(ต่อ)
“..กูไม่กินเห็ด”
พอได้ยินผมพูดแบบนั้น ไอ้คนที่กำลังจะคีบเห็ดเข็มทองมาใส่ถ้วยผมก็เป็นอันชะงัก มันเงยหน้ามองผมตาปริบๆ ก่อนจะวกมือกลับไปป้อนใส่ปากตัวเองแทน
“แล้วเป็ดล่ะ?” มันถามพลางคีบเป็ดย่างขึ้นมาชิ้นนึง พิจารณาอยู่สองสามวินาที จากนั้นก็เอาใส่ปากเคี้ยวหน้าตาเฉย
..นึกว่ามันจะคีบให้ผมใช่ไหม? ผมก็คิดงั้นเหมือนกัน แง่ง! แล้วจะถามหาแม่มึงเหรอ สัด!
“..........” ผมเลิกสนใจจะตอบคำถามมัน แล้วหันมาคีบนั่นคีบนี่ในหม้อไฟใส่ปากตัวเองบ้าง
สงสัยใช่ไหมว่าตอนนี้ผมกำลังนั่งกินอะไร? อยู่ที่ไหน? ..สุกี้น่ะ ที่ห้างที่เคยมาประจำแหล่ะ พอลงจากรถเอี้ยฟ้ามันก็ลากผมตรงดิ่งมาเข้าร้านนี้เลย มันบอกว่ามัน..หิว
เอ้อ.. แต่เราไม่ได้นั่งรถมาด้วยกันหรอกนะ ไอ้เอี้ยนี่มันนั่งวินมอ’ไซด์ตามหลังผมมา เพราะหลังจากฟังมันพรีเซ้นต์ความสัมพันธ์เชิงกายภาพในรูปแบบของภาษามือสุดเจิดนั่นจบ ผมก็ช็อคไปหลายวินาที ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องมาประสบพบเจอความอับอายขั้นแอดวานซ์มงกุฏเพชรขนาดนี้มาก่อน
ถ้ามันจะทำกันแบบนี้นะ สู้บอกไปตรงๆ เลยว่าเราสองคน..เอ่อ..มีอะไรๆ กัน ยังไม่น่าอายเท่านี้เลย ..หรือไม่ก็..เอ่อ...ถ้าเพียงแต่ผมจะเป็น..นิ้วชี้ แล้วเอี้ยฟ้ามันเป็นวงกลม..ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะไม่รู้สึกเสียหน้าขนาดนี้เลย
รู้สึกเหมือนโดนลบเหลี่ยมยังไงไม่รู้..
นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเกิดไปเจอกับไอ้เพื่อนมานะของมันผมควรจะทำหน้ายังไงดี? ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย ยิ่งอายก็ยิ่งอยากกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้แรด หึยยย..
คอยก่อนเถอะมึง คราวหน้ากูจะต้องเป็นนิ้วชี้ให้ได้ คอยดู! ระวังหลังเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน ไอ้บ้าเอ๊ย!!
หลังจากดึงสติที่แตกกระเจิงกลับมาได้ ผมก็หักพวงมาลัยรถลงจอดข้างทาง เอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับด้วยสีหน้าเรียบเฉย(อายจนชาน่ะ) จากนั้นก็ถีบแมร่งลงจากรถไปเลย พ้นหูพ้นตาซะ แถวๆ หน้ามหาลัยนั่นแหล่ะ แล้วก็ปิดประตู และบึ่งรถออกมาโดยไม่สนใจชะตากรรมของไอ้หน้าหนาจากกาแล็กซี่อื่นนั่นอีก
แต่อย่าคิดว่าพ้นนะ เพราะหลังจากผมมาถึงห้าง จอดรถเรียบร้อย ลงมาก็เห็นมันกำลังควักตังค์จ่ายพี่วินพอดี.. จำได้ว่าครั้งแรกที่มันให้ผมไปส่งที่คอนโดก็เพราะไม่กล้านั่งแท็กซี่กลับเอง มันบอกอันตราย แต่ทีมอ’ไซด์วินดันเสือกกล้านั่งมานะ เฮอะ ไอ้คุณชายเฮงซวย!
แล้วที่ยอมให้มันลากเข้าร้านสุกี้ง่ายๆ ก็เพราะเห็นแก่ความพยายามของมันที่อุตส่าห์ตามมาจนทันน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก..
แล้วพอมานั่งกินสุกี้กัน มันก็กระตือรือร้นคีบนู่นคีบนี่ใส่จานผมไม่ได้หยุด คงจะพอรู้ตัวล่ะมั้งว่าผมเคืองมันอยู่ เพราะตั้งแต่ที่ลานจอดรถห้างผมก็ทำเป็นไม่สนใจไม่พูดไม่มองหน้ามันเลย ..จริงๆ แล้วเมื่อกี๊เป็นประโยคแรกที่ผมเพิ่งจะเปิดปากพูดกับมันเหอะ ผมไม่กินเห็ด เห็ดทุกชนิดนั่นแหล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ แค่รู้สึกไม่ชอบเฉยๆ ก็เลยไม่กิน ..แค่นั้น
“อ้ะ...” เป็ดย่างถูกคีบมาวางในจานของผมในที่สุด
ผมเหลือบตามองหน้าคนที่เอามาวาง ก็เห็นมันกำลังจดจ้องเหมือนลุ้นว่าผมจะกินหรือเปล่า? ไอ้ของที่มันขยันคีบมาให้ก่อนหน้านี้ผมก็ยังไม่ได้แตะสักชิ้น กองรวมเอาไว้จนแทบจะเต็มจาน ตั้งใจว่าจะไม่กิน เพราะยังไม่หายเคือง(..ก็ทั้งเคืองทั้งอายแหล่ะ ช่างทำกับกูด๊ายยย) แต่พอเผลอไปสบตาก็เลยต้องเสียเวลาชั่งใจ สุดท้ายก็คีบเป็ดชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวด้วยความรู้สึกสงสาร...ล่ะมั้ง ก็มันเล่นกันจ้องตาแป๋วเลยนี่หว่า
“....!....” พอเห็นว่าเป็ดของตัวเองขายออก เอี้ยฟ้าก็ยิ้มออกมาทันทีเลย ถึงจะไม่ได้ยิ้มกว้างจนเห็นชัดมากมาย แต่ก็รู้สึกได้แหล่ะว่ามันกำลังดีใจ และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึก..เหมือนใจมันหวิวๆ ยังไงชอบกล..?
“อ้ะ...” จากนั้นเป็ดย่างชิ้นที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็ทยอยตามมาอย่างไม่ขาดสาย แต่..เฮ้ย! ใจคอจะให้กินแต่เป็ดเลยหรือไงวะ?! เอาอย่างอื่นมาบ้างสิมึง ชักเลี่ยนแล้วนะเนี่ย!
ผมเอื้อมมือไปคีบผักแล้วส่งใส่จานของมันบ้าง ..จะว่ายังไงดีล่ะ? ปล่อยให้อีกฝ่ายคีบให้ฝ่ายเดียวมันก็รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ เลยต้องคืนกำไรแก่ลูกค้าบ้าง ฮ่ะๆ แต่ดันลืมไปว่าไอ้ตัวประหลาดนอกกาแล็กซี่นี่มันไม่นิยมบริโภคผัก จนมันพูดขึ้นมานั่นแหล่ะ ผมถึงนึกได้
“กูไม่ชอบผัก” มันเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะเขี่ยผักของผมไปไว้ข้างจาน
ตามทฤษฎีผมควรจะคีบหมูคีบกุ้งส่งให้ใหม่เพื่อเอาใจมันใช่ไหม?
..แต่ไม่! ทำแบบนั้นต้องไม่ใช่ซันชายน์แน่ๆ โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะมาเขี่ยผักทิ้งแบบนี้เห็นแล้วมันขัดใจคนหล่อนิสัยดี(?)และรักสุขภาพยิ่งนัก ผมเอื้อมมือไปคีบผักชิ้นเดิม(ที่มันเขี่ยทิ้ง)นั่นแหล่ะ แล้วเอาไปจ่อที่ปากของมันซะเลย
“กินซะ” ผมบอกนิ่งๆ
“กู...” มันทำท่าอิดออดไม่อยากกิน ราวกับสิ่งที่ผมป้อนให้เป็นกิ้งกือไส้เดือนยังไงยังงั้น ผมชักทนไม่ไหวเลยถลึงตาใส่ดุๆ พร้อมทั้งยื่นตะเกียบไปจ่อเสียจนแทบจะกระแทกปากมัน
“กิน!” ผมบอกซ้ำ
“ซันนี่..” มันพยายามจะอ้อน ..แต่ไม่ได้ผลหรอก! ผมบังคับตัวเกลียดผักอย่างซินให้กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก(และปัจจุบันก็ยังทำอยู่) แค่จะบังคับเด็กโข่งจากดาวดวงอื่นอีกคนทำไมผมจะไม่สามารถ? อ้อนให้ตายก็ไม่ใจอ่อนหรอก จะบอกให้! เพราะงั้นก็จงก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรม แล้วแดกๆ เข้าไปซะ!
วะฮะฮ่า แอบสะใจยังไงไม่รู้สิ ..รู้สึกเหมือนได้แก้แค้น เอิ๊กๆ
“เดี๋ยวนี้!” ผมทำหน้าตาประมาณว่า..กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ไม่งั้นกูจะง้างปากมึงแล้วยัดเข้าไปเอง!.. มันทำลีลาอีกนิดหน่อยพอเป็นพิธี ก่อนจะยอมอ้าปากให้ผมป้อนผักเข้าไปในที่สุด
“อ้ะ...” จากนั้นผักชิ้นที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็ทยอยตามไปอย่างไม่ขาดสาย
แม้มันจะยอมอ้าปากรับ เคี้ยวลวกๆ แล้วรีบกลืนเร็วๆ โดยไม่ปริปากบ่น แต่ในใจคงกำลังคิดว่า...เฮ้ย! ใจคอจะให้กินแต่ผักเลยหรือไงวะ?! เอาอย่างอื่นมาบ้างสิมึง จะอ้วกแล้วนะเนี่ย!...แหงๆ ฮ่ะๆๆ
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่ไก่ที่กำลังป้อนอาหารลูกเจี๊ยบเลยว่ะ ฮ่ะๆๆ ไอ้ลูกเจี๊ยบฟ้าประทานเอ๊ย! ..แต่จะว่าไปก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกันแฮะ ได้เห็นหน้าตูมๆ เคี้ยวผักหยับๆ อย่างไม่ค่อยเต็มใจก็ให้นึกเอ็นดู ช่างเหมือนเด็กน้อยอะไรขนาดนี้นะไอ้หมอนี่
ไม่อยากจะยอมรับหรอก แต่ตอนนี้มันดูน่ารักน่าฟัดจริงๆ อยากจะยื่นมือไปขยำขยี้แก้มสีขาวอมชมพูนั่นให้สาแก่ความหมั่นเขี้ยว แต่คิดอีกที..อย่าดีกว่า คนเยอะแยะ ผมเลยเปลี่ยนใจเอื้อมมืออีกข้างไปขยี้หัวหงอกๆ ของมันแทน(..นี่ขนาดรู้ว่ามีคนเยอะแยะนะ ฮ่ะๆๆ)
“เด็กดีๆ” ผมพูดขำๆ ก่อนคีบปลาหมึกยื่นให้มันบ้าง
!!.. แล้วจู่ๆ มันก็ยิ้มกว้างเสียจนเห็นตาเป็นสระอิ ไม่รู้ว่าดีใจกับคำชมเมื่อกี๊ หรือดีใจที่ได้กินอย่างอื่นนอกจากผักสักที แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือรอยยิ้มนี้ของมันทำเอาหัวใจผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาซะเฉยๆ เลย ..งึมๆ อะไรกันเนี่ย?
“ดูดิ มีป้อนกันด้วยอ่ะแก”
“หน้าตาดีทั้งคู่เลยว่ะ ..เสียดายเนอะ”
แว่วเสียงผู้หญิงจากโต๊ะข้างๆ ดังแทรกเข้ามาในบรรยากาศสีชมพูอมฟ้าจางๆ(ยังไม่ม่วงนะ ไม่ๆ ไม่ใช่ตอนนี้ ..ฮ่าๆๆ)ระหว่างผมกับเอี้ยฟ้า จนมือที่กำลังจะป้อนผักชิ้นต่อไปต้องชะงักค้าง แล้วเปลี่ยนทิศทางโค้งเข้าปากตัวเองแทน
ก็อยากเห็นหน้าคนพูดเหมือนกันนะ แต่ไม่กล้าหันไปมอง คือแบบ...ไม่รู้ว่าหันไปแล้วควรจะทำหน้ายังไงน่ะ จะหันไปยิ้มให้? พยักหน้าทักทาย? ถลึงตาใส่? หรือแจกนิ้วกลางฟรีไปเลยดี? เอิ่ม..อย่าหันไปน่ะดีแล้วล่ะ
ก็เลยได้แต่ยกมือข้างที่ว่างฟอร์มเท้าคางพลางบังหน้าไปพลาง(รู้สึกเหมือนจะอายขึ้นมาอีกแล้วสิ) แล้วตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น คีบผักคีบเนื้อใส่ปากตัวเองคำ ปากไอ้ลูกเจี๊ยบคำ(มันเลิกจับตะเกียบ แล้วเอาแต่นั่งอ้าปากรอลูกเดียวเลยคราวนี้) สลับกันไปเรื่อยจนอิ่มหนำในที่สุด เฮ้อ..
หลังจากท้องอิ่ม ก็ถึงเวลาออกแรง..คือผมหมายถึงเราทั้งคู่ก็เข้าไปเดินเลือกซื้อของในซุปเปอร์น่ะ ก็อย่างที่พวกคุณคงเดาได้ เอี้ยฟ้าก็รื่นเริงลั้ลลาดูมีความสุขเหมือนทุกครั้งเวลาที่เรามาซื้อของกันที่นี่ เดินเลือกนั่นเลือกนี่จนคิดว่าน่าจะครบแล้วก็เอาไปจ่ายเงิน จ่ายเสร็จก็ถึงเวลากลับบ้านกันสักที
ในตอนที่เดินเข้ามาถึงลานจอดรถ ผมเห็นมีรถมาสด้า 3 สีดำคันหนึ่งเข้าไปจอดเทียบข้างๆ รถเต่าของผมพอดี มีนักศึกษาชาย(คนละสถาบันกับพวกผม)สี่คนเปิดประตูเดินลงมาพร้อมกับเสียงคุยกันแซวกันเฮฮา แต่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบเมื่อพวกมันหันมาเห็นผมกับเอี้ยฟ้าเดินเข้ามาใกล้ ทีแรกก็ว่าจะไม่สนใจ ตั้งใจจะเดินเลยไปที่รถของตัวเอง แต่พวกนั้นมันดันเดินมาขวางข้างหน้า จนผมต้องหยุดยืนจ้องหน้าพวกมันอย่างมีคำถาม
ผมว่าผมไม่น่าจะรู้จักคนพวกนี้มาก่อนนะ ไม่ค่อยคุ้นหน้าเลยสักคน
“ไง ไอ้เอี้ยฟ้าประทาน ไม่เจอกันนานเลยนะมึง” หนึ่งในนั้นทักขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนและหน้าตามันก็ดูกวนส้นตีนใช้ได้เลยล่ะ
ตอนนี้ผมกระจ่างแล้วล่ะว่าเป้าหมายไม่ใช่ผม
แต่ไอ้คนถูกทักที่เดินเข็นรถเข็นของซุปเปอร์ตามมาดันเสือกหันมาถามผมด้วยหน้าอึนๆ ของมัน “คนรู้จักมึงเหรอ?”
“พ่องดิ มันทักมึงไม่ใช่รึไง?” ผมตอบกลับเซ็งๆ นี่ถ้าพวกมันจะรำลึกความหลังอะไรกันก็ผมขอเข้าไปนั่งรอในรถได้ไหมเนี่ย? ข้างนอกนี่ร้อนชะมัด แล้วยืนนานๆ มันก็เมื่อยจะตายไป..
“มึงจำกูไม่ได้รึไงวะ สัดฟ้า?! ล่าสุดที่เราเจอกันก็ที่เดอะลัสต์ไง มึงสอยเด็กที่กูเล็งไว้ไป แถมยังกระทืบเพื่อนกูที่เป็นบาร์เทนเดอร์อีก ..แต่นั่นยังไม่แสบเท่าที่มึงเคยโกงบอลกูไปตั้งสองแสนหรอก!” จากหน้ากวนๆ เมื่อครู่ ก็ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นขึ้นมา ตาทั้งคู่ของหมอนั่นลุกวาวอย่างเอาเรื่อง รวมทั้งไอ้สามตัวที่ยืนเป็นแบล็คกราวน์อยู่ข้างหลังก็พลอยมีอารมณ์เดือดดาลร่วมไปด้วย
..ถ้าทั้งหมดที่ไอ้นั่นพูดมาเป็นเรื่องจริง มึงนี่ก็เลวครบทุกมิติเลยนะ เอี้ยฟ้า เหอๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นคนเดียวกับไอ้ลูกเจี๊ยบตัวเมื่อกี๊ ที่ดีแต่อ้าปากรออาหารจากแม่ไก่อย่างผม
“ไม่เห็นจำได้” แต่ไอ้คนที่เพิ่งถูกสาธยายความดีงามดันตอบปฏิเสธหน้าตาเฉย ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับใครเขาสักนิด ..แบบนี้ไม่แคล้วคงมีเรื่องกัน
“มึงนี่มันวอนจริงๆ นะ” อีกฝ่ายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เคลียร์ไปแล้วกัน กูไปรอในรถนะ” ผมบอกมันขณะหันไปคว้ารถเข็นมาเข็นซะเอง คิดว่ากะอีแค่สี่คนเอี้ยฟ้ามันคงเอาอยู่ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมด้วย ไม่อยากจะสอดมือไปสร้างศัตรูเพิ่มเท่าไหร่หรอก เท่าที่มีอยู่ก็แทบจะสับรางไม่ทันแล้ว ฮ่ะๆๆ
แต่ใครอีกคนในกลุ่มนั้นกลับขยับขึ้นมาขวางหน้า เอามือมาดันตะกร้ารถไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ผมผ่านไป ผมเงยหน้ามาขมวดคิ้วมองมันอย่างต้องการคำตอบของการกระทำ แต่มันกลับยักคิ้วกวนๆ
“มึงที่ชื่อ ซันชายน์ ใช่มั้ย?” มันถาม
“ใช่” ผมตอบสั้นๆ พยายามจะเหหัวรถเข็นออกจากมัน แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย
“หน้าตาแบบนี้เองเหรอที่ปราบไอ้ฟ้าประทานซะอยู่หมัด” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยามยังไงชอบกล ..หน้าตากูก็ออกจะดี มามองกันแบบนี้หมายความว่ายังไงวะ?
และไอ้คนสุดท้ายที่ยังไม่มีบทก็มาเดินวนเวียนสำรวจรอบตัวผมด้วยสายตาที่ผมไม่ค่อยชอบใจยิ่งกว่าไอ้คนเมื่อกี๊อีก มันพูดว่า “อยากรู้จังว่าใช้วิธีไหนถึงทำให้ไอ้หมาบ้า กลายเป็นหมาเดินตามตูดเจ้าของต้อยๆ แบบนี้ได้”
“เอาอะไรให้กินกันน้า~? ถึงได้เชื่องขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่า...” แล้วมันก็เดินไปซ้อนข้างหลังของไอ้คนที่จับตะกร้ารถเข็นของผมอยู่ เอามือทั้งสองข้างเกาะไหล่เพื่อนมัน ก่อนเด้งเอวไปกระแทกตูดเพื่อนมันเบาๆ สองสามที
“ฮ่าๆๆๆ” จากนั้นพวกมันทั้งสามตัวก็หัวเราะชอบใจกันอย่างสนุกสนาน ส่วนคู่กรณีของเอี้ยฟ้าแค่หัวเราะลงคอแบบเก๊กๆ เท่านั้น
“..........” ผมทำเพียงยืนมองพวกมันเฉยๆ เฉยมากกว่าที่ตัวเองคิดซะอีก ไม่ใช่ไม่โกรธ แต่โกรธอย่างมีสติ และกำลังคิดหาวิธีเอาคืนอยู่ ..ส่วนเรื่องอาย ผมว่าวันนี้ผมอายมามากแล้ว อายจนคิดว่า..พอเหอะ เก็บไว้อายวันหลังบ้างก็ได้ เพราะงั้นตอนที่เห็นพวกมันล้อเลียนด้วยท่าทางจัญไรนั่นผมถึงไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร หนักไปทางโกรธอย่างเดียว
“อะไรจ๊ะ?” หนึ่งในสามตัวถามยิ้มๆ เมื่อเห็นผมปล่อยมือจากรถเข็น แล้วก้าวเข้าไปหาพวกมันใกล้ๆ
“อยากรู้ใช่มั้ย ว่ากูเอาอะไรให้มันกินเป็นประจำ?” ผมถามพวกมันเสียงเรียบ ไอ้ตัวเดิมก็เลยพูดคำถามเดิมว่า ‘อะไรจ๊ะ?’ อีก
ผมยิ้มเย็น ล็อกพิกัดเป้าหมายได้ก็ขยับเข้าไปหามันอีกหน่อยให้ได้ตำแหน่งเหมาะๆ มันหันไปยิ้มและยักไหล่กับพรรคพวก แต่พอหันกลับมาหาผมอีกทีก็เจอกับลูกเตะสูง 180 องศา เสยเข้าปลายคางไปแบบจังเบอร์ คาดว่าคงได้นอนยาวจนนับดาวได้หมดกาแล็กซี่ช้างเผือกนั่นแหล่ะ ...ก็ภาวนาว่ามันคงไม่ได้กัดลิ้นตัวเองขาดไปแล้วหรอกนะ หึ!
“เฮ้ย!!!” ไอ้สามตัวที่ยังเหลืออยู่แหกปากร้องพร้อมกัน มันมองศพเพื่อนมันสลับกับหน้าใสๆ ของผมคล้ายไม่อยากเชื่อสายตา สงสัยจะประทับใจจัดๆ
..เอาเหอะ ท่านี้กูไม่ได้งัดมาโชว์บ่อยๆ หรอกนะ ถือเป็นบุญตาของพวกมึงแล้วกัน จดจำทุกการเคลื่อนไหวให้ขึ้นใจเลยล่ะ แล้วก็อย่าลืมประทับตราหน้าแฟ้มข้อมูลไว้ด้วยว่า ..นี่แหล่ะ ซันชายน์!!
“ตีนกูนี่ไง อาหารหลักของไอ้เอี้ยฟ้าประทาน” ผมพูดพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างสะใจ ได้ยินไอ้คนถูกพาดพิงหัวเราะหึๆ ชอบใจอยู่ข้างหลัง
หลังจากตั้งสติได้ หนึ่งในผู้รอดชีวิตก็พุ่งหมัดเข้าใส่ผม ผมเอี้ยวตัวหลบทัน ก่อนที่มันจะกระเด็นออกไป ..กระเด็นได้ยังไงในเมื่อผมหลบ? ก็เจอตีนเอี้ยฟ้าเข้าไปยังไงล่ะ ฮ่ะๆๆ
จากนั้นก็..อย่าถามเลย ซัดกันนัวล่ะครับ..
“ไม่ขึ้นไปข้างบนก่อนเหรอ?” คนที่ผมขับรถมาส่งหน้าคอนโดหันมาถามคล้ายเชิญชวน
ผมหรี่ตามองมันอย่างรู้ทัน ก่อนจะถามยิ้มๆ “อยากให้กูขึ้นไปทำอะไรน่ะ?”
มันไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่กลับยื่นหน้าเข้ามาดูดปากผมเบาๆ ทีนึงแบบอ้อนๆ ผมหัวเราะออกมา แล้วยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปากมันบ้าง.. ชักรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถมันอบอวลไปด้วยสีชมพูอมฟ้าจางๆ อีกแล้วว่ะ ฮ่ะๆๆ ดีหน่อยที่รถผมมันติดฟิล์มมืดตึ๊ดตื๋อ เลยไม่ค่อยห่วงว่าทำอะไรแล้วใครจะเห็น
“กูต้องรีบกลับไปดูพี่ชายแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้กลับถึงคอนโดรึยัง?” ผมบอกพลางตีแก้มมันเบาๆ ..นิ่มดีจัง อดใจไม่ไหวเลยหยิกแก้มมันซะงั้น
เอี้ยฟ้าจับมือผมไว้ แล้วเอาไปกัดเบาๆ ทีละนิ้วๆ ไปๆ มาๆ ชักเริ่มหยิวจนต้องรีบชักมือกลับ ..ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะเผลอไผลใจง่ายเดินตามมันขึ้นไปบนห้องล่ะแย่เลย ฮ่ะๆๆ
“พรุ่งนี้ลานะ” ประโยคงงๆ ของมันทำให้ผมไม่สามารถประมวลผลได้ เลยต้องร้องขอคำอธิบายเพิ่มเติมเสียหน่อย “ลาอะไร?”
“ก็มึงเคยบอกว่าถ้ากูจะหายไป ให้ลาล่วงหน้าไง” เอี้ยฟ้าบอก แต่คงเห็นว่าผมยังไม่เข้าใจก็เลยช่วยย้อนความทรงจำให้ “มึงบอกมึงไม่ชอบนักเรียนที่ขาดเรียนบ่อยๆ ขาดเรียนนานๆ แล้วก็ขาดเรียนไม่มีสาเหตุ”
“..........” ผมพยายามนึก นึก นึก.. อ้อ นึกออกแล้ว! ตอนนั้นเอง ตอนที่มันมาขอให้ผมสอนให้รู้จักความรัก..(งึมๆ พูดแล้วฟังเสี่ยวๆ ยังไงพิกลแฮะ ฮ่ะๆ)
จริงสิ พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกขึ้นมาได้ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอมุขจีบแบบนี้ครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งเดียวด้วย ช่างเป็นคนที่มีสไตล์เป็นของตัวเองจริงๆ ไอ้ฟ้าประทาน ทามิยะ คนนี้น่ะ..
“กูไม่ได้หายไปนาน..ก็แค่วันเดียวเอง และคงไม่ได้หายไปบ่อยๆ หรอก พรุ่งนี้กูต้องไปหาคุณพิณ ไม่ได้หายไปแบบไม่มีสาเหตุ เพราะงั้นกูก็ยังไม่เข้าข่ายคนที่มึงจะไม่ชอบใช่มั้ย?” คำถามสุดท้ายของมันทำให้ผมต้องยิ้มออกมา ..ถึงอยากจะไม่ชอบ แต่ก็เผลอชอบไปแล้วล่ะ ทำไงได้? ก็น่ารักซะขนาดนี้นี่นะ ให้ห้ามใจตอนนี้คงไม่ไหวแล้วจริงๆ
“อืม..” ผมตอบรับในลำคอ แล้วบอก “ฝันดีนะ” ขณะที่มันกำลังจะลงจากรถไป
“กูจะฝันถึงมึง” มันหันมาบอกยิ้มๆ ก่อนจะปิดประตูรถ แล้วโบกมือบ๊ายบาย
โอยยย.. ไม่อยากจะบอกเลยว่าเย็นนั้นกว่าจะถึงคอนโดผมเมื่อยกล้ามเนื้อบนหน้าแทบตาย ไม่ว่าจะมองจะเห็นอะไรก็ชวนให้ยกยิ้มไปหมด เจอไฟแดง 480 วินาทีก็ยิ้ม เด็กขายพวงมาลัยมาเคาะกระจกก็ยิ้ม คนขับรถปาดหน้าก็ยิ้ม เห็นจ่าเฉยก็ยังหันไปยิ้มให้
ยิ้มมมม..อย่างกับคนบ้าแน่ะ
โอยๆๆ ผมถูกเอี้ยฟ้าทำของใส่หรือเปล่าวะเนี่ย? ชักจะเพี้ยนมากเกินไปแล้วนะ คุณตะวันฉาย~
TBC. 
โอยๆๆ พิมพ์ตอนนี้ไปก็แทบสำลักบรรยากาศสีชมพูอมฟ้าจางๆ(ตามคำนิยามของซันนี่)ไป

ผู้แต่งขอขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคอมเม้นต์จากใจจริงจ้ะ

รักคนอ่าน
