ไม่อยากลงตอนนี้เลยอ่ะ

++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 53
พอพี่ต่ายส่งบุ้งเสร็จเหลืออยู่กับผมสองคน ผมรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้มันเหมือนคนที่เพิ่งจะหายโกรธกันใหม่ๆมันขัดเขิน ไม่กล้าพูดกล้าคุย ก่อนหน้านี้ก็ยังมีติงมีบุ้งก็ทำให้ผมพอจะเนียนๆมั่วๆไปได้ แต่ตอนนี่ผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนตอนที่รู้จักพี่ต่ายใหม่ๆ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พี่ต่ายเป็นคนเริ่มพูดก่อน
“ทำไมโอมเงียบไป...มีอะไรค้างคาใจรึเปล่า หือ” ผมก็ยังพูดไม่ออกอยู่ดี
“......................................”
“โอมคุยกับบุ้งรู้เรื่องแล้วใช่ไม๊”พี่ต่ายพูดเสียงเย็นๆ แต่ผมน่ะพูดเสียงอ่อยๆ
“รู้เรื่องแล้วพี่.....”
ผมกำลังจะพูดอธิบายต่อเล่าให้พี่ต่ายฟังว่าคุยเรื่องอะไรกันบ้างกับบุ้ง แต่พี่ต่ายก็พูดแซงขึ้นมาก่อน ที่สำคัญแซงแล้วเฉี่ยวจนผมถลอกไปหมดทั้งตัวด้วยคำๆนี้
“แต่ถ้าโอมรักบุ้งจริงๆพี่ก็ยินดีที่จะถอยนะ พี่ไม่ชอบบังคับจิตใจใคร ถ้าโอมไม่รักพี่แล้วถ้าเป็นบุ้งพี่ก็ยินดี”
ผมถึงกับตะลึงหันไปมองหน้าพี่ต่ายด้วยความเสียใจ

น้ำตาร่วงมาเป็นชุดเหมือนกับท่อน้ำแตก ผมถึงกับพูดไม่ออกไปทันที พี่ต่ายจะยกผมไปให้คนอื่นง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ผมไม่ใช่กระดาษทิชชู่ที่ใช้เสร็จแล้วทิ้งนะ
ผมได้แต่ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาน้ำมูกที่ไหล พยายามล้วงกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงก็ไม่มีผ้าเช็ดหน้าอยู่ดีได้แต่นึกเสียใจ ทำไมไม่หัดพกผ้าเช็ดหน้าว่ะไม่ได้ไว้เช็ดหน้าก็เผื่อไว้เช็ดอย่างอื่นได้ ผมชะโงกไปที่นั่งด้านหลังจะหากล่องกระดาษทิชชู ก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย....แม้แต่พี่ต่ายผมก็ไม่มี
ทำอะไรไม่ถูกก็นั่งร้องไปจนปวดหัวปวดตาไปหมด ผมไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากว่า.....พี่ต่ายไม่รักผมแล้ว ทำไมมันทรมานอย่างนี้นะความรัก
“...........................”พี่ต่ายเงียบไปอีกละ เว้นพักนึงแล้วก็สอบสวนต่อ ไม่ได้สนใจที่ผมร้องไห้เลย เหลือบมามองนิดเดียวแล้วก็ขับรถต่อ
“โอมรู้ตัวไม๊ว่าทำผิด.........”
พี่ต่ายเป็นครูเก่ารึเปล่าไม่รู้ หรือเป็นพวกCIA เป็นCPAนี่หว่า ตรวจบัญชีนะไม่ใช่ตรวจจับขโมย ตอนนี้นอกจากหดหู่เศร้าหมองแล้วยังรู้สึกหนาวๆร้อนๆยังไงไม่รู้
ผมเองก็รู้ตัวว่าผิด แต่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวเสียงจะสั่น น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุดเลยได้แต่พยักหน้า ผมไม่น่ารีบหลงดีใจเลยว่าพี่ต่ายจะหายโกรธ ไม่น่าเลย ผมแอบมองหน้าพี่ต่ายทำไมอมยิ้มล่ะ....????

แล้วพี่ต่ายก็พูดต่อตอนนี้กลับมาทำหน้าขรึมอีกล่ะ
“พี่จะไม่บอกหรอนะว่าโอมควรจะวางตัวยังไงกับบุ้ง เพราะพี่เคารพสิทธิส่วนตัวของโอม”
พูดซะเครียดไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ยยย...
“แต่โอมก็ต้องรู้ว่าโอม...เป็น...แฟน...ของพี่” เน้นทีละคำด้วยนะ
“โอมโตแล้วนะ การที่เราเห็นใจคนอื่น มันก็ดี”
“แต่การที่เราใจอ่อน ไม่อยากให้เค้าเสียใจ แล้วเราไม่พูดกับเค้าไปตรงๆ มันทำร้ายทั้งตัวเค้าตัวเรา แล้วก็อาจมีคนรอบข้างอีก โอมเข้าใจไม๊”
เข้าเรื่องซะที ผมอยากบอกพี่ต่ายว่า.....เข้าใจซึ้งเลยพี่ จำไปจนตายเลย ผมพยักหน้าให้พี่ต่ายอีกรอบ ว่าผมเข้าใจแล้วพี่.......เข้าใจมากที่สุดในชีวิตแล้วมั๊ง

พี่ต่ายหันมาลูบหัวผม แล้วมองผมด้วยสายตาของคนที่รักผม ทำเหมือนตอนที่หมามันกัดรองเท้าเรา เราเอารองเท้าตีปากมันแล้วพอมันร้องวูบนึงเราก็อดสงสารมันไม่ได้ จนต้องไปลูบหัวมันด้วยความรัก ผมเกือบเผลอเลียมือพี่ต่ายไปแล้ว อิอิ
แล้วนี่ตกลงพี่ต่ายเอาไงแน่เดี๋ยวก็พูดจาทำร้ายใจเดี๋ยวก็มาทำดีด้วย ผมชักสงสัย
“ถ้าโอมบอกบุ้งไปตั้งแต่แรกๆ พี่ว่าบุ้งอาจจะเสียใจน้อยกว่านี้นะ” พี่ต่ายพูดเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่า ผมไม่รู้ว่าพี่ต่ายจะมาเข้าจิตเข้าใจบุ้งตั้งแต่ตอนไหนกัน
พี่ต่ายเป็นฝ่ายพูดอยู่คนเดียวในขณะที่ผมได้แต่ฟัง จนพี่ต่ายเริ่มทนไม่ไหวต้องเอามือประคองหน้าที่ก้มอยู่ของผมให้หันมามองพี่ต่าย ผมเพิ่งสังเกตว่ารถเรามาที่จอดหน้าบ้านแล้วครับ
“โอมเป็นอะไรไม่ค่อยพูดเลย” จะไปมีอารมณ์พูดอะไรล่ะ ร้องไห้ซะขนาดนี้
แต่ผมเองก็อยากพูดให้มันจบปัญหาไปวันนี้เหมือนกัน ยังไงเมื่อวานกับวันนี้ก็อึดอัดเหมือนคนท้องผูกมาทั้งวันแล้ว เราก็ควรที่จะปล่อยออกไปให้หมด จะได้ไม่เกิดแกสในกระเพาะอาหาร
“ผมกำลังเสียใจน่ะพี่ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้ยังไง”
“ผมทำผิดต่อบุ้ง ทำผิดต่อพี่ต่ายใช่ไม๊พี่”ผมเงยหน้ามองพี่ต่าย พี่ต่ายค่อยๆเอามือมาเขี่ยผมที่มาปรกหน้าผมอยู่
“บางทีเราก็มองอะไรด้วยตัวเองไม่เห็น ทั้งที่มันอยู่ใกล้แค่ขนคิ้วเราเอง”
“แต่คนอื่นเค้ามองมาเค้าเห็นได้ชัดกว่าเราอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหา เราต้องหาคนช่วยบอกช่วยแนะ”
“เราไม่สนใจมองมันเพราะเราไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่คนอื่นเค้าอาจไม่คิดแบบนั้น”
พี่ต่ายพูดอะไรให้ผมงงอีกแล้ว สมองผมคงช้าเกินไป บางทีการทานปลาแม้แต่ปลาหิมะก็ไม่ช่วยทำให้ฉลาดขึ้นมาได้ในทันที แต่ผมเดาๆเอาที่พี่ต่ายพูดว่าหมายถึง วันหลังมีเรื่องอะไรให้ปรึกษาพี่ต่าย ผมคิดว่าชีวิตหลังจากนี้ของผมคงต้องให้ผู้ชายคนนี้รับรู้ทั้งหมด แล้วพี่ต่ายก็ถามผมอีกเรื่องนึงซึ่งเป็นคำถามที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน
“แล้วติงว่าไง”
“ติงทำไมพี่”ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“โอมคบกับติงในฐานะอะไรกันแน่....พี่อยากถามให้แน่ใจ”
“คมโทรมาบอกพี่ว่าโอมมาดูหนังกับผู้หญิง พี่ก็พอเดาออกล่ะว่าเป็นติง แต่ไม่นึกว่าจะสนิทกันมากขนาดนี้”
ผมเริ่มงอนพี่ต่ายอีกแล้ว แต่ตอนนี้อยากเหยียบหน้าไอ้พี่คมด้วยมากกว่า กัดกันทั้งซึ่งหน้าทั้งลับหลังเลย แล้วพี่ต่ายก็น่าจะรู้ว่าผมคบกับติงก็แค่เพื่อน ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย ทำไมไม่เชื่อใจกันบ้างเลย ยังครับเรื่องยังไม่หมด พี่ต่ายพูดต่ออีกมาก๊อกสอง
“แล้วยังอีตารนอีก พี่เห็นนะที่เค้าส่งสายตาให้เราน่ะ”
น้ำเสียงพี่ต่ายพอพูดเรื่องพี่รนฟังดูขึงขังกว่าตอนพูดเรื่องติงอีก
“ผมไม่เคยคิดว่าพี่ต่ายจะมาหึงผม แต่ผมไม่ดีใจหรอกนะเพราะว่ามันไม่ใช่” :oผมพูดไปด้วยความโมโห แล้วก็เอื้อมมือไปเปิดประตูจะลงจากรถ แต่พี่ต่ายดึงมือผมไว้ ผมเริ่มเจ็บข้อมือเพราะพี่ต่ายบีบแน่น ผมก็พยายามแกะออกแต่มันไม่ออกง่ายๆซิ
“พี่ยังไม่ให้เราลงไปไหนทั้งนั้นถ้าเรายังพูดกันไม่จบในวันนี้ พี่ไม่อยากเอาเรื่องรกสมองเก็บมันไปจนข้ามปี โอมจะหนีปัญหาไปถึงไหนกัน”
“ผมไม่ได้หนีปัญหา ก็พี่ต่ายไม่เชื่อใจผมเลย ผมก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่ทั้งติงทั้งพี่รน”

ผมสะบัดข้อมืออย่างแรงพี่ต่ายเลยต้องปล่อยมือผม ทำไมผมต้องผิดเรื่อยเลยนะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้ข้อมือผมแดงเป็นรอยนิ้วห้านิ้ว พี่ต่ายขมวดคิ้วพูดต่ออีก
“พี่พึ่งพูดไปว่าบางทีเราก็มองอะไรด้วยตัวเองไม่เห็น แต่คนอื่นเค้ามองมาเค้าเห็นได้ชัดกว่าเราอีก โอมอยากจะให้เกิดปัญหาแบบเรื่องบุ้งขึ้นมาอีกเหรอ”
“มันไม่ใช่นะพี่...”ผมเริ่มทนไม่ไหว แล้วน้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มอีกแล้ว วันนี้ผมเครียดมาทั้งวันแล้วพี่ต่ายก็ยังมาบีบคั้นผมอีก
“โอมหยุดร้องเถอะ น้ำตามันไม่ได้ตอบคำถามพี่ได้หรอก”พี่ต่ายยังไม่หยุดดุผมเลย แล้วเรื่องอะไรผมต้องหยุดร้องด้วยเล่า จะร้องๆๆๆๆจะทำไมว่ะ
“ติงเค้ารู้เรื่องเราหมดแล้ว เค้าเห็นใจผม เป็นที่ปรึกษาผมก็แค่นั้นเอง ผมไม่สบายใจเรื่องของเราผมคุยกับใครก็ไม่ได้ แค่เรื่องแค่นี้พี่ก็ต้องมาระแวงผมด้วย พี่ต่ายรู้ไม๊ว่าผมเสียใจ รู้ไม๊”
ผมเผลอโวยใส่พี่ต่ายไปแล้วครับ ไม่รู้จะมาว่ากันทำไม พี่ต่ายชะงักไปนิดนึงครับ เพราะผมยังไม่เคยบอกพี่ต่ายว่าติงรู้เรื่องของเราแล้ว หรือชะงักเพราะเจออิทธิฤทธิ์ของผมก็ไม่รู้
“พี่ต่ายก็เคยพูดว่าติงทั้งเก่ง ทั้งสวย ทั้งฉลาด น่ารัก.............เป็นใครก็ต้องหลงรักติง”
พี่ต่ายมองหน้าผมเลิกคิ้วขึ้น “.............................หืมมมม”
+
+
+
“จริงๆนะ.....”ผมยกมือปาดน้ำตา มองหน้าพี่ต่ายที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ เราสองคนต่างก็เงียบไปนาน แล้วผมก็พูดต่อว่า
“ถ้าผมไม่รักพี่ไปจนหมดใจแล้ว.....ผมก็คงรักติงนี่แหล่ะ”
แล้วผมก็ลงจากรถไปเลยครับ ยังไม่หายงอนนะ เซ็งด้วยแหล่ะ คราวนี้พี่ต่ายไม่ดึงผมไว้แล้ว สงสัยกำลังงงว่าผมพูดอะไร ผมเลยวิ่งขึ้นห้องไปเลย
ผมเหนื่อยมากเลยครับวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าที่ผมคงลืมไม่ลงอีกนานเลย พี่ต่ายยังไม่ขึ้นมาเลยครับผมชะโงกดูเห็นพี่ต่ายนั่งคิดอะไรคนเดียวอยู่ที่โซฟา ผมก็เลยอาบน้ำนอน
ผมว่าผมพูดเคลียร์หมดแล้วนะทั้งเรื่องบุ้งเรื่องติง ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้วตอนนี้ปวดหัวเอามากๆเลย ส่วนเรื่องพี่รนผมไม่รู้จะเคลียร์อะไรเพราะเค้ายังไม่ได้มีท่าทีอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้พี่ต่ายไปเอามาจากไหน ก็มานั่งแป๊ปเดียวเองนี่นา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จนจะนอนแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าตกลงวันนี้เราคืนดีกันรึยังแน่มันคลุมๆเครือๆยังไงไม่รู้ พี่ต่ายเองก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวดุไม่รู้เป็นอะไร เดาใจไม่ถูก สงสัยผมคงจะเพลียมากผมก็เลยหลับไปเลยตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ จนมารู้สึกตัวเพราะพี่ต่ายมาดึงตัวผมลุกขึ้นมานั่งหอมแก้มแล้วก็กอด
“โอมตื่นเถอะ.......มาข้ามสู่ปีใหม่ไปด้วยกันกับพี่” ผมยังคงนั่งง่วง ....งงกับที่พี่ต่ายพูด แล้วก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า แต่มือพี่ต่ายดึงไว้
“โอมจะทำอะไร...?”
“จะเปลี่ยนเสื้อผ้าไงพี่ต่าย ไปเคาท์ดาวน์ไม่ใช่เหรอ ที่ไหนอ่ะเวิร์ลเทรดเหรอ”
พี่ต่ายยิ้มๆแล้วลูบหัวผม จูบสัมผัสแก้มผมเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงอันอบอุ่นว่า
“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกที่บ้านนี่แหล่ะ....ไป..ลงไปข้างล่างกับพี่”แล้วพี่ต่ายก็จูงมือผมลงไปข้างล่าง
ข้างล่างมืดๆครับผมต้องคลำบันไดลงไป ไฟฟืนก็ไม่เปิดแฮะพี่ต่ายนี่ ตกบันไดไปใครจะรับผิดชอบกัน หรือว่ากะฆาตกรรมอำพราง ผมเลยยึดราวบันไดแน่นให้มั่นใจว่ายังไงก็ไม่ตกแน่ๆ
แต่พอพ้นบันไดลงมา ก็เห็นแสงสว่างวาววามของแสงเทียนรำไรๆ พอมองเห็นว่ามีเทียนจุดอยู่บนโต๊ะ บนโต๊ะมีเค้กก้อนเล็กๆวางอยู่ แจกันดอกไม้น่ารักๆ พร้อมด้วยขวดไวน์และแก้วสองใบ เสียงเพลงคลอเบาๆ ผมไม่ทันฟังว่าเป็นเพลงอะไรรู้แต่ว่ามันเข้ากับบรรยากาศสุดๆ ชวนให้เสียตัวจริงๆ 5555
ผมหันไปมองหน้าพี่ต่ายก็พบว่าพี่ต่ายกำลังมองหน้าผมอยู่เหมือนกัน สองมือของพี่ต่ายจับที่ต้นแขนผม
“ปีนี้เป็นปีแรกที่เราจะได้อยู่ด้วยกันในวันสุดท้ายของปี แล้วก็เข้าสู่ปีใหม่ด้วยกันสองคน”
“พี่อยากจะบอกโอมว่า พี่ดีใจที่ได้มีวันนี้....กับใครซักคนที่พี่รัก...ก็คือโอม”
แล้วพี่ต่ายก็สัมผัสริมฝีปากผมอย่างอ่อนหวาน พี่ต่ายใช้เวลากับริมฝีปากผมอย่างเต็มที่ รสสัมผัสจากพี่ต่ายนุ่มนวลไม่ดึงดันเหมือนอย่างกับที่บุ้งทำ และผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่พี่ต่ายจูบ ผมคงจะไม่หยุดถ้าพี่ต่ายไม่เลิกก่อนกำลังชอบเลยครับอดเสียดายไม่ได้ หึหึหึ
“เกือบเที่ยงคืนแล้วนี่โอม ....เรามาดื่มกันก่อนนะ” พี่ต่ายรินไวน์แล้วส่งมาให้ผม
เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีจะเข้าสู่ปีใหม่ ทั้งที่มีเพียงเราสองคนแต่ผมรู้สึกเหมือนมีใครมาเปิดดนตรีในหัวใจ เสียงของหัวใจมันดังและพร้อมที่จะเปล่งเสียงไชโยออกมา
“เรามานับด้วยกันดีกว่าพี่ต่ายนะ”
“เอาซิโอม”
แล้วเราก็เริ่มเปล่งเสียงนับพร้อมกันเบาๆ ตาของเรามองที่เข็มนาฬิกา 5 4 3 2 1 0 ผมกับพี่ต่ายมองตากัน เหมือนมีใครมาจุดพลุในใจของเรามันส่องสว่าง เปล่งประกาย หลากสีสันสวยงาม สร้างความประทับใจให้กับเราสองคน

เราชนแก้วกันแล้วก็ดื่มไวน์พร้อมๆกัน รสชาติของมันช่างหอมหวานเหมือนกับบรรยากาศในคืนนี้ พี่ต่ายรับแก้วไวน์ไปจากมือผมแล้ววางลง แล้วพี่ต่ายก็สวมกอดผมแล้วพูดว่า
“สวัสดีปีใหม่ครับโอม พี่ขอให้ปีนี้และปีต่อๆไปของเรามีแต่ความรักนะครับ เราจะไม่ทะเลาะกันแล้วนะโอม”
พี่ต่ายยกมือของผมขึ้นสัมผัสด้วยริมฝีปากตรงแหวนที่ผมใ่ส่ แล้วบอกคำพูดที่เหมือนเป็นคำสัญญาของเราว่า
“โอมอย่าถอดแหวนวงนี้นะถ้ายังรักพี่อยู่ แต่ถ้าวันไหนหมดรักพี่แล้วก็เก็บมันไว้แล้วกันไม่ต้องคืนพี่”
“เพราะว่าใจของพี่ที่ให้โอมไปแล้วพี่ไม่เอาคืน”

ผมกอดตอบพี่ต่ายด้วยความเต็มใจ ผมรู้สึกอบอุ่นใจจากอ้อมกอดของพี่ต่าย
“ครับพี่ต่าย”
ผมพูดสั้นไปหน่อยเพราะมันตื้นตันจนไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี แต่ผมอยากเก็บความประทับใจนี้ไว้ให้นานๆ ผมนึกขึ้นมาได้เลยชวนพี่ต่ายถ่ายรูปครับ
“พี่ต่ายถ่ายรูปคู่กันเถอะ ใช้โทรศัพท์ผมนี่แหล่ะนะพี่นะ เรายังไม่เคยมีรูปคู่กันเลย”
“ครับโอม”
แล้วเราก็ถ่ายรูปคู่กันหลายใบครับ มีทั้งต่างคนต่างหอมแก้มกัน จูบปากกัน พี่ต่ายจูบที่หน้าผากผม จูบที่ตาผม ที่จมูกผม แล้วก็อีกเยอะครับบางรูปก็เป็นฝ่ายผมบ้าง

ผมรู้ความรักของเราจะนำพาเราเดินเคียงไปด้วยกันอย่างแน่นอน มันอาจจะมีสะดุดไปบ้างแต่เราต่างก็พร้อมที่จะช่วยดึงกันและกันขึ้นมา แล้วก็ร่วมเดินทางกันต่อไป
แต่ผมไม่รู้หรอกครับว่าการถ่ายรูปคืนนั้นจะเป็นการถ่ายรูปครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเรา....
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอตัวไปซัก2-3วันไปสะสมเสบียงกรังไว้ออกรบก่อนนะค่ะ ตอนนี้ข้าวกะปิน้ำปลาหมดแล้ว กรุงใกล้จะแตก ยังไงคนอ่านอย่าเพิ่งยกพลมารุมนะขอเวลานิดส์นึง

ปล.Snowblack ทำงานสอบเหมือนกันเหรอ เหอๆๆอย่าทำงานหนักมาน่ะ มีไรติดต่อหลังไมค์ได้
