41
ภาสกรหนักใจไม่น้อย เมื่อออกจากวังขับรถมาเรื่อยๆ จะไปรับนทีที่ร้าน Chez moi เมื่อตอนพูดชื่อเขาดูเหมือนว่าหม่อมแม่และทิฆัมพรจะจำนทีไม่ได้จริงๆแต่ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเมื่อได้เจอกันแล้วจำได้หรือไม่ แม้เขาจะมั่นใจมากก็ตามว่าหม่อมแม่จำหน้าคนที่เห็นกันครั้งเดียวแถมเป็นคนที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงไม่ได้คุยกันสักคำไม่ได้แน่ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าหากเห็นปุยฝ้ายหม่อมแม่จะจำได้หรือไม่
ในเมื่อฝ่ายนั้นทั้งคุยไปทั้งด่าไปแทบจะกินเลือดกินเนื้อกันอยู่แล้ว
เขาจึงจงใจจอดรถไว้ในซอยเล็กๆ สตาร์ทเครื่องให้แม่และทิฆัมพรรอในรถไปก่อน อ้างว่าอากาศร้อน แดดจัดมากลงมาจะต้องร้อนจนแสบผิวแน่ สองสาวที่รักความงามของตนยิ่งกว่าสิ่งใดก็เลยยินยอมรอในรถที่เปิดแอร์ไว้จนเย็นฉ่ำ
คุณชายหนุ่มเดินเข้าร้านมาก็มองหานทีเป็นคนแรก ปรากฏว่าเจอเจ๊เก๋เจ้าของร้านออกมาทักเสียก่อน
“สวัสดีค่ะคุณชาย น้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ค่ะ”
“ครับ” ภาสกรยิ้มให้ “แล้วปุยฝ้ายล่ะครับ”
“อ๋อ น้องฝ้ายลาหยุดน่ะค่ะ” หล่อนตอบเท่าที่หล่อนรู้ พอนทีเดินออกมาพร้อมกับชุดลำลองแล้ว เขาก็เป็นฝ่ายชี้แจงว่า
“ปุยฝ้ายหยุดกลับบ้านครับคุณชาย พ่อเพิ่งโทรมาเมื่อคืนเลยนั่งรถกลับพังงาไปแล้วเมื่อเช้า ฝากขอโทษคุณชายมาด้วยบอกว่าถ้าเจอกันเมื่อไหร่จะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวคุณชายเป็นการไถ่โทษ” นทีผู้จบภาสกรก็ถอนใจอย่างโล่งอก
“นที หม่อมแม่กับทิฆัมพรมาน่ะ พวกเขาไม่เคยคุยกับนที ก็คงจะจำนทีไม่ได้ ผมกำลังกลัวอยู่เลยว่าเขาจะจำปุยฝ้ายได้แล้วเราจะซวยกัน” เขาว่า ภาสกรเป็นคนเกรงใจแม่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร นทีพอจะรู้ดีก็เลยไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง บอกภาสกรว่า
“แล้วบอกว่าผมชื่อนทีเขาจำไม่ได้หรือ”
“จำไม่ได้หรอก เคยเจอกันครั้งเดียวหม่อมแม่ผมจำคนไม่ค่อยเก่งอยู่แล้ว” ภาสกรตอบคนรักก่อนจะลาเจ๊เก๋แล้วเดินออกจากร้านมา “นทีตัดผมสั้นอย่างนี้คงยิ่งจำไม่ได้ เอาแว่นผมไปใส่ก่อน อ้ะ จะได้ยิ่งจำไม่ได้เข้าไปอีก”
เท่านั้น นทีก็พรางตัวไปได้ขั้นหนึ่งแล้วพอเดินมาที่รถก็ปรากฏว่าทั้งทิฆัมพร และวิไลวรรณต่างก็จำนทีไม่ได้จริงๆ พอนทีประนมมือไหว้ ก็รับไหว้อย่างดีถึงอย่างนั้นก็ไม่ชวนคุย หรือทักทายอย่างสนิทสนม นั่งคอตั้งอย่างไว้ตัวอยู่เบาะหลัง โชคดีอีกอย่างที่นทีค่อนข้างจะหน้าตาดี ยิ่งตัดผมสั้นมากอย่างนี้ยิ่งดูสะอาดหน้าตาสดใส สองสาวที่เบาะหลังจึงไม่ได้ใส่ใจไม่มีอะไรมาให้ค่อนขอดนัก
ภาสกรออกรถไปในที่สุด โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่า มีใครบางคนที่แสร้งเดินเลือกของอยู่ที่ร้านฝั่งตรงข้าม รีบเดินขึ้นรถของเขา แล้วขับตามภาสกรไปตลอดทางจนถึงตลาด
หม่อมวิไลวรรณ ออกจะตกใจเล็กน้อยเมื่อเจอเพื่อนของภาสกร ปกติแล้วเพื่อนๆของลูกชายของหล่อนจะต้องเป็นเด็กชาติตระกูลสูงส่งพอกัน หรือไม่ก็พวกลูกเศรษฐี สำหรับวิไลวรรณแล้ว ถ้าจะเลือกให้ลูกคบเพื่อนคนที่เป็นเจ้าเป็นนายเป็น “ผู้ดี” จะถือว่ามาเป็นอันดับ1 ตามมาด้วยพวกราชสกุล ยิ่งมี ณ. อยุธยาจะยิ่งได้พิจารณาเป็นพิเศษ ต่อไปก็เป็นพวกลูกเศรษฐี เจ้าสัว พวกเจ้าของกิจการใหญ่โตหน่อย ถ้ามีเชื้อเจ๊กจีนผสมแล้วหล่อนจะยิ่งจัดไว้อันดับท้ายๆ
สามัญชนให้คุยกันได้บ้างแต่ไม่ยอมให้ไปมาหาสู่บ่อยๆนัก
เพราะหล่อนมั่นใจ อย่างคนเจ้ายศเจ้าอย่างถือตัวว่าสูงส่ง ตามประสาหล่อนว่า คนที่ชาติตระกูลดี มีการศึกษาย่อมได้รับการอบรมดี มีกิริยามารยาท แล้วก็ไม่หลอกลูกของหล่อนให้เสียเปรียบ เรื่องหน้าตา และเงินทองอยู่แล้ว ติดอยู่หน่อยตรงที่ พวกนี้บางคนจะเจ้ายศเจ้าอย่างพอกะหล่อน บางทีไม่มีสัมมาคารวะ อวดร่ำอวดรวย หล่อนก็ต้องมาคัดเลือกอีกทีว่าคนไหน “ควรคบ” คนไหน “ไม่ควรคบ” แต่อย่างน้อยถ้ารู้ว่า “ชั้นสูง” หน่อย หล่อนก็จะมั่นใจได้ว่าไม่น่าห่วงนัก
แต่ถ้าเห็นชัดว่า “ชั้นต่ำ” หล่อนจะไม่มีวันยอมให้เข้าใกล้ลูกเด็ดขาด เพราะเชื่อมั่นเหลือเกินว่า พวกจนๆนี่ชอบเกาะลูกของหล่อนเพื่อเอาชื่อเสียง ไม่ก็เงินทอง อย่างนังตัวดำที่หล่อนเคยเจอที่โรงพยาบาลตอนโน้นนั่นไง เห็นแล้วก็นึกหมั่นไส้ว่าไม่ควรมาอยู่ใกล้ลูกของหล่อนเอาจริงๆ
แต่กลับพ่อหนุ่มคนนี้กลับทำให้หล่อนไม่แน่ใจในความคิดของตัวเองที่มีมาแต่แรกเสียแล้ว ตอนชายภาสบอกว่าเป็นคนพัทยา ไม่ได้เจ้าใหญ่นายโต หล่อนก็จินตนาการไปว่าคงเป็นพวกคนตัวดำๆ ผอมแห้งแบบไม่มีอันจะกินเท่าไรนัก แต่คงนิสัยใจคอดีพออยู่ ลูกชายหล่อนถึงเลือกไปคบได้
พอมาเจอตัวจริงเท่านั้นแหละหล่อนถึงกับหาเรื่องอะไรมาค่อนแคะไม่ออก หน้าตาหรือก็ดี ขาวสะอาดผิวเนียนยิ่งกว่าหล่อนอีกกระมัง ไม่ได้หน้าดำสิวเขรอะอย่างที่หล่อนปรามาสไว้ หุ่นก็ดูดีผอมเพรียวได้เก้งก้าง กิริยามารยาทก็ใช้ได้ พูดจาสุภาพเรียบร้อยไม่กระโดกกระเดกมึงมาพาโวย ถ้าชายภาสบอกว่าเป็นคุณชายวังไหนหล่อนก็คงปักใจเชื่อไปแล้ว
ดูเอาเถอะ แค่ลงรถมาก็เดินมาเปิดประตูให้หล่อนบอกว่า
“หม่อมครับ ระวังนะครับตรงนี้พื้นลื่น”
พอหล่อนซื้อผักซื้อผลไม้อะไรก็อาสาช่วยถือ ตอนแรกๆหล่อนก็กะจะค่อนแคะว่าทำตัวเหมือนคนใช้ แต่พอเห็นรอยยิ้มสะอาดดูไม่เคอะเขินเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แสดงให้เห็นว่าเข้าหาผู้ใหญ่ได้ดีหล่อนก็เลยไม่ว่าอะไรยื่นถุงใส่ของให้เขาถือเดินตามหล่อนอย่างว่าง่ายไม่มีบ่น หรือหงุดหงิดใส่เหมือนเพื่อนๆของชายภาสหลายๆคนที่หล่อนเคยพาไปเดินไหนต่อไหนด้วย
“หนูฟ้า มาช่วยน้าเลือกกุ้งหน่อยสิจ๊ะ น้าเลือกไม่เป็นหรอก” วิไลวรรณพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงแผงขายอาหารทะเล มีกุ้งหอยปูปลากองเอาไว้ให้เลือกซื้อเยอะแยะไปหมด ทิฆัมพรส่งเสียง จิ๊ ในปากแบบรำคาญแล้วก็เดินเก้ๆกังๆเข้าไปหาวิไลวรรณอย่างไม่พอใจ
“แหมคุณน้าคะ แบบไหนก็เหมือนกันแหละค่ะ ปกติฟ้าซื้อตามวิลล่าเขาก็จัดไว้ให้แล้ว ฟ้าไม่เคยมาเดินตลาดแบบนี้นะคะ ว้าย ป้าแม่ค้าทำอะไรน่ะน้ำปู น้ำปลากระเด็นโดนฉันหมดแล้ว! เดี๋ยวชุดฉันเลอะ!” ทิฆัมพรโวยวายเมื่อแม่ค้าในแผงเห็นหล่อนเดินเข้ามาก็พยายามเข้ามาขอลายเซ็น มือที่เปื้อนน้ำจากกะละมังใส่ปูใส่ปลายังเปียกอยู่ก็กระเซ็นใส่ทิฆัมพรจนหัวเสีย
วิไลวรรณมองว่าที่ลูกสะใภ้อย่างตกใจ ไม่เคยเห็นทิฆัมพรเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน ดารานางร้ายสาวก็เหมือนจะรู้ตัวว่าทำเสียงดังต่อหน้าหม่อมเข้าแล้วก็เลยหันไปพูดกับแม่ค้าเสียใหม่
“แหมป้าจ๊ะ โดนฉันไม่เท่าไหร่หรอก เดี๋ยวจะโดนคุณหม่อม กับคุณชายเอาเธอไม่เคยเดินตลาดสดเดี๋ยวชุดเลอะจ้ะ ไหนจะขอลายเซ็นหรือ หลบมาทางนี้ดีกว่าหม่อมเธอเลือกกุ้ง เลือกปูอยู่เดี๋ยวจะโดนเธอเข้าจ้ะ” เท่านั้นทิฆัมพรก็หาวิธีหนีไปจากแผงขายอาหารเหม็นคาวคลุ้งแบบที่หล่อนรังเกียจไปได้
นทีเห็นท่าทางเสแสร้งอย่างนั้นก็หันไปยิ้มให้ภาสกร ทั้งขำทั้งสมเพชดาราสาวเสียเต็มประดา แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาวิไลวรรณที่เลือกกุ้งไม่เป็นยืนงงอยู่หน้าแผง เพราะปกติ หน้าที่ทำอาหารเป็นของนมอุ่นหล่อนจึงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง
“หม่อมครับ ให้ผมช่วยเลือกเถอะนะครับ ผมพอจะเลือกอาหารเป็นอยู่บ้าง” นทีพูดอย่างนอบน้อม วิไลวรรณเห็นว่าตนไม่มีทางเลือกก็พยักหน้าอย่างถือตัวแล้วก็เอ่ยว่า
“ชายภาส ถ้าเป็นผัก เป็นผลไม้แม่พอจะเลือกได้บ้างแต่แม่ไม่ชอบเห็นสัตว์นอนตายเป็นตัวๆอย่างนี้ เอาเป็นว่าแม่ออกไปรออยู่กับหนูฟ้านะจ๊ะ ชายกับเพื่อนก็ช่วยกันเลือกเถอะเสร็จแล้วตามไปหาแม่” หล่อนว่าแล้วก็เดินพาชุดกรุยกรายระบายพลิ้วของหล่อนออกไปจากบริเวณของสดตรงนั้น
ภาสกรไขว้มือไว้ที่หลังแล้วก็เดินเข้ามาข้างๆหนุ่มน้อย
“ไหน พ่อครัวหัวป่าก์เลือกกุ้งให้ผมหน่อยซีครับ” ยิ้มกว้างส่งให้หนุ่มน้อย ฝากนั้นก็ยิ้มที่มุมปากแล้วก็จัดแจงเลือกกุ้งไปพลางภาสกรก็ว่าไปพลาง “คุณเก่งนะ ทำแม่ผมเงียบมาได้ตลอดตั้งแต่เริ่มเจอหน้ามาถึงตรงนี้ไม่บ่นไม่ว่า ค่อนแคะอะไรคุณสักคำ”
นทีเลือกกุ้งตัวโต หัวไม่หลุดง่าย จับยืดแล้วหดหลับมางอเหมือนเดิมดูสดสะอาดดีไปเยอะพอประมาณ จากนั้นก็เลือกกรรเชียงปูไปผักผงกะหรี่ และปูเป็นตัวๆ ไปนึ่งจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดด้วย คุณชายหนุ่มยิ้มให้คนรัก อีกฝ่ายก็ตอบว่า
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“นั่นแหละ แต่ผมบอกแล้วว่านทีน่ารักอย่างนี้ ใครเห็นใครรู้จักก็ต้องรักต้องชอบนทีทั้งนั้น” ภาสกรพูดเรื่อยๆ เหมือนพูดกันเรื่องดินฟ้าอากาศ อีกฝ่ายก็ยิ้มเขินไปเฉยๆไม่ได้มีอาการอะไรชัดเจนให้ใครคอยจับผิดได้ สองหนุ่มเลือกซื้อกุ้งหอยปูปลาอย่างละนิดอย่างละหน่อยเสร็จแล้วก็เดินออกจากตลาดสดเดินตามหาทิฆัมพร และหม่อมวิไลวรรณ
ตอนนั้นทิฆัมพรกำลังอารมณ์เสีย ถึงจะแสร้งยิ้มถ่ายรูปกับพนักงานในร้านแล้ว หล่อนก็กลับมาหน้าบึ้งตึงเหมือนเดิม หล่อนบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงไม่ชอบหน้าเด็กที่ชื่อนทีนั่น ทั้งๆที่ฝ่ายนั้นก็ดูหล่อน่ารักดีด้วยซ้ำ แต่หล่อนรู้สึกหวงก้างไปเองว่าคุณชายดูจะสนิทสนมกับเด็กคนนี้เกินไปเสียหน่อย หล่อนยังไม่ลืมหรอกว่าคุณชายภาสกร เคยอุปถัมภ์เลี้ยงดูเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขาเป็นคนขับรถชนอยู่พักหนึ่ง แม้หล่อนจะไม่แน่ใจว่าใช่คนนี้หรือเปล่าแต่อีริคก็เคยบอกหล่อนอยู่ว่า คุณชายภาสกรดูจะสนิทกับเด็กคนนั้นเป็นพิเศษ
คล้ายว่าหม่อมราชวงศ์ภาสกร เป็นชายรักร่วมเพศ
หล่อนยังไม่อยากทำลายบรรยากาศวันเกิดของคุณชายด้วยการคุ้ยเอาเรื่องเด็กคนนั้นมาพูด แต่หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเรื่องนายนทีให้หม่อมวิไลวรรณฟัง
“นายนทีนี่เป็นใครก็ไม่รู้นะคะคุณน้า” ทิฆัมพรเริ่มเมื่อทั้งคู่หาร้านกาแฟเล็กๆใกล้ๆตลาดนั้นได้ สั่งกาแฟแล้วนั่งรอคุณชาย “ดูไม่มีสกุลอย่างไรไม่รู้ค่ะ”
“เฮ้อ น้ารู้จ้ะ แต่น้าว่าเขาก็น่ารักดี” หม่อมวิไลวรรณยอมรับ “มีสัมมาคารวะ ไม่ทำตัวกักขฬะน้าก็ว่าโอเคแล้วล่ะ ชายภาสไม่ได้เอามาเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทเสียหน่อยก็แค่คบฆ่าเวลาตอนที่อยู่ที่นี่เฉยๆนี่จ๊ะ”
ทิฆัมพรกำลังจะพูดอะไรอีก แต่พอดีเห็นภาสกรเดินเข้ามาเสียก่อนก็เลยปั้นหน้าสาวหวานตะโกนเรียกภาสกร
“คุณชายขา ฟ้ากับคุณน้าวิไลอยู่ตรงนี้ค่ะ”
ภาสกรได้ยินเสียงดาราสาวเรียกก็เดินตามไปหาสองมือถือของหนักพอๆกับนทีตรงเข้ามา แต่หม่อมวิไลวรรณคงไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปนัก หล่อนจึงเดินออกไปรวมกับภาสกรหน้าร้านเข้าไปเดินเคียงข้างลูกชาย
“ชายภาสซื้ออะไรมาบ้างจ๊ะ”
“ก็มีกุ้ง ปู ปลาหมึก หอยแครง แล้วก็ปลากะพงครับจะทอดน้ำปลาทำยำมะม่วงให้ท่านพ่อ” เขาตอบ
“ดีจริงเลยลูกคนนี้จำได้ว่าท่านพ่อโปรดอะไร” หล่อนว่าพลาง โบกไม้โบกมือที่ถือกระเป๋าสตางค์เอาไว้ไปพลาง “จริงๆตลาดนี้ก็กว้างนะจ๊ะ เอ๊ะเราเดินไปทางนั้นหรือยัง เราจอดรถทางนั้น หรือทางโน้นจ๊ะ แม่จะไปเดินดูทางโน้นหน่อย เอ๊ะ!”
หม่อมพูดไม่ทันจบประโยค ภาสกรก็ไม่ทันได้ตอบสักคำถามพอดีมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามาชนหม่อมวิไลวรรณจนล้มลงไป กระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือของหม่อมหลุดกระเด็นไปอย่างง่ายดายด้วยความที่เป็นสาวบอบบางไม่มีเรี่ยวมีแรงอยู่แล้ว ชายคนนั้นหันมาขอโทษขอโพยแล้วก็วิ่งหายเข้าไปในตลาด ภาสกรวิ่งเข้ามาช่วยแม่ของตน ไม่ทันได้รู้ว่ามีชายอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากอีกทางคว้ากระเป๋าสตางค์แล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว!
“ว้าย คุณชายคะโจรขโมยกระเป๋าสตางค์คุณน้า!” ทิฆัมพรกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย โจรขโมยกระเป๋า”
นทีก็เห็นทันกันกับทิฆัมพรพอดี แต่ไม่ได้เสียสติกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งกลับวิ่งตามนายคนที่ฉกกระเป๋าตามไปอย่างรวดเร็ซด้วยความที่เป็นคนตัวเบา ภาสกรมัวแต่ตกใจประคองหม่อมแม่อยู่หันไปเห็นนทีวิ่งตามไปก็ลังเลว่าจะตามไปช่วยคนรักหรืออยู่ช่วยหม่อมแม่ที่ล้มจนข้อเท้าพลิกลุกไม่ขึ้น
“ชาย กระเป๋าแม่มีเงินไม่กี่หมื่น แต่พ่อคนนั้นอาจจะโดนทำร้ายก็ได้ แม่ไม่ติดใจกระเป๋าแต่ชายภาสต้องไปช่วยพ่อหนูนะลูก ไปเร็ว เดี๋ยวจะเป็นอันตราย” หม่อมวิไลวรรณร้องอย่างตกอกตกใจ ภาสกรก็รีบวิ่งตามนทีไป
คนร้ายวิ่งอ้อมไปหลังตลาด นทีก็ออกวิ่งตามอย่างเร็วที่สุด ดีที่ขาหายเป็นปกติแล้วจึงวิ่งได้เต็มกำลังอีกครั้งไม่เหมือนครั้งที่วิ่งตามจักรยานคุณชายที่นครนายก จึงเกือบเข้าไปช่วยทันพอดี แต่จังหวะนั้นเองภาสกรก็ขี่หลังมอเตอร์ไซค์รับจ้างตามมาพอทันคนร้าย เข้าก็ปราดเข้าไปขวางหน้าไว้
ไอ้คนขโมยของตกใจก็หันหลังกลับมาเจอนทีพอดี เห็นว่าเป็นคนร่างบางน่าจะสู้ได้ก็วิ่งเข้าไปจะผลักนทีให้พ้นทางแล้วหนีไปเสีย แต่ภาสกรไวกว่า กระโดดลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์โถมเข้าตัวคนร้ายลงไปกองกับพื้นต่อยเข้าหน้าอย่างแรง แต่พอดีคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงเข่าเสยคุณชายเข้าที่ท้อง พลิกตัวขึ้นเป็นอิสระจากการคุกคามของคุณชายกำลังจะถลาหนีไป แต่กระเป๋าของวิไลวรรณก็ยังอยู่ในมือมัน ภาสกรจึงลากมันกลับมาต่อยซ้ำ
“เอากระเป๋าคืนมา!” เขาร้องอย่างบ้าคลั่งพยายามจะแย่งของ
คนร้ายคงคะเนแล้วว่าเจ็บตัวไม่คุ้มได้แล้ว อีกถ้ายังอยู่ตรงนั้นคงจะโดนจับได้ง่ายๆ ก็ปล่อยกระเป๋าเตรียมหนี ร้องออกมาว่า “กูไม่เอาด้วยแล้ว”
ภาสกรไม่มีเวลาตกใจคำพูดที่หลุดปากออกมาอย่างนั้น เพราะนทีตะโกนก้องเรียกชื่อเขาแหวกอากาศมาพอดี “คุณชาย! ระวัง”
เปรี้ยง!
เสียงปืนดังสนั่นมาจากไหนไม่รู้ แต่โชคดีเหลือเกินที่มันพลาดเป้าไปอย่างหวุดหวิด เพราะนทีกระโดดเข้าไปรวบตัวภาสกรกดลงกับพื้นแทบจะทันทีที่เขาเห็นความเคลื่อนไหวที่ผิดสังเกต ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
รู้อีกที ที่ฟากตรงข้ามกับที่เกิดเหตุชุลมุนนั้น ชายคนหนึ่งที่อยู่บนรถจักรยานยนต์ก็เก็บปืนลงกระเป๋ารีบบึ่งรถออกไปอย่างหัวเสีย
พอดีกันกับที่คนร้ายขโมยกระเป๋าตะกายลุกขึ้นได้ รีบวิ่งหนีหายไปในตลาด และเป็นจังหวะเดียวกับที่หม่อมวิไลวรรณที่วิ่งตามขากะเผลก มีทิฆัมพรช่วยประคองมาพร้อมกับตำรวจเห็นเหตุการณ์พอดี!
พ่อหนุ่มคนนั้น ไอ้คน “ชั้นต่ำ” อย่างนที กระโดดเข้าไปขวางภาสกรไว้จากกระสุนมรณะที่จะปลิดชีวิตลูกชายหล่อน! ลูกของหล่อนเป็นหนี้บุญคุณคนคนนี้ เด็กคนนี้เองที่ช่วยลูกของหล่อนไว้ ไม่ใช่สาวลูกเศรษฐีอย่างทิฆัมพรที่แทนที่จะเป็นห่วงภาสกรกลับขอให้หล่อนหนีเอาตัวรอดไปก่อน วิไลวรรณยกมือทาบอกก่อนที่จะได้ซาบซึ้งใจ และรู้สึกผิดในใจที่มีอคติกับนทีตั้งแต่ก่อนรู้จักกันไปกว่านั้น หล่อนก็หมดสติไป
ห่างไปจากที่นั้นไม่มากนัก แต่เป็นที่ลับตาคนไม่มีใครจะมาเห็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ หนุ่มในรถมอเตอร์ไซค์ก็ถอดหมวกนิรภัยออกแขวนที่แฮนด์รถ ยกมือขยี้หัวอย่างหงุดหงิด หนุ่มสองคนที่เขาจ้างมาฉกกระเป๋าวิไลวรรณเดินหน้าเสียเข้ามาทั้งหน้าตาตื่นตกใจ ทั้งตาขวางอย่างไม่พอใจพอกัน
“พี่ ผมไม่เห็นรู้เลยว่าจะมียิงกันขนาดนี้ ทีหลังผมไม่เอาด้วยแล้วนะ”
“ไม่มีทีหลังแล้วล่ะมึง!” ชายแปลกหน้ายกอาวุธสีดำทะมึนขึ้นชี้หน้า
************************