ตอนที่ 7-1 : กลัวความคิดตัวเองผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วมันก็ยังไม่เลิก ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้มาเกยตื้นอยู่บนบ่าผมแล้ว แต่ก็ยังเอามือโอบเอวผมอยู่ดี ตอนแรกผมก็ไล่มันอยู่หรอก แต่ว่ามันก็ดื้อด้าน สุดท้ายผมก็รำคาญ
อยากทำอะไรก็ทำ ช่างแม่ง
ตอนนี้ผมกับไอ้พี่ชมพูต่างคนต่างนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกันแบบเงียบๆ เรียกว่ากอบโกยความรู้เข้าสมองตามอัธยาศัย เป็นอย่างนั้นอยู่นานจนกระทั่งผมได้ยินเสียงประตู รีเฟกต์ขั้นสุดยอดของผมก็บังเกิดเลยครับ เหยียดขาใส่คนข้างๆ เต็มแรง ถีบมันไปจนสุดตีนแล้วคว้าหนังสือของตัวเองติดมือ กระเด้งตูดมานั่งตรงขอบโต๊ะ
“โอ๊ย”
เสียงกระแดะๆ ของมันดังขึ้น ผมนี่ต้องรีบเหลือบตาไปทางประตูห้องว่าไอ้กราฟโผล่หน้ามาหรือยัง แล้วก็ป๊ะหน้ากับมันที่เพิ่งโผล่มาพอดี โชคดีว่าพอเข้าประตูห้องมาแล้วจะมีตู้โชว์แบบบิวท์อินกั้นอยู่ทำให้มองมาแล้วไม่เห็นห้องนั่งเล่น ไม่งั้นมีหวังแม่งเห็นแน่ว่าไอ้พี่ชมพูทำอะไรผมอยู่
ไม่อยากให้มันเข้าใจผิดทั้งที่ไม่มีอะไร
“อ้าว พี่ ทำไมไปนอนเล่นอยู่ตรงนั้น โซฟาก็มี”
ไอ้กราฟมองเห็นว่ารุ่นพี่แสนรักของมันลงไปเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นพรมก็ถามพร้อมเดินเข้ามา แต่ไอ้พี่ชมพูดันไม่ได้สนใจไอ้กราฟเลย มันหันมามองผมด้วยสายตาเหมือนจะฉีกผมให้เป็นริ้วๆ เหมือนเศษกระดาษ แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวหรอกครับ ก็มีไอ้กราฟอยู่ด้วย เรื่องอะไรจะกลัว
“ทำไมมึงกลับช้าจังวะ จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว”
ผมหันไปคุยกับเพื่อนตัวเองแทนที่จะสนใจคนที่กำลังดันตัวขึ้นมาทั้งที่มองหน้าผมไม่เลิก
“กูบอกแล้วว่ากูจะกลับดึก ว่าแต่” มันทิ้งคำพูดกับผมแค่นั้นแล้วหันไปหาแขกที่มันรับเชิญ แต่ผมไม่ได้รับเชิญ “วันนี้พี่กลับดึกเหรอ”
“ก็มึงกลับช้า กูเลยอยู่เป็นเพื่อนไอ้เกงยีน โอ๊ย”
มันอ้างก่อนร้องออกมาตอนมันดันตัวขึ้นนั่งได้สำเร็จ ผมหรี่ตามองมันนิดนึงเพราะเสียงร้อง ส่วนไอ้กราฟตาโตไปแล้ว มันถลาเข้าไปดูอาการของเพื่อนลุงรหัสทันทีอย่างกับจะรีบไปทำคลอดให้
พันธุ์นี้คงออกลูกเป็นอัลเซเชี่ยนผสมร็อตไวเลอร์ที่ติดเชื้อบ้าล่ะ ผมว่า
“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่”
“สงสัยเมื่อกี้จะล้มผิดท่าไปหน่อย”
ไอ้กราฟทำหน้างง ผมเห็นเหมือนมีคำถามลอยอยู่บนหัวมันว่าล้มอะไร แต่กับผมไม่เป็นแบบนั้นหรอก เพราะไอ้เหี้ยพี่ชมพูจ้องหน้าผมเขม็งเลย
มองกูทำไม กูแค่ป้องกันตัวเองเว้ย
“งั้นเดี๋ยวผมไปหายามาให้ ถ้าซ้นขึ้นมาคงยุ่ง พี่ยังมีสอบอีกหลายตัวนี่”
เพื่อนผมช่างเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความห่วงใย แต่ก็เป็นสไตล์มันแหละครับ ไอ้กราฟเดินไปตู้เก็บยาแล้วเอายาแก้ปวดบวมมายื่นให้ แต่แม่งแทนที่จะยื่นให้คนที่โอ๊ยๆ เหมือนควายถูกเชือด (จริงๆ ผมเว่อร์เอง) มันเสือกส่งมาให้ผมซะงั้น
เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย
ผมแกล้งตีหน้างง แต่ไอ้กราฟก็ยังยัดหลอดยามาใส่มือผมจนได้ หนำซ้ำมันยังบอกออกมาเป็นจุดประสงค์ชัดเจน
“มึงทาให้พี่ภูแล้วกัน เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน” พอหลอดยาอยู่ในมือผมได้ มันก็หันไปคุยกับไอ้พี่ชมพู “ตามสบายนะพี่ เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัว”
มันว่าแบบนั้นจบก็เดินเข้าห้องนอนไปเลย ปล่อยให้ผมมองยาในมือสลับกับหน้ากวนส้นตีนของไอ้พี่ชมพู มันกดมุมปาก ยิ้มชั่ว พลางมองหน้าผม
อะไรของมึง!
“ทาดิ รับผิดชอบหน่อย”
มันเรียกร้องความรับผิดชอบจากผม แต่มีหรือว่าผมจะให้
“ทำไมต้องทาให้ด้วยล่ะครับ มีมือก็ทาเองสิครับ พี่ชมพู”
“แล้วใครเป็นคนทำให้มือกูเจ็บ เกิดกูทำข้อสอบไม่ได้จริง จะว่ายังไง”
มันขู่กลายๆ จนผมอยากจะตอบกลับไปว่า ‘ก็เรื่องของมึง’ แต่ผมก็อุดปากตัวเองไว้ก่อน ผมมองหน้ามันหนึ่งที แล้วก้มลงมองหลอดยาในมือ ก่อนจะตัดสินใจ ขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้มันอีกนิดหน่อย
ที่กูทำให้นี่ไม่ได้หมายความว่ากูจะยอมมึงนะ แต่กูเห็นว่ามึงเจ็บเพราะกูจริง แล้วมันก็เห็นผลจริง ถ้าเกิดมือมันเป็นอะไรหนักจนทำข้อสอบไม่ได้ ผมคงรับผิดชอบไม่ไหว
แต่เท่านั้นแหละ มันกระตุกยิ้มน่าขนลุกขึ้นมาทันที จนผมชักไม่แน่ใจว่าผมควรจะทายาให้มันจริงๆ เหรอ แต่ไม่ทันแล้วที่จะเปลี่ยนใจ เพราะมันยื่นขาหน้าข้างที่มันเจ็บนักหนามาให้ ผมจึงแกล้งรับมือมันมานวดยาตรงข้อมือที่มันอ้างว่าเจ็บ และก็ได้ยินเสียงร้องเบาๆ
มันซี้ดปากแล้วทำหน้ายุ่งหน่อยๆ สำออยนักนะมึง หมั่นไส้มันครับ ผมเลยออกแรงให้หนักขึ้น คราวนี้มันร้องโอ๊ยๆ แล้วเอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้
“จะทาให้หายหรือจะทำให้เป็นหนักกว่าเดิมกันแน่วะ”
“ก็อย่าสำออยสิครับ เจ็บแค่นี้ ร้องอย่างกับข้อมือหัก”
“มึงทำเจ็บจริง จะให้กูสรรเสริญมึงหรือไง กูไม่ด่ามึงก็ดีเท่าไรแล้ว”
พูดอย่างลำพองแถมยังทำเป็นยืดอกใส่ เพิ่มความไม่พอใจในใจผมให้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ผมทายาให้มันแบบกระแทกกระทั้นหน่อยๆ ก่อนจะผละมืออกมาแล้วพูดเสียงห้วน
“เสร็จแล้ว แค่นี้คงพอใจ กลับไปได้แล้ว”
“อ้าว อะไรวะ เสร็จแล้วก็ไล่ กูยังไม่ได้คุยกับไอ้กราฟเลย”
มันบ่น แต่มีหรือว่าผมจะยอม ผมไล่อีก
“กลับไปได้แล้ว ดึกแล้ว ไว้วันหลังค่อยคุยก็ได้ครับ สวัสดีครับ”
คราวนี้ผมพยายามผลักมันให้ลุกขึ้นจากพื้น ซึ่งมันก็ลุกขึ้นแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แล้วมันก็ไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดจริงๆ เพราะพอผมผลักให้มันเดินไปทางประตู ไอ้พี่ชมพูก็ต่อต้าน มันผลักผมให้เดินกลับไปอยู่ที่เดิม แล้ววิธีผลักของมันก็แทบจะกอดผมเข้าไปอยู่ในวงแขนของมันทั้งตัวแล้ว
“กลับไปได้แล้ว จะอยู่ทำไมอีกครับ คอนโดตัวเองก็มี ดึกแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนของพี่แล้วนะครับ”
“กูยังไม่อยากกลับ คืนนี้กูนอนที่นี่แล้วกัน”
มันเถียงครับ ทำเอาผมสยอง มึงนอนที่นี่กูไม่ต้องนอนทั้งแว่นหรือไง!
ผมออกแรงผลักมันออกไป ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไรดีขึ้นเท่าไร นอกเสียจากว่าผมจะถูกฝังเข้าไปในอกมันแน่นขึ้น เชี่ยเอ๊ย!
ผมหยุดแล้วยืนมองหน้ามันเฉยๆ เพราะรู้แล้วว่าถึงจะดิ้นรนไปก็สู้มันไม่ได้อยู่ดี ผมพิจารณาใบหน้าของมันที่มองมายังผม ก่อนจะถามเสียงเรียบแบบหาวิธีอย่างปัญญาชน
“พี่ชมพูจะเอายังไงกันแน่ครับ ทำยังไงถึงจะยอมกลับดีๆ”
ประกายตาของมันเปลี่ยนเลยครับ วาววูบไปวินาทีหนึ่ง พลางมองผมเหมือนมีความคิดชั่วๆ อะไรบางอย่าง ดั่งกำลังหาวิธีการที่จะทำให้ผมไม่กล้าไล่มันอีก แล้วก็จริงอย่างที่คิดครับ ลางสังหรณ์โคตรแม่น แม่นแบบเหี้ยๆ เลย เพราะไอ้พี่ชมพูกดยิ้ม ยิ้มมุมปากของมันที่ดูแล้วแม่งเข้าขั้นโรคจิต
“ให้กูดูดปากมึงดิ”ลมหายใจของผมสะดุดไปจังหวะหนึ่งเบาๆ พอให้ตัวเองรู้ตัว
มึงเล่นอย่างนี้เลยเหรอ สัตว์ มันคงแน่ใจว่าผมปฏิเสธชัวร์ ก็มันเคยใช้มาแล้วผมยอมมันนี่หว่า มันคงคิดว่ายังไงผมก็ไม่กล้า
“พี่จะอะไรกับปากผมนักหนา ขู่จะดูดมาหลายทีแล้วไม่ใช่หรือไงครับ”
ผมถามแบบไม่จริงจัง มันจะตอบหรือไม่ตอบก็ช่าง แต่แค่สงสัย
“ถามกูเหรอ” มันย้อนแล้วไล่สายตามาที่หน้าผม ตั้งแต่โคนผมจนมาถึงปากแล้วพูดออกมาเต็มเสียง “ก็ปากมึงน่าดูด”
ชะงักไปนิดหน่อยเลยครับ ไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ปากผมมันน่าดูดตรงไหน ก็ธรรมดาเหมือนๆ กับมัน แต่เพราะว่าผมอยากไล่ให้มันกลับไปเต็มทน ผมถึงได้ตอบมันกลับไปแบบที่มันก็นึกอึ้ง
ผมว่ามันรู้จักผมน้อยไปนะ หึหึ
“ถ้าทำจริง พี่จะยอมกลับใช่หรือเปล่า”
“อืม”
มันยักไหล่ตอบผมเหมือนไม่แคร์เท่าไร อย่างกับไม่เชื่อว่าผมจะกล้าทำ แต่เสียใจครับ ผมไม่อ่อนขนาดที่มันคิดหรอก
ผมก้าวเท้าเข้าไปหามันครึ่งก้าวเพราะตัวเราห่างกันอยู่ไม่มาก ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นเกือบสุดปลายเท้าเพราะมันตัวสูงกว่าเกือบสิบเซนติเมตร ยื่นปากเข้าไปดูดปากมันหนึ่งทีแล้วค่อยถอนปากออก
ไม่อยากบอกจริงๆ ว่าผมดูดปากมันไปค่อนข้างแรง ตอนปล่อยออก ปากมันแทบจะยืดติดปากผมมา แล้วก็มีเสียงด้วย เหอะๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็ดังขนาดได้ยินนั่นแหละ แต่ผมไม่มายด์หรอกครับ ผมนิ่งเฉย ผิดกับมันที่ดูจะช็อกๆ ไปนิดนึงเพราะมันไม่คิดว่าผมจะทำ
“คราวนี้กลับได้หรือยังครับ”
เสียงของผมเหมือนไปเรียกสติมัน มันกะพริบตาสองทีแล้วทำหน้างงๆ ใส่ ผมเลยไล่มันอีก
“กลับได้แล้วครับพี่ชมพู น้องเกงยีนก็ดูดปากพี่แล้วไง สัญญาต้องเป็นสัญญาดิ”
สิ้นเสียงตัวเองผมก็ผลักมันออกไป ซึ่งมันก็ยอมเดินแต่โดยดี ผมจึงหยิบหนังสือกับกระเป๋าที่มันพกติดตัวมาด้วยไปยื่นให้ตอนมันกำลังใส่รองเท้า
รอกระทั่งมันออกไปแล้วผมถึงได้หมุนตัวกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น กะว่าจะเก็บของแล้วเข้านอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าไปสอบแบบสมองปลอดโปร่ง แต่ผมเห็นไอ้กราฟเดินออกมาจากห้องพอดี จึงเพิ่งนึกขึ้นได้
เวร ถ้าเมื่อกี้ไอ้กราฟออกมาจากห้องก่อน...
นึกได้เท่านั้นยังไม่พอ ผมคิดอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง ผมจึงเดินถือหนังสือตรงเข้าไปหากราฟที่กำลังเดินมาทางผมด้วยเหมือนกัน
“กูจูบมึงหน่อยดิ”
ผมบอก ขณะที่คนถูกถามทำหน้างงๆ แต่มันก็ไม่ทันได้ถามอะไรผมหรอก เพราะว่าผมรุดตัวเข้าหามันก่อนจะเขย่งตัวนิดๆ แล้วจูบปากมันเบาๆ
“กูไปนอนก่อนล่ะ มึงก็รีบนอนด้วย”
จากนั้นผมก็เดินผ่านตัวมันแล้วเข้าห้องนอนไปเลย ส่วนมันก็ยังทำหน้างงๆ แล้วยืนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ
สอบเสร็จก็ต้องกลับสู่สภาพเดิม ผมกลับไปนอนที่บ้านมาสองวันแล้ว แต่เมื่อวานดันเจอโชคร้าย ทำให้ผมต้องมานั่งกระอักกระอ่วนตักข้าวเช้าเข้าปากต่อหน้าป๊าแบบนี้ ผมกินข้าวไปก็เหลือบตามองป๊าไป ในใจก็คิดว่าควรจะใช้คำพูดแบบไหนดี แต่ว่าป๊าดันเงยหน้าขึ้นมาประสานตากับผมพอดี เล่นเอาผมต้องรีบก้มหน้ายัดข้าวเข้าปากเลย
“มีอะไรจะคุยกับป๊าหรือไง”
“เอ่อ... ครับ”
ผมตอบเสียงแผ่ว ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากจานข้าวตัวเองพลางเคี้ยวข้าวในปากแล้วกลืนลงคอแบบฝืนๆ ตามด้วยกระดกน้ำเข้าปากเพื่อให้คล่องคอขึ้น
“ว่ายังไง”
“ก็... เอ่อ คืนนี้ ....ยีนจะกลับดึกหน่อยนะครับป๊า”
เท่านั้นแหละครับ สายตาของป๊าก็เปลี่ยนทันที จากที่มองหน้าผมแบบติดใจสงสัย ตอนนี้มันเป็นประกายเฉียบคมเหมือนกับจะเฉือนผมให้เป็นชิ้นๆ ลักษณะของป๊าก็เป็นผู้ใหญ่อายุเกือบๆ ห้าสิบ ลงพุงนิดหน่อย มีหนวดนิดๆ ดูใจดีครับ แต่เวลาป๊าไม่พอใจจะโคตรดุ โคตรน่ากลัว
“ทำไม”
เสียงของป๊าห้วนขึ้นกว่าเดิม แถมยังออกแนวข่มขู่เสียอีก เหมือนกับจะบอกว่าถ้าเหตุผลไม่เข้าท่าก็อย่าหวัง ผมเลยต้องพูดอย่างระมัดระวัง
“มีกิจกรรมที่คณะครับ พวกรุ่นพี่เขาจัด มันมีทุกปี ต้องไปทุกคน”
กิจกรรมที่ผมว่าก็คือ เฟรชชี่ไนท์ พวกรุ่นพี่นี่ปิดปากเงียบกันทุกคนเลยครับ ไอ้เหี้ยพี่ชมพูแม่งก็ไม่บอกสักคำ แม้แต่พี่เจ๋งก็หุบปากสนิท มาเซอร์ไพรส์เอาเมื่อวานตอนประชุมรุ่น แถมยังมีบอกอีกว่าให้เตรียมการแสดงของแต่ละเมเจอร์มาให้รุ่นพี่ดูด้วย เชี่ย แม่งไม่ให้เตรียมตัวกันเลย เพิ่งสอบเสร็จเมื่อวานซืนนะเว้ย
จริงๆ ผมก็อยากมีปากมีเสียงโวยออกไปกับมติ (?) คณะที่ผมไม่เห็นชอบเท่าไร แต่ความเนิร์ดมันค้ำคอ ก็เลยต้องเก็บปากเงียบอยู่ในใจ
“กิจกรรมอะไร”
“มีกินเลี้ยงแล้วก็ให้พวกปีหนึ่งแสดงอะไรให้รุ่นพี่ดูแหละครับ เป็นการสานสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้อง”
“แล้วยีนจะกลับกี่โมง”
เสียงของป๊าผ่อนลงแล้ว พลอยให้ผมหายใจได้สะดวกขึ้น แอบอมยิ้มที่รอดตัวแล้ว
“ไม่เกินตีสองหรอกครับป๊า”
“รับปากแล้วก็อย่าผิดคำพูดล่ะ ลูกผู้ชายต้องคำไหนคำนั้นนะยีน”
ป๊าย้ำ จากที่โล่งใจตอนนี้เริ่มกดดันอีกแล้ว
วันนี้บรรยากาศในคณะผมดูเครียดๆ ยังไงชอบกล ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ เพราะว่าเรื่องการแสดงในงานคืนนี้แม่งโคตรคิดยากเลย ก็ไอ้พี่ต๊ะที่เป็นประธานปีสองดันบอกว่าไม่เอาแบบร้องเพลง เล่นดนตรี มันเบสิกไปสำหรับนิเทศฯ
มึงคิดว่าเด็กนิเทศฯ เดินบนอากาศได้เหรอวะ เชี่ย
พอเรียนเสร็จ ก็ได้เวลาประชุมเพลิงกันเลยครับ เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เวลาเริ่มงานเฟรชชี่ไนท์แล้ว แต่เมเจอร์ผมยังตกลงไม่ได้เลยว่าจะแสดงอะไรยังไง ถึงต้องมานั่งประชุมกันแบบนี้ แล้วหัวหอกก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ ไอ้ปลายเองนั่นแหละ มันเป็นประธานเมเจอร์ เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้สวยมากมายอะไร ก็หมวยๆ ขาวๆ ดูดีในแบบของมัน เป็นพวกลุยๆ บ้าพลัง ทุกคนเลยยกให้มันเป็นประธาน (จริงๆ เกี่ยงกันเป็นเพราะไม่อยากงานเข้า) ที่สำคัญ มันเป็นเพื่อนในกลุ่มผมเอง
จริงอยู่ว่าผมสนิทกับไอ้กราฟ ไอ้กัส ไอ้เคลม แต่เพราะไอ้สองตัวหลังอยู่คนละคณะ สังคมของผมก็เลยต้องเปลี่ยนบ้างนิดหน่อย ตอนอยู่คณะผมก็มีเพื่อนอีกกลุ่ม แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาหรอกครับ ก็มีไอ้กราฟที่ตัวแพ็คติดกัน ไอ้ปลาย ไอ้เอิร์ธ แล้วก็ไอ้นุ๊ก
ไอ้เอิร์ธนี่ผู้ชายครับ ตอนแรกไม่ถูกกันนิดหน่อย มันชอบทำหน้าเหยียดๆ ใส่ผม แต่เพราะตอนรับน้องมันได้แผลใหญ่ แล้วผมกับไอ้กราฟเป็นคนช่วยแบกมันไปทำแผล ก็เลยสนิทกัน ส่วนไอ้นุ๊กนี่เป็นผู้หญิง เพื่อนซี้ไอ้ปลายครับ ที่มาอยู่ด้วยกันก็เพราะไอ้กราฟ มันชอบกราฟ แต่ไอ้กราฟไม่ชอบ มันปฏิเสธไป จากนั้นก็เป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากน้อยกว่านั้น
อย่างที่รู้ๆ กันว่าพวกกลุ่ม (หล่อ) ของผมจะค่อนข้างชิลล์ๆ เรื่องผู้หญิง เสนอมาก็สนองตอบ แต่ไอ้กราฟไม่ใช่ มันไม่ค่อยยุ่งกับผู้หญิงเท่าไร เพราะมันมีอดีต แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ชอบใครเลย ตอนนี้ก็เห็นว่ามันกำลังเล็งๆ รุ่นพี่ปีสองที่เป็นดาวคณะบริหารฯ อยู่ เล่นของสูงนะมึง
ไอ้กราฟก็ไม่เชิงว่าไม่มีดีกรีอะไร มันเกือบเป็นเดือนคณะอยู่เหมือนกัน แต่มันไม่อยากวุ่นวาย แถมผมยังไม่อยากเด่น มันเลยไม่ไปร่วมชิงตำแหน่งอะไรกะเขา ไม่เหมือนไอ้กัสกับไอ้เคลม แม่งแย่งตำแหน่งกันจะตายห่า สุดท้ายคนอื่นได้ไป ผมโคตรฮามันเลยที่มัวแต่แข่งกันเองจนลืมว่าคนอื่นก็มีดี
ส่วนเรื่องไอ้กราฟกับดาวคณะผมก็มีเตือนๆ มันบ้าง มันก็รู้ดีว่าผมห่วงมันมากเลยยังดูๆ อยู่ ไม่ได้ลงมืออะไร
“กูรู้แล้วว่าจะทำอะไร”
เสียงของไอ้เม่น ประชากรคนหนึ่งในเมเจอร์ดังแหวกอากาศ เรียกความสนใจจากคนทั้งเมเจอร์ได้เลย ไอ้ปลายนี่ก็หูผึ่งตาไหวระริกขึ้นมาทันที มันถามอย่างอยากรู้ ไม่ไว้ท่าผู้หญิงเลยแม่ง
“ไหน เล่าความคิดมึงมาดิ๊”
“ก็แสดงละครไง”
“สัตว์ ใครก็คิดได้”
“ธรรมดาว่ะหอก”
“ไอ้ห่า กูก็ลุ้นนึกว่ามึงมีความคิดเจ๋งๆ”
พอมันตอบเท่านั้นแหละ คำสรรเสริญก็ดังทั่วทิศทาง ผมส่ายหัวเบาๆ กับความคิด
มึงอยู่เงียบๆ ก็ไม่ต้องมาเป็นกระโถนรับคำด่าแล้ว
ถึงจะเป็นลูกคนมีตังค์ แต่ความหยาบมันไม่เข้าใครออกใครครับ หึหึ ก็คุยๆ กันแบบนี้ ยกเว้นผมนะ ผมสุภาพเรียบร้อยมากที่สุดในเจอร์ (แค่สร้างภาพ)
“โหยย ไอ้เหี้ย พวกมึงฟังกูก่อนดิวะ”
มันแย้งครับ ทุกคนเลยเงียบ รอมันออกความเห็นอันวิเศษเลิศหรู ถุย
“ว่ามาๆ”
ไอ้ปลายบอกเป็นสัญญาณ ไอ้เม่นเลยเริ่มพรรณนา
“ก็เป็นแบบเรื่องฮาๆ ไง เล่นแล้วแบบเอาให้รุ่นพี่ท้องแข็งเลย ช่วยกันแต่งๆ บทดิ”
“แค่เนี้ย?” ไอ้เอิร์ธครับ
“แต่กูก็ว่าเข้าท่าดี ติดอยู่ที่ทำยังไงให้ฮา”
ไอ้ปลายเริ่มสนับสนุน แต่ผมว่ามันขี้เกียจคิดมากกว่า เวลาหมดลงทุกที
“แต่กูว่าเล่นสดเลยดีกว่า แค่วางพล็อตแล้วให้คนแสดงแก้สถานการณ์”
ไอ้นะเสนอ ได้รับเสียงเออออจากเพื่อนร่วมเจอร์เพียบเลยครับงานนี้
“ดีๆ กูว่าแบบนี้เป็นการโชว์ไหวพริบ แล้วยังแอ๊คติ้งอีก พวกรุ่นพี่คงชอบ”
“แล้วใครจะแสดง พล็อตเรื่องเอาไง”
กลายเป็นสรุปได้ พวกมันคุยกันไปว่าจะเอาเรื่องประมาณไหน ส่วนผมไม่ได้ฟังเท่าไรหรอกครับ ปล่อยให้มันทำกันไป คงไม่เกี่ยวกับผมเท่าไร
ก็แน่ล่ะ ตอนนี้ผมลุคเด็กเรียนนะครับ รอดตัวอยู่แล้ว ให้ผมไปแสดงคงน่าเบื่อตาย แต่มันก็เป็นแค่ความคิดของผมเท่านั้น เพราะอยู่ดีๆ เสียงไอ้ปลายก็ดังข้างหู
“ไอ้ยีน!!”
“อะไรครับ”
“มึงฟังที่พวกกูคุยกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
“ฟังๆ”
ผมตอบมันไปแบบนั้น ทั้งที่มันคุยอะไรกันผมยังไม่รู้เลย ผมแอบเหลือบมองไอ้กราฟที่ส่ายหน้าใส่ผมด้วย
อะไรวะมึง ไม่เข้าข้างกูเหรอ กูเพื่อนรักมึงนะเว้ย
“ฟังแล้วรู้เปล่าว่าพวกกูสรุปว่ายังไง”
“ยังไง?”
เอ๋อแดกล่ะคราวนี้ ผมทำมึนใส่มัน แล้วสายตาคงลอดผ่านแว่นได้ชัดมาก มันเลยทำท่าเหมือนจะแดกหัวผมแล้วโวยออกมา
“กูจะให้มึงเล่นเป็นเสงี่ยมศรีไง”
“ฮะ?” ผมอึ้งไปแป๊บนึง ประมวลผลก่อนว่าเมื่อกี้มันพูดว่าอะไร “เสงี่ยมศรี ใครอะครับ”
“มึงนั่นแหละ มึงนั่นแหละ ทุกคนก็เห็นด้วย”
มันหันไปหาพรรคพวกของมันด้วย แล้วทุกคนก็รีบโห่รีบตอกย้ำผมทันที
แม่ง อะไรของพวกมึง
“เฮ้ย ไม่เอา ทำไมให้เราเล่น แบบนี้น่าเบื่อจะตาย เราหน้าตาก็ธรรมดา แถมยังเนิร์ดๆ เอ๋อๆ อีก เล่นไปก็ไม่สนุกหรอก เดี๋ยวก็เสียชื่อ โดนโห่ เราไม่อยากทำให้เจอร์เราขายหน้า”
หน่อมแน้มมากครับเวลาพูดกับเพื่อนในเมเจอร์ บางทีก็อยากอ้วกกับคำพูดของตัวเอง ทั้งที่ลับหลังหรือในใจ ผมก็โหวกเหวกเรียกมัน ไอ้ๆ มึงๆ ตามปกติ แต่วิธีการแสดงออกมาเป็นแบบนี้ ให้เข้ากับลุคหน่อย ส่วนไอ้กราฟก็เป็นพิเศษ
“กราฟช่วยพูดให้ยีนหน่อย กราฟน่าจะรู้ว่ามันไม่เข้า”
“ไม่เห็นยาก ก็แค่ถอดแว่นออก จับมึงแต่งหน้านิดๆ หน่อยๆ”
แค่พูดอย่างเดียวไม่พอ ไอ้ปลายยังย่างสามขุมเข้ามาทำท่าจะถอดแว่นผมอีก
อีกคนแล้ว แค่ไอ้เหี้ยพี่ชมพูคนเดียวก็พอแล้วที่คิดประทุษร้ายแว่นกู
ผมเบี่ยงตัวหนีไอ้ปลาย แต่ว่ามันก็จับขาแว่นของผมเอาไว้ แล้วอย่างนี้จะให้ทำยังไงได้ ผมก็ยึดไว้แน่น พยายามคุมตัวเองไม่ยกตีนขึ้นมาถีบมันกระเด็น เพราะยังไงมันก็เป็นผู้หญิง
“พอเถอะปลาย อย่าถอดแว่นเรา”
“ไม่ต้องมาขอร้อง ยังไงกูก็จะให้มึงเป็นเสงี่ยมศรี ถอดแว่นมึงออกซะดีๆ”
มันออกแรงหนักขึ้นกว่าเดิมอีกครับ ผมก็ร้องให้ไอ้กราฟช่วย แต่ผมดันเหลือบไปเห็นว่าไอ้กราฟโดนคนอื่นๆ ล็อกตัวไว้
ไอ้เหี้ย พวกมึงแม่งเหี้ยกันฉิบหาย เล่นแบบนี้กับกูเลยเหรอ สัตว์นรก!
ผมด่าพวกมันในใจ ใช้ความพยายามโคตรมากยิ่งกว่ามากไม่ให้ด่าพวกมันแล้วจับเตะเรียงตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อดูแล้วว่าไอ้ปลายไม่ยอมหยุด ไอ้เม่นตัวดีแม่งก็ทำท่าจะเข้ามาช่วยไอ้ปลายอีกคน ผมเลยต้องโพล่งเสียงออกไปแบบไม่เต็มใจ
“เออๆ ก็ได้ๆ เรายอมเล่นแล้ว แต่มีข้อแม้”
พวกมันหยุดเลยครับ ไอ้ปลายปล่อยมือจากแว่นของผม ไอ้เม่นก็หยุดฝีเท้าของมัน ส่วนไอ้พวกที่จับกราฟไว้ผ่อนแรงลง คนทั้งเมเจอร์มองหน้าผมเหมือนรอฟังข้อแม้ ผมเลยมองตอบกลับไปแบบแน่วแน่
“เราไม่ถอดแว่นนะ เราเล่นก็ได้ แต่เราจะไม่ถอดแว่น แล้วก็ห้ามบังคับเราด้วย”
เท่านั้นแหละ พวกเหี้ยแม่งโห่ร้องดีใจกันใหญ่ ไม่คิดปฏิเสธข้อเสนอของผมสักคน ทำให้ผมรู้สึกสบายใจนิดหน่อย เลยกระเถิบตัวไปหาไอ้กราฟที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้วกระซิบถามข้างหูมันเบาๆ แบบว่าสงสัย
“เสงี่ยมศรีนี่เป็นใครวะ”
ไอ้กราฟมองหน้าผมแล้วยิ้มๆ แถมยังเอาแขนมาพาดคอผมก่อนจะดึงให้เข้าไปใกล้มันมากขึ้น กระซิบเสียงเบา แต่ให้ความรู้สึกแปลกๆ แบบว่าหวิวๆ
“กูบอกแล้วมึงห้ามโวยวายนะ”
ไอ้เหี้ย มึงทำให้กูใจสั่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยักหน้าเบาๆ
“นางเอกว่ะ”
ไอ้สาดดดดดดดดด ให้กู นายพชร วัฒนกิตติพงศ์ สุดหล่อเป็นนางเอกเนี่ยนะ ไอ้ฟวยยยยย
=============
น้องยีนแรง จัดเองเลยจ้า ก็คนมันรำคาญ อยากตัดจบอ่ะนะ
แต่กราฟนี่สิ ได้กำไร (?) ไปเต็มๆ แถมยังแบบมึนๆ ด้วย
ตอนนี้ยาวเลย เลยตัดอีกนิดหน่อยไว้มาอัพเพิ่มนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ แต่ว่าการแสดงเอาไงดีเนี่ย 
Undel2Sky