ต่อจากข้างบน
v
v
พอขึ้นรถมาได้ พี่ชมพูก็ขับออกจากสนามแข่งแล้วไปหยุดอยู่ที่ถนนสายหนึ่ง เพราะตอนนี้เป็นช่วงที่ดึกมากถนนเลยค่อนข้างเงียบร้างลาด้วยรถยนต์ แต่อย่าว่าแต่ถนนเลย เพราะในรถก็เงียบเหมือนกัน ผมไม่ได้พูดอะไร ไอ้พี่ชมพูก็เป็นใบ้ชั่วขณะ กระทั่งมันยอมพูดออกมา
“จริงๆ แล้วก็เป็นพวกเอาเรื่องเหมือนกันล่ะสิมึงน่ะ”
“เอาเรื่องอะไรครับ”
ผมถามกลับไปทั้งที่พอจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
“ก็ไม่ได้เป็นพวกเรียบร้อย ขยันเรียนเหมือนกับที่สร้างภาพเอาไว้ แต่ทั้งกวนแล้วก็เสเพลพอตัว เหมือนไอ้พวกที่เหลือ”
“แล้วผมบอกพี่เหรอครับว่าผมหงิม”
“ไม่ได้บอก แต่ลุคมึงทำให้เข้าใจแบบนั้น ถึงมึงจะกวนตีนกูบ่อยๆ ก็เหอะ แล้วยังไง ทำไมต้องใส่แว่นปิดหน้าทำตัวนิ่งๆ ทั้งที่จริงๆ ร้ายกว่านั้น”
คราวนี้พี่ชมพูหันหน้ามาถามผมเต็มตัวด้วยความอยากรู้ เพราะถึงมันจะรู้ว่าผมถูกป๊ายึดบัตรเครดิตจนไม่มีเงินใช้ แต่มันก็ไม่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงอยู่ดีว่าทำไมผมต้องทำตัวแบบนี้
“แล้วทำไมผมต้องบอกพี่ มีเหตุผลจำเป็นด้วยเหรอครับ”
“เกงยีน”
มันทำเสียงข่ม แต่มีหรือว่าผมจะกลัว ผมเสเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง มองทิวทัศน์ภายนอกที่ไม่มีอะไรนอกจากแสงไฟจากเสาที่ตั้งอยู่ห่างๆ กันกับความดำมืดของท้องฟ้าและพื้นคอนกรีตราดยางมะตอย
“ไม่คิดจะบอกเหตุผลกันหน่อยหรือไง กูเป็นคนที่ถูกหลอกนะเว้ย”
“ผมไปหลอกอะไรพี่ตรงไหน” ตอบกลับไปทั้งที่ไม่ได้หันหน้าไปมองคนเรียกร้องสิทธิ์ เลยถูกมือใหญ่นั้นจับคางแล้วดันให้หันไปสบตากัน พี่ชมพูมองผมแบบคาดเค้น แต่ก็เหมือนจะปนๆ ด้วยแววขอร้องยังไงบอกไม่ถูก
ตกลงว่ามึงจะบังคับหรือขอร้องกูกันแน่ เอาสักอย่าง แบบนี้กูสับสน!
“ได้พี่เป็นเมียแล้วไม่คิดจะบอกอะไรเมียคนนี้หน่อยหรือไง” มันไม่ตอบตรงๆ แต่ตอบแบบโคตรตรงอย่างหน้าไม่อาย เอาคำว่า ‘เมีย’ มาหลอนอีกแล้ว ทำเอาผมหน้าหงิกกว่าเดิม เกือบจะลืมได้แล้วนะ เกือบจะลืมแล้วจริงๆ ถ้ามันไม่พูดถึงว่าครั้งหนึ่งผมกับมันเคยมีอะไรกัน แต่ผมจำไม่ได้... สักอย่างเดียว
“...”
พูดอะไรไม่ออกเลย กูเครียดจริงๆ นะเนี่ย
“ว่าไงล่ะ จะบอกกูหน่อยไม่ได้หรือไงว่าเหตุผลของการกระทำทั้งหลายแหล่ของมึงคืออะไร”
ผมเงียบอีกครั้งโดยที่มือมันไม่ยอมปล่อยออกจากคางของผม ผมสบตามันกลับไปเหมือนที่พี่ชมพูมองมา แต่มองนานๆ แล้วมันชักจะยังไงไม่รู้ เหมือนว่าหน้าหล่อๆ ของไอ้รุ่นพี่จะต่ำลงมา
“ไม่คิดจะบอกกูจริงๆ เหรอ”
“...”
มันขยับลงมาอีกจนเหลือระยะห่างระหว่างกันแค่นิดเดียว ผมเริ่มเบนหน้าหนีหน่อยๆ แต่มันก็ยังยื่นเข้ามาใกล้ ผมเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ชักจะมองหน้ามันต่อไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องขยับปากบอกออกไป
“บอกพี่แล้วได้อะไร”
“ได้ความสบายใจของกู กูอยากรู้เรื่องของมึงบ้างไม่ได้หรือไง”
เกือบสะอึกกับคำพูดเมื่อกี้ เผลอสบตามันไปอีกหนึ่งทีแล้วผมก็ต้องเสสายตาไปทางอื่น ทำไมไม่รู้ถึงไม่กล้ามองตามันแล้ว
“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกพี่นี่ครับ”
“...”
พี่ชมพูเงียบไปหลังจากผมพูดประโยคนี้ แถมยังดึงตัวกลับไปนั่งพิงเบาะมันเหมือนเดิม แต่ว่าคำพูดที่ลอดออกมากจากปากมันกลับทิ่มใจของผมอย่างจัง
“มึงใจร้ายกับกูมากนะ”
ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นวะ??
แล้วความเงียบก็มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง มันหุบปากไม่พูดอะไรอีก ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองเสี้ยวหน้าของไอ้พี่ชมพูตาปริบๆ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้วก็อึดอัดยังไงไม่รู้กับสถานการณ์แบบนี้ สุดท้ายถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาแล้วหันไปพูดกับมัน
“ผมสัญญากับป๊าไว้”
เสียงแค่เบาๆ ของผมท่ามกลางความเงียบเหมือนจะเรียกความสนใจจากไอ้พี่ชมพูได้ ไม่คิดเหมือนกันว่าผมจะมาใจอ่อนให้มันแบบนี้
“ป๊ายึดรถผมไปแล้วก็บอกให้ทำตัวดีๆ เลิกทำตัวเหมือนเมื่อก่อน ผมก็เลยต้องทำตัวเนิร์ดๆ จะได้ไม่เป็นจุดสนใจ ใส่แว่นเอาไว้บังหน้า พวกที่เคยมีเรื่องกันจะได้ไม่รู้แล้วเข้ามาหาเรื่อง แล้วก็ไม่มีผู้หญิงมายุ่งด้วยเหมือนเมื่อก่อน”
พอผมพูดด้วยเสียงเนิบๆ จบ ไอ้พี่ชมพูแม่งก็ยิ้มเลยครับ ยิ้มอย่างพอใจ เออ ก็มึงได้รู้อย่างที่อยากรู้แล้วนี่หว่า ผมก็เลยอดไม่ได้ที่ตอกกลับไปอีกว่า
“แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหมครับคุณพี่ชมพู”
แต่มันดันสวนกลับมา
“ยัง”
“แล้วพี่จะเอาอะไรอีกครับ เรื่องที่อยากรู้ผมก็บอกพี่ไปแล้ว”
“ก็ไม่ได้อยากรู้อะไรเพิ่มอีก แต่อยากบอกมึงว่า...” มันหยุดเสียงไปแล้วยื่นหน้าเข้าหาผมอีกรอบ “ไปกินติมกัน กูเลี้ยง”
ฮะ????
กินไอติมตอนตีสามกว่านี่นะ มึงจะไปกินจากไหน
โดยไม่ต้องถามอะไร มันก็ขับรถออกไปให้คำตอบแก่ผมโดยเร็ว เพราะรถหยุดอยู่หน้าเซเว่นที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนร่างสูงๆ จะลงจากรถแล้วเดินไปซื้อไอศกรีมโดยไม่ชวนผมสักคำ พอผมลงมาจากรถแม่งก็เดินออกมาแล้ว แถมยังแกะห่อไอศกรีมก่อนจะยื่นแท่งหนึ่งให้ผมอีก
ยักษ์คู่... รสส้ม
“เลี้ยงยักษ์คู่เนี่ยนะ”
“เออ ก็มันเหลืออย่างเดียว คุ้มดีออก ได้ตั้งสองแท่ง”
เพิ่งรู้ว่ามึงขี้ตืด
เหน็บมันในใจแล้วผมก็มองมันกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ผมเลยได้แต่ส่งแท่งยาวๆ เข้าปากตามแล้วไปยืนพิงรถอยู่ข้างๆ มัน มองบรรยากาศยามค่ำคืนไปเรื่อยเปื่อย
ไม่ได้สัมผัสอากาศตอนกลางคืนแบบนี้นานแล้วจริงๆ รู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้มันดีกว่าที่เคยๆ หรือเพราะเมื่อก่อนผมเอาแต่หมกหมุ่นอยู่กับสนามแข่ง ผับ พอดึกก็กลับ ไม่เคยมาชมวิวข้างทางแบบนี้เลยไม่รู้
“กูขออะไรอีกอย่างดิ”
มันหันมาคุยกับผมหลังจากเงียบไปพักนึง สายตาของมัน ...มองหน้าผม มองตาผม แล้วก็เลื่อนมามองที่ปากผม ผมเลยเหลือบไปมองมันบ้าง ไอศกรีมที่มันถืออยู่ถูกส่งเข้าปากที่กลายเป็นสีส้มเป็นคำสุดท้ายพอดี
มองกูเพราะอยากกินของกูด้วยล่ะสิ
พอรู้แล้วว่ามันมองทำไม ผมเลยแกล้งเลียไอศกรีมนั่นโชว์เลย ของผมยังเหลืออีกตั้งครึ่ง เลียๆ ดูดๆ แล้วอมยิ้มเย้ยมันไป แต่ว่าแทนที่มันจะขัดใจที่ถูกผมเย้ยกลับไม่เป็นอย่างนั้น มันขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีกนิด ใช้เสียงทุ้มๆ ของมันบอก
“มึงอย่าน่ารักเยอะได้ป่ะ”งง?
มีแต่คำว่างงเต็มหัวผมไปหมด ไอ้คำที่มันพูดนี่แปลว่าอะไร เหมือนสมองจะเออเรอร์ในการประมวลผลชั่วคราว แล้วมันก็ช็อตไปเลยหลังจากที่มือใหญ่ๆ นั่นจับที่ข้อมือของผมเอาไว้เพื่อดึงไอศกรีมออกจากปาก ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอุ่นๆ ที่ริมฝีปากแทน
แรงดูดเบาๆ ที่ปากทำให้ผมรู้สึกตัว เบิกตามองไอ้คนที่หลับตาจูบผมอยู่พร้อมกับดันบ่ามันออก ซึ่งมันก็ไม่ได้ยึดยื้ออะไรมากนัก ยอมผละออกไปโดยดี แต่ว่า... ปากผมเนี่ยสิ ยังรู้สึกอุ่นๆ อยู่เลย
“ปากเย็นนะ หวานด้วย”
มันพูดแค่สองคำแต่ทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ขึ้นมายังไงไม่รู้
ปากกูก็ต้องเย็นสิวะ กูกินไอติมอยู่
เฮ้ย ไม่ใช่สิ แม่ง เกิดอะไรขึ้นกับกูวะเนี่ย
ผมไม่กล้าเอาไอศกรีมเข้าปากอีกเลย เพราะพอขยับปากแล้วเหมือนว่าจะรู้สึกถึงรอยสัมผัสเมื่อครู่ เหมือนปากของมันยังติดอยู่บนปากผมไม่ได้หลุดออกไปไหน
“อ้อ ที่กูจะขอมึงเมื่อกี้” มันเงียบไปนิดหน่อยแล้วมองหน้าผม ให้ผมได้จูนสมองกลับมาก่อนถึงได้พูดต่อ “เวลาอยู่กับกู ช่วยเป็นตัวของมึงเองด้วยนะ เสแสร้งๆ อะไรเนี่ย กูไม่เอา”
“...”
“ได้หรือเปล่า”
“อือ”
ยังรู้สึกเบลอๆ งงๆ กับตัวเองอยู่เลย ผมจึงตอบกลับไปแค่นั้น มันก็เลยถือโอกาสสั่ง
“งั้นก็กลับกัน กินไอติมให้หมดด้วย หรือจะให้กินแทน”
ผมยกมือขึ้นมามองดูไอศกรีมที่ไหลเป็นน้ำ แถมเลอะมือเลอะแขนอีกต่างหากเพราะถือตั้งเอาไว้ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันไหลเยิ้มตั้งแต่เมื่อไร
พอเห็นท่าทีแบบนี้ของผมแล้วพี่ชมพูก็ก้มลงมาดูดไอศกรีมในมือผมเฉยเลย แล้วก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าเมื่อกี้ผมทั้งดูดทั้งเลียมันไปหมดแท่งแล้ว แต่ตอนนี้มันอันตรธานเข้าไปอยู่ในท้องไอ้รุ่นพี่นี่หมดแล้วเหมือนกัน
กินเข้าไปได้ไงวะ น้ำลายทั้งนั้น
“รออยู่นี่ก่อน”
มันบอกแค่นั้นแล้ววิ่งเข้าไปในเซเว่นอีกรอบ ออกมาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด เปิดฝาแล้วดูดน้ำเข้าปากเหมือนเป็นการล้างปากก่อนจะส่งให้ผม ผมก็ต้องรับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ยืนมองดูหลอดที่อยู่ข้างในที่มันมีหลอดเดียว เงยหน้ามองคนตัวสูงก็เห็นมันพยักพเยิดให้ดูดหลอดนั้นไป ผมเลยต้องทำใจดูดไปอย่างเสียไม่ได้
แม่ง ไม่เปิดโอกาสให้กูได้อาลัยอาวรณ์หลอดในเซเว่นเลย
หลังจากผมดูดน้ำเข้าไปเสร็จ มันก็ดึงขวดกลับคืน จากนั้นจัดการดึงแขนข้างที่เลอะของผมไปราดน้ำเย็นๆ ใส่ เอามือลูบอีกหน่อยให้คาบเหนียวๆ หายไป พอสะอาดมันก็เอาไม้ไอศกรีมกับขวดน้ำที่เหลือน้ำแค่ก้นๆ ขวดไปทิ้งขยะแล้วเดินกลับมา
“โอเค กลับได้แล้ว เดี๋ยวกูไปส่ง”
มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วสิวะ
ผมตอบในใจก่อนจะเดินไปขึ้นรถหลังจากที่พี่ชมพูกลับไปประจำที่นั่งฝั่งคนขับแล้ว คราวนี้ผมมีสติทุกอย่างเลยบอกทางไปบ้านของผมได้ ไม่ให้พลาดเหมือนคราวก่อน ซึ่งตำแหน่งที่ให้ไอ้รุ่นพี่นี่จอดก็เหมือนกับตอนไอ้กราฟมารับผม
ตอนแรกพี่ชมพูก็งงๆ ว่าทำไมผมต้องบอกทางมัน ทั้งที่มันก็รู้อยู่แล้วว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน เพราะก่อนหน้านี้มันไปรับไปส่งผมทุกวัน แต่พอมาถึงแล้วมันก็เหมือนจะเข้าใจ
“ถึงขั้นต้องปีนเข้าบ้านเลยเหรอ”
“ใช่”
ในเมื่อไอ้พี่ชมพูบอกให้ผมทำตัวปกติ ผมก็ตอบกลับไปแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องคงต้องครับกับมันอีก แต่แบบนี้ก็ดี รู้สึกสบายใจขึ้นเหมือนกันที่ไม่ต้องมาคอยพูดจาแบบที่ไม่ใช่ตัวเอง ถึงแม้ว่าจะหลุดๆ ไปซะส่วนใหญ่ก็เหอะ
“งั้นก็ปีนเข้าบ้านดีๆ อย่าตกกำแพงแข้งขาหัก”
“โหย ระดับไหนแล้ว ไม่ต้องแช่ง”
มันกลั้วหัวเราะเบาๆ เพราะคำพูดประโยคนั้นก่อนจะต้องหัวเราะมากขึ้นเพราะผมอวยพรกลับไป
“พี่ก็ขับรถกลับดีๆ แล้วกัน อย่าไปทับหมาที่ไหนตาย ขอบคุณที่มาส่ง”
“ไม่ขอบคุณที่เลี้ยงไอติมด้วยหรือไง”
นั่น มีทวง แต่พอมันพูดถึงแล้วก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้อีกว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่กินไอศกรีมฟรี...
แม่ง เสียจูบฟรี
“ยังกล้าทวง?”
“ฮ่าๆๆๆ” มันหัวเราะใหญ่พอผมทำตาเขียวใส่ “นั่นดิ ได้ของดีมากกว่าคำขอบคุณแล้วนี่หว่า”
โอ๊ยย อยากกลับไปเซเว่นแล้วเอาไม้ไอติมมาแทงจมูกมันฉิบหาย!!
“ไปๆ เข้าบ้านไปได้แล้วไป”
หัวเราะจนพอใจแล้วแม่งก็ไล่กันเลย ผมหันไปเปิดประตูรถเตรียมก้าวขาลง แต่ว่าไอ้คนข้างหลังก็รั้งไว้อีก
“เกงยีน”
“อะไร”
แต่เมื่อหันไปแล้วผมก็ต้องหายใจค้างเพราะว่าริมฝีปากอุ่นๆ ของไอ้คนขับดันมาประทับที่หน้าผากพอดิบพอดี ...แบบจงใจ
“ฝันดีนะครับ”คำพูดง่ายๆ ที่มันไม่เคยพูดดังตามมาพร้อมรอยยิ้ม เล่นเอาผมหน้าชาจนต้องหันหนี รีบลงจากรถแล้วปิดประตู ไม่หันหลังกลับไปสนใจมันอีกเพราะไอ้อาการเชี่ยๆ ที่มันเกิดกับหัวใจ
สาดดด ทำไมมันสั่นจังว้าาา??
==================
จะบอกว่ายังไงดี น่ารักทั้งพี่ชมพู ทั้งน้องเกงยีนเลยตอนนี้
พี่ภูเห็นน้องปากส้มเข้าหน่อย มันเลยอดใจไม่ไหวเหรอคะ?
น้องเกงยีนแอบมีใจเต้นกับเขาแล้ว เริ่มมีเค้าลางดีๆ แล้วล่ะ
เมนต์ตอนก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าให้ยีนใจอ่อนเพราะพี่ภูน่ารักน่ากด 
อย่าเพิ่งปักใจอย่างนั้น ถึงพี่ภูจะดูเสนอตัวมากก็ตาม ฮ่าๆๆ
ส่วนเรื่องกราฟ มีเฉลยค่ะ แต่ยังอีกนาน ^^
แล้วเจอกันต่อหน้าค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
Undel2Sky