้าแลบสว่างโพลน เขาเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่ายแจ่มชัด ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อาจารย์ก็ลุกหนีออกไปนั่งเสียไกลที่อีกฝั่งกระท่อม
ทำราวกับเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ
“อาจารย์” ร่างเล็กขยับเข้าไปหา
แต่เสียงห้าวก็ตวัดฉับขาดรอน “อย่าเข้ามา”
“อาจารย์..” ความกลัวทำให้เขาไม่เชื่อฟัง แต่แล้ว..
“บอกว่าอย่าเข้ามา!” อาจารย์ตะคอกกลับมา ท่ามกลางความมืด เลอมานไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหน เพียงแค่เสียงห้ามไร้เยื่อใย ก็ทำให้ใจเขาแทบสลายลง ยอมถอยกลับมาอยู่ที่เดิม
เสียงอะไรที่ดั่งแว่ว ร่วงกราวเผาะๆ เสียงหยาดฝนที่ซึมผ่านรอยรั่วบนหลังคามุงจากหยดลงสู่พื้นฟาก หรือเสียงน้ำตาของเขาเอง..
ร่างเล็กกอดเข่าซุกกาย อ้อมแขนอบอุ่นที่คอยปกป้องหายไปแล้ว เหลือเพียงผ้าผวยผืนเก่าที่ไม่ว่าจะห่มคลุมอย่างไรก็อุ่นได้ไม่เท่าไออุ่นจากกายใครคนนั้น
เขากลัวเสียงฟ้าร้อง กลัวพายุฝนกระหน่ำ และที่กลัวที่สุดคือการต้องทนฟังเสียงเหล่านั้นในความมืดมิดเพียงลำพัง
ความกลัวนี้มีที่มา..
“เมื่อก่อน..” เสียงสั่นพร่าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ตอนผมเพิ่งเข้าโรงเรียนอีตัน” เลื่อนลอย.. เบาหวิว.. คล้ายรำพันกับตัวเอง ไม่ได้หวังให้คำพูดนี้เดินทางฝ่าเสียงฝนไปเข้าหูอีกฝ่าย “พวกรุ่นพี่..บอกว่าผมมาจากประเทศล้าหลัง.. ชอบแกล้งผมทุกวัน”
เลอมานหารู้ไม่ ใครอีกคนที่ตีตนออกห่าง ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ
“แกล้งเอาแมลงสาบมาปล่อยบนเตียง แกล้งเอาขยะมาใส่ในล็อคเกอร์ผม” นัยน์ตาแดงช้ำจับจ้องแต่ปลายเท้าขาวซีดของตน ริมฝีปากเผือดยังคงพร่ำเพ้อ “มีอยู่คืนหนึ่ง.. พายุแรงเหมือนวันนี้.. พวกนั้น..”
คนึงรอฟังด้วยใจจดจ่อ “..ขังผมไว้ในห้องเก็บของ..คนเดียว..ผมต้องทนฟังเสียงฟ้าร้องอยู่ในนั้น.. มันมืด..มันหนาว..มันน่ากลัว”
คนฟังวาดภาพเด็กชายตัวเล็กวัย ๑๒-๑๓ ตกอยู่ในวงล้อมเด็กหนุ่มฝรั่งตัวโต ก่อนถูกผลักไสเข้าไปขังในห้อง พวกมันทำอะไรเลอมานของเขาอีกบ้าง แค่นึกก็ปวดอกแปลบ
แล้วตอนนี้.. การที่เขาทิ้งคนกลัวฟ้าร้องให้นั่งตัวสั่นอยู่คนเดียว จะแตกต่างอะไรกับพวกนั้น..
โดยไม่รู้ตัว.. ร่างสูงใหญ่ขยับกายเข้าหาทีละนิด..
“ผมต้องทำตัวเสมอกับพวกนั้น ให้พวกเขายอมรับ.. ด้วยการดูถูกนักเรียนคนไทยด้วยกันบ้าง” พูดถึงตรงนี้ก็สะอื้นฮั่กอย่างสุดกลั้น ซุกหน้าลงกับเข่าจนเสียงที่เปล่งออกมาอู้อี้ “ผมไม่ได้ตั้งใจเกลียดตัวเองที่เป็นคนไทย ไม่ตั้งใจดูถูกเมืองไทย ผมขอโทษ..”
ฟ้าแลบเปรี๊ยะก่อนตามมาด้วยเสียงลั่นเปรี้ยงกึกก้อง เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว หวีดร้องสุดเสียงด้วยความตระหนก วินาทีนั้นทั้งร่างถูกรวบเข้าหาอ้อมแขนอบอุ่น กอดรัดแน่นราวกับไม่มีวันปล่อย
“ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เสียงทุ้มกระซิบริมหู กดจูบซ้ำๆ ที่เรือนผม เลอมานไม่เข้าใจความหมายของคำที่อาจารย์พูดหรอก แต่ประโยคสั้นๆ นั้นโอบกอดหัวใจเขาเอาไว้ทั้งดวง
“ฮือ..อย่าทิ้งผมไป..” แขนเล็กกอดตอบอย่างโหยหาไออุ่น ปล่อยน้ำตาเรี่ยรายลงแผงอกล่ำสัน
“ไม่ทิ้ง.. ครูอยู่นี่..ครูอยู่กับเล็กนะ..” คนึงคลายอ้อมกอดออกเพื่อใช้สองมือประคองใบหน้าเล็กไว้อย่างทะนุถนอม ปลายหัวแม่มือเกลี่ยไล้รอยน้ำตา แตะลงกลีบปากอิ่มร้อนผ่าว
เขากำลังอยู่ที่นี่ ตรงนี้ มีชีวิต เลือดเนื้อ ลมหายใจ มีใครคนหนึ่งกำลังเปิดเผยซอกมุมเร้นลับกับเขาหมดใจ
แทบไม่รู้ตัวยามโน้มใบหน้าลงชิมรสหวานจากริมฝีปากสั่นระริก
ดั่งฉายภาพซ้ำ เหตุการณ์เมื่อครู่ไหลวนคืนมาอีก หากไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อาจารย์คนึง วนาสัยและหม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า.. จูบนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
*********************
คุยกันเนอะ 
เขียนบทนี้แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมนิยายสมัยก่อนชอบเขียนให้พระเอกนางเอกได้กันในกระท่อมกลางฝน
แบบว่า.. ไม่รู้จะให้ไปได้กันที่ไหนจริงๆ ค่ะ ใครจะว่าน้ำเน่ายุงชุม ข้าน้อยก็ยอมล่ะ

อ๊ะ แต่ความจริงเรื่องนี้ก็ดำเนินเรื่องราวด้วยลีลาแบบนิยายสมัยก่อนนี่เนอะ
ขอน้ำเน่านิดนึงน่า เหะๆ (แถสีข้างถลอก)
ความจริงตั้งใจจะลงให้จบฉากเลย แต่เขียนไม่ทัน+ปั่นไม่ขึ้นค่ะ
(รับงานโคตรเศร้ามาชิ้นนึง นั่งซึมกะทือทั้งวัน เปลี่ยนฟีลกลับมาหวานไม่ไหว

)
ขอต๊ะไว้ครึ่งหลังละกันนะคะ
รักคนอ่านค่ะ

ดอกไม้
๒๐ ส.ค. ๕๕
ปลาลิง. น้องจ้อยพี่สิงห์อยู่ครึ่งหลังนะคะ
