กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)  (อ่าน 114236 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
คนมันมีความหลัง * -*

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
 :กอด1: :L2:
+1ให้จ๊า

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
ชอบแนวนี้มากๆแต่เริ่มเรื่องก็มัวๆหน่อยเนอะ มาให้ไอ้หนุ่มสุพันดามใจให้ดีกว่า

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
จอนเลวกว่าที่คิดไว้
เค้ามีความหลังกันนี่เอง
โนตอนเด็กๆนี่น่ารัีกแท้  :-[
ชอบตอนที่เรียก พี่เม่ๆ

 :pig4:  o13


ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
น่าติดตามดีค่ะ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
อ้อ...คู่นี้เค้ามีความหลังครั้งเก่ากันมานี่เอง... :m1:
คุณเมฆจำได้ไม่ลืม แต่ไม่รู้คุณโนยังจำได้รึเปล่าสิ ? (อาจต้องมีรำลึกความหลังอะไรกันบ้าง )
เอาเป็นว่า คุณโน พาใจช้ำ ๆ ที่ผิดหวังจากคนที่ไม่เห็นคุณค่า(และไม่รักดี) กลับมาหารักใหม่ที่บ้านเกิดดีกว่าเนอะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2011 00:07:45 โดย Cherry Red »

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
อ่านเรื่องนี้ได้ครบเลย
ชอบ...บรรยากาศบ้านทุ่ง
ชอบ...เพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
ชอบ...คนดีที่ปากร้าย
ชอบ...คนแต่ง  :-[

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
จอน แย่มาก  :z6: ดีละโนกลับไปอย่างไม่ต้องมีห่วงอะไรอีก
จิตวิญญาณของแม่พระโพสพ เป็นยังไงน้อ
ปล. ชอบแฉะ 55

ออฟไลน์ Karn12

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +165/-2
รอตอนต่อไปนะครับ

ผ้ใหญ่ลีกับนางมาเวอร์ชั่นบอยเลิฟ  อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๓

“เฮ้ออออ” อโณชาถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับทรุดนั่งลงบนม้าหินใต้เรือน แดดยามบ่ายทอแสงและร้อนระอุอยู่ไม่น้อยหากแต่มีร่มไม้เขียวครึ้มในตัวบ้านช่วยบรรเทาทำให้ไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก บ่าวทองหยิบน้ำลอยดอกมะลิมาวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ คุณโน ถอนหายใจซะหมดท่าเลย”
“เหนื่อยๆนิดหน่อยน่ะครับ เข้าไปในตัวเมืองมา”
“อ้อไปทำธุระมาหรอ”
“ครับ ว่าจะไปติดต่อหาพวกพันธ์ข้าว ปุ๋ย แล้วก็ค่าจ้างรถดำนาน่ะครับ”
“เอ๋.... ไอ้รถดำนานี่มันเป็นยังไงจ๊ะเนี่ย”
“เอ่อ... จะพูดยังไงดี มันก็เป็นเครื่องจักรที่ช่วยทุ่นแรงคนจะได้ไม่ต้องปวดหลังดำนาเองไงครับ แล้วต้นข้าวก็ตั้งตรงและเป็นระเบียบด้วย”
“โอ้โห.... สุดยอดขนาดนั้นเลยหรอจ๊ะคุณโน คงจะแพงมากสิท่า”
“แพงอยู่แล้วล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่คนที่ไม่ได้จะทำนาเป็นเรื่องเป็นราวทีละร้อยๆไร่เค้าก็ไม่ซื้อกันหรอก จะเช่าเอา แต่ที่ผมถอนหายใจก็เพราะว่าค่าเช่ามันแพงเหลือเกิน”
“เค้าคิดเท่าไหร่ล่ะคะ”
“ไร่ละพันครับ”
“คุณพระช่วย!”
“ไม่รู้ว่าถ้าขอเงินเพิ่ม ลุงวันแกจะโอเคมั้ย”
“ลุงคิดว่ามันไม่จำเป็นหรอกโน” เสียงของลุงวันดังขึ้นแทรกการสนทนาระหว่างอโณชากับนางทอง “นาแค่ไม่กี่ไร่ ตั้งใจทำไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว”
“โธ่ลุงวัน .... แต่ผมเคยดำนากับเค้าที่ไหนล่ะ”
“เป็นเจ้าของนาทำอะไรไม่เป็นเลยใช้ได้ที่ไหน แถมลงทุนขนาดนั้น ไม่กลัวขาดทุนหรอ อย่าลืมสิเงื่อนไขของย่าเราน่ะ”
“เรื่องย่าน่ะผมรู้ดี แต่สมัยนี้ใครๆเค้าก็จ้างเอาทั้งนั้นแหละ”
“ที่ไม่กี่ไร่จะไปจ้างให้เสียสตุ้งสตังค์ทำไม ลุงก็อยู่ทั้งคน ไหนจะแม่ทอง นังทิ้ง ชาวบ้านที่นี่เวลาดำนากรือเกี่ยวข้าวเค้าก็ไปขอแรงมาช่วยกัน ไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว”
  “แต่ผมรู้จักใครที่ไหนล่ะครับ ลุงวัน”
“อ้าวแล้วข้านี่เป็นคนอื่นรึไงวะ ไหนจะไอ้เมฆอีก มันเก่งจริงๆนะเรื่องทำนาเนี่ย ไปขอให้มันช่วยสิ ชาวบ้านก็รักก็ชอบมันเยอะถ้ามันออกปากเดี๋ยวก็มาช่วยกันเยอะแยะ”
“ผมไม่อยากไปยุ่งกับไอ้บ้านั่นเท่าไหร่น่ะลุง ... ไม่ค่อยถูกชะตา”
“อะไรกัน สมัยก่อนยังวิ่งเล่นด้วยกันอยู่เลย ไม่เจอกันไม่กี่ปีเขม่นกันซะแล้วหรอ”
“เอ๋...ผมน่ะหรอครับ เคยวิ่งเล่นกับไอ้มืด เอ๊ย ไอ้เมฆน่ะ”
“จริง! สมัยเด็กๆน่ะ ลุงเห็นวิ่งเล่นกันได้ทุกวี่ทุกวันกับไอ้เมฆมัน จนสี่ขวบน่ะ แม่เราก็พาเข้ากรุงเทพ โนจำไม่ได้เลยหรอ”
อโณชาเลิกตาขึ้นนึกย้อนไป ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตที่เดิมบางเลือนลางจนเหมือนลืมเลือนไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมาอยู่ที่นี่ แม่กรอกหูให้เขาฟังอยู่เสมอว่า บ้านของย่านั้นมีแต่คนใจร้ายและแม่เกลียดที่นี่ ทำให้เด็กที่ยังหัวอ่อนอย่างเขาคล้อยตามพอสมควร ... ประกอบกับการกลับมาเจอกันอีกครั้งของชายหนุ่มทั้งสองคน ที่สร้างความรู้สึกเกลียดหน้ากันในครั้งแรกยิ่งทำให้อโณชารู้สึกไม่อยากรู้จักผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่
“สมัยก่อนน่ะ....บ้านผู้ใหญ่มั่นเค้ายังไม่มีเหมือนเดี๋ยวนี้หรอก พ่อของผู้ใหญ่มั่นแกป่วย เสียนาเป็นไร่ๆจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว ย่าเราเค้าสงสารเจ้าเมฆมันมั้ง เลยส่งเสียให้ได้เล่าเรียน ไอ้เมฆมันเลยรักย่าของโนเหมือนย่าแท้ๆของมันเลย”
“แล้ว...ที่แม่บอกว่าย่าเป็นคนงกล่ะครับ”
“ลุงก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเป็นเพราะอะไรย่าถึงเปลี่ยนใจยอมเสียเงินส่งไอ้เมฆมันเรียนน่ะ แต่ถ้าให้ลุงเดา ก็อาจจะเป็นเพราะว่าย่าเราเค้าคิดถึงโนล่ะมั้ง”
“คิดถึงผมน่ะหรอครับ?”
“ใช่ .... แม่ไพน่ะ เค้าแอบหอบเราหนีไม่บอกใครสักคำนะ มีแค่เสื้อผ้าติดตัวกับตะกร้าผ้าอ้อม ก็อย่างที่รู้แม่เราน่ะเป็นหญิงใจเด็ดขนาดไหน ย่าเราเค้าเสียใจนะ ลุงคิดว่าอย่างนั้น ที่ทำให้แม่ไพต้องหอบโนหนีไป และเหมือนเค้าจะคิดถึงโนมาก ย่าของเราเค้าเลยสงสารไอ้เมฆเหมือนเป็นหลานแท้ๆคนหนึ่งของแก”
อโณชาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอนหลังพิงม้าหินและครุ่นคิดตาม บางทีเขาอาจจะต้องมองเมฆินทร์เสียใหม่อีกครั้ง อย่างไรเสียขึ้นชื่อว่าเพื่อนเก่า ก็ไม่ควรจะต้องไปตั้งแง่สักเท่าไหร่
“ว่าแต่ ผมจะทำยังไงกับที่นานี้ดีครับเนี่ย ... ลุงจะไม่ให้ผมเบิกเงินเพิ่มจริงๆหรอ”
“แน่นอน ลุงว่าโนน่าจะลองไปปรึกษาไอ้เมฆมันดูนะ ถ้าอะไรๆก็จ้าง ลุงว่าโนไม่มีทางทำได้ตามที่พินัยกรรมระบุแน่ๆ”
“ไม่มีทางอื่นแล้วหรอครับ ผมยังคิดว่า....”
“ลุงว่าลองไปปรึกษาไอ้เมฆมันก่อนน่ะดีแล้ว ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไปขอคำปรึกษาจากไอ้เมฆกันทั้งนั้นแหละ”
“เฮ้อ.... ผมจะลองดูแล้วกันครับ”
.
.
.
อโณชาปั่นจักรยานลัดเลาะไปบนคันนาในตอนสายๆฝ่าเปลวแดดไปจนถึงกระท่อมเล็กๆที่ปลูกไว้รินคันนา เบื้องหน้าไกลๆชายหนุ่มเห็นชายผิวคล้ำกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างพร้อมกับควายแคระที่ผูกไว้กับร่มไม้ใหญ่
“โอ้ ... พ่อหนุ่มกรุงเทพ ลมอะไรหอบคุณมาหาผมถึงนี่ล่ะครับ” เสียงเหน่อๆทักขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“ผู้ใหญ่บอกว่านายอยู่ที่นี่ ผมเลยตามมา”
“ดูเหมือนคุณจะมีธุระกับผม ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงที่นี่”
“ก็...นิดหน่อยน่ะ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นแหละ ดูคุณโนไม่อยากเสวนากับไอ้บ้านนอกอย่างผมเท่าไหร่หรอก”
“นี่คุณ ผมพูดดีๆด้วยก็อย่ากระแนะกระแหนนักสิ”
“โอเคๆ อย่าถือสาผมนักเลย มีอะไรจะให้ผมรับใช้ล่ะคร้าบบ”
“เห็นลุงวันบอกว่าให้ลองมาปรึกษาคุณ ว่าควรจะเริ่มต้นทำนายังไง”
“อ้อ คุณมาหาถูกคนแล้วล่ะ”
“งั้นบอกมาสิ ผมควรจะเริ่มยังไง”
“แล้วถ้าผมบอกไป ผมจะได้อะไรล่ะ”
“....คุณคิดค่าปรึกษาด้วยหรอ” อโณชาย่นคิ้ว พลางครุ่นคิดคำนวนต้นทุนที่เขาต้องเสียเพิ่มเติม“แล้วมัน....เท่าไหร่ล่ะ”
“คนกรุงเทพนี่เอะอะอะไรก็เงินไปทุกอย่างสิน่า .... เอาเป็นว่า มาช่วยผมทำนาที่นี่สักอาทิตย์หนึ่งก็พอ โอเคมั้ย”
คิ้วที่ขมวดกันของอโณชาคลายลง ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย “อ่า ... ก็ได้ เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้”
“ตกลง ว่าแต่วันนี้คุณจะทำอะไรบ้างล่ะ ผมอยากจะศึกษาก่อนสักหน่อย”
เมฆินทร์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดบ่าอยู่ขึ้นมาซับเหงื่อช้าๆ “เป็นนักเรียนที่ดีนะคุณน่ะ แต่จะไปได้สักกี่น้ำกันนะ”
ชายหนุ่มก้าวขาลงจากจักรยาน ก่อนจะเดินไปนั่งในกระท่อม พร้อมทั้งส่งสายตาท้าทายว่าที่อาจารย์ “อย่าดูถูกกันนักสิ ถึงผมจะโตที่กรุงเทพ แต่ผมก็มีเลือดสุพรรณนะ”
“นึกว่าจะลืมบ้านเกิดไปแล้วนะคุณโน”
อโณชาหันมายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆตัว กระท่อมของเมฆินทร์เป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงจากโล่งๆ ไกลออกไปเป็นที่นาของเขาที่เริ่มตั้งท้องเขียวขจีเต็มแปลง สายลมพัดมาเบาๆทำให้ใบข้าวไหวช้าๆ ชายหนุ่มลุกจากแคร่ไม้ไผ่เดินมาที่ริมคันนา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“ผมไม่ได้หายใจลึกๆแบบนี้นานแล้วนะเนี่ย”
“เริ่มจะสำนึกรักบ้านเกิดแล้วหรอคุณ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ... หรืออาจจะนิดหน่อย ยังไงซะก็ต้องอยู่ที่นี่อีกตั้งนานนี่นา” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เจ้าของที่นา ก่อนจะพูดต่อ “เห็นลุงวันบอกว่า คุณเคยเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กกับผมหรอ .... ทำไมผมจำไม่ได้เลยล่ะ”
“ไม่แปลกหรอก ก็คุณไปจากเดิมบางตั้งแต่สี่ขวบนี่นา”
“แล้วทำไมคุณถึงจำได้ล่ะ”
“เอ่อ....” ชายหนุ่มอึกอัก ก่อนจะตอบ “ผมแก่กว่าคุณสองปี ตอนนั้นก็ห้าหกขวบ พอจะรู้ความบ้างแล้วล่ะ”
“อ้อ ... ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่เมฆสิ ... ขอโทษนะครับที่ล่วงเกินพี่เมฆไปซะเยอะเลย”
เมฆินทร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไรหรอกโน ...นี่โนรู้มั้ย ตอนนั้นน่ะ โนยังเรียกพี่ว่าพี่เม่ พี่เม่อยู่เลย”
“จริงสิครับ “
“จริงจริ๊ง .... โนเห็นต้นมะม่วงข้างศาลพระภูมิบ้านเรามั้ย มะม่วงต้นนั้นน่ะ โตได้เพราะโนฉี่รดนะนั่น”
“เอ๊ย ไม่จริงน่าครับ”
“แหม .... น่าเสียดายที่พี่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ จะได้เถียงไม่ออก”
สายลมพัดมาเป็นระลอกๆ ....เหมือนพัดพาความทรงจำและวันเวลาสมัยเด็กๆของคนทั้งคู่ให้หวลระลึกถึงอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งคุยกันอย่างออกรสจนตะวันเลยหัว หนุ่มผิวเข้มเป็นคนเอ่ยถึงเวลาขึ้นก่อน
“คุยเพลินจนลืมเวลาเลยโน บ่ายแล้วนะ หิวหรือเปล่า”
“จริงหรอครับ ผมก็ไม่ได้เอานาฬิกามา ไม่รู้เวลาเลย สงสัยจะคุยเพลินจริงๆ”
“พี่ไม่ได้เอาข้าวมาเผื่อ กลับไปกินข้าวที่บ้านพี่กันมั้ย”
“ยินดีครับ”
.
.
.
อีแฉะก้าวขาช้าๆไปตามคนนาคู่กับล้อจักรยายที่ขี่คู่กันไปพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสองคนที่ยังพูดคุยกันไปตามทางอย่างไม่กลัวแสงแดด ไม่นานนัก ทั้งคนทั้งควายก็มาถึงที่หมาย
“เอ๊า พ่อโน ....ไปยังไงมายังไงจ๊ะเนี่ย” นางชื่นภรรยาผู้ใหญ่บ้านเดิมบางเอ่ยทัก
“พี่เมฆชวนผมมากินข้าวกลางวันที่นี่น่ะครับ”
“แหม พอดีเลย แม่ต้มส้มปลาดุกกับทำต้มน้ำปลาร้าเอาไว้เยอะแยะเลยล่ะ”
“เอ๋ ...ปลาร้า” ชายหนุ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินเมนูอาหาร ปลาร้าในความคิดของคนกรุงอย่างอโณชาหน้าตาดูไม่น่ากินเท่าไหร่นัก
“อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิ ลองชิมก่อน ไม่ใช่ปลาร้าอย่างที่โนคิดหรอกน่า”
.
.
.
บนโต๊ะกินข้าวใต้ถุนบ้านมีเพียงอโณชากับเมฆินทร์นั่งอยู่ หลังจากที่นางชื่นนำกับข้าวมาวางไว่ให้ก็ขอตัวไปธุระทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มสองคน
อโณชามองชามอาหารบนโต๊ะอย่างหวาดๆ มีปลาย่างตากแห้งกลิ่นไม่คุ้นจมูกกับชามต้มส้มปลาดุกและชามต้มปลาดุกกับน้ำปลาร้า ชายหนุ่มตักแต่เนื้อปลาดุกจากชามต้มส้ม พลางมองไปที่ชามต้มน้ำปลาร้าสีน้ำตาลอ่อนที่ดูข้นคลั่ก
“กินไม่เป็นหรอ”
“อ่า ... ผมกลัวอ้วกออกมาแล้วเดี๋ยวพี่เมฆจะพาลกินไม่ลงกับผมน่ะ แต่ต้มส้มนี่อร่อยดีนะครับ”
“ต้มน้ำปลาร้าก็อร่อยนะ ลองชิมสิ ไม่เหม็นอย่างที่คิดหรอก”
“เอ่อ....”
อโณชายังคงหวาดๆ จนเจ้าบ้านถือวิสาสะตักน้ำปลาร้าใส่ในข้าวของแขกเสียเอง
“อ่ะลองก่อนน่า “
อโณชาฝืนตักข้าวราดน้ำปลาร้าเข้าปากก่อนจะค่อยๆฉีกยิ้มช้าๆ
“เห็นมั้ยล่ะบอกแล้วว่าอร่อย”
.
.
.
อากาศยามเย็นที่บ้านเดิมบางเย็นสบายตามแบบอากาศของท้องทุ่ง หนุ่มบ้านนอกอย่างอโณชานั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างกองไฟที่จุดไล่ยุง พลางนึกถึงข้าวกลางวันมือที่ผ่านมา ปลาดุกในชามต้มส้มและต้มน้ำปลาร้าเหลือแต่โครงจากฝีมือของเพื่อนเล่นในวัยเด็กอย่างอโณชาหลังจากที่ได้รู้รสชาติที่แท้จริงว่าเอร็ดอร่อยเพียงใด แม่ของเขาคงจะทำอร่อยเป็นพิเศษจนผู้มาชิมกินเสียจนข้าวติดริมฝีปาก.... ชายหนุ่มนั่งยิ้มกับภาพของคนคนนั้น ... ที่ยังเหมือนเดิม พอเจอของอร่อยทีไร ก็กินจนลืมที่จะสังเกตุตัวเอง
หน้าแดงๆอย่างขวยเขินตอนที่เมฆินทร์เอื้อมมือไปหยิบข้าวที่ติดอยู่ที่ปากของอโณชาทำให้เขาอมยิ้ม ความมูมมามของคนๆนั้นยังสร้างรอยยิ้มให้กับหนุ่มบ้านนา และรอยยิ้มนั้นยังระบายอยู่บนใบหน้าของเมฆินทร์จนถึงยามเย็นเช่นนี้
“อีแฉะ เอ็งคิดเหมือนข้ามั้ยวะ ว่าเจ้าโนมันยังน่ารักเหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเลยว่ะ”
ควายตัวเมียเจ้าของชื่อแฉะขยับหูไล่ยุงอย่างไม่รับรู้เท่าไหร่ หากแต่มันส่งเสียงรับเบาๆเหมือนพยายามเข้าใจว่าผู้เป็นเจ้าของต้องการจะบอกอะไร
“แกนี่ ... เลี้ยงมาตั้งแต่เป็นควายตัวกะเปี้ยก ป่านนี้ก็ยังไม่เข้าใจข้าอีก อะไรวะ .... ข้าบอกว่า เจ้าโนมัน ....น่ารักเนาะ”
ดวงตาซื่อๆของอีแฉะมองผู้เป็นเจ้าของเหมือนจะรับรู้ หากแต่มันคงสื่อสารกับเมฆินทร์ไม่ได้ไปมากกว่านี้ รอยยิ้มจากภาพของชายผู้มาเยือนในตอนบ่ายเผื่อแผ่มาถึงควายอย่างอีแฉะด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะดำเนินบทสนทนาข้างเดียวกับควายคู่ใจต่อไป
“ช่างเถอะ .... ว่าแต่ว่าวันนี้แกอยากฟังเพลงอะไรล่ะฮึ อีแฉะ .... เอาเพลงนี้ก็แล้วกัน แกไม่ได้ฟังนานแล้วนะ”
อโณชาหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมา ก่อนจะเป่ามันออกมาพร้อมกับเสียงแว่วหวานที่ดังขึ้นมากเครื่องดนตรีชายทุ่งสอดรับกับเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะของไม้ฟืนที่ประทุในกองไฟ
“เสียงขลุ่ยครวญหวนมากับลม
พี่สะอื้นฝืนระทม....กล้ำกลืนฝื่นข่มใจเหงา
ขลุ่ยครางครวญพี่หวนคะนึงถึงเจ้า
พังเสียงหริ่งหรีดเร้า ....พี่ยิ่งเศร้า...ไม่วาย
น้องจากนาหายหน้าจากจร....สู่กรุงเทพมหานคร
ตัดรอนมิตอบจดหมาย
ได้ข่าวดีเจ้าคว้าเทพีชาวไร่
ลืมรักเก่า....เราไว้สิ้นเยื่อใย..ลืมลง
โอ้....เจ้ากลอยดาวน้อยบ้านนา
จากดอกหญ้าไปเป็นดารา...สูงส่ง
พี่พลอยปลื้มถึงน้องจะลืมพี่ลง
อย่าเริงหลง....น้องเอ๋ยเจ้าจงระวัง
หวิว....ไผ่ครางเคล้าลมอ่อนโอน
ต้นตาลเดี่ยวสุดฝืนยืนต้น....ดั่งคนสูญสิ้นความหวัง
ขลุ่ยบรรเลงเจ้ารับฟังเพลงพี่บ้าง
กลอยเอ๋ยอย่าราล้าง....หนุ่มเดิมบางสุพรรณหลงคอย”
ท้องฟ้ายามราตรีที่บ้านเดิมบางในคืนข้างแรมคืนนี้มีดาวใหญ่น้อยมากมายแข่งกันส่งแสงสว่างไสวเต็มฟ้า บทเพลงที่จบลงแม้จะเป็นเพลงเศร้าแต่ก็เหมือนกับเป็นเพลงที่จบไปแล้ว ... ชายหนุ่มยิ้มให้กับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวพร่างพราว หากเพลงนี้จะสื่อถึงความรู้สึกในใจของเมฆินทร์แล้วล่ะก็ คงมีเพียงวรรคสุดท้ายสั้นๆที่สะท้อนความรู้สึกภายในใจได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“....หนุ่มเดิมบางสุพรรณ....หลงคอย”


นิยายเรื่องนี้มันผู้ใหญ่ลีกับนางมาเวอร์ชั่น ชาย-ชาย จริงนั่นแหละครับ  :laugh:

แต่เรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนต้องติดตามกันนะครับ

มาต่อช้ากว่าเรื่องที่แล้วทีอัพทุกวันไม่ได้ อย่างที่บอกว่าที่ทำงานใหม่ไม่สะดวกในหลายๆอย่าง

ขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามกันนะครับ

เรื่องนี้อาจจะไม่หวือหวาเหมือนนิยายเรื่องที่ผ่านๆมา แต่ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ

 :L2:



ออฟไลน์ Karn12

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +165/-2
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ

money loving

  • บุคคลทั่วไป
ถูกใจกดบวกเป็ดให้เลยคับ
เป็นกำลังใจให้นะคับ :L2:

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
ชอบแนวนี้จัง

พี่เมฆน่ารักดี  โนก็ไม่ได้เลวร้ายนัก

แต่ขอเถอะ อย่าดราม่าเหมือนเรื่องก่อนนะ

เรื่องนี้ขอเบาๆนะครับ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
พี่เมฆกับน้องโน  อ๊าก น่ารักโคตรๆ

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
บรรยากาศแถวๆบ้านเลย อิอิ คนสุพันเหมือนกัน

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 o13

ชอบบรรยากาศแบบนี้จังบ้านนาและคนจริงใจ

เค้าเริ่มดีกันแล้ว  เราก็รอให้เค้าหวานกันต่อ  ฮุๆๆ

+1และเป็ดค่ะ

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
เริ่มจะหวานกันแล้วใช่มั๊ย :กอด1:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
พี่เมฆ :m12:
น้องโนยังไม่ทันทำอะไรก็เพ้อถึงแล้ว
แบบนี้ถ้าร่วมกันสร้างครอบครัว ไม่กลัว เอ้ย เกรงใจแย่หรือ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ POPEA

  • Blood Type :: Y
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • http://writer.dek-d.com/popae/writer/view.php?id=794488
อ่านตอนที่สองกับสามรวดเลย ~
ไอ้จอนมันเลวมากอ่ะ!  :m31: อยากกระทืบ :z6:
เมฆกับโนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเลยอ่อ ชอบๆ แบบนี้ บรรยากาศหวานๆ เป็นธรรมชาติดี
รอตอนต่อไปนะ

chae

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ายยยยยยย กลิ่นนาบ้านทุ่ง
จะให้พี่เมฑช่วยดำนา หรือดำรักกันแน่จ๊ะ ฮ่าๆ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
น้องโนกับพี่เมฆญาติดีกันแล้ว :m4:
ว่าแต่ปลาดุกต้มน้ำปลาร้านี้ ไม่รู้เหมือนที่บ้านดิฉันรึเปล่านะ แต่ก็อร่อยเหมือนที่โณกินนั่นแหละ

bluebird

  • บุคคลทั่วไป
ชอบบรรยากาศของเรื่องจังเลยค่ะ = ) อ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่รีบร้อนดี
ความหลังตอนเด็กๆของทั้งสองคนน่ารักมาก กว่าจะมาเป็นต้นมะม่วง 55+
สงสารโน >.< ทั้งโดนแฟนทิ้ง ต้องออกจากงาน
แต่กลับมาบ้านคราวนี้ก็จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นล่ะเนอะ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
เค้าเริ่มดีกันแล้ว... :m1:

ThyRist

  • บุคคลทั่วไป
แอร้ย เรื่องใหม่นี่น่ารักเหมือนเคย ><

ขอฉากสวีวี่วีเยอะนะ 555+

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งเห็นว่าอัพ
 :-[  พี่เม่น่าร้ากก  :man1:
เค้าคุยกันดีๆแล้ว คิดว่าจะกัดกันต่อซะอีก

 :pig4: และรอค้าบ

ออฟไลน์ aehJTS

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +216/-8
ตามนักเขียนมาอีกเรื่อง
ชอบบรรยากาศในเนื้อเรื่องจัง ดูสบาย ๆ

 :pig4: คะ

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๔

“พี่เมฆ ผมมาแล้วครับ”
เมฆินทร์หันไปตามเสียงเรียกในตอนสายของวัน เจ้าของเสียงมาในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นที่ดูสบายๆ พร้อมกับหมวกปีกกว้างสำหรับกันแดดและรอยยิ้มที่สดใสเหมือนแสงแดดในยามนี้ระบายอยู่บนหน้า
“มาแต่เช้าเลยนะ”
“ก็ไม่อยากเอาเปรียบ เดี๋ยวอาจารย์จะสอนไม่เต็มที่”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะละจากงานตรงหน้า “จะคอยดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ”
“พี่เมฆพูดแบบนี้อีกแล้วว่ะ ว่าแต่วันนี้จะให้ช่วยอะไรล่ะ”
หนุ่มบ้านนอกยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยขึ้น “อันที่จริงก็ไม่รู้จะให้ช่วยอะไรเหมือนกันแหละ”
“เอ๋....” อโณชาขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อได้ยิน
“ก็ข้าวมันกำลังตั้งท้อง จะให้ทำอะไรล่ะ .... แต่ถ้าโนจะเรียนเลยพี่ก็ยินดีสอนนะ”
“เยี่ยม! ถ้างั้นวันนี้เราจะเริ่มจากอะไรล่ะครับ”
“เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังคร่าวๆก่อนแล้วกัน....นั่งลงสิ”
อโณชาพยักหน้ารับพร้อมกับเดิมไปนั่งบนแคร่ไม่ไผ่ข้างๆครูจำเป็น ดวงตาสองข้างจ้องมองมายังผู้เป็นอาจารย์อย่างตั้งใจจนผู้เป็นอาจารย์อดยิ้มไม่ได้ ...
กาลเวลาผ่านไปยี่สิบปี ทำให้ทั้งคู่ต่างเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เมฆินทร์ยกยิ้มไม่หยุดคงเป็นสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของอโณชา นั่นคือตาใสๆคู่นั้นที่ยังจับจ้องมาที่เขา จนผู้ถูกมองต้องหลุบตาต่ำเพื่อเข้าสู่เนื้อหาเสียที
“ก่อนอื่นเลย ใครที่คิดจะทำนาก็ต้องขยัน ใจสู้ อดทน ซึ่งถ้าในตอนนี้ พี่ว่าโนก็...สอบผ่านนะ ต่อมา ก็เป็นเรื่องการเตรียมกล้าข้าว โดยเอาเมล็ดพันธ์ข้าวไปแข่น้ำ ทิ้งไว้หนึ่งคืน แล้วก็....”
“เอ่อ...เดี๋ยวครับพี่เมฆ” ชายหนุ่มขัดจังหวะขึ้น
“หืม?”
 “ผมขอไปเอากระดาษกับปากกาก่อนได้มั้ย ไม่คิดว่าพี่เมฆจะบอกผมวันนี้เลยไม่ได้เตรียมมา”
“อ่า...ได้สิ ขึ้นไปหยิบได้เลย”
อโณชาฉีกยิ้ม ก่อนจะวิ่งไปหยิบกระดาษปากกาที่อยู่บนเรือนอย่างว่องไว ก่อนที่การบอกเล่าของครูเมฆินทร์จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งจนหมดช่วงเช้า

“หิวหรือยังฮึ”
“แหะๆ กินเลยก็ดีครับ ขอแบบเมื่อวานได้มั้ย ยังเหลือหรือเปล่า”
“น้ำปลาร้าน่ะหรอ”
“อื้ม นั่นแหละ”
“น่าจะหมดแล้ว แต่พี่ทำให้กินใหม่ก็ได้”
“เอ๋ .. ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องหรอกครับ อะไรก็ได้เอามาเถอะ หรือจะกลับไปกินที่บ้านผมดี เดี๋ยวให้ป้าทองทำอะไรให้กิน”
“เอาน่า ... พี่ทำเป็นนะ อร่อยด้วย”
อโณชายิ้มช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “งั้นคงต้องชิมสักหน่อยแล้วล่ะครับ”
.
.
.
เป็นอีกครั้งที่ปลาดุกในชามทำหน้าที่ที่ได้เกิดเป็นอาหารให้แก่มนุษย์ได้อย่างไม่เสียชาติเกิด เมฆินทร์นั่งมองชามที่เหลือแต่ก้างปลาดุกพร้อมกับยิ้มอยู่ในใจ พลางสลับมามองลูกศิษย์ที่นั่งลูบพุงช้าๆด้วยความอิ่มเหมือนกับลืมไปแล้วว่าเจ้าตัวนั้นเคยตั้งแง่กับปลาร้าขนาดไหน
“อร่อยมั้ย”
“ก็...ใช้ได้” อโณชายิ้มพร้อมกับยักคิ้วให้
“นี่ถ้าอร่อยสงสัยชามพี่คงไม่เหลือ โนคงเขมือบหมดแน่ๆ”
“แหะๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเจื่อนๆ จนคนตรงหน้าต้องฉีกยิ้มอีกครั้ง
“ไปดูพันธ์ข้าวในเมืองกัน”
“ดีเลยครับ พี่เมฆ”
.
.
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านในช่วงบ่ายพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ข้าว เมฆินทร์ก็เริ่มเทเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาลงบนกระด้งจนอโณชามองอย่างสงสัย
“นี่พี่เมฆจะทำอะไรน่ะ”
“คัดเมล็ดพันธ์ไง”
“โหยยย ต้องนั่งดูทีละเมล็ดเลยหรอ”
“ก็ควรจะทำเช่นนั้นนะ”
“วันเดียวจะเสร็จมั้ยเนี่ย”
“เอาน่า ถ้าตั้งใจก็เสร็จ” เมฆินทร์ยิ้มก่อนจะเริ่มต้นลงมือฝัดข้าว
“แล้วเราไม่มีเครื่องร่อนหรอ”
“บางบ้านเค้าก็มีนะ แต่โนไม่มีนี่นา”
“ไปจ้างเค้าได้มั้ย”
“จ้างอีกแล้ว นี่กำลังสอนให้รู้จักพอเพียงอยู่นะเนี่ย”
“เออ ก็ได้ๆ!”
เมฆินทร์ยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพี่ไปเรียกน้าทองมาช่วยแล้วกันจะได้เสร็จเร็วๆ”

เมล็ดพันธุ์ข้าวที่คัดแยกแล้วในเบื้องต้นถูกนำมาแช่ในน้ำเกลืออีกครั้ง เพื่อแยกเมล็ดพันธุ์ที่อาจจะหลุดรอดสายตาไป โดยเมล็ดพันธุ์ข้าวหรือวัชพืชที่หลุดรอดมาจะลอยอยู่บนน้ำเกลือ อโณชานั่งมองยิ้มๆ พร้อมกับที่เมฆินทร์ก็สลับมามองผู้เป็นลูกศิษย์เป็นระยะๆ
“ตายล่ะ คุณโน ห้าโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวทองไปเตรียมข้าวเย็นให้ก่อนนะคะ” บ่าวทองขอตัว ก่อนจะจูงมือลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆหลังจากที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน “ป่ะนังทิ้ง ไปช่วยแม่ทำกับข้าว”
“หนูขออยู่เป็นเพื่อนพี่เมฆได้ไหมจ๊ะ”
“แกจะอยู่ไปทำไมไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย มาช่วยชั้นนี่”
“โธ่แม่อ่ะ ไม่เข้าใจหัวอกลูกสาวบ้างเลย” เด็กหญิงค้อนผู้เป็นแม่ก่อนจะปรายตามาทางชายหนุ่มผิวเข้มอีกครั้ง “พี่เมฆอยู่กินข้าวกับหนูก่อนนะ”
“นังทิ้ง ... พูดจาข้ามหน้าข้ามตาคุณโนแบบนั้นได้ยังไง”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับป้าทอง เอาเป็นว่าพี่เมฆอยู่กินข้าวด้วยกันนะครับ ผมไปกินข้าวบ้านพี่เมฆหลายทีแล้วนะ”
ชายหนุ่มบ้านนาฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบรับคำเชิญ “งั้นพี่ไม่เกรงใจนะโน”
“พักก่อนสักแป๊บมั้ยครับ รอป้าทองเอาข้าวมาให้”
เมฆินทร์พยักหน้ารับ ก่อนจะคลายอิริยาบถลง “ก่อนจะกลับมาที่นี่ เราทำงานอะไรมาล่ะ”
“เอ่อ .... ผมเป็นเซลส์น่ะครับ ขายปุ๋ยกับยาปราบศัตรูพืช”
“หืม...”เมฆินทร์ย่นคิ้ว “มิน่า ถึงเอะอะๆ ก็จ้างก็ปุ๋ย”
“คงงั้นมั้งครับ ... แต่ผมโดนไล่ออกแล้วล่ะ หลังๆมานี่พวกน้ำหมักชีวภาพเข้ามาตีตลาดจนผมแย่เหมือนกัน”
“หึหึ ธรรมชาติน่ะดีกว่าสารเคมีอยู่แล้วล่ะ” หนุ่มบ้านนายิ้ม
“คงงั้นมั้งครับแล้วพี่เมฆล่ะ เห็นลุงวันเล่าให้ฟังว่าเรียนจบมาจากกรุงเทพ พี่เมฆจบอะไรมาหรอ”
“พี่จบเทคโนโลยีการเกษตร จากม.เกษตรน่ะ”
“เอ๋ จริงสิ เราเรียนใกล้ๆกันนะเนี่ย ผมจบสวนดุสิตแหละ”
ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มรับกับคำบอกเล่าที่รู้อยู่แก่ใจ การพบกันที่บ้านเดิมบางไม่ใช่ครั้งแรกหลังจากที่ต่างคนต่างเติบโตสู่วัยหนุ่ม หากแต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เมฆินทร์ แอบมองชายหนุ่มผิวขาวในชุดนักศึกษาอยู่ฝ่ายเดียว ในปีการศึกษาสุดท้ายของตน
.
.
.
สามปีก่อน ที่ตลาดนัดหน้าเมเจอร์รัชโยธิน ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาด้วยความคิดถึงบ้าน ชีวิตในเมืองไม่ถูกจริตกับคนอย่างเมฆินทร์สักเท่าไหร่ หากแต่เพื่อความรู้และใบปริญญาที่เขาจะต้องนำกลับคืนสู่บ้านเกิดเป็นเหตุผลที่เขาจะต้องอดทนกับความอึดอัดใจนั้น
เหมือนมีบางสิ่งดลใจให้เขาหันไปมอง ชายหนุ่มเหลือบไปมองเด็กหนุ่มตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ผิวขาว ในชุดนักศึกษา เมฆินทร์นิ่งมองอยู่นานด้วยความรู้สึกเหมือนกับเป็นคนที่คุ้นเคยกันมา ชื่อของคนๆนั้นจารึกอยู่ในใจหากแต่เขายังขาดการยืนยันให้มั่นใจว่าเป็นคนๆนั้นจริงๆ
“นี่แกมัวแต่ร่ำลาอะไรนานขนาดนั้นฮึ ก็รู้อยู่ว่าชั้นรอ” หญิงวัยดึกที่ชายหนุ่มคุ้นตาทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าคนๆนั้นคือเด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยขี่คอเขาเล่นในวัยเยาว์
“โธ่แม่ รถมันติดหรอก ชอบตั้งแง่กับจอนมันจัง”ชายหนุ่มพ้อ “ช่างเถอะ เราไปกันเลยมั้ย อยากกินเอ็มเคตอนนี้คิวคงยาวเป็นหางว่าว”
สองแม่ลูกเดินเข้าไปในห้าง ทิ้งเอาไว้แต่ชายหนุ่มที่อมยิ้มให้กับความหลังและภาระที่ครั้งหนึ่งเคยรับปากไว้กับหญิงชราที่เมฆินทร์รักประหนึ่งญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกัน

....และก็กลายเป็จกิจวัตรของชายหนุ่ม ที่เวลาเลิกเรียนจะต้องมานั่งมองดูผู้คนหน้าเมเจอร์รัชโยธิน และเฝ้ามองหานายอโณชาที่ครั้งหนึ่งเคยมีคำนำหน้าว่าเด็กชาย และเคยเป็นน้องชายที่วิ่งเล่นขี่คอมาด้วยกัน
โชคชะตาเข้าข้างเมฆินทร์หลังจากวันแรกที่เขาได้เจออโณชาครั้งแรกหนึ่งอาทิตย์ แต่ทว่าในวันนี้ เด็กน้อยในวัยเยาว์ของเมฆินทร์เดินจูงมือกับชายหนุ่มหน้าคม
เมฆินทร์ไม่สามารถบอกตัวเองได้เหมือนกันว่าทำไมต้องใจหายกับภาพตรงหน้า ทั้งที่ภาระหน้าที่จากยายหลวย
...ก็เพียงแค่ฝากฝังหลานชายไว้กับเมฆินทร์ .... เหมือนเขาจะสับสน ว่าเด็กคนนั้นจะต้องการให้ไอ้บ้านนอกอย่างเขาดูแลหรือเปล่า หรือเขาต้องการไอ้หน้าหล่อคนนั้นอยู่เคียงข้างและคอยดูแลมากกว่า
ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจกลับหอพักของตน
“โน ...เราคงมีคนดูแลแล้วสินะ”
....อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ยังแอบเฝ้ามองและติดตามข่าวของอโณชาอยู่เป็นระยะๆอยู่ไกลๆ และคอยห่วงใยอยู่ห่างๆ เด็กชายหน้าคมคนนั้นอ่อนกว่าอโณชาสองปีและยังเรียนอยู่มอปลาย วัยวุฒิของคนที่อโณชาเลือกทำให้เมฆินทร์เป็นห่วงอยู่ลึกๆ ว่าเด็กคนนั้นจะทำให้อโณชามีความสุขได้สักแค่ไหน .... จนหนึ่งปีผ่านไป ในวันที่เมฆินทร์เรียนจบ และทั้งสองคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มและอบอวลไปด้วยไอรักของกันและกัน จึงเป็นเหตุผลให้หนุ่มบ้านนาปล่อยวางจากความห่วงใยนี้

13 กุมภาพันธ์ สามปีก่อน
“พี่เมฆ พี่เมฆครับ”
เมฆินทร์สะดุ้งจากภวังค์ด้วยเสียงใสๆของรุ่นน้องร่างเล็ก ที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ข้างหลัง
“ว่าไงล่ะฮึ หน่อง”
“เหม่อคิดถึงใครอยู่หรอครับเนี่ย”
“เปล่านี่ พี่ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ช่างเถอะ ว่าแต่รู้ใช่มั้ยว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”
ชายหนุ่มครุ่นคิด ก่อนจะได้คำตอบ “นี่วาเลนไทน์อีกแล้วหรอเนี่ย”
“ก็ใช่น่ะสิ” หนุ่มน้อยอมยิ้ม “พี่เมฆน่ะน่ารักก็ตรงนี้นั่นแหละ”
หนุ่มผิวเข้มยิ้มเขินๆ ก่อนจะดีดหน้าผากรุ่นน้องหน้าเป็นเบาๆ “เดี๋ยวเถอะ”
“ไปเดทกันมั้ยพี่ พรุ่งนี้”
เมฆินทร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเชิญตีแสกหน้า หากแต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินจากปากของรุ่นน้องคนนี้
“ไปน่ะไปได้ ...แต่พี่ยังยืนยันนะ ว่า...”
“รู้แล้วครับ ว่าพี่น่ะยังไม่อยากมีแฟน ไม่ได้มองเรื่องความรัก อยากกลับไปพัฒนาบ้านเกิด” หน่องตอบแทนรุ่นพี่ ก่อนจะพูดต่อ “อยู่คนเดียววันวาเลนไทน์มันเหงาจะตาย คนนั้นก็เดินเป็นคู่ คนนู้นก็จู๋จี๋กัน น้องยืมควงสักวันไม่ได้หรือไง เห็นว่าหล่อหรอกนะเลยชวนน่ะ”
“อ่ะ ก็ได้ ที่ไหนดีล่ะ” ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“เมเจอร์รัชโยฯละกัน ขี้เกียจไปไกล”
“อืมม ตกลงตามนั้น เลิกเรียนแล้วเจอกัน”
“ขอบคุณนะครับ ที่รัก” เด็กหนุ่มหยอก ก่อนจะรีบเดินหนีไป
.
.
.
14 กุมภาพันธ์ สามปีก่อน
หน้าเมเจอร์รัชโยธินคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เมฆินทร์เดินคู่กับรุ่นน้องที่นัดเดทกันตั้งแต่เมื่อวานด้วยความรู้สึกสนุกสนานมากกว่าหวานชื่นเหมือนคู่รักจริงๆ แต่ก็จริงอย่างที่เด็กหนุ่มบอกไว้ ว่ามันก็รู้สึกดีกว่านั่งมองคนนั้นคนนี้ในวันวาเลนไทน์ด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า
“ไปไหนกันต่อดี”
“ดูหนังแล้วกัน ขอเป็นหนังรักโรแมนติกนะ” หน่องยิ้มแฉ่ง
“อื้ม”
.
.

“เอาเรื่องนี้ละกัน น่าจะซึ้งดี เห็นว่าไปได้รางวัลมาด้วย” หน่องชี้ไปที่โปสเตอร์หนังโทนสีน้ำตาลหม่นๆ
“A moment in June ณ ขณะรัก” เมฆินทร์อ่านชื่อเรื่องเบาๆ “ตามนั้นแล้วกัน”

เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรมีผู้คนต่อคิวกันอยุ่เป็นจำนวนไม่น้อย เมฆินทร์กับแฟนจำเป็นเดินเบียดเสียดผู้คนต่อแถวจนสำเร็จ ก่อนที่หางตาของชายหนุ่มจะไปเห็นเด็กหนุ่มอีกคน ... ที่เคยทำให้เมฆินทร์รู้สึกโหวงๆในหัวใจ
“โน..”
เด็กหนุ่มคนนั้นหันหน้ามาช้า ก่อนจะยิ้มอย่างเก้อๆ พร้อมกับเด็กหน้าคมที่มาด้วยกันด้วยเครื่องแต่งกายที่ดูทันสมัย และทั้งสองคนต่างมีใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มให้กันและกัน
“เมื่อกี๊พี่เรียกผมหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...ปะเปล่าหรอกครับ” เมฆินทร์เลือกที่จะปฏิเสธ
อโณชายิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าหน้าที่ต่อ ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกว่างเปล่าในใจของผู้ชายที่ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลอย่างเมฆินทร์
“นี่ๆ พี่เมฆ ผมเลือกที่นั่งละ จ่ายตังค์ซักทีสิ” เสียงของเจ้าหน่องทำลายภวังค์ของหนุ่มผิวเข้มลง ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
.
.
เมฆินทร์นั่งลงบนเบาะภายในโรงหนังด้วยความรู้สึกที่สนุกน้อยลงกว่าตอนแรก ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมเขาต้องทำซังกะตายเมื่อได้เห็นไอ้ตัวดีในวัยเยาว์ของเขาเดินคู่กับแฟนของมัน ไม่มีเหตุผลรองรับความรู้สึกนี้เลย
“พี่เมฆเป็นไรปะเนี่ย ทำหน้ายังกะเหม็นเยี่ยว”
“เปล่านี่”
“ทำหน้าลั้ลลาเหมือนมากับแฟนหน่อยดิ๊ วันนี้วาเลนไทน์นะ” หน่องพ้อ
“อืม..” เมฆินทร์ยิ้มอย่างฝืนๆจนคนที่มาด้วยถอดใจ
“ช่างมันเถอะงั้น”
“ขอโทษนะครับ” เสียงเรียกดังมาจากด้านข้างของเมฆินทร์ ชายหนุ่มหันไปตามเสียงก็พบกับอโณชาที่ยิ้มน้อยๆให้ พร้อมกับที่มืออีกข้างของเขาถูกกุมไว้ด้วยมือของเด็กหนุ่มอีกคน “ขอทางหน่อยครับ”
“อ่า ...ครับ”
.
.
.
เนื้อเรื่องของหนังอาจจะดำเนินเรื่อยเปื่อยจนดูไม่น่าสนใจ หรืออาจะเป็นเพราะชายหนุ่มมีจุดสนใจอย่างอื่นมากกว่า จิตใต้สำนึกส่วนลึกของหนุ่มผิวสีทำให้เขาเผลอกำหมัดแน่นเมื่อเหลือบไปเห็นอโณชากับคนรักจับมือและแอบอิงกันเป็นระยะๆ และชายหนุ่มเลือกที่จะบอกตัวเองว่า ความรู้สึกต่างๆที่ชายหนุ่มรู้สึกมาเสมอนั้น คือความรู้สึกของพี่ชายคนหนึ่งที่หวงน้องชายเอามากๆ ...เท่านั้น
.

.
.
เป็นอีกคืนที่กองไฟลุกโชนขึ้นไม่ไกลจากใต้ถุนเรือนบ้านผู้ใหญ่มั่น เมฆินทร์นั่งเหม่อมองท้องฟ้าพร้อมกับลูบหัวอีแฉะเล่นเบาๆอย่างไม่ใส่ใจมันนัก
พอหมดเรื่องนา เรื่องที่เหมือนมีความสำคัญรองลงมาก็แทบจะทำให้ชายหนุ่มอดรนทนไม่ไหวอยากจะถามอโณชาใจจะขาด เมฆินทร์ยังคงจำความรู้สึกของตัวเองและรอยยิ้มที่อโณชากับเด็กหนุ่มคนนั้นมอบให้แก่กันได้ดี ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เขาคงจะดีใจมากที่น้องชายได้มีคนที่รักอยู่ข้างกาย หากแต่เวลานี้ ไอ้บ้านั่นหายไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้น้องชายของเขามาลำบากลำบนเพียงลำพังแบบนี้
“อีแฉะเอ๊ย เอ็งจำวันนั้นได้มั้ย ที่ข้ากับเอ็งไปเจอเจ้าโนมันที่ปลายนา ตอนที่มันนั่งเหม่ออยู่น่ะ”
ควายแคระหันมามองผู้เป็นเจ้าของราวกับรับฟังอยู่ หากแต่เมฆินทร์ไม่ได้ใส่ใจนักว่ามันจะรับรู้หรือไม่ ชายหนุ่มยังคงพร่ำบ่นกับควายคู่ใจต่อไป
“เอ็งว่ามั้ย ... วันนั้นเจ้าโนมันดูเศร้าๆเนาะ”
เมฆินทร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าก็ไม่อยากคิดหรอกนะ ว่าไอ้บ้านั่นมันจะทำอะไรเจ้าโนหรือเปล่า และถ้ามันทำนะ ข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่”
ดวงตาของชายหนุ่มแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไว้ด้วยแวววูบไหวเหมือนโขดหินกลางแก่ง ที่แน่วแน่แต่ก็หวาดกลัวในความเชี่ยวกรากของกระแสน้ำอยู่ลึกๆ ถึงเขาจะรู้ดีและตระหนักถึงคำพูดของยายหลวยที่บอบไว้กับชายหนุ่ม ทำให้เขาจะต้องเป็นผู้ดูแล เป็นพี่ชายที่คอยดูแลเจ้าตัวเล็กคนนั้น .... แต่ไอ้อาการใจสั่นๆและคิดถึงใบหน้าขาวๆของเจ้านั่น ทำให้พี่ชายอย่างเขาไม่กล้าที่จะเดาความรู้สึกตัวเองนัก


แอบลงหลังเลิกงาน แต่คนก็ยังพลุกพล่านเป็นหนอน ฮ่ะๆๆ

ขอบคุณหลายๆคนที่ยังติดตามนะครับ แม้จะไม่ได้อัพไวแบบเมื่อก่อน

เนื้อเรื่องยังแอบเรื่อยๆแบบที่เคยบอกไว้ แต่หวังว่าจะเป็นกำลังใจกันอยุ่เรื่อยๆนะครับ

 :L2:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
แสดงว่าก่อนหน้านี้ โนก็อยู่ในสายตาของเมฆเกือบตลอดเวลา
แต่ ณ เวลานี้ โนอยู่ในสายตาตลอดเวลา สมใจเมฆล่ะ
 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด