ตอนที่ 1 : กูชนะ มึงแพ้ แก้ผ้า“โต๊ะมึงอยู่ไหนวะ” มันล็อกคอและลากผมมาแล้วเพิ่งจะถาม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ มันก็สวนกลับมาก่อน “ไม่ต้องแล้ว กูเห็นหัวไอ้กราฟแล้ว”
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนออกไปเสียที เหนื่อยให้ผมต้องกระชากแขนมันออกเพราะแขนมันก็ใช่ว่าจะเล็ก ล็อกทีคอผมจะหลุด
เราสองคนเดินมาที่โต๊ะที่มีไอ้กราฟนั่งรออยู่ก่อน คงเพราะผมเถียงกับไอ้พี่ชมพูนานมั้ง มันเลยซื้อข้าวเสร็จแล้ว พี่ชมพูเอาขวดเป๊ปซี่หนึ่งจุดห้าลิตรตั้งบนโต๊ะเรียกความสนใจจากไอ้กราฟให้หันไปมอง แล้วเพื่อนผมมันก็เบิกตาขึ้นหน่อยๆ แปลกใจที่ผมมากับคนที่เพิ่งจะมีเรื่องกันเมื่อเช้า
มึงเห็นหน้ากูไหม หน้ากูเต็มใจให้ไอ้พี่ชมพูมาด้วยงั้นสิ
“พี่จะนั่งด้วยเหรอ”
ไอ้กราฟถามโง่ๆ แต่ผมเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับมันแล้ว แถมจ้วงข้าวเข้าปากไม่รอมันด้วย
“มากินเป๊ปซี่” ไอ้พี่ตัวดีทิ้งตัวลงนั่งข้างกราฟหน้าตาเฉยโดยไม่มีใครเชิญ แล้วยังมีหน้าสั่งไอ้กราฟเสียอีก “มึงไปเอาน้ำแข็งมาให้กูสองแก้ว”
ผมไม่ช่วยขัดอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้กราฟเดินไปตามคำสั่งของเพื่อนลุงรหัส เมื่อเช้ามันขัดผมเอง ถือว่าต้องชดใช้กรรมไปแล้วกัน
“อ้าว เฮ้ย ไอ้ยีน มึงกินไม่รอพวกกูเลยนะ”
ผมเคี้ยวข้าวงุบๆ อยู่ในปาก แต่เสียงของไอ้กัสก็ดังขึ้นมาให้ผมต้องหันไปมองมันที่เพิ่งเดินมาถึงพร้อมกับไอ้เคลม
“มึงมาช้าเอง มาโทษกูได้ไง”
“เออๆ แล้วนี่ใครเนี่ย มานั่งกับมึง”
ไอ้เคลมทัก แล้วยังชะโงกหน้าไปดูคนตัวใหญ่ที่นั่งหันหลังให้มัน ไอ้พี่ชมพูมันก็ดี หันหน้าไปให้ไอ้เคลมได้ดูเต็มๆ ผมเห็นไอ้เคลมกับไอ้กัสเบิกตากว้างอย่างกับตกใจอะไรงั้นแหละ
“ไง ไอ้เค ไอ้กัส”
“อ้าว พี่ภู มาได้ยังไง”
คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันยังไงชอบกล ไอ้สองตัวนี้รู้จักรุ่นพี่นี่ด้วยหรือไง ยกมือไว้ซะแทบไม่ทัน แถมไอ้พี่ชมพูยังเรียกชื่อไอ้เคลมถูกด้วย
มันชื่อ เค อย่างที่ถูกเรียกแหละครับ แต่เพราะมันมีผู้หญิงเป็นคอลเลคชั่นให้สะสม ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง รุ่นน้า รุ่นป้า รุ่นตา รุ่นยาย หึหึ สี่อันหลังผมพูดเล่น จริงๆ มันชอบแบบสวย ใส ลีลาเด็ด คนไหนตรงสเปกมันเป็นฟาดเรียบ ผมก็เลยเรียกมันว่า เคลม แทน
“พวกมึงรู้จักด้วยหรือไง”
“โห มึง กูไม่รู้จักก็แปลกล่ะ นี่พี่ภูประธานนักเรียนโรงเรียนเราไงครับคุณเพื่อน”
ใบ้แดกเลยครับ ประธานนักเรียนอะไร ผมไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้ว่าเป็นประธานโรงเรียนผม หนำซ้ำไอ้กราฟยังไม่เห็นบอกเลย บอกแต่ว่าเป็นเพื่อนลุงรหัสมัน
“เออ เป็นพี่ชมรมบอลของกูด้วย”
ไอ้เคลมย้ำอีกเพราะกลัวว่าผมจะไม่เชื่อ แต่มันก็ไม่น่าเชื่อจริงๆ นี่หว่า สาบานได้ว่าผมไม่เคยได้ยินหรือรู้ว่ามีมนุษย์เพศชายชื่อชมภูอยู่ในโรงเรียนของผม
“แน่ะ มึงยังมาทำหน้าหมางงอีก ให้ไอ้กราฟยืนยันอีกคนก็ได้”
พอเห็นว่าไอ้กราฟกำลังเดินกลับมา ไอ้กัสมันก็หาคนสมทบ พลอยให้คนมาใหม่ทำหน้างงๆ
“ให้กูยืนยันอะไร”
“ก็ยืนยันว่าพี่ภูเป็นประธานนักเรียนโรงเรียนเราไง”
“อ๋อออออ” มันลากเสียงยาวจนผมอยากตบกบาลเลยทีเดียว เพราะร้องเสียงโหยหวนเหมือนคลอดลูกออกมาเก้าตัวแล้วมันยังมองหน้าผมไปด้วย “ไม่แปลกหรอกที่ไอ้ยีนจะไม่รู้ ก็มันเคยมาโรงเรียนทันเข้าแถวตอนเช้าที่ไหน แล้วพี่ภูก็มาเป็นประธานตอน ม.6 ด้วย”
“ก็คนมันไม่น่าสนใจ เลยไม่น่าจำ”ผมพูดลอยๆ และค่อนข้างเบา แต่ไม่รู้ทำไมพวกเพื่อนของผมสามตัวกับไอ้พี่ภูของพวกมันถึงได้หันมามองผมกันเป็นตาเดียว ผมเลยเลิกคิ้วใส่ ไอ้พี่ชมพูก็กระตุกยิ้มคืนบ้าง
“ที่แท้คนไม่ใกล้ไม่ไกล”
“อย่าพูดเหมือนว่าผมเป็นคนใกล้ตัวเลยครับ ไม่อยากได้รับเกียรติ”
“แต่กูโคตรยินดีให้”
พอเห็นผมไม่อยากยุ่งกับมันเท่าไร มันก็เอาเลยครับ ฉีกยิ้มใส่ แถมยังลุกจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างผมแทน แล้วยังเอาแขนมาพาดคอผมไว้อีก
คนจะกินข้าว มาพาดทำหอกอะไรเนี่ย
“พี่รู้หรือเปล่าครับ ทำแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร”
ผมยุติการกินข้าวของตัวเองไว้เท่านี้ หันหน้าไปหามันที่อยู่ไม่ห่าง มองใกล้ๆ หน้ามันก็เนียนดี เห็นไรหนวดนิดๆ ดูมีเสน่ห์ ถ้าให้พูดตามตรงคนอย่างมันคงมีผู้หญิงรายล้อมรอบตัวอยู่ไม่น้อย
“เรียกว่าไง”
“กวนตีนครับ”
ผมเน้นคำว่า ‘ตีน’ ใส่หน้ามันหนักๆ ถ้าหากว่าเป็นหมัด คงเสยมันหน้าหงาย แต่เท่านั้นยังน็อคมันให้มึนไม่พอ เพราะว่ายังมีเสียงหัวเราะของเพื่อนเกลอทั้งสามดังตามมา
แหม พวกมึงนี่ช่างเข้าข้างกูเสียจริง
“มาหัวเราะกู เดี๋ยวเจอถีบเรียงตัว”
“โทษทีพี่ มันลืมตัว”
ไอ้สามคนนั้นรีบกระเด้งตัวออกจากโต๊ะทันที เหมือนว่าไอ้รุ่นพี่นี่จะแยกร่างออกไปถีบสามคนพร้อมกันได้ ปัญญาอ่อนฉิบหาย ผมเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ เลยกินข้าวต่อไป ช่างหัวพวกมัน
แม้จะหมดช่วงเวลารับน้องไปแล้ว แต่ยังมีงานสำคัญสำหรับน้องใหม่ปีหนึ่งอยู่ นั่นก็คือ งานกีฬาเฟรชชี่ แต่มันไม่ได้สำคัญสำหรับผมหรอก เพราะพอหมดเวลาเรียนในวิชาสุดท้ายของวันนี้ ผมก็ลุกจากที่นั่ง เตรียมนั่งแท็กซี่กลับบ้าน กะว่าวันนี้จะกระโจนลงสระว่ายน้ำที่บ้านเสียหน่อย ไม่ได้แหวกว่ายนานแล้ว กลัวสระมันจะเหงา เปล่าเปลี่ยว และเสียวซ่านน่ะครับ
ทั้งที่วางแผนการเอาไว้ในใจ แต่เดินออกมาหน้าห้องปุ๊บ ก็เห็นไอ้กราฟยืนรออยู่หน้าประตู พอดีว่าวิชาที่เรียนไปเมื่อกี้เป็นแล็บคอมน่ะครับ เลยไม่ได้นั่งด้วยกันเหมือนตอนเรียนเลคเชอร์ เห็นไอ้กราฟยืนอยู่ผมไม่แปลกใจหรอก แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลมมาได้ยังไง ประหลาดพิลึก
ปกติแล้วหลังเลิกเรียนเป็นช่วงเวลาที่หาตัวพวกมันได้ยาก เพราะตั้งแต่ผมไม่ได้ไปทำอะไรๆ กับพวกมันเหมือนอย่างที่เคย ก็เหมือนพวกมันจะเฉดหัวผมส่งยังไงไม่รู้ ยังดีที่มีเพื่อนกตัญญูอย่างไอ้กราฟ ผมเลยไม่ต้องเดียวดายสักเท่าไร
ผมมองหน้ามันงงๆ แล้วก็ยิ่งงงขึ้นอีกเมื่อมันส่งยิ้มแบบแปลกๆ ให้ จนอดไม่ได้ที่จะถามไปอย่างระแวงๆ
ไอ้พวกนี้ไม่เคยไว้ใจได้หรอกครับ เดี๋ยวก็ผีเข้าผีออก
“พวกมึงมีอะไร มองหน้ากูแบบนี้”
“แล้วมึงจะไปไหนล่ะ”
ไอ้เคลมถามกลับ ผมก็ยิ่งบรรลุความงงหนักขึ้น เทียบเท่าชั้นโสดาบรรณแล้วครับ
“กูก็จะกลับบ้านไง พวกมึงมีอะไรถึงมาดักรอกูเนี่ย”
“อ้าว นี่มึงยังไม่รู้เหรอ” ไอ้กัสทำหน้าเหวอๆ ไปนิดหน่อย มองหน้าผมก่อนจะหันไปมองกราฟที่ยืนอยู่ข้างกัน กลุ่มของพวกผมระดับความหล่อใกล้เคียงกัน แถมส่วนสูงยังหนีไม่พ้นกันไปไหนด้วย เลยไม่ต้องเบนสายตามากนัก แต่ถ้าพูดให้ถูก ผมก็เตี้ยกว่าคนอื่นนั่นแหละ แค่ร้อยเจ็ดสิบปลายๆ “มึงไม่ได้บอกมันเหรอวะ”
“แล้วมึงคิดว่ากูบอกมันได้?”
ไอ้กราฟสวนกลับด้วยประโยคง่ายๆ แต่ทำให้ไอ้กัสกับไอ้เคลมเก็ตทันที มันร้องเสียง ‘เออ’ อย่างเห็นพ้องต้องกัน ก่อนจะเป็นไอ้กัสที่หันมาบอกผมเอง
“วันนี้มึงต้องอยู่แข่งกีฬาเฟรชชี่ว่ะ”
“แข่งห่าเหวไรวะ กูไม่ได้ลงชื่อแข่งสักหน่อย”
“มึงไม่ได้ลง แต่คนอื่นลงวิ่งให้มึงว่ะ ร้อยเมตร สองร้อยเมตร แล้วก็สี่คูณร้อย”
กราฟอธิบายให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่มันก็ทำให้ผมชักจะคันตีนขึ้นมา อยากถีบยอดหน้าไอ้คนที่สาระแน
“หมาตัวไหนมันเสือกลงชื่อกูวะ กูไม่ได้พูดสักคำว่ากูจะลง”
“ไอ้หมาเคลม”
ไอ้กัสตอบด้วยเสียงนิ่งๆ แต่ก็เรียกสายตาของผมให้ตวัดไปมองไอ้เคลมได้ มันยิ้มๆ ให้ผมเหมือนจะเอาตัวรอดหนำซ้ำยังอธิบาย
“ก็กูเห็นมึงชอบความเร็วไง กูก็เลยช่วยลงชื่อให้มึง”
“สัตว์ มึงอยู่คนละคณะกับกูแล้วมึงมาเสือกเหี้ยอะไร มึงก็ไปลงชื่อให้คนคณะมึงดิวะ มายุ่งอะไรกับกู”
“มึงเป็นเพื่อนกูไง กูอยากเห็นเพื่อนลงแข่ง เท่จะตายนะมึง แข่งชนะเนี่ย”
มันยังตอบกลับหน้าตายเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
ใช่ดิ มึงไม่ได้เป็นคนแข่งนี่หว่า ไอ้ควาย!
“ถ้ามึงว่าเท่ มึงก็ไปลงแข่งเองดิไอ้เหี้ย แม่ง กูจะกลับบ้านแล้ว มึงไปหาคนอื่นแทนแล้วกัน”
ผมว่ามันอย่างนั้นก่อนจะกระชับกระเป๋าที่สะพายบนบ่าข้างหนึ่งของตัวเองให้เข้าที่มากขึ้น จากนั้นก็ย่างเท้าเดินออกจากกลุ่มเพื่อนรักที่ตอนนี้อยากรักด้วยลำแข้ง แต่มันไม่ง่าย เพราะไอ้เพื่อนประเสริฐทั้งหลายพร้อมใจกันคนละมือละไม้แบกผมขึ้นทั้งตัว ไอ้เหี้ยกราฟแบกหัว ไอ้กัสกับไอ้เคลมแบกขาคนละข้าง
“ไอ้สัตว์ พวกมึงจะทำอะไร”
“ก็เอามึงไปส่งที่สนามไง อีกชั่วโมงเขาก็จะแข่งแล้ว”
ไอ้กัสมันยังมีหน้ามาตอบผมอีก แล้วพอสิ้นเสียงของมัน ทั้งสามคนก็พากันออกเดินโดยไม่ยอมปล่อยผมลงมา แบกผมอย่างกับแห่นางแมวบูชายัญบั้งไฟพญานาค แม้ว่าผมจะดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหล่นตุบลงมาอย่างไม่กลัวเจ็บ แต่พวกแม่งก็ช่วยกันประคองผมจนมาถึงสนามฟุตบอลจนได้
พอถึงที่หมาย ผมก็ถูกปล่อยลงมาสู่พื้นอีกครั้ง ตลอดทางมีแต่คนมอง น่าอายฉิบหาย แค่หน้าตาหล่อๆ นี่ก็เรียกสายตาจากคนได้แล้ว แม่งยังทำตัวเป็นจุดเด่นแบบนี้อีก ตกลงว่าเพื่อนผมมันหล่อ รวย มาดดี หรือว่าเป็นพวกสติฟั่นเฟือนกันแน่
ปล่อยผมเสร็จ ไอ้กราฟก็ถอดเสื้อออก เสียงกรี๊ด เสียงฮือฮานี่ดังระงมเลยทีเดียว เพราะว่ามีเด็กปีหนึ่งจากหลายคณะมานั่งที่อัฒจรรย์เพื่อเตรียมเชียร์การแข่งกีฬาแล้ว รวมถึงรุ่นพี่ที่มาคอยสอดส่องรุ่นน้องก็ยังหันมามองมันกันเป็นตาเดียว ผิวขาวๆ กับมัดกล้ามเนื้อที่มีแบบพอดีๆ ผู้หญิงที่ไหนเห็นจะไม่หลง ผมภูมิใจในตัวมันครับ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
“มึงจะเสือกถอดเสื้อทำหอกอะไรวะ ไอ้กราฟ”
ผมลอบตุ๊ยท้องมันไปหนึ่งที กลัวคนเห็นครับ ข้อหาเรียกร้องสายตาร้อนแรงจากผู้หญิงไปทั่ว ยิ่งเหมือนกับเป็นการประจานว่า ไอ้คนที่ถูกแบกมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผม
“ก็กูร้อน กว่าจะแบกมึงมาถึง เนี่ย มึงเอาเสื้อกูไปดมดูไหม”
ไม่พูดอย่างเดียว แต่มันยังขยุ้มเสื้อชื้นเหงื่อที่มันเพิ่งถอดออกมาโปะหน้าผมอีกต่างหาก แล้วแบบนี้ผมจะทำอะไรได้นอกจากเบี่ยงตัวหลบ
“ไอ้เหี้ย เอาเสื้อมึงออกไปเลย สัตว์ กูเหม็น”
“เออ มึงยังว่าเหม็น แล้วคนใส่แบบกูจะว่าหอมได้ไง”
มันยอมหดมือกลับไปพร้อมกับเอาเสื้อไปผึ่งไว้ตรงอัฒจรรย์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วหยิบเสื้อยืดที่มันเตรียมมาด้วยในกระเป๋าขึ้นมาใส่ เป็นเสื้อยืดสีขาวที่ดูไม่มีจุดเด่นอะไร ถ้าหากไม่มีรอยสกรีนสีดำตัวใหญ่เตะตาใครต่อใครที่มันภูมิใจนำเสนอจะใส่โชว์
คนดีมันด้านสกรีนทั้งหน้าทั้งหลังเลยครับ ไอ้เหี้ยคนดีเนี่ย
“สัตว์ ฮ่าๆๆ กูฮาเสื้อมึงว่ะ มึงคิดได้ไงวะ”
ไอ้กัสแทบลงไปกลิ้งหัวเราะอยู่กับพื้นเมื่อเห็นเพื่อนรักใส่เสื้อตัวนั้นแล้ว ผมเองก็ทำหน้าเซ็งกับมันแต่ก็อดขำไม่ได้ ไอ้เคลมก็ไม่แพ้กัน มันฮาแตกไปแล้ว แถมยังมีเสียงชี้ชวนกันดูที่เสื้อไอ้กราฟจากจุดต่างๆ ของอัฒจรรย์ประหนึ่งเป็นเสียงจากวงมโหรีอีกด้วย
“อุ๊ย คนนั้นหล่อจัง เป็นคนดีด้วย”
“ฮิฮิ น้องคนนั้นน่ารักจริงๆ ใส่เสื้อแบบนี้ยิ่งถูกใจ”
“น่าหม่ำมากเลยค่ะน้องขา เป็นคนดีแบบนี้สเปกเจ๊เลยฮ้า”“กูเห็นคนเขาใส่เสื้อคู่ไง กูเลยสั่งทำบ้าง เสื้อกูมีตัวเดียวในโลกนะมึง”
“เออ ถ้าเป็นกู กูก็ไม่ใส่เสื้อคนดีของมึงหรอก ห่า กูอายแทนมึงว่ะ” เคลมบอกอย่างอนาถใจหลังจากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังไปพักใหญ่แล้ว หนำซ้ำยังเอามือตบบ่าไอ้กราฟปุๆ อย่างเห็นใจเสียด้วย แต่คำพูดจากความเห็นใจประโยคต่อไปของมันก็น่าถีบพอกัน “เป็นกู กูจะสกรีนว่าคนหล่อว่ะ”
“ส้นตีนเหอะมึง”
ผมกับไอ้กัสร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันแบบไม่ได้นัดหมาย มันคือความจริงที่รับรู้กันได้ด้วยสายสัมพันธ์ของคนหล่อกว่าครับ ก็ไอ้เคลมมันหล่อแบบตี๋ๆ ลีลาดีเหมาะกับสาวลีลาเด็ด ผมกับไอ้กัสเลยลงความเห็นว่าพวกเราหล่อกว่า
“พวกมึงนี่พูดมากกันจัง ไปแข่งเลยไป๊”
พอสู้ไม่ได้ เห็นว่าผมมีพวกมันก็ไล่ ไอ้เคลมผลักผมให้ไปรวมกลุ่มกับพวกที่คาดว่าจะเป็นตัวแทนของคณะเหมือนกัน แต่ว่าผลักของมันก็เล่นเอาผมเกือบหน้าคะมำ แว่นหล่นกระจายสะดุดยอดหญ้าแล้วตีลังกาไปอีกสามสิบแปดกระบวนท่า
ในเมื่อมันไล่ผมก็ขี้เกียจจะอยู่ให้มันหาอะไรมาสรรเสริญความดีงามที่เล่นตัวไม่ยอมเสียเหงื่อ เลยเดินมารวมกับคนอื่นๆ ฟังการแนะนำตัวจากคณะอื่นๆ ว่าใครจะมาเป็นคู่แข่งบ้างทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องสนใจกับไอ้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่มันก็มีพวกที่ทำให้ผมคิ้วกระตุกได้เหมือนกัน
ไอ้เด็กถาปัด เดี๋ยวเหอะมึงๆ
กูเห็นนะว่ามึงทำปากเบะใส่กูเหมือนกูเป็นก้อนขี้ที่ไปราดอยู่บนหัวมึง
หลังจากบอกตารางการแข่งขันเรียบร้อยแล้วพวกที่ถูกส่งมาเป็นตัวแทนคณะผม ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันมาด้วยความเต็มใจ หรือถูกส่งชื่อมาโดยไม่รู้ตัวแบบผมกันแน่ก็มารวมตัวกัน บอกตำแหน่งการรับไม้ในการแข่งขันเสร็จก็ทำให้ผมรู้สึกเส้นประสาทเบื้องต่ำมันปรี๊ดๆ ยังไงชอบกล
“มึงว่าไงนะ”
“กูบอกว่ามึงอยู่ไม้สองไง จะได้ไม่เป็นตัวถ่วง”
ไอ้คนที่มันได้เป็นไม้แรกเพราะคุยโวว่ามันฝีเท้าดี ออกตัวเยี่ยมตอบผมกลับมาจนอยากเอาตีนลูบหน้ามันสักทีสองที แต่ผมก็ต้องข่มความรู้สึกเอาไว้ ไม่แสดงอาการอะไรมากไปกว่าคำพูดที่เผลอหลุดออกมา
“แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่ากูจะเป็นตัวถ่วง”
“ท่าทางต้วมเตี้ยมแบบมึง แค่มาลงแข่งนี่ก็เป็นตัวถ่วงมากแล้ว กูว่านะ ถ้ามึงถอนชื่อออกจากแข่งเดี่ยวร้อยเมตรกับสองร้อยเมตรแล้วให้กูแข่งแทนน่าจะดีกว่า เดี๋ยวเขาจะหาว่านิเทศฯ มีปัญญาหานักกีฬาได้แค่นี้ รังแกคนอ่อนแอ”
ผมกำมือแน่นพยายามระงับอารมณ์เอาไว้ บอกตัวเองได้เลยว่าถ้าเป็นไฮยีนคนเดิม มันไม่มีทางได้มาฝอยน้ำลายแตกฟองส่งกลิ่นเน่าๆ แบบนี้แน่ เพราะว่าเลือดจะกบปากมันก่อนที่มันจะได้พูดประโยคนี้
“ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ กูอยู่ไม้สองอย่างที่มึงว่าก็ได้ แต่ยังไงกูก็จะแข่งสองรายการนั้น เพราะงั้น...” มึงอย่าเสือก ผมพูดในใจพลางข่มคำพูดนั้นเอาไว้แล้วใช้คำที่มันดูดีกว่านั้นแทน “ไม่ต้องหาใครมาแทน”
“เหอะ กูจะรอดูว่าน้ำหน้าอย่างมึงจะเข้าที่โหล่หรือรองโหล่”
เส้นเอ็นขากระตุกฟึบเลยครับ แม่ง อย่าให้ถึงทีกูนะ เป็นเด็กเนิร์ดเจี๋ยมเจี้ยมนี่มันไม่ถนัดเลยครับ แต่ผมก็ยังต้องพยายามต่อไป
หลังจากหงุดหงิดไอ้เหี้ยไม้หนึ่งไปแล้ว ตัวแทนของคณะที่จะแข่งขันกรีฑาสี่คูณร้อยเมตรก็ถูกเรียกไปรวมตัว ผมเดินไปอย่างเซ็งๆ แต่ยังไม่ถึงจุดปล่อยตัวของไม้ที่สองตามตำแหน่งที่ถูกลากเส้นด้วยปูนขาวเอาไว้ ก็สะดุดตากับร่างใหญ่ๆ ของใครบางคนเสียก่อน
ไอ้พี่ชมพูมันกำลังยืนคุยกับเพื่อนของมันอยู่
คนอย่างมันก็มีคนคบด้วยแฮะ
เหมือนมันจะรู้ว่าตัวผมหันไปมอง มันถึงได้หันมาก่อนจะเดินตรงมาที่ผม ทิ้งเพื่อนมันไว้หลังจากพูดอะไรสองสามคำ
สัญชาตญาณสัตว์ป่าแม่งแรงฉิบหาย!
พอประจันหน้ากัน มันก็ใช้มือมาขยี้หัวผมอีกแล้ว ทรงผมที่เซ็ตมาอย่าง (เรียบร้อย) ดีถูกมันทำให้ยุ่งเหยิงตลอด
มึงมีปัญหาอะไรกับหัวกูมากป่ะเนี่ย
“ไงมึง ลงแข่งกับเขาด้วยเหรอวะ”
“แล้วผมจะแข่งไม่ได้หรือไงครับ”
ผมตอบกลับไปเซ็งๆ พลางเอามือจัดทรงผมให้เข้าที่เหมือนเดิม ที่หันไปมองมันเพราะว่าเผลอเห็น ไม่ได้จงใจแล้วอยากให้มันเดินเข้ามาหาเรื่องด้วย
“กูก็ไม่ได้ว่าอะไรมึง แต่กูจะรอดูว่ามึงจะแน่แค่ไหน”
กูว่ากูกำลังจะอารมณ์ดีขึ้นหน่อยๆ หลังจากฟังไอ้เหี้ยไม้หนึ่งพล่ามแล้ว มาเจอแบบนี้ มือมันอยากจะกระตุกใส่คนตรงหน้าอีกแล้ว
“ผมคงไม่แน่เท่าไรหรอกครับ พี่อย่ารอดูเลย เสียเวลา”
“มึงกลัวมึงแพ้ไม่เป็นท่าแล้วกูจะตราหน้ามึงว่าอ่อนใช่ไหมล่ะ โธ่”
วันนี้กูเจอประโยคแบบนี้กี่ทีแล้ววะ! เริ่มจะหงุดหงิดมากขึ้นแล้ว จริงๆ แค่เห็นหน้าไอ้พี่ชมพูผมก็รู้สึกว่าเส้นประสาทขมวดเป็นปมแล้ว ยิ่งมาคุยกับมัน ยิ่งแล้วใหญ่
“อยากจะคิดยังไงก็ตามสบายพี่ชมพูเถอะครับ น้องเกงยีนไม่มีสิทธิ์ไปโต้แย้งความคิดพี่ได้หรอก”
เหมือนผมจะเห็นมันกระตุกมุมปากนิดๆ ตอนผมเรียกชื่อตัวเองแบบนั้น ไม่รู้ว่าสันนิบาตแดกชั่วคราวหรือว่าอะไรของมันกันแน่
“กวนตีนกูอีกแล้วนะมึง”
“ผมไปกวนตีนอะไรพี่ตรงไหนครับ”
ผมทำหน้าเหลอหลา แต่จริงๆ แล้วไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย
แม่งรู้ทันกูตลอดแหละไอ้พี่ชมพู
“ใช่ว่ามึงพูดเพราะๆ กับกูแล้วกูจะคิดว่ามึงเคารพกูหรอกนะ มึงรู้ตัวหรือเปล่าว่ามึงพูดเพราะ แต่หน้าตากับน้ำเสียงมึงโคตรกวนส้นตีนกูเลย”
“เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลยจริงๆ พี่อาจจะอคติกับผมมากไป”
มันทำท่าอย่างกับจะถุยน้ำลายใส่หน้าผมทันทีที่ฟังประโยคเมื่อกี้ของผมจบ ผมมีอะไรตรงไหนที่ดูกวนตีนมั่งครับ ช่วยบอกหน่อย นอกจากความตั้งใจของผมน่ะ หึหึ
“อย่ามาย้อนกู”
ไอ้พี่ชมพูตบหัวผมหนึ่งที เหี้ยแม่ง มึงตบกูอีกแล้ว!
ผมตวัดตาดุใส่มัน ให้รู้ว่าไม่พอใจ ไม่เก็บอาการแม่งแล้วก็ได้ สัตว์เอ๊ย! มึงนึกว่ามือมึงเป็นแพมเพิร์สเบบี้ดรายด์แห้งสบายไม่ซึมเปื้อนหรือไง ตบแล้วกูถึงไม่เจ็บน่ะฮะ!
“แล้วนี่มึงไม่ถอดแว่นออกหรือไง วิ่งๆ ไป แว่นกระแทกดั้งตกแตกขึ้นมาจะว่ายังไง”
จริงๆ แล้วนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะลงแข่งสักเท่าไร ถ้าไม่ถูกปรามาสเอาไว้จากไอ้ไม้หนึ่ง แถมด้วยคำประจานของไอ้เพื่อนเวรอีกสามคนที่พร้อมประณามผมล่ะก็
ไม่เคยลองใส่แว่นแล้ววิ่งดูสักที หวังว่ามันจะไม่ทรยศลงไปอาบแดดอยู่บนสนาม ถ้าเป็นแบบนั้นคงได้มีอะไรตามมาอีกเป็นพะเรอเกวียน
“แต่ถ้าถอดผมก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดี”
“มึงนี่ไม่ทิ้งลุคมึงจริงๆ ไปแข่งได้แล้วไป กูจะรอดู”
รุ่นพี่ที่ไม่มีอะไรให้นับถือว่าแบบนั้น ก่อนจะผลักหัวของผมให้เดินไปด้านหน้า หลังจากเห็นว่าพวกคณะอื่นประจำที่กันหมดแล้ว ส่วนมันก็เดินสวนผมไปอีกทางแทน
ถ้ามึงผลักกูแรงกว่านี้ กูจะหน้าทิ่มโชว์ให้มึงดูจริงๆ นะเว้ย ไอ้พี่ชมพู!
เจ็บใจจนแทบจะเตะก้านคอไอ้เหี้ยไม้หนึ่งได้ แม่งโม้ว่าตัวเองเก่งงั้นงี้ แต่ที่ไหนได้ ดันเสือกส่งไม้พลาด แล้วไง ใครต้องรับผิดชอบถ้าไม่ใช่ผมที่ต้องไปวิ่งไล่เก็บไม้ให้มันแล้วสปีดตัวตามพวกคณะอื่นที่นำไปหลายช่วงตัว วิ่งจนหืดขึ้นคอ กว่าจะตีขึ้นมาเป็นที่สี่ได้ แต่ไอ้ไม้สามไม้สี่ที่มันควรจะวิ่งให้ตับออกมาแด๊นซ์กระจายดันเสือกอ่อนกว่าผมอีก
ไม่ต้องโทษว่าเป็นความผิดของผมเลยที่คณะต้องแพ้กรีฑาประเภทสี่คูณร้อย ผมเดินเตะทรายออกมาจากสนามอย่างเซ็งๆ เพื่อรอการแข่งขันในรอบต่อไป ซึ่งคงกินเวลาไปพักหนึ่งเพราะการแข่งแต่ละประเภทมีสองรอบเพราะมีจำนวนคณะมากกว่าลู่วิ่ง
“เอาน่ามึง ไม่ต้องเครียดๆ”
ไอ้กราฟตบหลังผมปลอบใจหลังจากมันเห็นว่าผมกำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์แค่ไหน ไอ้กัสก็เอาแขนพาดคอผมไว้แล้วดึงเข้าไปปลอบเหมือนกัน
“ไม่ใช่ความผิดของมึงเลย มึงไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“ใช่ ไอ้พวกนั้นแม่งมีแต่กระจอกๆ เทียบมึงไม่ได้ เดี๋ยวแข่งเดี่ยวมันก็ได้รู้กัน ว่ามึงน่ะเจ๋ง”
ไอ้เคลมก็เข้ามาลูบหัวผมด้วยอีกคน ทำเหมือนผมเป็นเด็กที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ แต่ก็จริง ผมไม่ชอบถ้าอยากชนะแล้วไม่ชนะ คนที่ผมแพ้ในชีวิตนี้มีได้แค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือป๊า
“พวกมึงอย่ามาบิ๊ว”
ผมผลักมือผลักแขนพวกมันออกไปให้หมด อยากอยู่คนเดียวแบบไม่มีใครมาเกาะแกะ พอพวกมันเห็นว่าผมเป็นแบบนั้นก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี ให้ผมได้ทำใจแบบส่วนตัว
เดินหาน้ำดื่มมาจิบๆ ให้พอแก้หงุดหงิด ยังไม่บ้าพอที่จะเอาน้ำราดหัวตัวเองแล้วต้องมานั่งเซ็ตให้เสียเวลาหรอกครับ แล้วก็ไม่อยากจุกด้วย เดี๋ยวแพ้อีกคงได้เป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตจนวันตาย แต่จิบน้ำไปได้ไม่เท่าไร ผมก็แทบสำลักเพราะแรงอัดจากทางด้านหลัง
แขนแข็งๆ ของคนตัวใหญ่ล็อกคอผมเอาไว้แล้วลากผมเข้าไปกระแทกกับอกมัน เสียงทุ้มที่กรอกอยู่ไม่ห่างจากหูเท่าไรทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นใคร
“ไหนว่ามึงแน่ไง เพราะไอ้แว่นเวรของมึงนี่ไงที่ทำให้มึงแพ้”
ไม่รู้ว่ามันโผล่มาจากไหนเหมือนกัน แต่ไอ้พี่ชมพูก็โผล่มาได้ตลอด ผมงัดแขนมันออกจากคอของผม แต่ว่ามันก็ออกแรงมากกว่าเดิม แล้วคนที่ตัวเล็กกว่าถึงจะไม่มากนักอย่างผมจะสู้แรงหมีควายอย่างมันได้ยังไง
“จะแพ้หรือไม่แพ้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแว่นของผม”
“เพราะมันเกะกะลูกตากูไง แล้วมันก็เกะกะลูกตามึงด้วย กูเห็นนะว่าตอนวิ่งอยู่มึงกลัวว่าแว่นจะหลุดลงมา”
มันทำเหมือนลูกตามันติดกล้องดูดาวเอาไว้ มึงจะเห็นอะไรขนาดนั้น สนามก็ใช่ว่าจะเล็ก
“แต่ผมก็บอกพี่ไปแล้วไงว่าถ้าถอดผมก็มองไม่เห็น แบบนั้นมันแย่กว่าอีก” แหลสดเลยครับ แว่นนั่นก็แค่เลนส์ธรรมดาเหมือนแว่นแฟชั่นทั่วไป “แล้วอีกอย่าง ที่แข่งแพ้ก็ไม่ใช่เพราะผมสักหน่อย มีตาก็พอดูออกไม่ใช่หรือไงครับ”
“มึงจะบอกว่ารายการที่เหลือที่มึงลงแข่ง มึงจะเอาชัยชนะมาให้คณะได้งั้นสิ”
“ก็...”
“กูบอกมึงไว้ก่อนนะ ตั้งแต่รุ่นกูที่กูเป็นคนลงแข่งวิ่งร้อยเมตรกับสองร้อยเมตรอย่างที่มึงลง ก็ชนะมาทั้งสองรุ่น แล้วมึงรู้ไหมว่ากูคาดหวังอะไร”
เสียงทุ้มลงน้ำหนักให้แน่นกว่าเดิมพลางพูดประโยคที่ว่า ถามคำถามที่ผมพอจะรู้คำตอบได้เพียงเพราะน้ำเสียงของมัน
มึงอยากให้กูชนะให้ได้ว่างั้นเถอะ
ไอ้พี่ชมพูนี่แม่งโคตรจะคณะนิยมเลยว่ะ เลือดรักคณะมึงแรงมาก
เอะอะมึงก็เอาคณะมาพาดไว้บนคอกู กูเนิร์ดก็หาว่ากูทำให้ความหน้าตาดีของคณะตกต่ำ นี่กูแข่งแพ้ก็หาว่ากูทำคณะเสียชื่อ พ่อมึงเป็นคณบดีหรือไงวะ
“กูรู้ว่ามึงเข้าใจ”
มันยื่นมือมาดันข้างแก้มผมเอาไว้ ให้เบนหน้าไปทางมันแล้วตบเบาๆ สองสามครั้ง และใช้แววตาของมันข่มขู่ ทว่า...
“ไอ้ภู กูตามหามึงตั้งนาน มึงมัวแต่แกล้งเด็กเหรอวะ”
เสียงเพื่อนมันครับ ตะโกนมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโรงอาหารที่แทบจะร้างผู้คน เพราะแห่ไปดูการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่กันหมด แถมพ่วงมาด้วยไอ้กราฟที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน เดาได้เลยว่าคนที่เรียกไอ้พี่ชมพูคงเป็นลุงรหัสของไอ้กราฟ ผมเลยถือโอกาสนี้ในการผลักตัวออกจากวงแขนหนาๆ แต่ว่ามันก็ดันรู้ตัวเสียก่อน จึงใช้แขนอีกข้างรวบเอวผมเอาไว้แล้วรัดไม่ให้หนีไปได้
“เฮ้ย แล้วพี่จะมาล็อกตัวผมทำไมอีก”
ผมพยายามกระเสือกกระสนออกจากกรงแขนของมัน แต่ว่ามันไม่สะทกสะท้านสักเท่าไร หนำซ้ำผมยังเหลือบไปเห็นไอ้กราฟกลั้นขำเพราะผมสู้เพื่อนลุงรหัสของมันไม่ได้
ไอ้เลว มึงไม่ช่วยกูเลยนะไอ้คนดี!!
“กูบอกมึงแล้วว่ากูมาเยี่ยว แล้วก็จะหาน้ำแดก”
พี่ชมพูทำหูทวนลมครับ ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงผมที่ถามมันแล้วหันไปคุยกับเพื่อนมันแทน
สัตว์เอ๊ย แม่งกวนกูอีกแล้ว!
“งั้นมึงก็ไปได้แล้ว บอลจะแข่งแล้ว มึงจะไม่ไปเป็นกุนซือให้พวกปีหนึ่งหรือไง”
“เออๆ” ไอ้พี่ชมพูตอบเพื่อนมันกลับไปอย่างเซ็งๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาแล้วกระซิบริมหูผม เค้นเสียงหนักๆ ตามประสามันเวลาข่มขู่ผมที่ไม่มีความกลัวเลย “แข่งให้ชนะนะมึง”
“...”
“ถ้ามึงแพ้ กูจะจับมึงแก้ผ้าวิ่งรอบคณะกับไอ้ด่าง”===============
ตอนนี้ยาวขึ้นกว่าเดิมแล้วนะคะ แต่พี่ภูกับน้องยีนก็ยังเข้าฉากด้วยกันนิดเดียว (?)
เมื่อตอนที่แล้วแอบมีคนจองกราฟด้วย งั้นลงชื่อจองคนดีไว้คู่กันเลยนะคะ ฮ่าๆ
แล้วสรุปพี่ภูกับน้องยีน ใครรุกใครรับล่ะเนี่ย เห็นมีบอกไม่เหมือนกันเลย
ส่วนเรื่องสัญญาว่าจะไม่หายต๋อมไป จะพยายามไม่ให้เป็นแบบนั้นค่ะ เพราะงั้นก็อย่าทิ้งกันเหมือนกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ 
Undel2Sky