บทที่ ๑๕
น้ำตาลใกล้มด(ครึ่งแรกนะจ๊ะ

)
น้ำตาลใกล้มด หรืออดได้
ความหวานเอมใจ ชวนฤทัยให้เฝ้าพันพัว
หวานสนิทอมฤตเอมรสมดเห็นก็สั่นรัว
ลงโทษใครไหนได้ น้ำตาลฉ่ำใจ
หวานชื่นกระไร น้ำตาลเองไม่มองตัว
มวลมดหรือคิดชั่ว มดเพียงเกลือกกลั้วเพราะความที่ตัวหลงรสที่ยั่วยวนใจ
จึงเพียรเข้าไปใกล้ ด้วยความหวานน้ำตาลจูงใจ หวังจะได้เชยชมลิ้มลอง*ดวงตาสีเข้มมองมาตาไม่กระพริบ เสียงห้าวเอ่ยช้า..ชัด..
“พี่-สิงห์”
จ้อยกระพริบตาปริบ ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง หรือบางทีเขาอาจตกใจจนหูฝาดไป
ลูกชายกำนันปิดตาข่มโทสะเมื่อเห็นบ่าวคนใหม่ทำหน้าเป๋อเหลอ เสียงห้าวเค้นถามเหี้ยมเกรียม “โดนดูดปากไปสองที เสียงหายหมดเลยรึไง” มือใหญ่เพิ่มแรงบีบ โน้มใบหน้าลงมาอีกครั้ง “งั้นเดี๋ยวข้าคืนให้”
“อย่า!” จ้อยลนลานหันหน้าหนี รีบพูดปากคอสั่น “พะ..พะ..พี่สิงห์”
“ไม่ได้ยิน!” แค่เสียงห้าวตะคอกลั่น จ้อยก็กลัวจนหัวหด
“พี่สิงห์!” หลับหูหลับตาแหกปากตามใจคู่อริที่กลายมาเป็นทั้งเจ้านายและเจ้าหนี้ ดวงตาคู่ใสหรี่ขึ้นมองคนตรงหน้า เห็นตาเรียวคมมองมา ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มอย่างสาสมใจ
“ก็แค่นี้” คำพูดหล่นจากปาก ปากที่ทำท่าจะโน้มลงมาอีก จ้อยกลัวจนตัวสั่น เกร็งร่างแทบจมหายลงไปกับฟูกนอน หลับตาปี๋รอรับจูบร้อนๆ ที่จะบดขยี้ปากเขาอีกครั้ง
ผิดคาด!
ปากอุ่นๆ กดจูบลงบนหน้าผากเนียน คนแรงเยอะ มือหนักตีนหนักอย่างสิงห์ กระทั่งเวลาจะจูบจะหอม ปากมันยังยั้งแรงไม่ได้ แค่จูบหน้าผากยังเกิดเสียงดัง ‘จุ๊บ’ แค่จุ๊บสั้นๆ ก็เล่นเอาจ้อยสั่นไปทั้งตัวทั้งที่ไม่ได้หนาวสักนิด
มือแข็งค่อยๆ คลายออก ทิ้งไว้เพียงรอยแดงบนข้อมือเล็ก จ้อยได้แต่มองตาปริบยามร่างใหญ่โตเป็นยักษ์ปักหลั่นผละลุกขึ้นนั่ง
“เอ็งมันรั้น” มือหยาบยื่นมาแตะกลีบปากเจ่อช้ำแผ่วเบา “ถ้าไม่กวนประสาทข้าก่อนก็คงไม่เจ็บตัว”
ขวัญที่บินหายค่อยคืนกลับมา จูงมือสติสตังกลับมาด้วย หนุ่มน้อยเด้งตัวลุกพรวดจากเตียงทันใด เดินแข้งขาแทบพันกันไปยืนตัวลีบอยู่ที่มุมห้อง
“ขะ..ขอออกไปทำงานก่อนนะ” จ้อยบอกเสียงสั่น มือเล็กกุมชายเสื้อยืดสีซีดของตัวเองจนแน่น อยู่กันลำพังสองต่อสองแบบนี้ ทั้งกลัว ทั้งระแวง ทั้งอึดอัด อยากออกไปให้พ้นๆ อยากหาอะไรทำให้มือให้หัวไม่ว่าง ไม่อย่างนั้นจ้อยอกระเบิดตายแน่
“อยากทำงาน?” สิงห์แค่นหัวเราะ “ห้องข้ามีงานให้ทำเยอะแยะ”
จ้อยกลืนน้ำลายฝืดคอ พยักหน้าหงึกหงักอย่างจนใจ ก่อนผลุนผลันออกไป แล้วชั่วอึดใจต่อมา สิงห์ก็เห็นคนตัวเล็กหนีบไม้กวาด ถือไม้ปัดขนไก่ หิ้วถังน้ำเข้ามาอย่างทุลักทุเล
นักเรียนครูวางของในมือลงกลางห้อง กวาดตาไปรอบห้องรก ประมวลความคิดว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน และแล้วก็ตัดสินใจเริ่มจากก้มหยิบข้าวของเกลื่อนกลาดตามพื้นเก็บให้เข้าที่ หยิบเสื้อผ้าที่กองเขละใส่ลงตะกร้า ขวดเหล้า ซองบุหรี่เปล่าทิ้งลงถังขยะ เขย่งสุดปลายเท้า เอื้อมสุดแขนเพื่อปัดไม้ขนไก่ไปตามหลังตู้ ฝุ่นละอองคลุ้งลงมาเข้าตาเข้าจมูก สำลักไอจนหน้าแดง มือเล็กโบกเป็นระวิง น้าแป้นคงไม่ค่อยมีเวลาอย่างที่คุณนายพูนทรัพย์ว่าจริงๆ
คนตัวโตบนเตียงจับจ้องไม่วางตา
“ทำไมไม่ถูพื้น” ลูกชายกำนันถามหาเรื่อง อดปฏิเสธจากหัวใจหยาบช้าอกุศลไม่ได้ว่า.. อยากเห็นคนอวดดีในบาง ‘ท่วงท่า’
“เขาต้องทำจากข้างบนลงล่าง” จ้อยตอบประสาซื่อ คนฟังยักไหล่ไม่ยี่หระ เอนหลังบนเตียงมองคนตัวขาวทำความสะอาดห้องด้วยดวงตาแพรวพราวราวกำลังเสพมหรสพชั้นเลิศ
มองหน้าเนียนที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเกาะพราว มองมือขาวหยิบไม้กวาดมาไล่กวาดขะมักเขม้น ดวงตาใสซื่อแน่วแน่จดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ แสงแดดส่องผ่านเสื้อเนื้อบางจนสายตาซุกซนมองทะลุปรุโปร่งถึงทรวดทรงใต้ร่มผ้า ยิ่งมองยิ่งเพลินตาไม่รู้ตัว
ราวกับความรื่นรมย์ที่ห่างหายไปจากชีวิตเนิ่นนานกลับคืนมาอีกครั้ง แค่ได้มองหน้าจ้อยตอนนี้ สิงห์ก็สุนทรีเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในอ้อมกอดเหล่าอีตัวที่ซ่องนางทองใบ ยามเมื่อเสียงเล็กเรียกเขาว่า ‘พี่สิงห์’ มันเสนาะหูแสนสุขใจยิ่งกว่าเสียงพวกสมุนโห่ร้องยินดีตอนเขาแทงลูกดำลงหลุมได้ในโรงบิลเลียดเสียอีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรสจูบเมื่อครู่ ปากนุ่มๆ ตัวนิ่มๆ ในอ้อมกอด เล่นเอาหัวใจสิงห์ยังกระทุ้งอกโครมๆ ไม่หาย ความคิดที่จะตีหน้ายักษ์วางท่ากราดเกรี้ยวใส่น้องจางหายไปสิ้น มือใหญ่คว้าบุหรี่มาจุดสูบอย่างสบายอารมณ์
“ทิ้งขี้บุหรี่ลงพื้นทำไม ข้า..เอ๊ย จ้อยเพิ่งกวาดไปนะ” ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นมองมาแล้ว แม้คิ้วเรียวจะขมวดมุ่น แม้เสียงใสๆ จะขุ่นไปหน่อยก็เถอะ ยิ่งกวนโมโหให้จ้อยหงุดหงิดยิ่งสนุกนัก คนขี้แกล้งจึงจงใจสะกิดขี้บุหรี่ลงพื้นอีกสองสามหน ได้มองคนน่ารักเดินวนไปทั่ว แถมตอนก้มกวาด คอเสื้อกว้างก็ถ่วงลงจนเห็นแผ่นอกเรียบเนียน มันน่ามองน้อยอยู่เมื่อไร
แค่แป๊บเดียว ห้องที่สิงห์ตั้งใจทำให้รกก็สะอาดขึ้นผิดหูผิดตา บอกตามตรงว่าสะอาดกว่าตอนน้าแป้นเข้ามาทำเสียอีก เพราะอย่างน้อย จ้อยก็ไม่กวาดเศษผงไปซุกไว้ตามมุมโต๊ะหรือใต้เตียง
และแล้วเวลาที่สิงห์รอคอยก็มาถึง
มือเล็กจุ่มผ้าขี้ริ้วลงถังน้ำ บิดจนหมาด ก่อนคุกเข่าคลานสี่ขาถูผ้าเปียกไปตามแนวกระดาน ต้นขาขาวจัดโผล่พ้นชายกางเกงขาสั้น ยิ่งยามก้มต่ำกวาดมือเข้าใต้ตู้ สะโพกมนยิ่งลอยสูงจนเน้นเป็นรูปเป็นร่าง สิงห์กลืนน้ำลายเอื๊อก จ้องตาไม่กระพริบ เริ่มร้อนอ้าวในบางที่บางแห่งตามสัญชาติญาณ
ขนาดบุหรี่ไหม้จะหมดมวนแล้วยังไม่รู้ตัว
“โอ๊ย!”
โดนไฟจี้มือเข้าให้จนได้สิน่า!
จ้อยหันขวับทันที สิงห์กำลังสะบัดมือเร่าๆ อย่างน่าขายหน้า คนคิ้วผูกโบว์เดินตรงเข้ามาหา ย่อตัวลงเช็ดพื้นเกลื่อนกล่นขี้บุหรี่ หน้าขาวๆ ก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงหว่างขา ได้องศาอัปรีย์พอดีพอดิบ เล่นเอานักเลงหนุ่มหัวใจแทบหยุดเต้น
“ยกขาสิ” จ้อยเงยหน้าบอก “ถ้าไม่ยกขาจะเช็ดได้ยังไง”
แต่สิงห์หูอื้อไปหมดแล้ว ไม่หือไม่อือนั่งทื่อเป็นหิน บางอย่าง.. ก็เป็นหิน
หินลนไฟเสียด้วย
นักเลงโตหอบหนัก นึกอยากกระชากกางเกงตัวเองออก เหนี่ยวรั้งใบหน้าเล็กเข้าหา ยัดเยียดความปรารถนาแข็งขึงร้อนผ่าวลงในกลีบปากสีเรื่อ
แต่เมื่อจ้อยจึ๊ปากหงุดหงิด แค่มือนิ่มคว้าหมับที่หน้าแข้ง คนเก่งกล้าไม่กลัวใคร ท้าตีท้าต่อยมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ก็วิ่งกุมเป้าหลังโก่งออกไปนอกห้อง ทิ้งจ้อยนั่งอึ้งมองตามตาปริบๆ
รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ไอ้สิงห์เอ๋ย!
หัวหน้าอันธพาลตะโกนก้องอยู่ในหัวใจเต้นรัว กว่าจะวิ่งลงบันไดจนเรือนสะเทือนมายังห้องน้ำข้างล่าง น้ำเมือกอ่อนใสก็ซึมผ่านเนื้อกางเกงสีเข้มออกมาเป็นจ้ำๆ ได้แต่ภาวนาว่าจ้อยคงไม่ทันสังเกตเห็น มือใหญ่ข้างหนึ่งยันขอบตุ่มมังกร อีกมือปลดกางเกงลงกองกับพื้น ก่อนรูดรั้งความแข็งขึงร้อนผ่าวรัวเร็วไม่เว้นจังหวะ ใบหน้าคร้ามคมบิดเบี้ยว สูดปากครางเสียงต่ำในลำคอ ในหัวมีแต่ใบหน้าอ่อนใสของใครคนหนึ่ง มีแต่รสจูบหวานล้ำตราตรึง มีแต่ภาพสะโพกกลมกลึงลอยเด่นติดตา มือหยาบเร่งจังหวะรัวเร็วจนเกิดเสียงน้ำเสียดเนื้อ ความสุขสมแล่นพล่าน พลันนั้นก็ระเบิดเปรี้ยง ธารรักขาวขุ่นปะทุเต็มอุ้งมือ กระฉอกรุนแรงจนเปื้อนถึงลายมังกรบนตุ่ม ร่างสูงใหญ่หอบหนัก หยาดเหงื่อเกาะพราวทั้งตัวจนมัดกล้ามมันปลาบ เมื่อสติกลับคืนมา มือใหญ่รีบร้อนคว้าขันจ้วงน้ำสาดล้าง ทำลายหลักฐานให้หมดสิ้น
หนูน้ำฝนยืนเอียงคอฟังเสียงสาดน้ำโครมๆ อยู่หน้าห้องน้ำ นิ้วเล็กจิ้มปลายคาง พี่สิงห์แอบเอาอะไรเข้าไปกินในห้องน้ำกันน้อ ท่าจะเผ็ดน่าดูถึงได้ครางซู้ดๆ ไม่หยุด
เผ็ดเสียจนอิ่มแล้วร้อนจัดจนต้องอาบน้ำเลยทีเดียวเชียว!
*******************************
หม่อมราชวงศ์เลอมานหอบหิ้วแผ่นเสียงพร้อมกระเป๋าเครื่องเล่นใบเขื่องกลับเรือนไม้ ระหว่างทางพบอาจารย์วิรัชเดินนอบน้อมเข้าหาหมายจะช่วยถือให้ หากคุณชายปฏิเสธอย่างเย็นชา
“ไม่ต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับผม ผมไม่ใช่สุภาพสตรี”
เล่นเอาคนสอพลอหน้าม้าน ได้แต่ขบกรามกรอดลับหลัง ทิ้งสายตาขุ่นเคืองมองตามแผ่นหลังบางที่เดินหนีลิ่วๆ
คุณชายวางแผ่นเสียงของแพต บูนลงบนโต๊ะอย่างถนอม ตั้งแต่หันมาใช้บทเพลงประกอบการสอน รู้สึกเหล่าลูกศิษย์วัยหนุ่มจะคึกคักสนุกสนานขึ้นเยอะ
ยกเว้นเพียงคนเดียว..
นักเรียนฝึกหัดครูร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าสุด ตากลมโตที่เคยกระตือรือร้น มือเล็กที่คอยยกขึ้นถามโน่นถามนี่อยู่เสมอ ระยะนี้ดูอ่อนล้าเหนื่อยหน่าย บางวันก็เข้าห้องเรียนสายเป็นชั่วโมง
จ้อยเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไปอยู่บ้านกำนัน ไม่รู้ว่าถูกนายจิกหัวใช้งานหนักหนาแค่ไหน แถมไม่มีแม้เวลาจะมาคุยเล่นกับเขาเหมือนก่อน มาเรียนก็สาย พอระฆังสั่นเลิกเรียนก็รีบร้อนกลับ
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วถอนใจพรืด เขาลองไปติดต่อจ้างนางนกแก้วแม่ครัวใหญ่ให้มาซักรีดเสื้อผ้าให้ แต่ไม่รู้เจ้าหล่อนใช้อะไรซักผ้าให้เขา กลิ่นถึงได้ฉุนแรงไม่หอมสะอาดอย่างที่จ้อยซักให้สักนิด แถมเจอแรงมือนางเข้าไปครั้งเดียวก็ขยาด เสื้อเชิ้ตเนื้อดียี่ห้อหรูของเขาเป็นรอยยับย่นไปทั้งตัว ยับขนาดที่ว่าพอหล่อนลงมือรีดแล้วยังไม่ยอมเรียบ
หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ยอมแก้ผ้าดีกว่าที่จะใส่เสื้อยับ!
ในเมื่อจ้างคนอื่นแล้วไม่ได้ดั่งใจ คุณชายก็ตัดสินใจจะทำเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!
อาจารย์คนึงยังไม่กลับมา หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อคอโปโลกางเกงขาสั้นแล้ว คุณชายจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ประพนธ์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้น ใบหน้าคมคายดูประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเด็กหนุ่มสำอางเอี่ยมลออเดินตรงเข้าไปหา บอกว่าจะรีดผ้าเอง
“คุณชายไปเอาเตารีดมา เดี๋ยวผมไปตัดใบตองให้” คนใจดียินดีช่วยแข็งขัน ก่อนเดินลงบันไดไป เลอมานกลับเข้าห้อง วงหน้าอ่อนเยาว์ครุ่นคิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเตารีดอยู่แถวข้างเตียงอาจารย์คนึง ร่างเพรียวบางถือวิสาสะเดินไปหยิบมาโดยไม่ขออนุญาต
เตารีดถ่านทำด้วยเหล็กหนาหนักอึ้ง มีพื้นรองเป็นเหล็กเช่นเดียวกัน ประพนธ์ลงมือก่อไฟในเตาจนถ่านไม้ลุกแดง ใช้ทัพพีเก่าค่อยๆ ตักถ่านแดงๆ ใส่เตารีดให้ ปล่อยให้ร้อนจนได้ที่
สองคนช่วยกันรีดผ้าตรงนอกชาน อากาศยามเย็นเคล้ากลิ่นฝนกลิ่นดินหอมชื่น ประพนธ์สอนเลอมานจับจีบเสื้อวางลงบนผ้าผวยสีเทาที่ปูรอง พรมน้ำจากขันสาครลงบนผ้าด้วยปลายนิ้ว สอนให้ใช้เตารีดถ่านรีดลงกับนวลตองก่อนนำมารีดผ้าให้เรียบ คุณชายกะน้ำหนักไม่ถูก หนักไปเบาไปไม่พอดีสักที ทุลักทุเลจนจนมือใหญ่ต้องคอยกุมมือเล็กที่จับด้ามไม้จนเกร็ง กะแรงและรีดไปในทิศทางที่ถูกต้อง
กว่าจะได้เสื้อเรียบๆ สักตัว เลอมานก็ถึงกับปาดเหงื่อ นึกแปลกใจว่าจ้อยทำได้อย่างไรทีละมากมาย
ตัวแรกผ่านไป ตัวที่สองแทนที่จะง่ายขึ้น บุตรท่านทูตเล่นรีดเอารีดเอาไม่บันยะบันยัง บางครั้งก็ทำเตารีดติดผ้าเสียอีกนั่น ประพนธ์จึงต้องคอยจับมือรีดชนิดปล่อยไม่ได้เลย
เขาไม่อยากเห็นคุณชายทำไฟไหม้บนเรือนไม้นักหรอก
รูปไก่ที่ตัวล็อคฝาเปิดนั้นสะดุดตา คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แอบภาวนาในใจว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาสังหรณ์
“คุณชาย ไปเอาเตารีดนี่มาจากไหนหรือ” เขาถามขึ้นในที่สุด หากพออีกฝ่ายตอบว่าเอามาจากข้างเตียงอาจารย์คนึง ใบหน้าคร้ามคมก็คล้ายจะเผือดลง
“นี่มัน..” ประพนธ์กลืนน้ำลายฝืดคอก่อนกระซิบ “..ของจินดา อาจารย์คนึงเขาหวงของเขานะ”
ดังมีลิ่มที่มองไม่เห็นตอกลงเนื้อใจ เพียงแค่ได้ยินชื่อใครคนนั้น เลอมานก็หน้าเจื่อนลงทันตาเห็น
“ทำอะไรกัน!” เสียงทุ้มห้าวดังลั่นจากด้านหลัง สองคนที่กุมมือกันบนด้ามจับเตารีดสะดุ้งเฮือก คุณชายสะบัดมือออกทันทีด้วยความตกใจ
แรงกระเทือนส่งผลให้ถ่านแดงๆ ในเตารีดแตกปะทุ กระเด็นออกมาเป็นสะเก็ดเพลิง บางส่วนตกลงบนเสื้อเสียหายเป็นรู บางส่วนกระเด็นใส่แขนขาว
“โอ๊ย!” เพียงเลอมานร้องลั่นด้วยความเจ็บร้อน อาจารย์คนึงก็ปรูดเข้ามาหา มือใหญ่คว้าหมับเอาแขนเรียวที่ถูกสะเก็ดไฟแตกใส่เป็นจุดแดงไหม้พอง สองสายตาประสานกันชั่วขณะ ความห่วงหาระยิบไหวในตาคู่หนึ่ง หากอีกคู่กลับดูสลดรวดร้าว
อาจารย์ประพนธ์ได้แต่มองคนเจ้าระเบียบจูงแขนลูกศิษย์ตัวดีลงบันไดไป
“อาจารย์.. เดี๋ยว อาจารย์” เลอมานเสียงสั่นตามก้าวย่างสะเทือนไหว คนที่เคยเอาไม้เคาะตาตุ่มตอนเขาวิ่งบนเรือน ไฉนตอนนี้กลับลากแขนพาวิ่งลงบันไดเสียเองแบบนี้เล่า
คนตัวโตหยุดกึกที่ตีนบันได เล่นเอาร่างเล็กปะทะแผ่นหลังกว้างเพราะไม่ทันตั้งตัว ยังไม่ทันอ้าปากถาม มือใหญ่ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง คว้าแขนเขาแช่ลงในตุ่มน้ำทันที
“เจ็บหรือเปล่า” ก็มือเดิมอีกนั่นแหละบรรจงลูบไล้ท่อนแขนเขาแผ่วเบา สัมผัสจากมืออุ่นๆ ส่งกระแสซ่านผ่านสายน้ำเย็นเฉียบแทรกซึมถึงหัวใจ มืออีกข้างไล่แตะทั่วใบหน้าเขาเป็นระวิง “โดนตรงไหนอีก ไม่โดนหน้าใช่ไหม”
เลอมานส่ายหน้า ก่อนถูกจูงไปนั่งที่แคร่ไม้รวกใต้ต้นหางนกยูง ดวงตาสีน้ำตาลใสได้แต่มองคนตัวสูงก้มๆ เงยๆ อยู่แถวแปลงดอกไม้หน้าเรือน กลับมาอีกทีพร้อมว่านหางจระเข้หนึ่งแง่ง
คุณชายย่นจมูกให้กลิ่นเหม็นเขียวฉุนกึก แต่เนื้อว่านใสๆ เป็นเมือกลื่นน่าขยะแขยงที่มือใหญ่บรรจงแปะลงบนแผลก็บรรเทาความแสบร้อนได้ชะงัดนัก
“ยังเจ็บอยู่ไหม” เสียงทุ้มไถ่ถาม มือนั้นอุ่น สายตานั้นหรือก็อ่อนโยนนัก หากคนถูกถามกลับเพียงก้มหน้านิ่ง ซ่อนแววตาร้าวรานไว้อย่างสุดกำลัง
กะอีแค่โดนไฟลวกนิดหน่อยไม่เจ็บเท่าไรหรอก แต่แผลที่ทำให้เขา ‘เจ็บ’ กว่านั้น อยู่ลึกลงไปในอกซ้าย ไม่มีใครมองเห็น แผลที่เกิดจากคำพูดสั้นๆ
“ของจินดา อาจารย์คนึงเขาหวงของเขานะ”อาจารย์คงโกรธ ถึงได้ตะคอกเสียงดังอย่างนั้นทันทีที่เห็นว่าเขาเอาของหวงออกมาใช้ คงโกรธที่เขาบังอาจมาทับรอยมือใครคนนั้น
ถ้ารู้แต่แรก.. เขาจะไม่แตะเลยจริงๆ
โปรดติดตามครึ่งหลังอาทิตย์หน้าจ้า^^-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะคนอ่านที่รักทุกคน^^
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาลงแค่ครึ่งตอนแบบนี้
ช่วงนี้งานรัดตัวสุดๆไปเลย ประกอบกับต้องเร่งรีไรท์นิยายอีกเรื่องที่กำลังจะรวมเล่มด้วย
จะทิ้งช่วงเรื่องนี้ไปเลยก็ยังไงอยู่ เพราะฉะนั้นระยะนี้ขอลงทีละครึ่งตอนนะคะ นะ..นะ..น๊า

ขอบคุณคนอ่านทุกคน ขอบคุณทุกๆคอมเม้นมากๆเลยนะคะ
รักคนอ่านที่ซู้ด

ดอกไม้ค่ะ
๑๗ มี.ค. ๕๕
ปล. คืนนี้จะออกเดินทางไปเขาคิชกุฏ จันทบุรีค่ะ แล้วจะเอาบุญมาฝากนะคะ^^
ปลล. ขอยกยอดตอบเม้นไปอาทิตย์หน้าทีเดียวเลยเน้อ^^