(ต่อ)
ซิลวีโอ เวนโดลา คือเบื้องหลังเหตุการณ์ระทึกขวัญในครั้งนี้ และอาจจะรวมไปถึงก่อนหน้านี้ด้วย..
ฟ้าประทานเล่าให้ผมฟังว่า.. คนที่มันเรียกว่า ‘ลุง’ หรือชื่อจริงคือ ‘ซิลวีโอ เวนโดลา’ นั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของ ‘เวนเนสซา เวนโดลา’ ภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของพ่อของมัน(..หรือก็คือแม่เลี้ยงของมันนั่นเอง) มันบอกผมว่า..จริงๆ แล้วคุณขลุ่ยเป็นภรรยานอกสมรส และตัวมันเองก็เป็นลูกนอกสมรส ..ทั้งคู่ถูกปฏิเสธการมีตัวตนและอยู่นอกสายตาของคนในตระกูลพ่อมันมาตลอด...แต่นั่นก็ทำให้มันมีช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่สุขสงบดี
จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตระกูล...
เกิดการรวมตัวของกลุ่มอำนาจใหม่ขึ้นมาคานอำนาจกับกลุ่มเก่า โดยกลุ่มใหม่มี ‘ตระกูลคาวัวร์’ เป็นตัวชูโรง ส่วนกลุ่มเก่ามี ‘ตระกูลเวนโดลา’ เป็นตัวชูโรง เอี้ยฟ้าบอกผมว่าพวกนี้เป็นตระกูลสาขา(หรือกลุ่มเครือญาติ)ของตระกูลพ่อมันอีกที(..จะซับซ้อนไปไหน? ไปลำดับญาติกันเอาเองนะ ส่วนใครที่งงก็จงงงต่อไป อันนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะผมเองก็มึนไม่แพ้พวกคุณหรอก) ขนบธรรมเนียมประเพณีในตระกูลที่มีการสืบทอดต่อๆ กันมาร่วมสี่ศตวรรษจึงมีการหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่
จากเดิมที่ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหลักจะต้องเป็นลูกชายคนโตของผู้นำคนเก่า และต้องเป็น ‘สายเลือดแท้’ เท่านั้น(..แมร่งแบ่งวรรณะกันหยั่งกะชนเผ่าแวมไพร์ ..แต่พวกผู้ดีเก่าแถบยุโรปก็มักจะเป็นแบบนี้แหล่ะ ที่อังกฤษก็มีเหมือนกันนะ ดูเหมือนคนพวกนั้นจะให้ความสำคัญกับที่มาของนามสกุลของคุณเหลือเกิน แค่แนะนำชื่อกับพวกเขาอย่าคิดว่าจบ กับบางคนคุณต้องไล่เรียงไปถึงโคตรเหง้าศักราชว่าวิวัฒนาการมาจากลิงพันธุ์ไหนเลยเชียว)
แต่พวกคาวัวร์กลับเสนอให้มีการคัดเลือกจากความสามารถมากกว่า ..ไม่เกี่ยวกับเป็นลูกคนโต ไม่เกี่ยวกับสายเลือด และไม่เกี่ยวกับเพศ.. ว่าที่ประมุขของตระกูลควรจะเป็นคนที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งมากที่สุด เพื่อที่จะรักษาและนำพาตระกูลไปสู่ความรุ่งเรืองได้ไม่น้อยหน้าบรรพบุรุษ(..ผมล่ะสงสัยว่าใครมันต้นคิดเรื่องที่คนอย่างเอี้ยฟ้าจะนำพาตระกูลได้? จะฉิบหายวายวอดกันทั้งตระกูลล่ะไม่ว่า เหอะๆ)
ซึ่งในกรณีพ่อของเอี้ยฟ้า(ผู้นำคนปัจจุบัน)นั้นมีลูกทั้งหมดสามคน(..สองคนเกิดจากเวนเนสซา) คนแรกเป็นผู้ชาย คนที่สองคือเอี้ยฟ้า ส่วนคนที่สามนั้นเป็นผู้หญิง แต่เอี้ยฟ้าบอกว่าน้องสาวมันเป็นเด็กพิเศษที่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป งานนี้ก็เลยถูกตัดสิทธิ์ไปโดยปริยาย
แน่นอนว่าพวกเวนโดลาต้องค้านข้อเสนอนี้แบบหัวชนฝา เพราะถ้ายอมรับก็หมายความว่า...ลูกชายคนโต..ที่มีเลือดของเวนโดลาอยู่ครึ่งหนึ่ง อาจมีสิทธิ์ไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำคนต่อไปก็เป็นได้ ..หากผลการคัดเลือกออกมาว่าเอี้ยฟ้ามีความสามารถและเหมาะสมยิ่งกว่า
และนั่นก็หมายความไปได้อีกว่า...พวกเวนโดลาอาจถูกลดทอนอำนาจและความสำคัญภายในตระกูลลงไปอีก ..ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกนั้นคงไม่ยอมง่ายๆ
สรุปก็คือ...มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์และการเมืองภายในตระกูลล้วนๆ
พวกตระกูลคาวัวร์มีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพา ‘ทายาทลำดับสอง’ กลับคืนสู่เนเปิลส์ แต่อุปสรรคที่พวกนั้นต้องเจอไม่ใช่เพียงแค่ตระกูลเวนโดลาที่คอยขัดขวางเท่านั้น ก้างชิ้นเขื่องชิ้นสำคัญเลยก็คือ..คุณขลุ่ย!
คุณขลุ่ยไม่ต้องการให้เอี้ยฟ้าเข้าไปสู่วังวนแห่งมรดกเลือด คุณขลุ่ยต้องการให้มันเป็นเพียงเด็กชายธรรมดา ใช้ชีวิตแบบธรรมดา และอยู่ท่ามกลางเหล่าคนธรรมดาสามัญที่ไม่คิดจะฆ่าแกงกันเพียงเพราะผลประโยชน์และอำนาจที่จับต้องไม่ได้ และตราบใดที่เธอยังอยู่ เธอจะไม่มีวันปล่อยเอี้ยฟ้าออกจากอ้อมอกแน่ ..ซึ่งนั่นทำให้เธอถูกพวกคาวัวร์พิพากษาว่าเป็น ‘เสี้ยนหนาม’ ที่ต้องถูก ‘กำจัด’ (..เอี้ยฟ้าบอกว่าเรื่องนี้มันบังเอิญไปรู้หลังจากที่ย้ายไปอยู่อิตาลีได้เกือบสี่ปีแล้ว)
นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นของความเลวร้ายที่ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้..
“พวกนั้นไม่ได้ต้องการกูจริงๆ หรอก ที่เค้าต้องการก็มีแค่ผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น” เอี้ยฟ้าพูดด้วยเสียงเรียบเรื่อย
แต่กลับเศร้าลึกไปถึงก้นบึ้งหัวใจคนฟังอย่างผม..
และหลังจากที่ได้ย้ายไปอยู่อิตาลีสมใจพวกคาวัวร์ เอี้ยฟ้าก็ถูกพิพากษาว่าเป็น ‘เสี้ยนหนาม’ ที่ต้องถูก ‘กำจัด’ เช่นเดียวกับแม่ของมัน ..แต่ครั้งนี้ตัดสินโดยพวกเวนโดลา..
“จะอยู่..ก็ขัดตาฝ่ายหนึ่ง ..จะตาย..ก็ขัดใจอีกฝ่ายหนึ่ง ..ตลกดีมั้ย?” คนพูดพูดพลางยิ้มขื่น “ที่ใครเค้าว่า ‘ไม่มีอะไรเป็นของเรา’ นี่ท่าจะเป็นเรื่องจริง ..เพราะขนาดชีวิตกู ก็ยังไม่ใช่ของกูเลย”
ตลอดแปดปีที่อยู่อิตาลีพวกเวนโดลาไม่เคยละความพยายามแม้สักวินาทีที่จะเขี่ยเอี้ยฟ้าออกไปให้พ้นทาง แต่พวกนั้นก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะอย่างน้อยตอนนั้นเอี้ยฟ้าก็อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของพ่อของมันอย่างใกล้ชิด ..ปีกใหญ่ที่คอยปกป้องอันตรายช่วยยืดลมหายใจให้อยู่กับร่างกายมาได้อีกหลายปี
จนกระทั่งตอนที่มันมีอายุครบสิบหก เอี้ยฟ้าบอกว่าตอนนั้นมันถูกพวกแก๊งมาเฟียในพื้นที่จับตัวไป พอถูกช่วยกลับมาได้มันก็ล้มป่วย(แต่ป่วยเป็นอะไรมันไม่ยักเล่าแฮะ) คุณพิณ(หรือน้าของมัน)ก็เลยขอรับมันกลับมาดูแลรักษาด้วยตัวเองที่เมืองไทย
และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเวนโดลาเดินหน้าได้เต็มกำลัง..
ที่ผ่านมา.. พวกนั้นมีความความพยายามที่จะส่งคนมาลอบสังหารเอี้ยฟ้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีครั้งไหนที่จะสำเร็จเห็นผล(..แหงล่ะ ไม่งั้นมันคงไม่มีโอกาสได้มานั่งเล่าอัตชีวประวัติบัดซบนี่ให้ผมฟังหรอก) ส่วนใหญ่แล้ว..ถ้าไม่ถูกคนของพ่อมัน(ที่ส่งมาคอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ)จับได้ก่อน ก็ถูกคนของพวกคาวัวร์(ที่คอยมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมัน)จัดการหมด ..แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่พวกมันลอดหูลอดตาพวกการ์ดจนเข้ามาถึงตัวเอี้ยฟ้าได้
“ก็มีเจ็บบ้าง.. ยังแต่ไม่เคยตายซักที” เอี้ยฟ้าบอกด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สาตามประสามัน
“มึงเคยนึกกลัวบ้างมั้ย ฟ้า ..ที่ต้องมีชีวิตอยู่แบบไม่รู้ว่าจะถูกยิงหัวเมื่อไหร่แบบนี้?” ผมอดถามไม่ได้เมื่อยังเห็นปฏิกิริยาเฉื่อยชาแม้วันมามาก(?)ของมัน
“กู...เคยกลัว..เมื่อนานมาแล้ว...กลัวมาก...กลัวจนชิน..จนลืมไปแล้วว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไง” ..นั่นแหล่ะ คำตอบที่ผมได้รับ
เอี้ยฟ้าว่า..ยิ่งมันอายุใกล้ครบยี่สิบมากเท่าไหร่ พวกเวนโดลาก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น..
“ทำไมต้องยี่สิบ?” ผมแทรกถามขึ้น รู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้จากที่ไหนหรือเปล่า? หรือจะเป็นเดจาวู??
“เพราะถ้ากูอายุครบยี่สิบปีเมื่อไหร่...ทรัพย์สินหนึ่งในสี่ของตระกูลจะถูกโอนเป็นชื่อกูทันที..รวมทั้งบุคลากรในหน่วยต่างๆ ขององค์กรด้วย”
“..นั่นก็หมายความว่าการกำจัดมึงทิ้งก็จะทำได้ยากมากขึ้นไปด้วย?” ผมสรุปตามที่เข้าใจ
“ใช่” เจ้าของเรื่องพยักหน้า แล้วเริ่มเล่าต่อ..
ตอนนี้หน่วยข่าวจากทางอิตาลีรายงานมาว่าครั้งนี้พวกนั้นได้ส่งสไนเปอร์มือดีที่สุดเข้ามาในไทยเรียบร้อยแล้ว(..นี่พวกมึงเรียกใช้สไนเปอร์กันเลยเรอะ? ไม่เล่นกันแรงไปหน่อยเหรอวะ?) พวกการ์ดในไทยก็กำลังไล่ล่าตามหาตัวมันให้ควัก
แต่ก็ยังไม่เจอแม้เงา.. ยังไม่มีใครรู้ว่ามันไปกลบดานอยู่ในซอกหลืบไหนของกรุงเทพ และตราบใดที่ยังตามหาตัวมันไม่เจอ หัวเอี้ยฟ้าก็มีสิทธิ์ถูกระเบิดได้ตลอดเวลา(..แต่ไม่ใช่ไอ้สองตัวที่มากับเบนซ์สีดำหรอกนะ เอี้ยฟ้าบอกว่านั่นน่าจะเป็นพวกมือปืนระดับล่าง)
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้มันถึงไม่ไปหาผม.. หรืออันที่จริงแล้วมันแทบจะไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเลยด้วยซ้ำ ..มันบอกว่าถึงมันอยากจะไป แต่คุณพิณกับเมรันดรีก็ไม่ยอมให้มันออกไปอยู่ดี และที่วันนี้ผมได้เจอมันที่ห้างก็เพราะว่ามันแค่อยากจะไปกินไอติมเท่านั้น
“นี่มึงห่วงกินมากกว่าห่วงหัวตัวเองอีกเรอะ?” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ก่อนถอนหายใจยืดยาวกับความคิดประหลาดๆ ของมัน “แล้วนี่พ่อมึงเค้าไม่คิดจะจัดการอะไรเลยเรอะ? ทั้งเรื่องมึง ทั้งเรื่องคุณขลุ่ยน่ะ ..เพราะเท่าที่กูฟังมาก็ไม่เห็นว่าเค้าจะพยายามทำอะไรเลย? เค้าไม่รู้รึไงว่ามันเป็นฝีมือของคนในตระกูลเอง? หรือรู้..แต่ไม่ยอมทำ?”
พูดก็พูดเถอะ ผมรู้สึกว่าพ่อเอี้ยฟ้าไม่ค่อยจะมีบทบาทอะไรเท่าไหร่เลย ทั้งที่เป็นถึงผู้นำตระกูลแท้ๆ ..แบบนี้ตำแหน่งมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ? เพราะยังไงก็ถูกพวกมากลากไปทางนู้นทีทางนี้ทีอยู่นั่นแล้ว
“กูก็ไม่รู้..” เอี้ยฟ้าตอบ “กูไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่..”
“ไม่ใช่ว่านายใหญ่ไม่เคยพยายามจะทำอะไร..” เมรันดรีที่นั่งทำแผลให้เอี้ยฟ้าอย่างเงียบๆ มาพักใหญ่เอ่ยแทรกขึ้น “..แต่การจะล้มล้างพวกอำนาจเก่าอย่างเวนโดลา และการจะกำราบพวกหัวใหม่อวดดีอย่างคาวัวร์ แล้วนำพาอำนาจกลับคืนสู่ตระกูลหลักอย่างแท้จริงนั้น จำเป็นจะต้องอาศัยเวลาและวิธีการอัน แยบยลเพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดภายในตระกูลขึ้น ..จริงๆ แล้วนายใหญ่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะให้ทุกอย่างมันดีขึ้น..โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ ..หรือถ้าต้องเสีย..ก็ให้เสียน้อยที่สุด”
“ไม่มีพ่อคนไหน.. อยากเห็นลูกของตัวเองต้องอยู่ท่ามกลางอันตรายตลอดเวลาแบบนี้หรอกครับ” เมรันดรีพูดปิดท้ายแล้วก้มหน้าก้มตาทำแผลต่อไปเงียบๆ
“..........” ผมกับเอี้ยฟ้าก็เลยพลอยเงียบไปด้วย
“เออ ฟ้า.. ว่าแต่ครอบครัวมึงทำมาหากินอะไรวะ? ทำไมถึงได้มีผลประโยชน์มากมายที่ใครก็ไม่อยากจะเสียส่วนแบ่งแบบนี้น่ะ?” ผมยกหัวข้อใหม่มาพูด เมื่อเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันชักจะเงียบจนน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
“ก็หลายๆ อย่าง.. ทั้งบนดิน...ใต้ดิน...ในน้ำ..” เอี้ยฟ้าหยุดชะงักนิดนึงเมื่อเห็นผมทำหน้างง
ก็นะ.. ไอ้บนดินกับใต้ดินน่ะพอเข้าใจ ก็พวกธุรกิจถูกกฎหมายกับผิดกฎหมายใช่ไหมล่ะ? แต่ไอ้ในน้ำนี่มันยังไงวะ? ทำประมงเหรอ? ..แต่ลักษณะไม่น่าจะใช่นะ เหอะๆ
เอี้ยฟ้าก็เหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไร เลยอธิบายเพิ่ม “คือ..เรามีท่าเรือ..แล้วก็มีบริการขนส่งทางเรือกับพวกเรือสำราญด้วยน่ะ”
ผมพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจ ..อ้อ เนเปิลส์ก็เป็นเมืองท่าสำคัญในแถบยุโรปด้วยนี่นะ
“ธุรกิจส่วนใหญ่ในเนเปิลส์ก็มักจะมีชื่อของคนในตระกูลเข้าไปเอี่ยวด้วยทั้งนั้นแหล่ะ..” ไอ้คนมีพ่อรวยเว่อร์พูดเสริมอีกหน่อย
“งั้น..ไอ้หนึ่งส่วนสี่ของทรัพย์สินทั้งหมดนี่ก็คงจะเยอะน่าดูเลยสิ?” ตาวาวครับงานนี้ ฮ่าๆๆ (ทำเหมือนไปมีส่วนแบ่งกับเขาเนาะกู ฮ่ะๆๆ)
“..ก็คงพอจะทำให้กูกับมึงอยู่ได้แบบสบายๆ ไปอีกสองสามชาตินั่นล่ะ” เอี้ยฟ้าว่าเนิบๆ
“อ่อ.. แล้วทำไมต้องกับกูวะ?” ผมถามงงๆ เมื่อเพิ่งนึกได้
“หรือมึงจะให้กูหาเมียใหม่มาช่วยใช้ตังค์ล่ะ?” มันถามยิ้มๆ
“ถ้ากล้าก็ลองดู” ผมชูกำปั้นขู่มันโดยอัตโนมัติ ..แต่เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ หาเมียใหม่? เมียใหม่? งั้นก็แปลว่า..ผม..เมียเก่า?
เมีย..เก่า? เมีย...เรอะ? เฮ้ย! เมีย?!
“หึหึหึหึ..”
“นี่มึง..?!” ผมเงื้อมือกะฟาดไอ้หน้ามึนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงหัวเราะสบายใจอยู่ ..หนอยแน่มึง! กล้ามาหาว่าสุดหล่อซันชายน์คนนี้เป็นเมียมึงงั้นเรอะ?!
ไม่เป็นเว้ย! กูไม่ใช่เมียใครทั้งนั้น! กูก็แค่..กูก็แค่...เอ่อ..กูเป็น..เป็นแฟน.. เออ!~ กูเป็นแฟนมึงเฉยๆ เว้ย! ไม่ใช่เมียสักหน่อย!
!!.. แต่ยังไม่ทันได้ออกแรง แขนของผมก็ถูกมือแข็งปานคีมของเมรันดรีคว้าเอาไว้ก่อน
“คุณหนูกำลังเจ็บอยู่นะครับ คุณซันนี่” พ่อบ้านพูดเสียงเรียบ หน้านิ่ง ทำเอาผมสลดขึ้นมาทันที
“เอ้อ..โทษที...ลืมไป” ผมบอกอึกอัก มองไอ้ ‘คุณหนู’ กับพ่อบ้านสลับกันไปมาด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม เอามือข้างที่เงื้อขึ้นไปเกาหัวแก้เก้อ(..เอ่อ ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่เมรันดรีโหมดนี้ดูน่ากลัวจริงๆ) “แล้วก็..ผมชื่อ..ซันชายน์...ไม่ใช่..ซันนี่..ซักหน่อย”
“ครับ” พ่อบ้านรับคำสั้นๆ แล้วเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับลงกล่องตามเดิม
ผมไล่สายตามองไปที่หัวไหล่ขวาของเอี้ยฟ้าก็เห็นมันถูกพันผ้าพันแผลไว้เรียบร้อยแล้ว
“เสร็จแล้วเหรอฮะ?” ผมถามพ่อบ้าน
“ครับ แผลไม่ได้ร้ายแรงเท่าไหร่ กระสุนแค่ถากๆ แขนไปเท่านั้น” พ่อบ้านทำท่าเหมือนจะเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็ชะงักเท้าแล้วหันกลับมาถามพวกเรา “พวกคุณหิวกันรึเปล่าครับ? นี่ก็ดึกมากแล้ว ให้ผมไปหาอะไรเบาๆ มาให้ทานมั้ย?”
“นมปั่น” เอี้ยฟ้าตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“นมอุ่นดีกว่ามั้ยครับ? จะได้หลับสบาย” พ่อบ้านเสนอ ทำเอาหน้าเอี้ยฟ้าหงิกลงราวสองนิ้ว ฮ่ะๆ
“จะเอานมปั่น” มันยังยืนยันคำเดิม
“ครับ.. นมปั่นก็นมปั่น” สุดท้ายพ่อบ้านก็ต้องยอมแพ้ไอ้คุณหนูหน้ามึน จากนั้นเขาก็หันมาถามผมบ้าง “แล้วคุณซันนี่ล่ะครับ จะเอานมปั่นด้วยมั้ย?”
เอิ่ม.. จริงๆ แล้วก็หน้ามึนพอกันทั้งเจ้านายลูกน้องนั่นแหล่ะ! ให้ตายสิ..
“นมปั่นเมรันดรีอร่อยนะ ซันนี่” เอี้ยฟ้ารีบพรีเซนต์
ผมกลอกตาไปมาอย่างละเหี่ยใจ ก่อนหันไปปฏิเสธความหวังดีของพ่อบ้าน “ไม่เป็นไรฮะ ผมไม่ชอบกินอะไรตอนดึกๆ”
“ครับ” พ่อบ้านรับคำแล้วเดินออกไป(..ออกไปทางประตูอ่ะ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าห้องนี้มันมีประตูทางออกอื่นนอกจากประตูลิฟต์ด้วย อยู่ข้างๆ ชั้นหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงนอนมันเท่าไหร่ กลมกลืนกับผนังจนแทบมองไม่ออกเลยล่ะ)
ผมขยับไปนั่งใกล้ๆ เอี้ยฟ้าที่บนเตียง แตะแขนข้างที่เจ็บของมันเบาๆ ก่อนถาม “ยังเจ็บอยู่มั้ย?”
“เจ๊บบบบ..เจ็บ..”
“ตอแหลแล้วมึง” ผมหัวเราะกับความพยายามจะสำออยแต่ไม่ค่อยจะเนียนเอาซะเลยของมัน
“ก็อยากจะอ้อนเหมือนพระเอกในทีวีมั่งอ่ะ ..มึงก็ช่วยเอาใจกูหน่อยดิ...แบบนางเองไง..นางเอกน่ะ”
“กูไม่ใช่นางเอก สัด! ..แล้วหน้ามึนอย่างมึงเนี่ยนะ จะเป็นพระเอก?” ผมตีหน้าผากมันเบาๆ พลางทำหน้าดูถูกเหยียดหยาม
เอี้ยฟ้าเลยทำหน้าตูมอย่างคนงอนเลยทีนี้ ..แหมมึง แอ๊บได้อีก
..จะว่าไปก็ดูน่ารักดีนะ แต่ไม่ชินอย่างแรงว่ะ ฮ่ะๆๆ
“กูหล่อนะ” มันเถียง
ชมตัวเองหน้าตาเฉยก็ทำได้เนาะมึง ..เออะ แต่ตัวกูเองก็ชอบทำแบบนี้บ่อยๆ นี่หว่า? ฮ่าๆๆ
“โอเค.. วันนี้กูจะยอมให้มึงเป็นพระเอกก็ได้” ผมบอกยิ้มๆ แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้จนลมหายใจเราสัมผัสกัน “..ส่วนกูก็จะเป็นพระเอกอีกคนแล้วกัน”
“อืมมม.. เดี๋ยว..เดี๋ยว...ซันนี่” เอี้ยฟ้าดันตัวผมออกเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามือของผมชักจะเลื้อยไปทั่วตัวมันแล้ว
“อือ.. อะไร?...หรือมึงไม่อยาก” ผมถามทั้งที่ยังคลอเคลียริมฝีปากอยู่ใกล้ๆ กับปากของมัน
“อยาก” มันตอบแบบไม่มีลังเลเลย ..ซึ่งผมก็คิดเอาไว้แล้วล่ะ
“งั้น...” ผมทำท่าจะต่อ แต่เอี้ยฟ้าก็เอามือมายันต้นแขนผมไว้อีก
“..แต่กูเจ็บอยู่นะ” มันมองไปที่ไหล่ขวาของตัวเอง
ผมก็มองตามไป ไล้มือแตะเบาๆ บนผ้าพันแผล “มึงเจ็บตรงนี้..” จบคำผมก็ลากปลายนิ้วลงมาตามแขนของมัน เลยไปจนถึงหน้าขาของมัน ก่อนจะไปหยุดที่กลางลำตัว และบีบสิ่งที่อยู่ตรงนั้นผ่านผ้าเนื้อบางของกางเกงบ็อกเซอร์ ผมนวดคลึงสิ่งนั้นเบาๆ พลางถามต่อ “..หรือเจ็บตรงนี้ล่ะ?”
“อืม.. ซันนี่..” ยิ่งผมเค้นคลึงน้องชายมัน มันก็ยิ่งมองผมตาเยิ้ม เริ่มเคลิ้มไปกับสัมผัส
!.. แต่สักพักก็เหมือนมันจะเรียกสติกลับมาได้ มันเอื้อมมือมาจับข้อมือผมไม่ให้ขยับต่อ
“ฟ้า.. ถ้ามึงยังเรื่องมากมากเรื่องอยู่ กูจะเลิกสนใจมึงแล้วนะ” ผมบอกอย่างเริ่มเซ็ง ..และเริ่มอาย
เออ! กูยังอายเป็นอยู่นะเว้ย! หนังหน้ายังอยู่ในระดับสามัญธรรมดา ไม่ได้โบกซีเมนต์อย่างหนาตราช้างแต่อย่างใด! นี่ก็อุตส่าห์ทำใจกล้าหน้าด้านสุดๆ เพราะอยากปลอบใจและเอาใจคนเจ็บ(แถมไม่ได้เจอกันหลายวัน)สักหน่อย ..แต่ถ้ามึงยังทำสำออยอยู่แบบนี้ กูก็จะไปอาบน้ำนอนแล้วนะ
จิ๊! เสียยึก(?)หมด คนเขาอุตส่าห์ลงทุนยั่ว....เฮ้ย! หรือว่าสกิลยั่วยวนของผมมันไม่ชวนเซ็กส์ แต่ชวนเสื่อมมากกว่าวะ?
หึยยย.. เสียความมั่นใจอ่ะ
“แป๊บเดียว..” เอี้ยฟ้าบอกแบบนั้นก็หันไปหยิบมือถือมากดโทรออก
ผมได้แต่นั่งมองมันตาปริบๆ ไม่รู้ว่ามันโทรไปหาใคร?
และพอมีคนรับสายมันก็กรอกเสียงลงไปเป็นประโยคสั้นๆ ใจความว่า “ไม่เอานมปั่นแล้วนะ”
“.........”
หลังจากวางสายมันก็เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาอ้อนๆ จับมือผมไปลูบน้องชายมันต่อ
“..ต่อกันนะ ซันนี่~”
“.........” ผมออกจากห้องน้ำมาอีกที(หลังจากเข้าไปอาบน้ำ)ก็เห็นเอี้ยฟ้านอนหลับปุ๋ยสบายตัวอยู่บนเตียงไปเรียบร้อยแล้ว ทีแรกกะว่าจะปลุกมาเช็ดตัวให้สักหน่อย แต่เห็นแบบนี้ก็เลยคิดว่าเอาไว้ค่อยอาบตอนเช้าทีเดียวเลยแล้วกัน
“หืม..?” พ้นจากเอี้ยฟ้า สายตาผมก็เหลือบไปเห็นผ้าม่านตรงผนังกระจกที่ปกติมักจะเปิดทิ้งไว้ในช่วงเวลากลางคืน เพื่อที่จะได้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองกรุงยามค่ำคืนดึกดื่นได้ แต่คืนนี้กลับปิดสนิทจนผมรู้สึกแปลกหูแปลกตา เลยเดินเข้าไปหาหมายจะดึงให้มันเปิดออกเหมือนทุกที..
“ซันนี่!!!” และนาทีที่ผมแหวกผ้าม่านออก เสียงตะโกนอย่างตื่นตกใจจากคนที่น่าจะกำลังหลับฝันดีก็ดังลั่นห้อง
จังหวะที่ผมหันหลับไปมอง เอี้ยฟ้าก็กระโดดพุ่งเข้ามารวบตัวผมจนพากันล้มกลิ้งไปกับพื้นทั้งคู่
เพล้งงงงงงง!!! เสี้ยววินาทีต่อจากนั้น ผนังกระจกที่ตอนนี้อยู่ตรงหัวเราพอดีก็แตกกระจายและพังครืนลงมา...
TBC. 
มีใครจับสังเกตได้มั่งว่าซันนี่มันลืมถามเรื่องอะไร?? .......................นามสกุลพ่อของเอี้ยฟ้าไง ฮ่ะๆๆ ซันนี่เอ๊ยซันนี่
