:m30:นี่เราทำอารายลงไป
หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ จะโดนคนอ่านรุมรึเปล่า

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 54
ผมหยิบรูปในโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตอนนี้ผมเปลี่ยนโทรศัพท์ไปหลายเครื่องแล้วครับ แต่รูปที่เก็บอยู่ในเครื่องก็ยังเป็นภาพชุดเดิม ผมดูทีไรก็อดนึกถึงคืนนั้นไม่ได้ซักทีถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานกว่าสามปีแล้ว
ภาพของเราสองคนที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามที่ผมกดเลือก มีบางรูปที่ผมอดหัวเราะไม่ได้ ก็วันนั้นผมร้องไห้หลายรอบมากตาก็เลยบวมๆยังกับปลาทอง อดขำความเป็นเด็กของตัวเองไม่ได้ ร้องทำไมก็ไม่รู้เป็นบร้าเป็นบอทำอย่างกับว่าโลกจะสลายลงไปต่อหน้า แต่บางภาพก็ทำให้ผมยิ้ม ภาพรอยยิ้มตาหยีของพี่ต่ายที่โดนผมหอมแก้ม ภาพที่พี่ต่ายทำแก้มป่องให้ผมหอม
ส่วนบางภาพก็ทำผมน้ำตาซึม

ภาพพี่ต่ายจูบปากผม จูบที่เปลือกตาผม จูบหน้าผากผม วูบนึงผมรู้สึกร้อนๆที่ปากราวกับว่าได้รับสัมผัสลมหายใจของพี่ต่าย ผมเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเหม่อลอย ผมห่างหายจากสัมผัสแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ป่านนี้พี่ต่ายคงมีความสุขสบายดี ไม่รู้ว่าเค้าจะลืมผมหรือยัง
ถ้าใครผ่านมาเห็นผมตอนนี้คงจะสงสัยว่าผมบ้าหรือเปล่า เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ยิ้ม แล้วก็ซึม อย่าว่าแต่คนอื่นเลยผมก็ยังแอบคิดว่า ผมนี่มันบ้าจริงๆภาพที่มันผ่านมานานถึงสามปี ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อวาน ผมก็ยังคงหลอกตัวเองตลอดเวลา
ผมยกมือข้างซ้ายขึ้นมาดูแหวนวงเดิมที่เคยสัญญาว่าจะไม่ถอด ตอนนี้มันเลื่อนสถานะจากนิ้วกลางมาอยู่ที่นิ้วนางแล้วครับ ผมเอามือหมุนแหวนดูมันออกจะหลวมไปหน่อย ไม่รู้ว่าแหวนมันยืดหรือว่าผมผอมลงก็ไม่รู้ แต่แหวนวงนี้ก็ยังสวยงามที่สุดเสมอในความรู้สึกของผม
ขณะที่คิดอะไรเพลินๆก็มีคนที่คุณก็รู้ว่าใครเบอร์หนึ่งครับมาตบที่ไหล่ผม ผมหันไปก็พบบุ้งมันส่งยิ้มสดใสให้ผม หน้าแดงระเรื่อเพราะเลือดสูบฉีดจากการขี่จักรยาน มีเหงื่อไหลโทรมกาย เสียงมันหอบเล็กน้อยตอนที่ทักทายผม
“เฮ้ย!!!โอมซึมอีกล่ะ.....เหนื่อยว่ะ" บุ้งหายใจแรงด้วยความเหนื่อย แล้วมันก็เริ่มพล่าม
"นี่กรูว่าจะถามมรึงหลายทีล่ะ มรึงจะรีบขี่สปีดท้านรกมาหาหอกหาดาบอะไรว่ะ เรามาขี่จักรยานออกกำลังกายนะเว้ย ไม่ได้ไปกวดจับผู้ร้าย เมิงนี่ท่าจะบร้า นึกว่าเป็นพระเอกหนังหม่ำหรือเป็นโทนี่จารึไงว่ะ”
“เดี๋ยวเหอะเมิง....ขี่แมร่งเป็นเต่าลานขาดแล้วยังมาพาลกรูอีก วันหลังกรูเอาเสื่อเอาหมอนเอาห่อข้าวมาด้วยดีกว่าจะได้มานอนรอเมิง ขี่แมร่งโคตรรช้าาาา”แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็ขำ

“เออกรูรู้แล้วไอ้บุ้ง....กรูว่าคราวหน้านะเมิงเอาร่มมาด้วยเมิงมีไม๊” ผมยิ้มให้มันเพราะนึกภาพตามไปด้วย

“มรึงจะให้กรูเอามาทำเชี่ยอะไร....ฝนก็ไม่มี แดดก็ไม่มี เอามาตีหมาเหรอว่ะ”ไอ้บุ้งมีงงครับ มันก็นะน่างงอยู่หรอก
“มรึงก็เอามากางไง แล้วก็ขี่จักรยานประกวดนางงามแบบที่เชียงใหม่นะ กรูรับรองเมิงได้ที่1แน่กรูว่า ขี่นวยนาดซะขนาดนั้น ขี่แบบกะเอาสายสะพายเลยนะเมิง 55555 ”

แล้วผมก็วิ่งเลยครับก่อนที่เท้าของไอ้บุ้งมันจะลอยมาหาผม
ผมได้ยินเสียงก่นด่าของมันลอยมาตามลม ประสานกับเสียงหัวเราะของผมและมัน ก็คงมีเพื่อนอย่างบุ้งนี่แหล่ะครับที่ทำให้ผมยังหัวเราะได้ ยังยิ้มได้อยู่ทุกๆวัน
หลังจากปะทะคารมเป็นการวอร์มดาว์นหลังออกกำลังกายกันนิดหน่อย ก็กลับบ้านกันครับ พอใกล้บ้านเราเริ่มเดินไปจูงจักรยานกันไป คุยกันทุกๆเรื่องครับสัพเพเหระยกเว้นเรื่องนั้นเรื่องเดียวที่ผมขอมันไว้ ถึงแม้มันจะพยายามบอกอะไรกับผมหลายครั้งแต่ผมก็ไม่อยากฟัง จนในที่สุดมันก็เลิกพูดไปโดยปริยาย
“พรุ่งนี้พี่อั้มกลับมาไม๊ว่ะ คิดถึงเหมือนกันตั้งแต่กลับมาจากเมกากรูยังไม่เจอเลย”
บุ้งมันสนิทกับทุกคนในครอบครัวผมครับ เป็นเหมือนญาติไปแล้ว
“กลับซิ เห็นว่าจะมาค้างหลายคืนด้วย คราวนี้ครอบครัวกรูอยู่ครบเลยว่ะ”
ผมมีความสุขดีครับกับครอบครัวของผม ครอบครัวที่ยั่งยืนแน่นอนเสมอมา ไม่แปรเปลี่ยนแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“มรึงมาบ้านกรูด้วยซิ มากินข้าวกัน พรุ่งนี้เย็นนะชวนน้องบีนมาด้วยล่ะ”พอผมพูดแค่นี้เท่านั้นแหล่ะบุ้งมันก็แสดงความเป็นพี่ชายที่แสนดีออกมาเลยครับ
“กรูถามเมิงจริงๆ ชอบน้องกรูเหรอว่ะไอ้โอม” ผมก็สะดุ้งไปนิดนึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรยังคงจูงจักรยานเดินต่อไป น้องบีนก็น่ารักดี
บุ้งมันเอามือมาจับที่แฮนด์จักรยานของผมไว้ไม่ยอมให้ผมเดินต่อ ผมหันไปมองหน้ามันแต่เห็นไม่ชัดหรอกครับ เพราะตอนนี้มันพลบค่ำแล้ว พระอาทิตย์กำลังเดินทางกลับไปพักผ่อนแล้ว ความมืดก็เริ่มคืบคลานมาอย่างช้าๆ อากาศเริ่มเย็นเพราะเป็นช่วงเดือนธันวาคมผมต้องโอบกอดตัวเองให้คลายหนาว แล้วผมก็ถอนใจเฮือกใหญ่ผมไม่รู้หรอก ว่ามันคิดยังไงมาถามผมเรื่องนี้
“กรูหนาวแล้วบุ้ง อยากกลับบ้านถ้ามรึงจะยึดจักรยานกรูไว้ก็เอากลับบ้านให้กรูด้วยแล้วกัน”
บุ้งตะโกนมาหาผม “กรูไม่ว่านะเว้ยถ้ามรึงชอบบีนจริง แต่ถ้ามรึงลืมพี่ต่ายไม่ได้ ไม่ยอมถอดแหวนที่มือมรึงออก มรึงก็ไม่ต้องมาทำดีกับน้องกรู ถึงมรึงจะเป็นเพื่อนรักแต่กรูก็ไม่ยอมให้มรึงมาทำร้ายความรู้สึกน้องกรูได้หรอก”
ผมได้แต่ยิ้มนิดๆแล้วค่อยๆเดินจากบุ้งมา ไม่มีคำตอบใดๆจากปากผม เพราะใจผมมันรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ว่าไม่มีใครจะมาแทนที่พี่ต่ายได้ แล้วผมก็จะไม่ถอดแวนวงนั้นให้แหวนวงอื่นมาสวมแทนได้ด้วย
หึหึ สมน้ำหน้าบุ้งดันมาถามผมไม่รู้เวล่ำเวลาจูงจักรยานไปเลยสองคันเลยนะเมิง เอาซะให้เข็ด หวงน้องสาวดีนัก

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมแยกกับบุ้งที่หน้าบ้าน แล้วนัดมันให้มาตอนเย็นวันพรุ่งนี้ แล้วพอเข้าบ้านก็ได้หอมแก้มผู้ชายเลยครับ อย่างผมนี่ตอนนี้ได้หอมแก้มคนนี้คนเดียวทุกวันก็สุดยอดแล้วครับ
“กลับมาแล้วครับมาให้อาโอมหอมหน่อย.....”

เด็กชายตัวเล็กๆขี้อายส่งยิ้มหวานทักทายมาให้ผม แม่ของเด็กส่งน้องมะขามมาให้ผม
“ไหนๆหอมหน่อยซิ.....อื้อน่ารักจังเลยหลานใครน้า”
แฮะๆหลานผมเองครับลูกพี่อิง แต่งงานปุ๊ปก็มีลูกปั๊ปทำเอาหลงกันไปทั้งบ้าน ตอนนี้ขวบกว่าๆแล้วกำลังซน ตอนนี้ผมกลับมาช่วยที่บ้านได้ปีกว่าแล้วครับไล่ๆกับอายุน้องมะขาม ก็สนุกดีไม่เครียด งานก็สนุกถึงแม้ช่วงแรกอาจจะมีขลุกขลักไปบ้าง แต่ก็มีแม่กับป๋า พี่อิงคอยช่วยอยู่
กำลังฟัดหลานอยู่อย่างเมามันหลานผมก็หัวเราะคิกๆคักๆเล่นด้วย กลิ่นของเด็กนี่มันสะอาดจังครับมีความสขจริงๆนะเป็นเด็กเนี่ย ไม่ต้องคิดอะไรเลย แล้วพ่อมะขามก็มาทวงลูกคืน
“โอมแกเอาลูกฉันมาเลย....ไป...เหงื่อเต็มตัวไปอาบน้ำก่อนค่อยมาเล่นกับหลาน”
พี่อิงหวงลูกยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ หลานผมมันก็รักผมครับ หน้าก็เหมือนผมตอนเด็กๆ ผมเลยยิ่งรัก โตขึ้นคงเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลหน้าตาแบบนี้มีแต่เจริญ 555 แต่อย่ามาเหมือนผมเรื่องเดียวเท่านั้นเอง ผมไม่อยากให้หลานต้องมาเจอปัญหาแบบผมก็เรื่องความรักนี่แหล่ะครับ เฮ้อ!!!!เปลี่ยนเรื่องดีกว่า คิดแล้วเซ็ง
อาบน้ำเสร็จก็มากินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัวครับ ชีวิตผมที่เคยมีสองคน ตอนนี้มันเยอะไปหมด อบอุ่นจนบางครั้งร้อนเกินไปด้วยซ้ำยังกับติดฮีทเตอร์ จนบางทีรู้สึกอยากจะแบ่งความอบอุ่นนี้ไปให้คนอื่นบ้าง
กำลังจะตักข้าวเข้าปากล่ะ แล้วอยู่ดีๆพี่อั้มก็มาชวนผมไปไหนไม่รู้
“โอมพรุ่งนี้ไปกับเค้าหน่อยซิตอนสายๆนะ”
ที่จริงตอนกินข้าวนี่ผมไม่ชอบพูดเรื่องงานครับ แต่คนบ้านเนี้ยขยัน ชอบเอามาพูดเรื่อยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“ทำไม มีอะไร ไปไหน ปีใหม่นะ ไม่เอ๊า”

อิอิ โวยไว้ก่อนครับ กว่าหลานผมมันจะโตที่บ้านต้องทนกับน้องคนเล็กอย่างผมไปก่อนช่วยไม่ได้ จนอายุขนาดนี้ผมก็ยังเป็นแบบนี้ล่ะ พี่อิงไม่พูดอะไรครับลุกออกจากที่นั่ง ผมก็นึกว่าจะไปเอาอะไร แต่กลับเดินมาเขกหัวผม
“นี่แน่ะ...ตัวโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วไม่เลิกนิสัยเด็กๆซะที ยังพูดไม่หมดไม่รู้เรื่องเลยโวยล่ะ”ไม่อยากบอกว่าหมาเลียไม่ถึงแต่คนน่ะถึงนะ แต่กลัวโดนเตะฮ่าๆๆๆๆ

“อ่ะว่ามาพี่อิง คนจะกินข้าวพูดเรื่องงานอยู่ได้ไม่รู้อะไรกันนักหนา......”
แล้วผมก็บ่นไปเรื่อยครับเหมือนพวกประกาศในห้างนะครับพูดไปแต่ไม่มีใครฟัง เข้าผ่านหูแล้วออกทางด่วนเลยไม่แปลงสารออกมา 555 แต่เค้าก็ทนๆผมน่ะครับคงอยากจะชดเชยในสิ่งที่เค้าไม่ให้ผมมากกว่า
“ตอนนี้งานเค้าเต็มมือเลย มีลูกค้ารายนึงเค้าเป็นคนกรุงเทพฯมาจ้างเราปลูกบ้านน่ะ โอมไปช่วยคุมแทนให้เค้าหน่อยซิ”
ผมมันพวกเจเนอรัลเบ๊ครับดูสัพเพเหระ ช่วยบัญชี ฝ่ายขาย จัดซื้อ บางทีก็ไปช่วยคุมก่อสร้างบ้าง เหอๆๆๆชีวิตหนุ่มผู้แสนบอบบางอย่างผม ตอนนี้ผมผอมลง คล้ำขึ้นร่างกายก็ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นด้วยได้ออกกำลังกายทุกวัน ก็ดีๆๆ ชีวิตที่ไม่ว่างเปล่า ผมบอกตัวเองอย่างนี้เสมอๆ
“ได้เท่าไหร่....ดูผลประโยชน์ก่อน แต่พรุ่งนี้วันหยุดนะของพิเศษ4เท่า อิอิ”ไม่ค่อยงกหรอกครับ แต่ทำงานมันต้องมีต้นทุนใช่ไม๊ครับ เพราะงานรับเหมานี่คนล่ะกระเป๋ากันกับที่บ้าน ผมก็ต้องรักษาผลประโยชน์ที่บ้านก่อนเอาเวลาไปทำข้างนอกนี่

“อ่ะให้เดือนละหมื่นนึง...แม่ไม่น่าให้มันเรียนบัญชีเลยน่ะ เค็มยิ่งกว่าปลาเค็มอีก ไอ้น้องบ้า”
“กินปลาเค็มซิดีได้เกลือไอโอดีน แล้วยังอร่อยอีก กินกับข้าวก็ไม่เปลือง มีหอมแดงซอยหน่อยบีบมะนาว พริกขี้หนู โอ๊ยพูดแล้วอยากกินพี่อิง 555”
พอพูดไปแค่นั้นพี่อิงเอาอะไรไม่รู้ครับทำท่าจะขว้างผม แต่คงเกรงใจแม่ ป๋านั่งมองอยู่ ไม่กล้าหรอกครับ หุหุหุ แล้วแม่เป็นผู้รักความยุติธรรมครับก็เข้าข้างผม
“ดีแล้วให้เงินน้องไป น้องจะได้มีกำลังใจช่วยงานเราไงล่ะ” 5555ผมล่ะดีใจ จะได้เงินสมทบทุนกองทุนท่องโลกต่างแดนของผม

แหมเค้าเอาเงินมาประเคนขนาดนี้ก็ต้องทำล่ะครับ “ถ้างั้นก็โอเค แต่โทรมาบอกล่วงหน้าล่ะเค้าจะได้เคลียร์งานก่อน แล้วงบเค้ากี่ล้านน่ะพี่อิงบ้านหลังเนี้ย” ทำก็ได้ เงินเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงชีวิตเรา
“หลังก็ไม่ใหญ่มากนะ แต่เค้าจ้างพี่ไม่เกินสองล้านน่ะรวมค่าวัสดุด้วยนะ”
อืมสมองผมก็คำนวณเลยครับ ก็คงอย่างน้อย5-6 เดือนกว่าจะเสร็จ ก็คงได้เหนาะๆ6-7 หมื่นล่ะว้าเศษของเดือนปัดขึ้น ขืนไม่ให้มีโวยกันล่ะคราวนี้ คราวนี้ล่ะงานยุ่งจนไม่มีเวลาฟุ้งซ่านแล้ว

“โอเค! พอล่ะๆเลิกพูดเรื่องงานเปลี่ยนเรื่องไว้ค่อยคุยทีหลัง...แม่พรุ่งนี้โอมชวนบุ้งกับน้องบีนมากินข้าวบ้านเรานะแม่”
“เอาซิ.....เด็กๆจะได้สนุกกันแม่ว่าจะทำบาบิคิวด้วยดีไม๊”
“เอาเลยแม่ พรุ่งนี้พี่อั้มก็จะมาด้วย พี่อั้มก็ชอบกินบาบิคิว”
ปีนี้เป็นปีแรกที่พี่อั้มจะมาฉลองปีใหม่ด้วยกันกับเราหลังจากไปเรียนมานาน ผมกำลังสบายใจเมื่อพูดถึงพี่ผมคนนี้ แต่พอป๋าพูดออกมาผมก็เหนื่อยใจทันที เรื่องเดิมๆเก่าๆที่ทุกคนพยายามให้ผมเป็น
“โอมน้องบีนก็น่ารักดีนะลูก ตอนนี้ก็เรียนจบแล้วด้วยเห็นว่าจะมาช่วยบุ้งทำงานที่บ้านเค้า โอมไม่สนใจบ้างเหรอลูก” ผมเผลอถอนหายใจออกไป

“ป๋าก็พูดอะไรไม่รู้เดี๋ยวไอ้บุ้งมันมาเหยียบผมตายพอดี มันหวงน้องจะตาย..... ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะครับทุกคน”
บางทีเวลาเราไม่อยากจะตอบปัญหาใคร หรือไม่อยากพูดเรื่องอะไร ที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้หรือมันไม่ใช่ ผมใช้วิธีนี้แหล่ะครับจะว่าผมหลบหนีปัญหาก็ยอม เพราะถึงเราพูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์มีแต่จะไม่สบายใจกันทุกฝ่าย แต่ก็ดีครับทุกคนรู้ว่าถ้าทำแบบนี้คืออย่ามายุ่งกับผม เค้าก็จะเงียบไปเอง ไม่เซ้าซี้กับผมอีก
ผมรู้สึกว่าเวลาทำให้ผมเปลี่ยนไปในบางเรื่อง ผมเลิกร้องไห้มาเป็นปีแล้วครับ พอกันทีพี่ต่ายเคยบอกผมว่าน้ำตาไม่ช่วยให้คำตอบอะไรได้ มันก็จริงอย่างที่พี่ต่ายพูด ผมร้องไห้มาเป็นเดือนแต่ไม่มีคำตอบอะไรเลย

จนวันนึงผมก็คิดได้เองว่าพอเถอะ มันมากเกินไปแล้ว แล้วก็ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป อย่างมากก็แค่ซึมๆที่หางตาเท่านั้น
พอมาอยู่ต่างจังหวัดเวลาจะเหมือนมีเยอะครับ ถ้าใครเคยอยู่กรุงเทพฯแล้วมาอยู่ต่างจังหวัดจะรู้ดี เหมือนเราได้เวลากลับมาอีกอย่างน้อยวันนึง 3-4 ชั่วโมง ตอนเช้าได้นอนมากขึ้น ตอนเย็นมีเวลาไปออกกำลังกาย มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น นอกจากว่าคุณจะชอบเข้าสังคมหรือชอบเที่ยวคุณก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะมันเงียบน่ะครับ

นอกจากจะอยู่ในตัวจังหวัดจริงๆ
แต่ผมก็อยู่ได้อย่างสงบเงียบไปตามประสาหนุ่มโสด ผมขึ้นไปอ่านหนังสือที่ซื้อมาตุนเอาไว้แล้วทะยอยๆอ่าน กำลังเพลินครับก็มีสายเข้ามา พอเห็นชื่อก็ยิ้มแล้วครับ
“ว่าไงครับที่รัก....”ผมยิ้มได้ทุกทีครับกับคนนี้ เสียงใสๆอ้อนตอบกลับมา
“คิดถึงกันบ้างหรือเปล่าโอม”
“ก็คิดถึงซิ...จะลืมกันได้ยังไงเล่า” คิดถึงอยู่เสมอๆเลย เป็นคนที่ผมพูดได้ทุกๆเรื่องอีกคนนึง
“มาเจอกันหน่อยซิเพื่อนๆบ่นหาโอมน่ะ”
ผมก็เงียบไปพักนึงครับ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอใครนะครับ ผมก็ไปเจอติงบ่อยแต่กับคนอื่นผมไม่ค่อยเจอ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องผมกับพี่ต่ายหรอกครับ เค้ารู้กันแต่ว่าผมกลับมาช่วยงานที่บ้าน
“ก็เอาซินัดมาแล้วกันจะเอาวันไหนติง....ขอเป็นเสาร์เย็นไม่ก็อาทิตย์นะ”
“ได้จ๊ะ....เอาอาทิตย์นี้เนอะ แล้วติงโทรบอกสถานที่โอมอีกที” แล้วติงก็เงียบไปพักนึงเหมือนกับลังเลว่าควรจะพูดดีไม๊
+
+
+
“โอมตอนนี้โอมเป็นไงบ้าง”
+
+
+
พอติงพูดแบบนี้ผมก็นิ่งไปพักนึงครับ แต่คุยทางโทรศัพท์ก็ดีเพราะเรายังสามารถเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อยู่บ้าง ผมต้องหลับตาข่มความรู้สึกที่มันพลุ่งพล่านขึ้นมา ยังไงผมก็ยังอ่อนไหวกับเรื่องนี้อยู่ดี

บางทีผมก็งงตัวเองเวลาบุ้งถามผมอย่างนี้ผมจะหงุดหงิด แต่ถ้าเป็นติงผมกลับรู้สึกดีเหมือนยังมีคนห่วงใยผม ทั้งที่ผมก็รู้ว่าบุ้งก็หวังดีต่อผมไปไม่น้อยกว่าติง คงจะเป็นเพราะว่าลึกๆแล้วผมคงละอายใจต่อบุ้งที่ไม่รับความรักของมานแต่ไปรักพี่ต่าย แล้วในที่สุดมันก็จบไม่สวยแบบนี้ แต่ละคำพูดที่พูดเรื่องนี้มันช่างยากเย็นเหลือเกินสำหรับผม
ผมตอบคำถามติงไป ก็เหมือนกับบอกย้ำความรู้สึกให้กับตัวเองไปด้วย
“ติงผมไม่เจอพี่ต่ายมาปีกว่าแล้วนะ ผมควรจะดีขึ้นได้แล้วไม่ใช่เหรอติง”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อย่าโกรธกันนะ
