ตอนที่ 19 : แฟน
ไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียว แต่แววตาที่มันจ้องผมกลับมาแม่งบ่งบอกเลยว่ามันกำลังสื่อความหมายอะไร ผมให้เอามีดมาแทงเลยก็ได้ถ้ามันไม่ได้หมายความว่าอยากได้ผมเป็นเมีย
ไอ้เหี้ยยยยยยย ผมไม่เคยอยากเป็นเมียใครและไม่เคยคิดด้วย แต่ดูไอ้ห่านี่ มันจ้องเหมือนจะเอาผมเป็นเมียให้ได้ คดีแรกมึงยังไม่หมด มึงจะเอาอีกคดีใช่มั้ย!
ผมเขม็งตามองมันเหมือนเอาเรื่อง แต่สัดพี่ชมพูแม่งเสือกทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วยังก้มลงมาจูบผมอีก ไอ้เวร! ผมสะบัดตัวเพื่อให้มันลุกออกไปจากตัวผมสักที แต่แม่งแรงเยอะกว่าผมถึงสลัดมันไม่หลุด
มันเล็มปากผมแล้วพยายามจะแหย่ลิ้นเข้ามา แต่ว่าผมก็กัดฟันตัวเองแน่นไม่ให้มันทำอย่างใจ ไอ้เหี้ยพี่ชมพูมันเลยเอามือล้วงเข้ามาในเสื้อผมแทน บีบแล้วก็คลึงหน้าอกผมก่อนจะเลื่อนปากลงไปดูดมันผ่านเสื้อนอน
“ปล่อย ไอ้สัด!!”
ผมแหกปากพยายามดันแม่งออก แต่มันก็ยังหน้าด้านไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำยังเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงผมอีก ไอ้เหี้ยเอ๊ยย มึงกะทำให้กูเคลิ้มจะได้สู้มึงไม่ได้ใช่มั้ย!!
ผมพยายามชักขาขึ้นมายันอกมัน จนในที่สุดมันก็กระเด็นออกไปตามที่ผมหวัง แต่ว่ามันก็ยังดันทุรังจะทำต่อให้ได้ ผมเลยต้องยกขาค้างเอาไว้เพื่อบอกให้มันรู้ว่าลองมึงทำอีกกูถีบมึงแน่ มันถึงได้หยุดแล้วมองหน้าผม
“มึงลองทำกูอีกสิ กูเกลียดมึงแน่ แล้วมึงอย่าคิดว่าจะได้คุยกับกูอีก”ไม่เรียกแล้วแม่ง พ่งพี่ห่าอะไร ตอนนี้อารมณ์ผมฉุนสุดๆ
“มึงโกรธ”
มันถามเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่สมควรโกรธอย่างนั้นแหละ มึงลองมาเป็นกูมั่งมั้ยล่ะ ไอ้สัด ไอ้ห่า เวรเอ๊ย
“มึงโกหกกูแล้วมึงยังมีหน้าจะมาปล้ำกูอีกนะ”
“กูขอโทษ” มันว่าเสียงเบาๆ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ผมเลยเตรียมจะยันมันอีก แต่มันแค่ดึงผมไปกอดแล้วล้มตัวลงนนอลงบนเตียง “กูยังไม่ทำก็ได้ รอให้มึงพร้อมก่อน”
“พร้อมห่าอะไร กูไม่พร้อมอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ไว้มึงรักกูมากๆ มึงก็พร้อมเอง”
แม่งพูดเข้าข้างตัวเองแถมยังยิ้มให้เสียอีก แล้วพอมันเห็นว่าหน้าผมหงุดหงิด มันก็ก้มลงมาหอมแก้มผม ผมเลยยกมือขึ้นปาดรอยบนแก้มออกแต่มันก็ก้มลงมาหอมใหม่
ไอ้สัด! มึงชอบกวนตีนกูนักใช่มั้ยวะ
ผมหันไปถลึงตาใส่มัน แต่มันก็ยังยิ้มเหมือนเดิม หน้าด้านฉิบหาย!
“มึงเลิกโกรธกูยัง”
“ถ้ายังไม่เลิกหอมแก้มกูอีกมึงก็ไม่ต้องหวัง”
“โหดว่ะ ก็แก้มมึงนิ่มเอง”เหี้ย ดูคำตอบมัน ผมต้องเม้มปากแน่นเพราะดันรู้สึกเขินขึ้นมากับไอ้ประโยคสุดท้ายของแม่ง แก้มร้อนนิดๆ เลยต้องพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติไม่ให้มันจับได้
“ความผิดกูหรือไง”
“ใช่”
“สัด”
ผมด่ามันไป มันก็กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม จูบหนักๆ บนหน้าผากผมแล้วหลับตาลงเหมือนมันไม่ได้ทำอะไรให้ผมรู้สึกห่าเหวบ้าบออะไรนี่เลยสักนิด แม่งเหี้ยฉิบหาย
“มึงแม่งเลว”
เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับมัน ผมเลยด่ามันไปอีกรอบ มันก็ลืมตาขึ้นมาแล้วยื่นปากมาจูบปากผมเบาๆ แถมยิ้มอีก
“นอนได้แล้ว”
แล้วมันก็หลับตาอีกครั้งเหมือนจะตัดจบบทสนทนาไม่ให้ผมพูดอะไรอีก แต่แม้ว่าผมจะพยายามดันตัวให้ห่างออกมาจากไอ้คนตัวใหญ่ มันก็ยังรัดตัวผมแน่นไม่ยอมปล่อย ผมเลยต้องยอมหลับตาลงแล้วปล่อยให้แม่งกอดไปแบบนั้น
ตอนเช้าไอ้พี่ชมพูมาส่งผมที่มหา’ลัยตามเดิม มันแยกไปที่โต๊ะของมันส่วนผมก็มาที่โต๊ะของผม ไอ้พวกเพื่อนๆ ผมก็มาประจำที่กันหมดแล้ว แต่พอเดินมากำลังจะนั่งลงบนม้านั่งผมก็สะดุ้ง เพราะไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แม่งเสือกบีบตูดผมซะเต็มมือ
“ไอ้เหี้ยกราฟ ทำอะไรของมึง!!”
“ทดสอบดูไงว่ามึงโดนพี่ภูเสียบไปยัง”
เสียงของไอ้กราฟเงียบไป เสียงหัวเราะของไอ้เชี่ยกัสกับสัดเคลมก็ดังขึ้นให้ผมอับอายแล้วโมโหพร้อมๆ กัน ผมสบถด่ามัน
“ห่า”
แล้วยกตีนขึ้นมาถีบไอ้กราฟที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดจนมันล้มแผละลงไปกับม้านั่งอีกด้าน แต่เสียงหัวเราะของพวกเวรก็ยังไม่หยุดลง พวกมึงจะหัวเราะห่าอะไรนักหนา แสรดดดด
“หัวเราะมากระวังตีนติดต่อนะไอ้เหี้ย”
“โหย ก็มึงเป็นความหวังของพวกกูเลยนะเว้ย”
ไอ้เคลมมันหัวเราะจนน้ำตาเล็ดแล้วตอบกลับมาไม่เข้าหูสักเท่าไหร่
“ความหวังห่าอะไร”
“ความหวังจะได้พี่ภูเป็นผัวไง ก๊ากกกก”
แล้วแม่งก็หัวเราะอีก ผมเลยลุกขึ้นไปตบกบาลแม่งเต็มแรง
“งั้นมึงก็โก่งตูดให้ไอ้พี่ภูของมึงเอาซะสิ จะได้ไม่ต้องมาหวังพึ่งกู ไอ้สาดดดดดดดดด”
“เอาน่า ไอ้เคลมมันก็แซวมึงเล่นๆ”
ไอ้กราฟดึงมือผมให้นั่งลงเหมือนเดิม ไม่ต้องมาพูดดีเลยไอ้สัด เมื่อกี้มึงก็ล้อกูเหมือนกัน ผมจ้องไอ้กราฟอย่างเอาเรื่อง มันเลยยิ้มแหยๆ ให้
“แล้วสรุปมึงกับพี่ภูตกลงกันได้หรือยัง”
“ตกลงอะไร”
ผมตวัดเสียงตอบไอ้กัสกลับไป อารมณ์ยังไม่ดีมากสักเท่าไหร่ เพราะหงุดหงิดกับเรื่องเมื่อกี้อยู่
“ก็ตกลงว่ามึงคบกันแล้ว หรือว่ายังไง”
“ยัง”
“อ้าววว”
แม่งประสานเสียงกันสามคน ผมเลยต้องอธิบายเพิ่มอย่างช่วยไม่ได้
“มันแค่เข้าใจว่ากูกับไอ้กราฟไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อน แต่กูกับมันยังไม่ได้ตกลงคบกัน”
“แบบนี้มึงเอาเปรียบพี่ภูนี่หว่า”
ไอ้เคลมตัดพ้ออย่างกับมันเป็นเมียไอ้พี่ชมพูถึงเดือดร้อนแทน
“งั้นมึงก็ไปขอมันคบแทนแล้วกัน จะได้ไม่เดือดร้อนกู”
“กูสงสารพี่ภูว่ะ มาหลงรักไอ้เชี่ยยีนเนี่ย เย็นชา~~”
ไอ้เคลมมันยังบ่นไม่เลิก แถมยังทำเสียงแต๋วๆ ให้น่าหมั่นไส้ขึ้นอีก แต่คราวนี้ผมระงับอารมณ์เอาไว้ ไม่ต่อความอะไรกับมันอีกเพราะเดี๋ยวไม่จบ และพอมันเห็นผมไม่พูดอะไร มันก็เงียบปากไปอย่างที่ผมคิด แต่ว่ามันดันกลับมาดังอีกครั้งเพราะ...
“ไอ้ยีน ว่าที่ผัวมึงมา”
ผมถลึงตาใส่มันเพราะคำที่ไอ้สัดเคลมมันใช้ ส่วนไอ้กัสกับไอ้กราฟก็ยิ้มๆ ใส่เหมือนสนุกที่แกล้งผมได้
“หวัดดีครับ พี่ภู”
พอไอ้พี่ชมพูลงมานั่งข้างผม เสียงไอ้เคลมก็ทักก่อนเลย มันยกมือไหว้ เหมือนไอ้กัสที่ไม่ได้ส่งเสียงอะไร ไอ้กราฟก็ไหว้เหมือนกัน แล้วก็ยิ้มๆ ให้ คนถูกไหว้เป็นปูชนียบุคคลเลยพยักหน้าส่งเสียง เออๆ ก่อนจะบอกจุดประสงค์ที่มันเดินมา
“พวกกูสรุปกันได้แล้วว่าจะเริ่มถ่ายหนังกันวันไหน”
“แล้ววันไหนครับพี่ พวกผมจะได้เตรียมตัวถูก”
คงไม่ต้องบอกว่าใครที่แม่งกระตือรือร้นคุยกับไอ้พี่ชมพูขนาดนี้ มีอยู่คนเดียวนั่นแหละครับ
“อาทิตย์นี้นั่นแหละ เสาร์ถึงจันทร์เลย”
“แล้วมันจะทันเหรอพี่”
ไอ้กราฟถาม ผมเองก็สงสัย ถ่ายสามวัน จะทันได้ยังไงวะ
“เหลือเฟือ หนังมันแค่สิบนาทีเองมึง แป๊บเดียวก็เสร็จ”
“แล้วเราจะไปถ่ายที่ไหนกัน เห็นพี่เจ๋งบอกว่าออกต่างจังหวัด”
เปลี่ยนเป็นไอ้กัสถามบ้าง ผมก็หันไปมองไอ้พี่ชมพู เพราะเมื่อวานมันยังบอกผมอยู่เลยว่ายังสรุปไม่ได้ แต่มาตอนนี้มันรู้เรื่องวันแล้ว คงตกลงสถานที่ได้แล้วมั้ง
“เรื่องสถานที่ ได้แล้วเว้ย แต่พวกกูไม่บอกพวกมึงหรอก”
“อ้าว ไรวะพี่ มีอุบอีก”
ไอ้เคลมมันบ่น พี่ชมพูเลยยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่ทำให้ไอ้เคลมเต้นได้นิดหน่อย
“ก็เก็บไว้ให้พวกมึงตื่นเต้นไง” ตอบไอ้เชี่ยเคลมแบบนั้นเสร็จ คนข้างตัวก็หันมาหาผมแทนแล้วกระซิบข้างหู “วันนี้กูพามึงออกไปกินข้าวข้างนอกนะ”
“ตามใจดิ พี่เป็นคนเลี้ยงไม่ใช่หรือไง”
ผมตอบมันกลับไปด้วยเสียงนิ่งๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเท่าไหร่ มันเองก็แค่ยิ้มให้ แต่ดันเสือกยิ้มหวานเกินไปหน่อยเลยมีเสียงหมาแถวๆ นี้เห่า หมาตัวเดิมที่มีอยู่ตัวเดียวนั่นแหละ
“โหยย มดกัดเว้ย สร้างโลกส่วนตัวแล้วเว้ย”
ด้วยความหมั่นไส้เสียงโหยหวนของเชี่ยเคลม ผมเลยยื่นขาออกไปถีบเข่ามันใต้โต๊ะ เล่นเอามันร้องอุบ สะใจฉิบหาย ผมกระดกมุมปากยิ้มอย่างพอใจ เลิกคิ้วกวนตีนแม่งด้วย อยากแกว่งตีนมาหาเรื่องก่อนดีนัก
“งั้นกูไปก่อนล่ะ เลิกแล้วเดี๋ยวไปหาที่ห้อง”
จบประโยคด้วยการวางมือใหญ่ๆ ของมันบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ ก่อนจะลุกจากไป ผมหันไปมองมันนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมา เห็นไอ้พวกที่เหลือมองมาด้วยสายตาล้อเลียนแล้วก็ต้องรีบลุกขึ้นแล้วเรียกไอ้กราฟขึ้นห้องเรียนบ้าง เรื่องอะไรจะอยู่ให้พวกแม่งแซวอีก จะอะไรนักหนากับกูก็ไม่รู้
ถึงเวลาไอ้พี่ชมพูก็พาผมไปกินที่ร้านอาหารไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหา’ลัยเท่าไหร่ มันบอกว่าร้านนี้อร่อยเคยมากินหลายครั้ง แต่ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่มั้ง เพราะดูจากคนที่เข้ามานั่งกันจนเกือบแน่นร้านในช่วงพักเที่ยงแบบนี้ ดีว่าคนที่พาผมมาขับรถเร็วหน่อยเลยไม่ต้องมายืนรอคิว แต่เพราะแบบนั้นเลยทำให้มีคนอยากอาศัยเราเป็นทางลัดล่ะมั้ง
ผู้หญิงหุ่นดีที่หน้าตาจัดว่าสวยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม มือเรียวจับลงกับท่อนแขนหนาที่กำลังยกขึ้นเพราะกำลังเอาข้าวเข้าปาก ทำให้ชะงักไปทั้งผมและไอ้พี่ชมพู เสียงหวานๆ เรียก ภู ทำให้มันหันไปมองผู้หญิงคนนั้นก่อนจะขานเรียกรับ
“อ้าว จีจี้”
ผมไม่รู้ว่ามันกับผู้หญิงคนนี้ที่คงอายุเท่ากับมันเป็นอะไรกัน แต่แค่ดูสายตากับท่าทางที่สนิทสนมก็พอเดาได้ว่าคงไม่พ้นคู่ขาเก่า เพราะท่าทางจีจี้คนนี้ก็ดูไม่ไร้เดียงสาสักเท่าไหร่ ส่งสายตายั่วยวนให้รุ่นพี่ร่วมคณะของผมเป็นระยะอย่างไม่ปิดบัง
“จีจี้มาคนเดียว ขอนั่งกับภูได้หรือเปล่า”
เสียงอ้อนถามซะหวานหยด ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจผู้หญิงสวยๆ อะไร ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ แต่แปลกที่ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบมือที่ยังเกาะแขนของไอ้พี่ชมพูไม่ปล่อย เห็นแล้วมันชวนให้หงุดหงิดยังไงไม่รู้ บวกกับสายตาแฝงความนัยนั่นอีก
“ได้สิ”
ไอ้คนตอบมันยิ้มให้ หลังจากเหล่ตามาทางผมเหมือนจะถามว่าจะเอายังไงแต่ผมแค่ไหวไหล่กลับไป เพราะยังไงเจ้าหล่อนก็นั่งลงมาแล้ว จะให้ปฏิเสธมันก็ดูเหี้ยไปหน่อยสำหรับความเป็นผู้ชาย
แต่หลังจากที่จีจี้มานั่งแล้วก็เหมือนว่าผมจะถูกตัดออกจากบทสนทนา เพราะสองคนนั้นพูดคุยเรื่องอะไรกันที่เป็นอดีตซึ่งผมไม่มีทางที่จะรู้ได้ พูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานจนลืมว่ามีข้าวรอให้แดกอยู่ซะด้วยซ้ำ เลยมีแค่ผมคนเดียวที่ตั้งหน้าตั้งตาแดกข้าวเข้าไป
รู้สึกไม่สบอารมณ์หน่อยๆ ที่ถูกทำเหมือนตัวเองกลายเป็นอากาศขึ้นมา กูนั่งอยู่ตรงข้ามพวกมึงนั่นแหละ แต่แม่งทำเหมือนไม่มีผมนั่งอยู่ เซ็งสัดๆ
“แล้วนี่ ใครเนี่ย”
เหมือนว่าจะเห็นผมขึ้นมาแล้ว จีจี้ถึงได้ถาม ไม่รอให้ผมแดกเสร็จแล้วลุกขึ้นไปเลยล่ะครับคนสวยถึงเพิ่งรู้สึกตัว
“รุ่นน้องที่คณะพี่ภูครับ”
ผมตอบกลับไปก่อนไอ้คนที่อ้าปากนั่นจะพูดอะไรเสียอีก พยายามส่งยิ้มให้นิดหน่อยอย่างไม่ให้เสียมารยาท หล่อนก็ส่งยิ้มหวานๆ กลับมา พลางถาม
“แล้วชื่ออะไรคะ”
ดูน่ารักขึ้นมาอีกนิดให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย จริงๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรออกจะน่าสนใจเสียด้วยซ้ำ แต่... ผมกลับไม่ค่อยชอบ
“ไฮยีนครับ”
“ปีหนึ่งใช่มั้ย พี่ชื่อจีจี้นะ เป็นแฟนเก่าภู”คงเพราะการแต่งตัวที่ถูกระเบียบเป๊ะ เธอถึงมองออก แถมวันนี้ผมยังได้กลับมาใส่เสื้อผ้าตัวเองอีก เพราะเมื่อเช้าไอ้พี่ชมพูมันเอามาให้ ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันเอาเสื้อที่กระดุมขาดของผมไปส่งซ่อมพร้อมซักรีดให้
“ครับ”
“แล้วอาหารอร่อยถูกปากมั้ยจ๊ะ ร้านนี้พี่กับภูมาด้วยกันบ่อยๆ ชอบมากเลย”
หน้าสวยๆ นั้นมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ พูดตามปกติแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเธอจงใจจะบอกอะไรบางอย่างกับผม ทั้งที่ก็รู้ว่ามันเป็นการเข้าใจไปเอง แต่มันกลับรู้สึกแบบนั้นอย่างห้ามไม่ได้ และมันก็ทำให้รู้สึกจี๊ดๆ อยู่ในใจยังไงชอบกล หันไปทางไอ้คู่กรณีอีกคนมันก็ยิ้มแหยๆ ให้
“ก็อร่อยดีครับ”
“ทีหลังลองสั่งปลาเก๋าราดพริกนะ อร่อยสุดๆ เลย”
เธอเชียร์ ผมเลยได้แต่รับคำพลางพยักหน้าไป แล้วไอ้พี่ชมพูมันคงรู้ว่าผมไม่ค่อยอยากคุยอะไรกับเธอต่อสักเท่าไหร่ถึงได้ขัด
“มัวแต่ชวนให้คนอื่นกิน เธอก็กินซะบ้างสิ”
พลอยให้เสียงหัวเราะคิคิของสาวผมยาวสีบลอนด์ดังตามมา
“ภูห่วงจีจี้เหรอ”
“กลัวข้าวมันจะแห้งจนแข็งมากกว่า”
“ไม่ต้องมาทำปากแข็งหรอกน่า” เจ้าหล่อนย้อนด้วยเสียงแซว ก่อนจะหันมาพูดกับผมทั้งที่ผมอยากจะจบประโยคพูดคุยกับเธอตั้งนานแล้ว “ภูเขาปากแข็งแบบนี้ประจำเลย ชอบทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งจริงๆ แล้วก็ห่วง”
“พี่ภูเขาเป็นประเภทปากไม่ค่อยดีน่ะครับ”
ทั้งที่ไม่ได้อยากตอบกลับสักเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมจำต้องตอบเธอกลับไปไม่ให้ดูเป็นพวกมารยาทแย่ แต่เพราะคำพูดที่อิงความจริงนั่นด้วยแหละมั้งถึงทำให้ถูกคนตัวใหญ่ถลึงตาใส่ ผมเลยเลิกคิ้วท้าทายมันบ้าง ต่อหน้าคนอื่น มันจะทำอะไรผมได้ หึ
“แต่แบบนี้แหละ ดูมีเสน่ห์ดีนะ ต้องคอยค้นหาว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
ผมว่าก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ บางทีก็มองมันออกเพียงแค่มองตา
“ผู้หญิงคงชอบอะไรแบบนั้นล่ะมั้งครับ รู้สึกว่าท้าทาย”
“ใช่ แบบนี้แหละ” รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากหน้า หนำซ้ำยังส่งตาหวานๆ ให้กับคนที่นั่งข้างเสียอีก “ภูล่ะ ว่ายังไง”
แต่คนโดนถามเสือกทำหน้ามึน หน้างงใส่ เล่นเอาเจ้าหล่อนเบะปากใส่อย่างงอนๆ น้อยใจตามประสาผู้หญิง
“ภูอ่ะ ไม่เข้าใจเลยหรือไง”
“แล้วที่ถามนี่หมายความว่าอะไรล่ะ”
“ภูนี่งี่เง่าเนอะ”
เธอทำเป็นป้องปากมากระซิบกับผม แต่ว่าเสียงที่พูดนั่นปกติทุกอย่าง มันก็เข้าหูของไอ้พี่ชมพูตามระเบียบ แต่ผมก็พอเข้าใจอยู่นะว่าเธอหมายถึงอะไร ส่วนไอ้พี่ชมพูก็คงแกล้งโง่นั่นแหละ
“อ้าว แล้วทำไมมาว่ากันว่างี่เง่าล่ะครับ”
“ก็งี่เง่าจริงๆ นี่นา แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจีจี้กำลังหมายความว่ายังไงอยู่”
“...”
“...”
ทั้งผมทั้งพี่ชมพูต่างเงียบ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะแก้สถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ยังไงดี ความอึดอัดคืบคลานเข้ามาให้รู้สึกจนทำอะไรไม่ถูก และเพราะต่างคนต่างเงียบล่ะมั้งถึงกลายเป็นการเร่งรัดให้อีกฝ่ายพูดถึงจุดประสงค์ของตัวเองออกมา
“ภูกลับมาเป็นแฟนกับจีจี้นะ”===============
พยายามแต่งแล้ว แต่ว่ามันมาได้แค่นี้ค่ะ
อยากแต่งให้จบตอน แต่ว่าไม่สามารถทำได้ สภาพจิตใจไม่พร้อมเท่าไหร่
ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าแต่งที่เหลือเสร็จแล้วจะรีบมาต่อให้ค่ะ
สวัสดีปีใหม่และสุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ
ปล. ขออภัยนะคะที่น้องยีนยังไม่ถูกพี่ภูเสียบอย่างที่หวังกัน
Undel2Sky