(ต่อ)
“..นี่...ซันนี่?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆ ช่วยฉุดผมออกจากพวังค์ ผมหันไปมองหน้าแบรี่ที่ตอนนี้ยืนขมวดคิ้วจ้องผมอยู่
“อะไรเหรอ?”
“พี่ถามว่าเราอยากจะกินลาซัณญาหรือว่าสปาเก็ตตี้?” แบรี่ถามพลางชูวัตถุดิบให้ผมดู “..มื้อเย็นวันนี้น่ะ”
วันนี้แบรี่บอกว่าจะมาค้างที่คอนโดของฝาแฝดและจะทำอาหารเย็นให้กินด้วย หลังจากที่มัวแต่ยุ่งกับงานของตัวเองจนไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนเราพักใหญ่ แบรี่คิดว่าการดูแลสารทุกข์สุกดิบของฝาแฝดเป็นหน้าที่ของตัวเอง และยึดถือเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ..ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย
“..สปาเก็ตตี้ก็ได้” ผมบอกหลังจากเสียเวลาคิดเล็กน้อย
ตอนนี้พวกเรากำลังหาซื้อวัตถุดิบที่ซุปเปอร์มาร์เกตเพื่อไปเป็นทำอาหารเย็น ก็...สปาเก็ตตี้นั่นล่ะ เรื่องอาหารนี่ต้องยกให้แบรี่เลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกพาสต้านี่ฝีมือชั้นอ๋องเชียว ..ไม่ได้โม้นะ ฮ่ะๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” เขาถามผมพลางเอียงคอมองอย่างสงสัย
“..........” ผมหลบตาโดยไม่ได้ตอบอะไร จะบอกว่าไม่มีอะไรเลยก็ต้องรู้แน่ว่าผมโกหก แต่ถ้าบอกว่ามี...แล้วมีอะไรล่ะ? เพราะผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่? ผมเลยทำเฉไฉเดินเลือกนู่นดูนี่ไปเรื่อย
แบรี่เข็นรถเดินตามมาเงียบๆ ผมรู้ว่าเขาสงสัย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก เราเดินเลือกซื้อของกันโดยไม่มีใครปริปากอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามอะไรบางอย่าง..
“แบรี่เคยเกลียดใครรึเปล่า?”
“เกลียด?” แบรี่ทวนคำถาม ผมพยักหน้า แต่ไม่ได้หันไปมองเขาหรอกนะ ผมทำเป็นสนอกสนใจหอมหัวใหญ่ในมือแทน
“..เคยสิ” มีเสียงตอบกลับมาเรียบๆ
“จริงอ่ะ?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ ..คนใจดีอย่างแบรี่ก็เคยเกลียดใครเหมือนกันเหรอ?
“ทำไมถึงคิดว่าจะไม่จริงล่ะ?” เขาถามกลับ
“ก็ไม่คิดว่าคนใจดีอย่างแบรี่จะมีศัตรู” ผมพูดอย่างที่ใจคิด
“ก็ไม่เชิงว่าเป็นศัตรูหรอก” เขาบอกพลางหัวเราะลงคอ ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างมีคำถาม แบรี่เลยพูดต่อ “รู้อะไรมั้ย ซันนี่? ..ความรู้สึกเกลียดกับความรู้สึกรักน่ะ มันอยู่ห่างกันแค่ความรู้สึกดีๆ กั้นเอง”
ผมเอียงคออย่างไม่ค่อยเข้าใจ ..ความรู้สึกเกลียดกับความรู้สึกรัก อยู่ห่างกันแค่ความรู้สึกดีๆ กั้น.. งั้นเหรอ?
“ที่ตลกที่สุดก็คือ ..บางครั้งคนที่เราเกลียด ก็เป็นคนคนเดียวกับคนที่เรารัก”
..บางครั้งคนที่เกลียด ก็เป็นคนคนเดียวกับคนที่รัก.. เหรอ?
ตลกร้ายน่ะสิ.. จะเป็นไปได้ยังไงกัน?
“มันไม่ใช่..อะไรที่อยู่ตรงข้ามกันหรอกเหรอ?”
“ฮือฮึ” แบรี่ส่ายหัวช้าๆ “สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความเกลียด ก็คือ..ความเฉยชา”
“แล้วสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความรักล่ะ?” ผมถามอีก
เขายิ้มให้บางๆ ก่อนจะตอบ “ก็..ความเฉยชา..อีกเหมือนกัน”
“ทำไมเป็นงั้นล่ะ?” ผมรำพึงกับตัวเอง มากกว่าจะถามคนที่กำลังเข็นรถตามมา
“ถ้าเรารักใครซักคน เป็นธรรมดาที่เราจะอยากรู้ความเป็นไปของคนคนนั้นใช่มั้ย? ก็เหมือนกัน..ถ้าเราเกลียดใคร เราก็ยังอยากจะรู้ความเป็นไปของเค้าอยู่ดี ..แม้จุดประสงค์อาจแตกต่างกันก็เหอะ” แบรี่เดินอธิบายไปเรื่อยๆ “..ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่มีความรู้สึกอะไรกับเค้าเลย ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงเราก็ไม่ใส่ใจ ...นั่นล่ะคือ ‘ความเฉยชา’ ”
ถ้าสิ่งที่แบรี่พูดมาเป็นเรื่องจริง.. เอี้ยฟ้าที่มีแต่ความเฉยชานั่น(ภาพที่เจอกันครั้งล่าสุดตรงหน้าลิฟต์ย้อนกลับมาในหัวของผมอีกครั้ง) ..ต่อให้มันไม่ได้เกลียดผม แต่มันก็ไม่ได้รักผมเหมือนกัน.. อย่างนั้นสินะ?
“..........”
เอ้อ ก็แล้วทำไมมันจะต้องมารักมึงด้วยเล่า? นี่มึงคิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่เนี่ย ซันชายน์? มันจะรู้สึกอะไรยังไงก็ช่างหัวมันสิ! ไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจ! จะเกลียดใครรักใครก็เรื่องของมัน หรือมันจะเฉยกับมึงยังไงก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน! ไม่ต้องไปแคร์!
ก็แค่นั้น..
“แล้วในกรณีของแบรี่ล่ะ? คนที่เกลียด..คงไม่ใช่คนเดียวกับคนที่รักหรอกนะ” ผมพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองไปที่เรื่องของแบรี่แทน
พอเหอะ เลิกคิดได้แล้ว ถึงยังไงผมกับเอี้ยฟ้าก็ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว ลืมมันซะ!
“ใช่สิ ..ตลกใช่มะ?” แบรี่บอกยิ้มๆ แต่แววตาของเขากลับดูหม่นเศร้าเหลือเกิน “บางครั้งพระเจ้าก็มีอารมณ์ขันที่น่าเจ็บปวดแบบนี้แหล่ะ”
“คนที่เคยบอกว่ารักมากว่าสิบปีนั่นน่ะเหรอ?”
“อืม” แบรี่พยักหน้า พลางหยิบบ็อคโคลี่มาใส่รถเข็น
“แล้วคนนั้นเค้า..รู้สึกยังไงกับแบรี่?” ผมถามอีก
คราวนี้แบรี่ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ.. เพราะสิ่งที่พี่เห็น ก็มีแต่..ความเฉยชา”
“ใจร้าย...” ผมพูดจากใจจริง
“รู้มั้ยว่ามันตลกตรงไหน?” แบรี่ถามยิ้มๆ ผมส่ายหัว “..ตรงที่พี่เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน..แต่ก็ยังตัดใจไม่ได้ไงล่ะ”
พวกเราหัวเราะให้กันหลังจากคำพูดนั้น
แต่เสียงหัวเราะของพวกเรามันฟังดูเศร้าพิกล..
“กลับมาแล้ว..” เสียงล้าๆ ของซินทำให้ผมละสายตาจากหน้าจอแลปท็อปหันไปมอง หน้าตาหมอนั่นดูเหนื่อยล้าไม่แพ้น้ำเสียงเลย ซินเอ่ยทักแบรี่ที่กำลังทำสปาเก็ตตี้อยู่ในครัวสองสามคำ ก่อนจะเดินมานั่งกับผมบนโซฟา..
นั่นแหล่ะ ที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นรอยช้ำตรงมุมปากขวา และรอยแดงเป็นปื้นที่แก้มข้างซ้าย
“ไปโดนอะไรมาน่ะ?” ผมปิดแลปท็อปแล้วขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ซินร้องซี้ดนิดหน่อยเมื่อถูกแตะบริเวณที่ช้ำ ผมเลยลุกไปหยิบยามาทาให้มัน
“นี่โดนอะไร?” ผมถามระหว่างที่ป้ายยาไปบนแก้มซ้าย
“โดนตบ” ซินตอบสั้นๆ
“ใคร?” ผมเลยต้องถามอีก
“ชมพู..” ซินเว้นถอนหายใจ ก่อนพูดต่อ “เมื่อตอนเย็นกูเพิ่งไปบอกเลิกน้องเค้า บอกว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะไปจีบเค้าจริงๆ บอกว่ากูก็แค่หยอดเล่นๆ เค้าก็เลยตบเอาอย่างที่เห็น”
“อ้อ..” ผมพยักหน้ารับรู้ ขณะเปลี่ยนมาป้ายยาที่มุมปากขวาให้บ้าง “แล้วนี่ล่ะ?”
“โดนต่อย” ซินตอบสั้นๆ อีก
แต่คราวนี้ผมว่าผมพอจะเดาได้นะว่าฝีมือใคร
“ไอ้กาย?” ผมถาม ซินพยักหน้ารับ ผมอึ้งไปนิดนึง ท่าทางว่าจะมาถึงจุดแตกหักกันจริงๆ แล้วมั้งเนี่ย? ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันแบบนี้ล่ะก็ เฮ้อ...
แต่คิดแล้วก็แปลก ปกติไอ้กายสู้ซินไม่ได้หรอก ฝีมือห่างชั้นกันมากขนาดไหนทำไมผมจะไม่รู้ ขนาดกับผม..ไอ้กายยังสู้ไม่ได้เลย แล้วมันจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้กับซินที่เคยเรียนศิลปะต่อสู้มาแทบทุกรูปแบบ แค่หมัดของไอ้กายซินมันหลบได้ง่ายๆ สบายอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ระคายเคืองผิวหรอก
นอกเสียจากว่าซินมันจะยอมให้ต่อยเอง? ..หรือไม่ไอ้กายก็อาจจะโมโหมากจริงๆ เลยสามารถดึงพลังแฝงในตัวมนุษย์ออกมาใช้ได้
เหตุผลอื่นผมก็นึกไม่ออกแล้วล่ะ
“กูไปบอกมันว่ากูเลิกกับชมพูแล้ว..” ซินพูดเสียงเบา ก้มหน้ามองต่ำ “กูคิดว่ามันคงจะอยากได้น้องเค้าคืน คิดว่ามันน่าจะดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ..แต่มันกลับชกกูเฉยเลย”
“กูไม่เข้าใจอ่ะ ซันนี่ กูทำพลาดตรงไหน? กูคืนน้องเค้าให้มันแล้ว มันก็น่าจะเลิกโกรธกูและเราก็ควรจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมมันถึงโกรธกูยิ่งกว่าเดิมอีกล่ะ? ทำไมล่ะ ซันนี่? กูไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ซินมองหน้าผมอย่างคนจนปัญญาจริงๆ ก่อนจะซบหน้าลงไปกับฝ่ามือของตัวเอง
“ซิน..” ผมขยับเข้าไปโอบรอบตัวมันเอาไว้ ตอนนี้ซินดูตัวเล็กลงไปถนัดใจ ไหล่ของมันสั่นไหวน้อยๆ เพราะความรู้สึกสับสน
“กูไม่เข้าใจจริงๆ ซันนี่ ทั้งที่กูพยายามจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น..แต่มันกลับยิ่งแย่ลง.. แย่ลงไปหมด กายมันเกลียดกูแล้ว”
“ไม่เป็นไร ซิน ..ไม่เป็นไรหรอก” ผมใช้สองมือประคองหน้าซินขึ้นมาให้อยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนเอาหน้าผากตัวเองไปแนบหน้าผากอีกฝ่ายไว้ จ้องลึกลงไปในดวงตาสีอัลมอนด์ที่เหมือนกันราวกับส่งกระจกนั่น ผมเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้นเพียงคนเดียว
และแน่นอน.. ในดวงตาของผมตอนนี้ก็มีเพียงซินคนเดียวเหมือนกัน
“ใครจะเกลียดมึงก็ช่าง แต่กูรักมึงนะ และจะรักตลอดไปด้วย ..อย่าลืมสิ”
“ซันนี่..” ซินเอามือมาประคองใบหน้าของผมเช่นกัน “มึงจะไม่มีวันเกลียดกูเหมือนอย่างไอ้กายใช่มั้ย?”
“แน่นอน” ผมยืนยันให้อีกฝ่ายมั่นใจ
“จริงนะ?”
“จริงที่สุด” ผมย้ำพร้อมกับจุมพิตลงไปบนริมฝีปากคนอีกคนตรงหน้า..
จากนั้นเราก็ยิ้มให้กัน ก่อนจะรู้สึกถึงฝ่ามืออบอุ่นของใครอีกคนที่มาวางแหม่ะบนหัวของเราทั้งคู่
“พี่ก็รักฝาแฝดนะ” แบรี่บอกพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ เราไม่สงสัยในคำพูดนั้นแม้สักนิดเดียว เพราะทุกอย่างที่แบรี่ทำให้พวกเราตลอดมามันก็บอกชัดอยู่แล้ว
ผมกับซินมองหน้ากัน ก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปกอดคอแบรี่พร้อมๆ กัน ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดเข้าใส่
“เราก็รักแบรี่เหมือนกัน!” ทำเอาเจ้าตัวถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว เพราะรับน้ำหนักแทบไม่ไหว ..ก็แน่ล่ะ ผมกับซินในตอนนี้ตัวเล็กๆ เหมือนเมื่อก่อนซะที่ไหน ที่ยังยืนได้นี่ก็ถือว่าสุดยอดแล้วนะ
พวกเราสามคนหัวเราะเสียงดัง(ที่จริงแค่แฝดมากกว่า ตอนนี้แบรี่กำลังลำบากอยู่ ฮ่ะๆ..) คิดถึงสมัยเด็กๆ ผมกับซินมักจะกระโดดเข้าจู่โจมแบรี่แบบนี้บ่อยๆ แบรี่เป็นเหมือนตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ใจดีของพวกเรา ไม่ว่าจะเล่นโหดเล่นแรงยังไงก็ไม่เคยปริปากบ่น นึกไปแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ เหมือนกันแฮะ
กว่าที่แบรี่จะแกะมือเหนียวหนึบของฝาแฝดออกจากตัวสำเร็จก็แทบหมดแรงยืน เขาชี้มือไปทางโต๊ะกินข้าวที่ตอนนี้มีอาหารเตรียมพร้อมไว้รอพวกเราทั้งหมดแล้ว
“เอาล่ะ ไปล้างมือแล้วมากินสปาเก็ตตี้กันดีกว่า”
“นอนไม่หลับเหรอ?” ได้ยินเสียงคนข้างตัวพลิกไปพลิกมาก็เลยลองถาม
คืนนี้ซินต้องหอบหมอนมานอนห้องผม เพราะยกห้องตัวเองให้แบรี่นอน
“อือ..” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา
“มานี่ดิ” ผมเอื้อมมือไปดึงซินเข้ามาหา เจ้าตัวก็ให้ความร่วมมือด้วยการมุดหัวเข้ามาอยู่ใต้คางผม ผมขยับตัวเงยหน้าให้ผมเดทร็อคนั่นเข้ามาได้ทั้งหมด และพาดแขนไปไว้บนเอวของซิน ซินเองก็นอนกอดเอวผมเหมือนกัน
“ยังคิดมากเรื่องไอ้กายอยู่อีกเหรอ?” ผมถาม
“อือ..กูเลิกคิดไม่ได้เลยอ่ะ ซันนี่” ซินตอบอู้อี้กลับมา
“จริงๆ นะ ซิน กูไม่เข้าใจว่าทำไมตอนแรกมึงถึงทำแบบนั้น? มึงไม่เคยแย่งของของใครนี่นา” ผมพูดจริงๆ ถึงซินจะเจ้าชู้ แต่มันก็ไม่เคยแย่งผู้หญิงของใคร
ยกเว้นแต่ว่ามันไม่รู้ หรือเพิ่งมารู้ทีหลังแล้วปล่อยเลยตามเลย
“กู...ไม่รู้ดิ พักหลังๆ มานี่...เวลาที่เห็นไอ้กายมันควงกับใคร...กู..กูรู้สึกเหมือนว่ากำลัง..อิจฉา” เสียงซินแทบหายไปในตอนท้าย
“อิจฉา?” ผมพูดทวน
ซินเป็นคนที่จริงใจเสมอ โดยเฉพาะกับผมแล้วมันยิ่งไม่เคยโกหก ผมไม่สงสัยเลยว่ามันพูดเรื่องจริงหรือเปล่า? แต่ที่ผมแปลกใจ
คือ ทำไมมันต้องอิจฉาสกายด้วย? ในเมื่อตัวมันเองก็ไม่เคยขาดผู้หญิงอยู่แล้ว..
“อือ ..กูอิจฉามัน” ซินย้ำ “อิจฉาตาร้อนทุกครั้งเวลาเห็นมันเดินกับชมพู เวลาเห็นมันยิ้มให้ชมพู ..กูก็เลยคิดตื้นๆ ว่าถ้ากูได้ชมพูมา ความรู้สึกร้อนรนของกูอาจจะดีขึ้น”
“แล้วดีขึ้นมั้ย?”
“..ไม่เลย กูกลับยิ่งอิจฉามากกว่าเดิมที่เห็นมันโกรธเพราะถูกแย่งชมพูไป” ซินสารภาพตามตรง “กูอิจฉาที่เห็นมันให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่ากู ..กูเป็นคนขี้อิจฉาที่น่ารังเกียจใช่มั้ย ซันนี่?”
ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกเมื่อรับรู้ว่าอีกร่างกำลังสั่นเทาเพราะความสะเทือนใจ
“กูน่ารังเกียจมากเลยใช่มั้ย?”
“ไม่หรอก มึงแค่เข้าใจผิดไป ซิน ..แค่เข้าใจผิดไปเอง”
“เข้าใจผิด?”
“อืม.. มึงไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นหรอก มึงไม่ได้ขี้อิจฉา ..เชื่อกูสิ”
“ซันนี่..?”
“อย่าคิดมากเลย นอนเถอะ” ผมกระชับอ้อมกอดอีกครั้ง และได้รับแรงกอดตอบกลับคืนมา
“ฝันดี พี่ชาย...”
“อือ.. ฝันดี ซันนี่”
ที่ผมบอกว่าซิน ‘เข้าใจผิด’ มันไม่ใช่แค่คำปลอบ แต่มันคือเรื่องจริง
มาลองคิดๆ ดูแล้ว ไม่ใช่แค่เข้าใจผิดอย่างเดียว แต่ผมว่าซินยังใช้คำผิดด้วย ที่ซินรู้สึกมันไม่ใช่ ‘อิจฉา’ หรอก ..แต่เป็น ‘หึง’ ต่างหาก
บางทีซินอาจจะรู้จัก ‘jealousy’ แต่ไม่ได้สังเกตถึงความแตกต่างระหว่าง..
..ความรู้สึกอิจฉา กับ ความรู้สึกหึงหวง.. ก็เป็นได้
นั่นล่ะ ผมถึงได้บอกว่าซินเข้าใจผิดไง...
TBC. 
*เพลง คนบนฟ้า - Paradox