(ต่อ)
“ยู้..ยู้ฮู้ว~ เฮ้ๆ เอิ๊วๆ ทางนี้...ทางนี้..ไอ้หมาฟ้า...หันมามองทางนี้ดิ๊!!”
ระหว่างที่พี่ตินกำลังช็อคและไอ้ยูกำลังเอ๋อแดก จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมๆ เมาๆ ของสาวเจ้านางหนึ่งตะโกนโหวกเหวกแทรกขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง ไม่ยากที่จะหาที่มา แค่ขวาหันและมองไปยังชั้นสองก็เห็นแม่นางเจ้าของวันเกิดกำลังทำท่าจะปีนราวกั้นกระจกโบกไม้โบกมือพลางแหกปาก โดยมีเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนช่วยกันจับไว้คนละข้าง ไม่รู้ว่ากลัวคุณเธอจะกระโดดลงมาเองหรือหัวทิ่มลงมาแบบไม่ตั้งใจกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนยัยนั่นจะเมาได้ที่แล้วล่ะ สงสัยจะฉลองกันมาพักใหญ่
ผมควักโทรศัพท์ที่ซอลลี่เพิ่งจะคืนให้มาดูเวลาก็เห็นว่ามันเลยเที่ยงคืนมาไกลโขแล้ว คงเป่าเค้กกันเรียบร้อย..
และตอนที่ชิฮัวตะโกนประโยคถัดมาก็ดันเป็นช่วงที่ดีเจกำลังจะเปลี่ยนจังหวะเพลงพอดี ทุกถ้อยคำเรียกขานจึงได้ยินกันทั่วถึงทั้งผับอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้หมาฟ้าประทาน...ไอ้แฝดนรกกานต์ฉายด้วย..ทางนี้เว้ย...ชิฮัวซามะอยู่บนนี้ ขึ้นมาเร็วเร้ววววว~ จะเอาของขวัญ! จะเอาๆๆ” ผมว่าตอนเรียกชื่อ ‘ฟ้าประทาน’ รอบตัวมันดูเงียบลงไปแบบแปลกๆ แล้วนะ แต่พอมีชื่อ ‘แฝดนรกกานต์ฉาย’ หลุดตามมาอีกก็เหมือนกับผับทั้งผับมันเงียบลงไปถนัดใจยังไงไม่รู้สิ
..หรือผมจะคิดไปเอง? เพราะพอเสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง ก็ราวกับทุกอย่างจะกลับคื่นสู่ปกติ...หรือเปล่า?
“ไปกันเหอะ” ไอ้กายเอ่ยชวนขึ้นมาพร้อมกับฉุดแขนซินที่ดูเหมือนอึ้งๆ ให้เดินตาม แน่นอนว่าเป้าหมายคือชั้นสองที่ยัยชิฮัวขี้เมาอยู่ ซินหันมาสบตากับผมนิดนึงอย่างรู้กันก่อนจะเดินตามไอ้กายไปโดยไม่พูดอะไร
ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ดีสิ คืนนี้..
“ไป..” เอี้ยฟ้าพูดพร้อมรุนหลังผม
ผมเลยขอตัวกับพี่ตินเจ้าของผับแล้วเดินตามพวกนั้นไปบ้าง ปล่อยให้ซอลลี่กับยูริอยู่คุยกับพี่แกต่อตามประสาเพื่อนเก่า
ระหว่างทางเดินไปยังชั้นสองผมว่าผมคงไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ สายตาแทบทุกคู่กำลังแอบมองมาทางเรา พอผมหันไปก็จะถูกหลบสายตา แต่ไม่ผิดแน่ เรากำลังถูกจับจ้อง คนที่นี่ได้ยินที่ชิฮัวเรียกพวกเราอย่างชัดเจนแน่ๆ
จากนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็ค่อยๆ ตามมา แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงแต่บางประโยคกลับลอยมาเข้าหูผมอย่างชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ
“แฝดนรกในตำนานคู่นั้นน่ะนะ?”
“แฝดนรกกับฟ้าประทาน?”
“จับคู่ได้น่ากลัวจริงๆ”
“เลวกับชั่วมาเจอกัน? สยองว่ะ”
“ก็ไหนเค้าว่ากันว่าพวกมัน...”ผมก็ไม่รู้นะว่าคนพูดคิดว่าตัวเองพูดเบาแล้ว? หรือคิดว่าเพลงมันดังมากพอ? คิดว่าผมจะไม่ได้ยิน? หรือไม่ได้คิดอะไรเลย? แค่อยากรู้อยากเสือกเรื่องชาวบ้านเฉยๆ? ..จะอะไรก็ตามแต่ แต่มันทำให้ผมรู้ว่าจนถึงตอนนี้ชื่อ ‘แฝดนรก’ ก็ยังมีคนจดจำได้ ในทางที่ประเสริฐยิ่งเสียด้วย หึ!
มีรถขายรถ มีบ้านขายบ้านพนันได้เลยงานนี้ ไอ้พวกที่กำลังซุบซิบอยู่เนี่ยไม่ได้รู้จักหรือเคยเจอกับ ‘แฝดนรก’ ตัวจริงมาก่อนหรอก น่าจะฟังคนเขาเล่าแบบปากต่อปากต่อปากและต่อมาอีกหลายปากมากกว่า ถึงได้มโนเอาว่าพวกผมเป็นยักษ์เป็นมารชั่วเลวบัดซบนรกส่งมาเกิดซะขนาดนั้น
ทั้งที่จริงๆ แล้ว.. พวกผมมันก็แค่อดีตเด็กแสบที่ไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียวเท่านั้นเอง พวกผมไม่ใช่เด็กเหลือขอ ไม่ใช่เด็กเกเร ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ไม่ใช่ลูกมาเฟียหรือพวกอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายสักหน่อย ..ก็ใส่สีตีไข่กันเข้าไป
ที่เขาว่าปากคนยาวกว่าปากกานี่ท่าจะเรื่องจริง..
สายตาที่มองมามีทั้งอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา ขยาดหวาดกลัว และความรู้สึกในแง่ลบต่างๆ นานากับข่าวลือที่เคยได้ยินมา แต่พวกที่สนใจในรูปร่างหน้าตาและชื่อเสียของพวกเราก็คงจะมีอยู่บ้างแหล่ะ
หรือถ้ามองโลกในแง่ร้ายหน่อย.. ก็อาจจะมีพวกที่มองมาอย่างเป็นปฏิปักษ์กับพวกที่มองมาเหมือนอยากลองของรวมอยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน ..พอนึกถึงพวกหลังสุดนี่ก็ทำเอาผมต้องถอนหายใจหนักหน่าย พวกนี้ล่ะคือสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ชีวิตวัยใสของผมกับซินวุ่นวายอยู่บ่อยๆ คิดแล้วก็เหนื่อยใจ..
“ไง” จู่ๆ เสียงทักก็ดังขึ้นใกล้ๆ หู หันไปมองก็เห็นผู้ชายคนนึงพยักหน้าและส่งยิ้มมาให้ราวกับคนรู้จัก ผมเลยพยักหน้าตอบแล้วส่งยิ้มกลับไปโดยอัตโนมัติตามนิสัยคนมนุษย์สัมพันธ์ดี แล้วค่อยมาขมวดคิ้วงงกับตัวเองหลังจากเดินผ่านหมอนั่นแล้ว เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าไม่น่าใช่คนที่ผมเคยรู้จัก แต่ก็คิดว่าช่างเหอะ เขาคงแค่อยากทักทายตามประสาคนมนุษย์สัมพันธ์ดีเหมือนกันกับผมล่ะมั้ง เหอะ
“มาแล้วๆ นั่งๆๆ” เจ้าของงานตบโซฟาปุๆ เชื้อเชิญให้นั่ง ก่อนจะแบมือยื่นมาตรงหน้าพวกเรา ยิ้มตาหวานเชื่อม “ของขวัญชิฮัวล่ะ? มามะๆ”
“แฮปปี้ๆ นะ เจ๊โหด ของขวัญวันหลังแล้วกันเนอะ วันนี้เตรียมไม่ทันว่ะ พอดีเพิ่งรู้..” ซินที่นั่งลงแล้วเอื้อมมือไปตบไหล่ยัยโหดแปะๆ
“ฮึ!” คนขี้ทวงแถมยังขี้เมาเบะปากหน้างอขึ้นมาทันที
บรรยากาศด้านบนโดยรวมแล้วน่านั่งกว่าด้านล่างเยอะ เพลงไม่ดังมากจนเกินไป คุยกันรู้เรื่องกว่า คนไม่เบียดเสียดและแสงสลัวบนนี้ก็สว่างกว่าเล็กน้อยด้วย หันมองรอบๆ ก็เห็นคนคุ้นหน้าบ้าง อย่างเช่นไอ้แว่น ไอ้ตี๋ และไอ้หัวน้ำตาลทองที่ชื่อ..มานะ(ผมคงจะจำชื่อมันไปได้อีกนานจากกรณีนิ้วชี้วงกลมนั่นล่ะ) เพื่อนของเอี้ยฟ้า ..แต่ไม่ยักกะเห็นไอ้หน้าหวานจี้?
แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคุ้นหน้าและเป็นสาวสวยแทบทั้งนั้น คาดว่าคงเป็นสาวๆ จากคณะอักษรเพื่อนเจ๊เจ้าของงานเป็นแน่แท้ ที่ว่ากันว่าสาวอักษรมีแต่แจ่มๆ นี่ท่าจะจริงแฮะ ไอ้ผมก็ไม่เคยไปสำรวจตรวจสอบตามคณะด้วยสิ เลยไม่รู้มาก่อน ผู้หญิงที่เคยคั่วก็เก็บได้ตามผับทั้งนั้นแหล่ะ แต่ดูท่าซินกับสกายจะรู้จักอยู่หลายคน เพราะเห็นพวกมันส่งยิ้มทักทายตอบโต้คนนู้นคนนี้เสียรอบตัว
แต่ตลกตรงที่พวกมันต่างคุยกับสาวไปก็แอบเหลือบมองกันเองไปคล้ายระแวงอะไรยังไงชอบกล ท่าทางพิลึกชะมัด
ส่วนเอี้ยฟ้า.. ทันทีที่มันนั่งลง สาวๆ ก็พากันมารุมล้อมทักทายจนเหมือนมันไม่รู้จะฟังจะตอบใครก่อนดี ..สุดท้ายก็เลยได้แค่นั่งทำหน้ามึนอึนเหมือนเวลาปกติไป ...เชื่อแล้วว่ามันเนื้อหอมหึ่งๆ จริง เหอะ!
“เหมือนกัน” ผมทำแบบเดียวกับซินและได้รับการตอบกลับแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนจากชิฮัว
“แล้วทำไมปล่อยให้เมาขนาดนี้เนี้ย? ไม่กลัวว่าที่เจ้าบ่าวหายหมดรึไง?” ประโยคแรกผมถามเหมยลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าของวันเกิด ส่วนประโยคหลังแค่แซวขำๆ หวังให้หัวเราะ แต่ดันทำเอาคนฟังน้ำตาเล็ดซะงั้น ..อ้าวเฮ้ย?!
ผมมองหน้าคนร้องสลับกับญาติผู้น้องของเธอด้วยความตกใจระคนไม่เข้าใจ
“ว่าที่เจ้าบ่าว..ฮึก..” ชิฮัวหยุดสั่งน้ำมูกฟืดใหญ่ใส่ทิชชู่ที่เหมยส่งให้ก่อนจะเริ่มพูดต่อด้วยเสียงเศร้าปนเหวี่ยง “ไอ้คิน..ฮึก..ไอ้เชี่ยคินมันมีชู้...ฉันไม่ยอมมันก็เลยไปเอากับคนอื่น...ฮึก..ไอ้เลวคินมันทิ้งฉัน..ฮือ...คินทิ้งชิฮัวได้ไง...แงงงงง”
ผมพยายามทำความเข้าใจกับประโยคกระท่อนกระแท่นนั่นสลับกับมองหน้าเหมยอย่างต้องการคำอธิบายให้แก่ชีวิต
แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายสามารถสร้างความกระจ่างแก่ผมได้ด้วยคำแค่ไม่กี่คำ “เจ้เพิ่งเลิกกับแฟนมาน่ะ”
“คิน? ใช่ไอ้คินที่เป็นนักบอลมหาลัยป่ะ?” ไอ้กายถามขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวดเหมือนกำลังนึกหน้าคนที่พูดถึงอยู่
เหมยพยักหน้าตอบแทนเจ้าของเรื่องที่เริ่มเป่าปี่แบบเต็มรูปแบบ ขี้มูกก็สั่งฟืดๆ แบบไม่ห่วงสวยกันเลยทีเดียว
“ถ้าเป็นไอ้เชี่ยนั่นเลิกกันไปอ่ะดีแล้ว แม่งหน้าม่อจะตาย” คราวนี้ซิน สอดขึ้นบ้าง
“มึงรู้ได้ไง?” ผมหันไปถามซินด้วยความสนใจ
ว่าแต่ไปว่าคนอื่นเขาแบบนั้น.. ตัวมึงนี่ดีมากเลยนะซิน ดูหูซิ ดำปี๋เชียว
“ก็กูเคยเจอมันที่สนามบอลบ่อยๆ เวลาเล่นแม่งชอบโชว์พราวโชว์หญิง โคตรน่าหมั่นไส้เหอะ กูกะจะสกัดดาวรุ่งหลายทีแล้ว แต่ติดตรงที่เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันนี่แหล่ะ กูเลยไม่อยากสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น ..เนอะ” คำสุดท้ายมันหันไปพยักพเยิดกับไอ้กายซึ่งก็เออออห่อหมกตามน้ำไป..
“อ้าว ยังร้องอยู่อีกเหรอหล่อน? ไหนบอกจะไม่ร้องแล้วไง? ก็แค่ผู้ชายเชี่ยๆ คนเดียว จะเสียใจทำไมนักหนา” ระหว่างที่กำลังคุยกันไปเรื่อย ก็มีเสียงดัดจริตคุ้นหูดังขึ้นในระยะประชิดจนทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องตาโต..
“อีเมย์?!” ผมกับซินแหกปากขึ้นพร้อมกันทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร
ส่วนไอ้กายก็ดูท่าจะตกใจอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่มากเท่าพวกเราแน่นอน
ที่ตกใจไม่ใช่เพราะจู่ๆ มันก็มาปรากฏตัว แต่ตกใจตรงเสื้อผ้าหน้าผมที่มันบรรจงทรงมาวันนี้น่ะสิ เริ่มจากร้องเท้าหนังขัดมันวับ กางเกงแสล็คสีดำ แจ็คเก็ตสูทสีดำ ข้างในเป็นเชิ้ตสีน้ำเงินปลดกระดุมสามเม็ดโชว์ขนหน้าอก บนหน้ามีหนวดอยู่รำไรและทรงผมก็เซ็ตจนเรียบแปร้...คืออยากจะบอกว่าดูป๋ามาก แมนมาก ลุคเพลย์บอยสุดๆ นี่ถ้าไม่อ้าปากพูดไม่รู้เลยนะว่ากะเทย จริงจริ๊งงงง!
“ก็กูน่ะสิ มึงเห็นเป็นทิฟฟานี่ จากเกิร์ลเจเนอเรชั่นรึไง อีแฝด?” คนถูกทักตอบโต้ตามสไตล์มัน ก่อนจะนั่งลงข้างๆ คนขี้แย
“ถุ๊ย! อีทิฟฟานี่” เสียงไอ้กายถ่มถุย “งั้นกูก็คงชีวอนแล้วล่ะ”
“ถุ๊ย!! ไอ้ชีวอน” คราวนี้เป็นเสียงถ่มถุยจากฝาแฝดบ้าง พวกที่นั่งฟังอยู่เลยพากันหัวเราะครืน ...ว่าแต่ทิฟฟานี่กะชีวอนนี่ใครวะครับ??
“คุณองอาจ..ฮือ” พออีเมย์นั่งชิฮัวก็โผเข้าไปซบทันที
ผมไม่รู้ว่าจะขำหรืออะไรดีกับคำเรียกขานเต็มยศนั่น เลยได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยนระคนสงสัย คือมันเข้ากับหน้าคนถูกเรียกนะ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
“จะดีมากถ้าหล่อนจะเลิกเรียกฉันแบบนั้นซักที แล้วเรียก ‘เมย์บี’ เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าบ้าง” พูดไปก็ลูบหลังลูบไหล่คนร้องไป
แต่ชิฮัวกลับส่ายหน้าพรืด ก่อนว่าด้วยสำเนียงคนเมา “เห็นคุณองอาจมาดนี้แล้วชิฮัวทำใจเรียกม๊ายยยลง โต้ดกั๊บเพ่”
ซินกับไอ้กายรวมทั้งผมและเพื่อนเอี้ยฟ้าหัวเราะก๊ากออกมาทันที แต่อีคุณองอาจของชิฮัวดันหน้าหงิกไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง มือที่ลูบหลังอยู่ถึงกับชะงักแล้วเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่นเหมือนอยากจะทุบคนพูดนัก แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ
เห็นมันเป็นแบบนี้ ชอบเรียกผู้หญิงว่า ‘ชะนี’ แต่เมย์บีไม่เคยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงหรอกนะ มันบอกว่ามันเป็นสุภาพกะเทยน่ะ
“แล้วอะไรดลใจให้มึงแต่งตัวแบบนี้วะ? ถ้าไม่อ้าปากพูดกูไม่รู้เลยนะว่าเป็นมึง ..แมนเอี้ยๆ” ซินถามไปขำไป “เออ แล้วมึงมางานนี้ได้ไง? ไปสนิทกับเจ๊นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เป็นชุดนะมึง.. ก็เพิ่งสนิทกันวันนี้แหล่ะ พอดีบังเอิญไปเห็นมันตอนถูกบอกเลิกหน้าห้องน้ำเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ไอ้ผู้ชายแม่งก็เล้วววเลว แค่มาบอกเลิกในวันเกิดยังไม่พอ มันยังควงเมียใหม่มาเย้ยด้วย พวกมึงว่าเลวมั้ยล่ะ? ตอนแรกกูก็กะยืนลุ้นอยู่เฉยๆ นะ เห็นชะนีสวยนี่มันก้านคอแฟนเก่าแล้วสะใจแทน แต่พอเห็นผู้ชายอีกคนวิ่งเข้ามาช่วยไอ้เลวนั่น..คงจะเป็นเพื่อนมันแหล่ะ กูก็เลยเข้าไปร่วมวงเพื่อความเสมอภาคและผดุงความยุติธรรมในสังคมไทย” ประโยคสุดท้ายพูดด้วยสายตามุ่งมั่นพร้อมกำหมัดชูขึ้นด้วยท่าทางแข็งแรง
“มึงเป็นกะเทยที่แมนมาก” ไอ้แว่นเพื่อนเอี้ยฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ชื่นชมศัทธาเต็มเปี่ยม ส่วนคนอื่นที่ได้ฟังวีรกรรมสุดแมนของอีเมย์พากันปรบมือชื่นชมยกใหญ่ ..แหงล่ะ รวมทั้งผมด้วย โหยยย เพื่อนเมย์กูสุดยอด!
คนได้รับคำชมยืนขึ้นโค้งรับคำชมด้วยสีหน้าปราบปลื้ม ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มจีบปากจีบคอเล่าต่อ “แล้วที่เห็นแต่งตัวแบบนี้ก็เพราะวันนี้กูต้องไปทำธุระให้เตี่ยน่ะสิ ขืนไปแบบแรดๆ เหมือนทุกวันญาติกูคงต้องโทรไปเล่าให้เตี่ยฟังแหงๆ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ เคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าเวลาอยู่บ้านอีนี่มันแมนสัด หมาไม่กล้าเห่า เตี่ยมันเลยไม่รู้ว่าเวลาอยู่ที่นี่มันเป็นกะเทยที่แรดที่สุดคนหนึ่ง เหอๆ
“แต่ที่ต้องมาทั้งแบบนี้ก็เพราะอีเจนนี่น่ะสิ มึงจำได้ใช่มั้ย? ..นั่นไง อีเจนจัด เอ๊ย เจนจบน่ะ”
หันไปมองทางที่มันชี้ก็เห็น ‘เจนนี่’ ที่ว่ากำลังโบกมือพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ ..เป็นสาวประเภทสองที่สวยงามจริงๆ ให้ดิ้นตาย ดูเผินๆ ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าของปลอม เหอๆ ต่อไปคงต้องขอดูบัตรประชาชนกันอย่างเดียวเลยมั้งเนี่ย
“อีนั่นแหล่ะมันไปจกกูมาจากหอทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด บอกให้กูมางานวันเกิดเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนเป็นเพื่อนมันหน่อย มาถึงก็เพิ่งจะรู้ว่าเป็นงานของอีชะนีสวยนี่แหล่ะ”
“เฮ้ย แล้วนั่นไอ้จี้มันจะไปไหนกับใครวะ?” เสียงตื่นๆ ของไอ้หน้าตี๋เพื่อนเอี้ยฟ้าดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมองที่มันได้ ก่อนจะพากันมองต่อไปตามทิศทางที่มือมันชี้อยู่
ผมชะโงกมองข้ามไหล่เอี้ยฟ้าลงไปยังโซนชั้นล่าง ใกล้ๆ กับทางออก ผมเห็นไอ้หน้าหวานจี้ซึ่งตอนนี้ถูกประกบซ้ายขวาด้วยผู้ชายสองคนกำลังจะเดินออกจากร้านไปแล้ว
?!!... จู่ๆ คนที่ผมเอาคางเกยไหล่ไว้ก็ลุกพรวดขึ้น ถ้าถอยไม่ทันมีหวังลิ้นขาดได้นะเนี่ย แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่าตอนที่มันวิ่งไปตรงราวกั้นกระจกแล้วกระโดดลงไปยังชั้นล่างจากตรงนั้นเลย เฮ้ยมึง!
“กรี๊ดดดดดด!” ลูกค้าด้านล่างร้องขึ้นเสียงหลงคงเพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนจากชั้นสองกระโดดลงไป
แต่จะว่าชั้นสองมันก็ไม่เชิงหรอก ความสูงของมันคงประมาณชั้นลอยได้น่ะ กระโดดลงไปได้ ไม่อันตรายถ้ารู้วิธีลงที่ถูกต้องล่ะนะ แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงไม่มีใครคิดจะลงไปโดยทางนี้กันหรอก
ผมกับคนอื่นๆ รีบวิ่งไปเกาะราวกั้นเพื่อติดตามสถานการณ์ทันที..
เอี้ยฟ้ามันวิ่งไปคว้าแขนไอ้หน้าหวานจี้ไว้ แล้วเหมือนจะพยายามดึงเข้าหาตัว แต่ไอ้สองคนที่ประกบอยู่ก็ดึงกลับไป ..ผมว่าท่าทางไอ้จี้มันดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นะ เหมือนจะไม่มีสติยังไงชอบกล
“เป็นเรื่องแล้วไง” ไอ้แว่นเพื่อนเอี้ยฟ้าพูดก่อนจะรีบวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง
ผมหันกลับไปมองจุดเกิดเหตุอีกทีก็เห็นฝ่ายตรงข้ามปล่อยหมัดใส่เอี้ยฟ้าพอดี
“กรี๊ดดดดดดดด!!” ความแตกตื่นโกลาหลเกิดในบัดดลเมื่อมีการวางมวยขึ้น และดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้มีแค่สองคนอย่างที่เห็นซะแล้ว
ไอ้แว่นที่เพิ่งวิ่งลงไปเมื่อกี๊ไม่ได้ไปช่วยเพื่อนหัวหงอกของมันแต่อย่างใด กลับพุ่งตรงไปชาร์จไอ้หน้าหวานจี้ทันที เหมือนมันพยายามจะลากไอ้นั่นออกมาจากจุดชุลมุน แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะฝ่าวงล้อมของหมาบ้าที่กำลังฟัดกันนัวออกมา
“ตื่นๆ มีเรื่องแล้ว” ซินที่กำลังกรึ่มได้ที่ร้องขึ้นก่อนจะแถแท่ดๆ ไปทางบันได ไม่ต้องเสียเวลาเดาก็รู้ว่ามันตั้งใจจะเข้าไปร่วมวงด้วยแน่ๆ
“เฮ้ย ซิน!” แต่ก็ถูกไอ้กายคว้าแขนเอาไว้ได้ก่อน
“กูจะไปช่วยไอ้น้องสะใภ้ มึงไม่เห็นรึไงว่ามันโดนรุมอยู่” ซินสะบัดแขนจนหลุดจากการรั้งของอีกฝ่ายแล้ววิ่งลงบันไดไป โดยมีไอ้กายตามไปติดๆ
“กูไปด้วย” อีเมย์ก็ลุกตามลงไปอีกคน
“สาวๆ ครับ มาทางนี้ๆ” ไอ้หน้าตี๋ต้อนผู้หญิงทั้งแท้และเทียมที่อยู่บนชั้นสองออกไปทางหนีไฟ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะไม่โดนลูกหลง ก่อนจะเข้ามาช่วยเหมยลี่ลากยัยชิฮัวขี้เมาตามออกไปเป็นคนสุดท้าย เพราะเจ้าตัวเอาแต่ร้องโวยวายว่าจะลงไปช่วยเพื่อนหมาฟ้าท่าเดียว
“กรี๊ดดดดดดดด!!!” การตะลุมบอนเริ่มขยายวงกว้างจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทั้งแก้ว ทั้งขวด โต๊ะ เก้าอี้ปลิวลอยให้ว่อนจนน่าหวาดเสียวว่าหัวใครจะเจอแจ็คพ็อต ..ผมพยายามมองหาซอลลี่และไอ้ยูที่ไม่รู้ว่าป่านนี้อยู่ตรงไหน จะโดนลูกหลงจากใครบ้างหรือเปล่า? แล้วก็ต้องโล่งใจเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นกำลังถูกพี่ตินเจ้าของร้านต้อนออกไปทางประตูหลังเคาน์เตอร์บาร์พร้อมกับพนักงานคนอื่นๆ
“น้องสะใภ้เหรอ? ฮึฮึ..” มีเสียงหัวเราะกวนส้นตีนดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากหูมากนัก หันไปมองก็เห็นไอ้มานะหัวสีน้ำตาลทองยืนเท้าราวกั้นกระจกอยู่ข้างๆ พลางอมยิ้มน้อยๆ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่อาละวาดอยู่เบื้องล่าง “กูไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าฟ้าเป็นเมียมึง ฮ่าๆๆ”
“เสือก!” ผมจัดไปหนึ่งดอกสั้นๆ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับมัน แน่ใจว่าไอ้หมอนี่มันรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ..ก็เพราะมันไม่ใช่หรือไงที่จุดประเด็นเรื่องนิ้วชี้กับวงกลมขึ้นมาน่ะ?
คิดแล้วก็อับอาย แต่ต้องคอแข็งเข้าไว้ ..กูไม่สน กูไม่แคร์
“แล้วมึงไม่ลงไปช่วยเพื่อนมึงรึไง?” ผมถาม ทั้งสงสัยที่เห็นมันยืนมองอย่างใจเย็น ทั้งอยากเปลี่ยนประเด็นด้วยนั่นแหล่ะ
“แล้วมึงล่ะ ทำไมไม่ลงไปช่วยแฟน?” แทนที่จะตอบมันดันย้อนกลับซะได้
“กูถามมึงก่อนนะ” ผมท้วง มันแค่ยักไหล่โดยไม่ตอบอะไร สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายตอบก่อน “กูรู้ว่ามันไม่ตายง่ายๆ หรอก”
..นอกจากนั้นผมก็ยังอ่อนเปรี้ยเพลียแรงเพราะถูกเอี้ยฟ้าตัดกำลังตั้งแต่ตอนบ่าย ไม่อยากจะฝืนสังขารโดยไม่จำเป็น ถ้าเอี้ยฟ้ามันยังเหลือแรงคึกอยู่มากนักก็ปล่อยให้อาละวาดไปเหอะ ผมขอดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ดีกว่า เอาไว้มันสู้ไม่ได้จริงๆ แล้วค่อยลงไปช่วยก็ยังไม่สาย
“ทีนี้มึงตอบได้ยัง?” ผมหันไปถามคนข้างๆ อีกครั้งก็ยังเห็นมันกวาดสายตามองไปตามกลุ่มคนด้านล่างอยู่
“กูก็คิดเหมือนมึงแหล่ะ”
..อ้าว ห่านี่ ลอกกันซึ่งหน้าเลยนี่หว่า
“ปล่อยให้มันได้อาละวาดบ้างก็ดี กูกลัวมันจะเก็บกด เห็นพักนี้สงบเสงี่ยมเกิ๊นนน ฮ่ะๆๆ”
ตรรกะพรรค์ไหนวะเนี่ย?
“แต่มีมึงอยู่นี่ก็ดีนะ” อยู่ดีๆ มันก็หันมามองหน้าผมยิ้มๆ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มันหันไปกลับทางเดิมก่อนพูดต่อ “มึงรู้รึเปล่าว่าเวลาที่ฟ้ามันรู้สึกเบื่อขึ้นมาล่ะโลกาแทบวินาศทุกที ก่อเรื่องก่อราวให้ได้ใจหายใจคว่ำกันตลอด ..แต่พอมาเจอมึง มันก็เอาแต่หมกมุ่นเรื่องของมึงจนไม่มีช่วงเวลาให้เบื่อหน่ายอีกเลย ชีวิตพวกกูก็พลอยสงบสุขไปดะ..เวรเอ๊ย!”
“เฮ้ย?!” ยังพูดไม่ทันจบไอ้มานะหัวน้ำตาลทองก็กระโดดลงไปชั้นล่างจากจุดที่ยืนเลย ..เชื่อแล้วว่าเป็นเพื่อนกันจริง แมร่งไม่กลัวแข้งขาหักกันบ้างหรือไงวะ?
แต่แทนที่มันจะวิ่งไปฟาดแขนฟาดขากับไอ้พวกที่กำลังตีกันอยู่ มันดันวิ่งดิ่งไปตรงมุมร้านซึ่งอยู่อีกฟากแล้วหายลับไปตรงทางเดินไปห้องน้ำพอดี
อ้าว..? อะไรของมัน? ตกลงที่รีบร้อนนี่ไม่ได้จะไปชวยเพื่อน? แต่ไปห้องน้ำ? ปวดขี้? ..หรืออะไร? ..เออเว้ย ไอ้กลุ่มนี้มันมีแต่คนแปลกๆ ว่ะ เพราะงี้ถึงคบกันได้สินะ?
ผมได้แต่เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ศูนย์กลางหายนะอีกครั้ง ..เอี้ยฟ้าอยู่ตรงนั้น ถัดไปนั่นมีซิน มีไอ้กายที่คอยกันท่าให้ราวกับบอดี้การ์ดส่วนตัว อีเมย์ก็นัวเนียจับผู้ชายโชคร้ายแห่งปีฟัดอยู่แถวๆ นั้น ความพยายามของไอ้แว่นยังไม่เป็นผลเพราะไอ้จี้ยังตกอยู่ในวังวนแห่งสงคราม
ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าหลายคนไม่ได้แต่งตัวเหมือนพวกมาเที่ยว พวกมันไม่ได้อยู่ในร้านตั้งแต่แรก ราวกับว่าเพิ่งมีใครโทรตามให้มันมา.. หันไปอีกมุมหนึ่งของร้าน ก็เห็นเจ้าของร้านกำลังคุยโทรศัพท์ไปกุมขมับไปอยู่
อีกไม่นานตำรวจคงโผล่มา.. คิดได้ดังนั้นผมเลยตัดสินใจลงไปข้างล่าง ตั้งใจจะลากซินกลับบ้านก่อนจะติดร่างแหไปด้วย ถ้าซินกลับ สกายกับเมย์บีก็คงจะกลับด้วย ส่วนเอี้ยฟ้ากับเพื่อนของมันผมแน่ใจว่าพวกมันน่าจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้และคงจะรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดห่วงเท่าไหร่
“เอ้า ฝากด้วย!” แต่ยังไปไม่ทันถึงตัวซินไอ้กายก็โผล่ออกมาจากกลุ่มคนซะก่อน พร้อมกับผลักร่างของคนที่แทบจะไม่เหลือสติมาให้ ..ไอ้หน้าหวานจี้!
ผมรับร่างอีกฝ่ายไว้แล้วเงยหน้ามองไอ้กายงงๆ
“นี่กุญแจรถกับคีย์การ์ด ‘จารย์หงอกบอกให้มึงพามันกลับไปคอนโดก่อน” มันบอกพร้อมกับยัดของที่ว่ามาให้
แล้ว ‘จารย์หงอก’ นี่ใคร? ..เอี้ยฟ้า?
“แล้วซิน..”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูดูมันเอง” ไอ้กายแทรกขึ้นทั้งที่ผมยังพูดไม่ทันจบ ก่อนจะหายลับไปท่ามกลางผู้คนอีกครั้ง..
ผมยืนลังเลอยู่แป๊บนึง นึกห่วงพี่ชายก็ห่วง แต่คนที่พยุงเอาไว้ตอนนี้ก็ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว ยืนก็แทบไม่อยู่ มีเสียงครางงึมงำ หน้าแดงคอแดงไปหมด ..สงสัยจะโดนยา
สุดท้ายต้องตัดใจกลับหลังหันแล้วพาไอ้หน้าหวานเดินออกจากร้านทางด้านประตูหลัง เดินทะลักทุเลมาเรื่อยๆ เกือบจะถึงเฟอร์รารี่สีขาวที่จอดรออยู่ก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ ก็มีผู้ชายสามคนมายืนขวางทางฝันไว้ ดูหน้าก็รู้ว่าไม่ได้มาดี
แล้วนั่น.. !!
“ไง ไอ้ฉาย พี่มึงยังไม่กลับแล้วมึงจะรีบกลับไปไหน?”
“ไอ้ครีส..” ผมพึมพำเบาๆ กับชื่อของโจษย์เก่าที่แว้บเข้ามาในหัว
หน้าตาแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ ถึงจะไม่ได้เจอมาหลายปีแต่ใช่มันไม่ผิดแน่ ไอ้เวรนี่แหล่ะที่เมื่อก่อนชอบมาตอแยกับแฝดเป็นประจำ ไม่รู้ว่ามันเป็นโรคจิตหรือฝังใจอะไรกับฝาแฝดนักหนา?
..แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ! ทำไมต้องเสือกโผล่มาตอนนี้ด้วยวะ? นอกจากผมจะตัวคนเดียวไม่มีพี่ชายฝาแฝดมาร่วมชะตากรรมเหมือนทุกทีแล้ว วันนี้ผมยังมีภาระอย่างไอ้ตัวชนวนสงครามนี่มาด้วยอีกต่างหาก!
เว้ยยยย นี่มันวันซวยแห่งชาติหรือไงเนี่ย?!
“อ่ะ..” ผมกลับหลังหัน กลยุทธที่ 36 ถูกงัดมาใช้อีกครั้ง ในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้ไม่มีอะไรดีกว่าไปกว่าการถอยหนีอีกแล้ว แต่ก็ต้องกลืนน้ำลายฝืดคอเพราะพอหันมาก็เจอะกับศัตรูเก่าแก่อีกคน.. !!
“กูรีบมานี่เพราะได้ยินว่าพวกมึงมาเลยนะเนี่ย ใจคอจะกลับไปโดยไม่ทักไม่ทายกันหน่อยรึไง น้องฉาย?”
“ไอ้โด้..” ผมครางเบาๆ สิริรวมรอบตัวตอนนี้ก็ถูกล้อมกรอบไปด้วยผู้ชายห้าคนพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน
ไอ้เหี้ย.. งานเข้า!!
TBC. 