ไก่ชนสองตัวกระโดดตีกันจนขนพองยุ่งเหยิง รายล้อมด้วยบรรดาชายทั้งหัวหงอกหัวดำนับสิบส่งเสียงร้องเฮๆ กันอย่างถึงรส แน่นอน.. สถานที่อโคจรเช่นนี้ มีหรือจะรอดพ้นพรรคพวกนักเลงประจำถิ่นอย่างนายสิงห์ สีตลาไปได้ พอแดดนายบ่ายคล้อย สิงห์มักพาลูกน้องมาขลุกอยู่ในบ่อนไก่ท้ายตลาดแบบนี้ประจำ เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านตลาดยอดเห็นจนชินตา
แต่ระยะนี้ดูเหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
ไอ้ลอย ไอ้เลิศ ไอ้หมานมัวแต่เฮลั่นเมื่อไก่ชนที่ลูกพี่ถือข้างกำลังได้เปรียบ ไอ้โต้งจิกตาฝ่ายตรงข้ามเสียเลือดอาบ มัวแต่ลุ้นจนไม่ทันสังเกตเห็นลูกพี่ผุดลุกผุดนั่ง กระสับกระส่าย มองซ้ายมองขวา
สิงห์สบถกร้าวในใจ
กี่โมงกี่ยามแล้วก็ไม่รู้ ไม่มีนาฬิกาสักเรือน ห่ามึงเอ๋ย!
มันก็แน่ละ บ่อนที่ไหนติดนาฬิกาไว้บ้าง มีแต่จะมอมเมาอบายชนผู้โง่เขลาให้หลงวันลืมคืนทั้งสิ้น
ลูกชายกำนันจิ๊ปากหงุดหงิด จู่ๆ ก็ก้าวอาดๆ ออกไปจากบ่อนไม่ล่ำลาใคร ไอ้อ้วนเลิศเห็นเข้าจึงเรียกไว้ พลางถามอย่างสงสัยเต็มที “อ้าวพี่สิงห์ จะไปไหนล่ะ”
“หิวข้าวโว้ย!” เสียงห้าวตอบไม่ตรงคำถามสักนิด ไอ้เลิศทำหน้าเหมือนหมูงง ได้แต่ยืนเป๋อเหลอมองลูกพี่คร่อมรถเครื่องบึ่งออกไป
สิงห์บิดคันเร่งแทบเหาะ ลมแรงตีผมเผ้าจนยุ่งเป็นกระเซิง ถึงบ้านแล้วก็รีบตวัดขาลงจากอานก่อนเผ่นแผล็ว ปล่อยไทรอัมพ์คู่ใจล้มนอนแอ้งแม้งไม่แยแส พรวดพราดโจนขึ้นบันไดจนเรือนสะเทือน
ทันพอดี!
“บ๊ะ! สงสัยปีนี้น้ำจะท่วมใหญ่ ไอ้สิงห์กลับมากินข้าวบ้านทุกวัน” กำนันเสริมยิ้มแต้ ท่าทางอารมณ์ดีหนักหนา
ที่ศาลาเล็กนอกชาน ตั้งตั่งโต๊ะกินข้าวไว้บนพื้นยก สิงห์กระแอมไอแก้เก้อ มือใหญ่สางผมให้เรียบ เหลือบมองร่างเล็กที่กำลังตักข้าวให้มารดาตนแว่บหนึ่ง ก่อนนั่งแหมะลงประจำที่ ถูมือไม้ท่าทางหิวโหยเต็มประดา
จ้อยเลื่อนขันสาครใส่น้ำมาให้ ดูเอาเถิด.. แม้แต่น้ำล้างมือจ้อยยังเอาดอกมะลิลอยเสียหอม มือใหญ่เทอะทะจุ่มลงล้างในน้ำเย็นชื่น นึกไปถึงวันแรกที่เขากลับมากินข้าวบ้านอีกครั้งหลังจากฝากท้องไว้ข้างนอกมาเนิ่นนาน พ่อกับแม่ทำหน้าอย่างกับเห็นผี
เกือบอาทิตย์แล้วที่สิงห์ได้จ้อยมาร่วมชายคา รู้สึกได้ว่าบ้านเรือนสะอาดสะอ้านขึ้น เสื้อผ้าไปจนถึงที่นอนหมอนมุ้งของทุกคนสะอาดหอม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝีมือทำอาหาร จ้อยคงได้รับถ่ายทอดมาจากยายช้อยเป็นอย่างดี รสมือถึงได้กลมกล่อมนัก
ดวงตาสีเข้มมองมือขาวที่บรรจงตักข้าวใส่จานให้ กลิ่นข้าวหุงใหม่หอมละมุน เบื้องหน้าคือสำรับที่จ้อยตั้งไว้เสร็จสรรพ ขันใส่น้ำฝนลอยดอกมะลิ กับข้าวร้อนๆ ควันฉุยหอมกรุ่น ต้มโคล้งปลาเนื้ออ่อนกรอบ ต้มกะทิสายบัว ดอกขจรผัดไข่ กะปิคั่วแนมด้วยแตงกวา ยอดมะกอก ยอดมะม่วง ยอดชมพู่ หัวขมิ้นขาว
สิงห์เริ่มน้ำลายสอ
“กินด้วยกันสิครู” กำนันชักชวนอย่างเมตตา คุณนายพูนทรัพย์แอบเบะปากหมั่นไส้
“ไม่เป็นไรจ้ะ จ้อยกินมาเรียบร้อยแล้ว” จ้อยปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน พลางถอยออกไปนั่งพับเพียบกับพื้น
“ต๊าย!” คุณนายเสียงแหลมขึ้นมาทันที “เป็นเด็กเป็นเล็ก ริกินก่อนผู้ใหญ่ ระวังเถอะ ชาติหน้าแกจะเกิดเป็นหมา”
ดวงตาค้อนควักหัวจรดเท้าเล่นเอาจ้อยเลิ่กลั่ก “คือ..จ้อยกินที่โรงเรียนก่อนกลับมา”
“ก็เหมือนกันแหละ เป็นขี้ข้าจะกินก่อนนายได้ยังไง”
หนุ่มน้อยหน้าม่อยลงถนัดตา ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ทุกคนก็เอ็นดูจ้อยดี ทั้งลุงกำนัน ทั้งน้าเวกน้าแป้น จะมีก็แต่คุณนายพูนทรัพย์นี่แหละ ไม่รู้ว่าโกรธเกลียดกันมาแต่ปางไหน ไม่ว่าจ้อยจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดไปเสียหมด
ดวงตาคู่ใสประสานกับลูกชายกำนันโดยบังเอิญ อะไรในดวงตาคมเข้มคู่นั้นเล่า กระแสอบอุ่นอาทรที่สะท้อนกลับมา ทำให้จ้อยก้มหน้าหลบตาวูบแทบไม่ทัน
“เอาน่า..แม่ทรัพย์ จะอะไรนักหนา” กำนันเสริมตัดบทอย่างรำคาญ กวาดตามองสำรับอาหาร ยิ้มกว้างเปลี่ยนเรื่อง “แหม้..กะปิคั่ว ไม่ได้กินนานแล้ว สงสัยข้าวจะหมดหม้อ”
เห็นน้องยิ้มออก สิงห์จึงค่อยกินลง คนตัวโตก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา ผักกะสังค์ที่ขึ้นตามกระถางชวนชม จ้อยเด็ดมาให้กินแนมกับกะปิคั่ว เผ็ดๆ ซ่าๆ อร่อยลิ้น
“เมื่อวานน้ำยาเหลือ จ้อยเลยเอามาเคี่ยวทำกะปิคั่ว” นักเรียนครูยิ้มภูมิใจ เห็นกำนันชวนคุยก็เลยอยากคุยบ้าง “ยายสอนว่าของอะไรที่เหลือๆ อย่าทิ้ง ให้เก็บไว้ ขนาดหุงข้าว น้ำข้าวยายยังไม่ทิ้งเลยจ้ะ ยายจะเอามาใส่เกลือให้กิน ที่เหลือก็เอามาล้างมือล้างหน้า”
“มิน่า..” สิงห์พูดเหมือนเพ้อ มองสองแก้มขาวราวลิ้นจี่แก่จัดของน้องอย่างคนละเมอ ทั้งวงข้าวมองมาเป็นตาเดียว เล่นเอานักเลงโตกลืนข้าวฝืดคอ กระแอมแก้เก้อ “มองอะไรพ่อ ผมจะบอกว่ามิน่า.. ยายช้อยถึงหน้าไม่ค่อยเหี่ยว” ว่าแล้วก็ตักข้าวเข้าปากคำโต เคี้ยวไปมองกรงนกที่นอกชานไปเหมือนมันน่าสนใจนักหนา
หนุ่มน้อยคนซื่อขมวดคิ้วมุ่น ไม่เหี่ยวตรงไหน เวลายิ้มที หางตายายยังก๊ะปลาช่อนแห้งฉะเชิงเทรา
แล่ได้แปดริ้วเลยน่ะซี!
“เออเข้าท่า” กำนันหัวเราะคึ่กๆ มองหน้าศรีภรรยาตัวเองสลับกับบ่าวคนใหม่ไปมา “แม่ทรัพย์ลองดูซี ดีกว่าไอ้ครีมคาเนโบ้อะไรนั่นของแม่อีก อุตส่าห์ถ่อไปซื้อถึงวังบูรพา กลับมาหน้าก็ขึ้นฝ้าเหมือนเดิม”
คุณนายพูนทรัพย์รู้สึกกระเดือกข้าวไม่ลงขึ้นมาเสียเฉยๆ ยิ่งเห็นสามีสุดที่รักมองหน้าไอ้จ้อยตาเชื่อม ในอกแทบเต้นเร่าๆ ด้วยความจงเกลียดจงชัง
“ถอดแม่มาไม่มีผิด ถ้าเป็นผู้หญิงคงสวยหยาดเยิ้ม” นั่นปะไรล่ะ คุณนายกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ นึกอยากลุกไปฉีกอกเสียทั้งคู่
“ลุงกำนันรู้จักแม่จ้อยด้วยหรือจ๊ะ” ดวงตาสุกใสลุกวาวเป็นประกาย
“โอ๊ย! ทำไมจะไม่รู้จัก แม่เราเขาสวย สวยจนลือกันไปทั้งเกาะเมือง งานตรุษสงกรานต์ปีนู้นมีไอ้เสือฝ้ายบ้านเหนือมาดักฉุดไป ลุงนี่แหละไปช่วยไว้ ยิงไอ้เวรตะไลนั่นตายโหงเป็นผีเฝ้าทุ่ง”
จู่ๆ คุณนายก็กระแอมกระไอลั่น จ้อยรีบยื่นขันน้ำส่งให้แทบไม่ทัน มืออวบกลับปัดทิ้งจนน้ำกระฉอก กระแทกช้อนลงจานดังเคร้งก่อนลุกขึ้นอย่างปั้นปึ่ง
“อ้าว อิ่มแล้วเรอะแม่ทรัพย์ กินน้อยจริง” กำนันพูดไล่หลัง ตะแกสนใจเมียแค่นั้นละ แล้วก็หันกลับมาฝอยกับจ้อยต่อ สายตาผู้อาวุโสมองจ้อยอย่างชื่นชม “เสียดาย นี่ถ้าครูเป็นผู้หญิงนะ ลุงจะไปขอจากยายช้อยมาให้เป็นเมียเจ้าสิงห์มัน”
พรวด!!หัวล้านเลี่ยนเตียนของกำนันเปียกโชก ไอ้สิงห์เล่นพ่นน้ำใส่พ่อ จ้อยเองก็ตื่นตกใจ รีบลุกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลุงกำนัน ตัวการยังไอโขลกๆ ไม่หาย สำลักจนหน้าแดงก่ำ พูดขอโทษพ่อไม่ได้ ได้แต่ยกมือไหว้ปะหลกๆ
“ไอ้ห่า ไอ้ลูกเวร มึงกินยังไงของมึง!” กำนันเสริมยกขาเงื้อง่าหมายจะถีบลูกชายตัวดี ทว่าคนตัวโตกลับว่องไวเป็นลิง โดดลงจากพื้นยกหลบบาทาพ่อได้ทัน กำนันคว้าตะพดไล่ตามติดๆ “มึงอย่าหนีนะไอ้หำหมา!”
หนูน้ำฝนขึ้นเรือนมาพร้อมข้าวเหนียวมะม่วงจานใหญ่ แม่แป้นให้ยกขึ้นมาเป็นของหวาน ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคือลุงกำนันคว้าตะพดไล่ตีพี่สิงห์ที่ยิ้มทะเล้นวิ่งวนรอบชานเรือน พี่จ้อยพยายามห้ามทัพ เอาตัวเข้ากันพี่สิงห์จากลุงกำนัน ห้ามกันอีท่าไหนไม่รู้ มือพี่สิงห์ถึงกอดเอวพี่จ้อยของน้ำฝนหนุบหนับ แถมคนกอดยังหัวเราะลั่นทั้งที่เพิ่งโดนตะพดเขกกะโหลก
ตั้งแต่พี่จ้อยมาอยู่ด้วยนี่ บ้านนี้ครึกครื้นขึ้นเยอะทีเดียวเชียว
*******************************
จ้อยเพิ่งอาบน้ำเสร็จตอนที่เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นสิงห์กำลังนั่งเปิดหนังสือเรียนของจ้อยอย่างสนอกสนใจ ใบหน้าคมคร้ามชะงักมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ก่อนมือหยาบใหญ่ปิดหนังสือวางคืนให้ แล้วเดินเลี่ยงไปจุดบุหรี่สูบเสียไกลที่ริมหน้าต่าง
จ้อยเปิดสมุดหนังสือทำการบ้านไปเงียบๆ นั่งทำกับพื้นนั่นแหละ
“ไม่เมื่อยรึไง” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นในความเงียบงัน พอจ้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ ก็คล้ายจะได้ยินเสียงแค่นหัวเราะแว่วมา “เอ็งมันรั้น ข้าจะซื้อโต๊ะให้ก็ไม่เอา”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ยินเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรระงม คนตัวโตเดินมาทิ้งกายลงเตียงกว้าง จ้อยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นร่างใหญ่หนานอนตะแคงเท้าแขนจ้องมองมาไม่วางตา ดวงตาสีเข้มเป็นประกายจนจ้อยต้องเบือนหลบ คว้าตะเกียงน้ำมันก๊าดมาจุด ก่อนลุกไปปิดสวิตช์ไฟที่ผนังห้อง
ค่อยยังชั่ว.. จ้อยมองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ค่อยชัดแล้ว
ดวงตาที่จ้องมองมาพร้อมความรู้สึกลึกล้ำอย่างกับจะกลืนกิน
“เอ็งจะเปิดไฟก็ได้นะ มันไม่แยงตาข้าหรอก ทำแบบนี้เสียสายตาหมด”
“ไม่เป็นไร จะได้ไม่เปลืองค่าไฟ”
และนี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่ง ใช่ว่าจ้อยจะอยากมานั่งให้สิงห์จ้องเอาๆ แบบนี้นักหรอก ในคืนแรกๆ จ้อยเล่นหอบการบ้านออกไปทำที่นอกชาน
แต่พอเปิดไฟก็โดนคุณนายดุ
“มันเปลืองไฟบ้านฉัน” ครั้นพอเปลี่ยนมาจุดตะเกียงก็โดนดุอีก
“เดี๋ยวแกก็ทำไฟไหม้บ้านฉันพอดี” คล้อยหลังคุณนาย หนุ่มน้อยเลยต้องแอบย่องลงบันไดไปเงียบๆ แอบจุดตะเกียงทำการบ้านที่แคร่ไม้ใต้ถุนเรือน หวุดหวิดจะถูกยุงหามอยู่รอมร่อ ถ้าสิงห์ไม่ถือกระบอกไฟฉายลงมาตามให้กลับไปทำในห้องเสียก่อน
มือที่เคยผลักจ้อยตกสะพานเกือบเอาชีวิตไม่รอด จูงมือจ้อยกลับเข้าห้องเหมือนกลัวจ้อยจะหนี แล้วคืนนั้น.. ก็มือคู่เดิมอีกนั่นแหละ บรรจงแต้มยาหม่องลงบนหน้าลายเป็นแมวคราวของจ้อยให้อย่างถนอม พอจ้อยดึงดันจะทาเอง เสียงต่ำก็ปรามทีเดียวอยู่หมัด
“อย่ารั้นกับพี่” เปลวตะเกียงร้อนขึ้นหรือไร แค่นึกถึงตรงนี้จ้อยถึงได้ร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งหน้า มือที่จับปากกาจรดลงบนสมุดก็คล้ายจะสั่นไหว ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้สิงห์เรียกแทนตัวเองเช่นนั้นกับเขา ไหนจะบังคับให้เรียกว่าพี่อีก ทั้งที่เมื่อก่อนเจ้าตัวเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ
“อย่ามาเรียกกูว่าพี่ กูมีน้องสาวคนเดียว”ดวงตาใสแจ๋วเงยขึ้นมอง ร่างสูงใหญ่บนเตียงยังอยู่ในท่าเดิม สายตาหรือก็จับจ้องมองมาเช่นเดิมไม่เปลี่ยน จ้อยหลบตาวูบก้มหน้าก้มตารีบทำการบ้านให้เสร็จ
อาศัยเพียงแสงตะเกียงสลัวราง แต่ภาพที่สิงห์เห็นตรงหน้านั้นแจ่มชัดจับใจนัก เสี้ยวหน้าเนียนผ่องสะท้อนแสงนวลดูราวจะเปล่งประกายดั่งทองทา แม้อยู่ไกลขนาดนี้ก็ยังได้กลิ่นแป้งเด็กหอมละมุน นิ่งมองอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งน้องเก็บสมุดหนังสือ คว้าหมอนมุ้งและเสื่อกกที่พับเก็บไว้ชิดผนังมากางปูข้างเตียง หมอนเก่าๆ มุ้งหม่นๆ ที่แม่จงใจเตรียมไว้ให้ แต่จ้อยเอาไปซักเสียจนสะอาดหอม สิงห์รู้ดีเพราะลอบหอมหมอนน้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มือเรียวค่อยๆ สอดชายมุ้งเหน็บใต้เสื่อกันยุงเข้า ก่อนพนมมือกราบหมอน แว่วเสียงเล็กสวดมนต์แผ่วเบา คนตัวโตนอนมองอยู่เช่นนั้นจนจ้อยเป่าตะเกียงดับ เมื่อไร้แสงตะเกียง ยังมีแสงจันทร์เดือนหงายสาดส่องมาทางช่องหน้าต่าง ร่างเล็กเอนกายลงนอน ดึงผ้าผวยผืนเก่าคลุมถึงอก สักพักเดียวจังหวะลมหายใจก็สม่ำเสมอบ่งบอกว่าหลับสนิทอย่างง่ายดาย
สิงห์ถอนใจพรู น้องคงเหนื่อยนัก พอหัวถึงหมอนถึงได้หลับเป็นตายแบบนี้ ไหนจะต้องตื่นแต่เช้ามืดมาทำงานบ้าน กวาดถูพื้น ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว เสร็จแล้วก็แต่งตัวพายเรือไปโรงเรียน กลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาทำงานบ้านต่อ แต่ถึงจะงานหนักอย่างไร สิงห์ก็เห็นน้องทำการบ้าน อ่านหนังสือก่อนนอนทุกวัน
ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มอ่อนโยนให้ร่างที่นอนขดอยู่ในมุ้ง ตั้งใจเรียนไว้น่ะดีแล้ว เติบใหญ่ไปภายหน้าจะได้เป็นครูอย่างที่จ้อยอยากเป็น สิงห์นึกภาพน้องในชุดข้าราชการครูสีกากีมีเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียวในแสงจันทร์สลัว
วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ ขอเพียงวันนี้พี่ยังมีจ้อยอยู่ข้างๆ แบบนี้ก็พอ
................................
จันทร์เต็มดวงยังลอยขึ้นช้าๆ เปล่งแสงนวลตาอย่างไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด ไม่อนาทรต่อร่างสูงใหญ่ที่พลิกกายกระสับกระส่ายบนเตียง
กี่ทุ่มกี่ยามแล้วก็ไม่รู้ สิงห์ยังข่มตาหลับไม่ลง จิตใจร้อนรุ่มระส่ำระสาย ราวกับมีเปลวไฟที่มองไม่เห็นค่อยๆ ลามเลียทีละนิด
เขาเป็นแบบนี้ทุกคืน.. ทุกคืนตั้งแต่มีจ้อยมานอนร่วมห้อง
แต่ความปรารถนาเบื้องต่ำถูกเก็บกดฝังลึกเอาไว้ ไม่เคยเปิดเผยออกมาต่อหน้าจ้อย เป็นความอยากถึงขั้นหิวกระหายเลยเชียว กี่คืนแล้วที่ต้องย่องไประบายในห้องน้ำอาศัยแม่นางทั้งห้าช่วยปลดเปลื้องจนสาใจ และถ้าพยายามจะไม่สำเร็จความใคร่แก่ตนเองในยามตื่น เขาก็มักจะฝันว่าได้เสพสมภิรมย์รักกับคนในดวงใจเสมอ ทว่า.. พอเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นทีไรก็มานึกสมเพชตนภายหลังทุกครั้ง
สิงห์เอ๋ย.. เอ็งมันไม่ต่างอะไรจากสัตว์ ยอมแพ้แก่ความเงี่ยนได้อย่างง่ายดาย
แล้วคืนนี้เล่า คนไม่รู้เรื่องรู้ราวนอนหลับสบาย พลิกกายทีขากางเกงกว้างๆ ก็ถลกขึ้นมาถึงโคนขา เล่นเอาคนตัวโตบนเตียงกลืนน้ำลายฝืดคอ จ้องตาไม่กระพริบ
แล้วพอจ้อยพลิกอีกที ชายเสื้อเลิกขึ้นจนหน้าท้องแบนราบเปิดเผยสู่สายตา.. เท่านั้นละ..
ความอดทนพังครืนลงอย่างง่ายดาย
สิงห์เด้งตัวลุกพรวด แหวกประตูมุ้งตนเดินย่องเบากริบไปหามุ้งสีหม่นตรงหน้า มือใหญ่ค่อยๆ เลิกชายมุ้งขึ้นก่อนมุดเข้าไปหาคนที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านอนยั่วคนอื่นแค่ไหน
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ**แสงจันทร์อาบไล้เสี้ยวหน้านวล หน้านวลๆ ที่จ้อยบอกว่าใช้น้ำข้าวล้าง ปลายนิ้วหยาบค่อยแตะลงแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนิ่มที่ได้รับเล่นเอาหัวใจพองโต ถึงขั้นลูบไล้ไปมาเพลินมือ
จ้อยครางอือทั้งที่ตายังปิด ขนตายาวเป็นแพทาบแก้มใส สิงห์ละลานใจเหลือจะกล่าว กว่าจะรู้ตัว..ก็กดปลายจมูกลงบนแก้มขาว สูดกลิ่นหอมละมุนเข้าเต็มปอดไปแล้ว
ร่างเล็กครางอย่างรำคาญ ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปรือขึ้นช้าๆ พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เบิกตาโพลง
ไอ้สิงห์กำลังคร่อมเขาไว้ทั้งตัว!
“ท-ทำอะไร!” จ้อยเสียงดัง สะดุ้งผวา หากมือใหญ่กลับตรงเข้าปิดปากเขาไว้แน่น
“ชู่ว..” เสียงทุ้มกระซิบริมหู แสงจันทร์ข้างขึ้นส่องให้เห็นแววตาสีเข้มที่ตื่นตระหนกเพียงวูบหนึ่ง วูบหนึ่งเท่านั้น “ข้า..ข้าแค่อยากรู้ว่าใช้น้ำข้าวล้างหน้าแล้วมันดีไหม”
แล้วประกายตานั้นก็เปลี่ยนไป ราวกับมีบางอย่างเข้าแทนที่ มันวูบวาบแปลกประหลาด แค่มองจ้อยก็กลัวจนตัวสั่น ยิ่งสะท้านไปทั้งร่างเมื่อใบหน้าคมคร้ามโน้มลงหอมแก้มเขาฟอดๆ ทั้งซ้ายขวาสลับกัน
“เอ็งใช้น้ำข้าวล้างหน้าจริงหรือ ถึงได้ทั้งนุ่ม..ทั้งหอมแบบนี้ หืมม์” เสียงต่ำสั่นพร่าด้วยแรงอารมณ์ จ้อยพยายามใจดีสู้เสือ
“จะ..จะเอาหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้หุงข้าวแล้วเก็บไว้ให้”
ร่างกำยำหัวเราะในคอ ดวงตาคมเข้มมองมาคล้ายจะเอ็นดู แต่ก็มีบางอย่างเคลือบแฝง คล้ายละเลงสีดำลงในสีขาว ทาทับด้วยสีแดง เกิดเป็นสีสันพิลึกพิลั่นสุดคาดเดา
ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครมองจ้อยด้วยสายตาแบบนี้.. ไม่เคยเลย..
จ้อยตัวแข็งทื่อเป็นหินยามจมูกโด่งเป็นสันซุกไซ้ลงซอกคอ ฟอนเฟ้นเหมือนผีเสื้อเคล้าเกสร พูดอู้อี้ “หอมไปทั้งตัว เอ็งใช้อาบด้วยหรือเปล่า”
นักเรียนครูสะดุ้งเฮือก บางสิ่งกำลังดุนดันเสียดสีอยู่ตรงซอกขา มันแข็ง..มันร้อนผ่าว..มันเคลื่อนไหว.. เหมือนปลาช่อนตัวเขื่องหมายจะมุดโคลนลงไปหากิน
“ออกไป” จ้อยดิ้นรนขัดขืน มือเล็กผลักแผงอกล่ำสันออก หากสองมือกลับถูกบีบแน่นกดตรึงลงกับผืนเสื่อ
“ชู่ว.. อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น” เสียงสั่นพร่าหล่นจากปากคนหน้ามืดตามัว จ้อยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก สองขาปัดป่ายไปมา
“บอกว่าอย่าดิ้น!” สิงห์คำรามลอดไรฟัน เพิ่มแรงบีบบนข้อมือเล็ก ขยับสะโพกบดเบียดลงมา จ้อยสั่นสะท้านไปทั้งร่างยามเสียงต่ำกระซิบแข็งกระด้าง
“ลืมไปแล้วหรือว่าถ้าข้าโมโหแล้วจะเป็นยังไง”
โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*น้ำตาลใกล้มด, สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ คำร้อง, ปรีชา บุญยเกียรติ ขับร้อง
**สุนทรภู่ กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้รอนาน
ขอบคุณทุกท่านที่กดเข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นมากๆ ค่ะ

คือ.. เรามีเรื่องจะมาบอกทุกคนล่ะ..
อยากบอกว่า.. หลังจากลงบทที่ ๑๕ นี้แล้ว
คนเขียนขอหายตัวไปสักระยะนะคะ (อาจจะซักเดือนนึง)
ขอตัวไปรีไรท์และจัดการเรื่องรวมเล่มนิยายอีกเรื่องให้เรียบร้อยก่อนค่ะ
ที่ผ่านมา(พยายาม)ทำสองอย่างพร้อมกัน แล้วมันมึ๊นมึน

ประกอบกับโอ้เอ้อู้มานาน เกรงใจทางสนพ.มากๆ เลย ตารางเวลาเลื่อนไปหมดเพราะคนเขียนวินัยบกพร่องคนเดียว
จึงขอตัดสินใจ หยุดเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ จัดการทางนั้นเสร็จแล้วจะกลับมาเขียนต่อ
ขอโทษคนอ่านทุกคนด้วยนะคะ ที่ทำให้รอแล้วรอเล่าแบบนี้

สัญญาว่าจะรีบกลับมาเขียนต่อค่ะ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ
ดอกไม้
๒๖ มี.ค. ๕๕