อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๕๘
“ญาติคนไข้ค่ะ” พยาบาลเปิดประตูออกมาถามหา
“ผม ผมครับ พงษ์เป็นยังไงบ้างครับคุณพยาบาล แผลลึกรึเปล่าครับ? เลือดออกเยอะไหม? มีเลือดออกเยอะรึเปล่า ละ แล้ว เป็นอันตรายมากไหมครับ” แก้วรีบยกมือแสดงตัวและถามไถ่อาการพงษ์ทันที
“เอ่อ...เป็นญาติฝ่ายไหนคะ” พยาบาลเอ่ยถามด้วยท่าทางข้องใจพลางมองหาคนอื่น ๆ ที่ดูจะเป็นญาติมากกว่าเขา
“อะ เอ่อ...เป็นเพื่อนครับ แต่ก็เป็นญาติเหมือนกัน มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ คือ คือ ผมหมายถึง เพื่อนผมที่บาดเจ็บมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ” แก้วพูดกับพยาบาลอย่างลนลาน ห่วงก็แต่อาการคนข้างใน ถ้าไม่เป็นอะไรมากคงไม่มาถามหาญาติพี่น้องใช่ไหมล่ะ
“สักครู่นะคะ” พยาบาลสาวบอกเร็ว ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้งยิ่งทำให้เขากังวลใจเข้าไปอีก
“พี่โซ่ พงษ์ถูกแทงได้ยังไง? มันไปบ้านพี่ดิวทำไม? แล้ว แล้ว ทำไมพี่ดิวต้องทำมันด้วย?” แก้วหันไปทางโซ่ที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“...........................” เงียบ
“พี่โซ่!”
“ชู่วว แก้ว” ฝิ่นที่ยืนซ้อนหลังอยู่จับต้นแขนแก้วไว้เหมือนปราม ๆ ในขณะที่แก้วกำลังคาดคั้นรัวเอาคำตอบจากประธานสาย ๙T ที่นั่งเหยียดแขนพาดกับพนักพิงเก้าอี้ ปากก็คาบบุหรี่ซึ่งไม่ได้จุดเพราะโดนพยาบาลเตือนไปตั้งแต่เห็นหยิบไฟแช็คขึ้นมาแล้ว
และนอกจากเขาที่ยืนทำตาแข็งใส่พี่โซ่ ยังมีพี่ไม้ที่ยืนค้ำหัวพี่โซ่อีกคน
แต่เจ้าตัวไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยให้ตาย
“น้องคะ” พยาบาลเปิดประตูออกมาอีกรอบเขาจึงเลิกสนใจประธานสาย๙Tชั่วคราว “น้องพอจะติดต่อผู้ปกครองของคนไข้ได้ไหมคะ คือหมอต้องทำการผ่าตัดด่วนค่ะ”
“ผ่าตัด?” เขายืนอึ้งทวนคำพยาบาล จนฝิ่นสะกิดบอก
“มันต้องผ่าเอามีดออกและเย็บแผลปกติอยู่แล้ว”
“อ้อ อ๋อ ครับ ๆ ”
เขารับรู้ตามที่ฝิ่นบอกแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์โทรออกไปต่างประเทศ บอกข่าวเรื่องพงษ์ให้คุณลุงทราบเพียงไม่กี่คำก็ส่งมือถือให้พยาบาลคุยต่อ พยาบาลสาวเดินถือโทรศัพท์เขาเข้าไปในห้อง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมเอาเอกสารยินยอมให้ไอ้พงษ์เข้ารับการผ่าตัดให้เขาเซ็น
แต่ฝิ่นกระซิบบอกว่า
“หมอเขาผ่าไปก่อนที่จะถามหาพ่อแม่แล้ว”
“พี่โซ่ พี่ไปบ้านพี่ดิวได้ยังไง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม? แล้วพี่ให้ไอ้ดิวทำร้ายไอ้พงษ์ได้ยังไง?” คล้อยหลังพยาบาล เขาก็ต่อว่าประธานสาย๙Tที่ยังนั่งเฉยต่อ พลางลูบไม้ลูบมือตัวเองเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับอาการมือสั่น ใจสั่น เพราะไอ้โจ้บอกว่าโซ่กับตำรวจเป็นคนไปพาตัวพงษ์ออกมาจากบ้านดิว เพราะฉะนั้นในความคิดของแก้ว โซ่ก็ต้องรู้เรื่องด้วยสิ “พี่ไม้...” แต่ในเมื่อโซ่ยังเงียบทำหูทวนลมแก้วก็หันไปถามอีกคน “ตอบผมสักคนสิทำไมพงษ์ถึงโดนแทง แล้วโดนแทงตรงไหน? แล้วมันเป็นอะไรมากรึเปล่า? แล้ว...”
“แก้ว พอเถอะ! มึงถามไปก็ไม่มีใครเขาตอบได้หรอกนอกจากไอ้คนที่อยู่ในห้องนั่น” อึก ไอ้พี่ฝิ่นมันดึงไหล่ให้เขาหันหน้าไปหามันแล้วตวาดพร้อมชี้นิ้วส่ง ๆ ไปที่ห้องฉุกเฉิน
“ผมเป็นห่วงมันหนิ!”
“กูรู้ กูก็เคยเป็นห่วงไอ้เป้งหน้าห้องฉุกเฉินยันห้องไอซียูโน่น!” ฮึ!...แก้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาพลางมองหน้ามัน ยิ่งฝิ่นตะคอกใส่ เขายิ่งรู้สึกไม่ดี เขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ไม่ห้ามน้ำตาที่ไหลเพราะความเป็นห่วงพงษ์หรอกนะ ต่อให้คนตรงหน้าขุดเรื่องเพื่อนตัวเองขึ้นมา เขาก็ยังยืนยันที่จะเป็นห่วงพงษ์! “เฮ้อ...กูจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่มึงอย่าเพิ่งคิดไปก่อนสิวะ ถึงมือหมอแล้วยังไงก็ปลอดภัยน่า” ฝิ่นเสียงเบาลงแต่น้ำเสียงก็ติดไม่ชอบใจเหมือนเดิม แต่มือยังบีบไหล่เขาเบา ๆ พร้อมกับแววตามุ่งมั่นส่งมาให้เขาเชื่อตามนั้น
แก้วมองหน้าฝิ่นอย่างเคือง ๆ แล้วเดินเลี่ยงไปชะเง้อคอรอที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ใจก็เต้นระส่ายกังวลแต่ว่าคนข้างในจะเป็นอะไรมากแค่ไหน
...ขนาดพี่เป้ง เพื่อนของพี่ก็เคยอยู่ในมือหมอ แต่ก็ตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ
แก้วเถียงในใจ ในขณะที่ฝิ่นเดินตามมากอดไหล่เขาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้เขารู้ว่ามันโคตรหนักใจ
“เฮ้อ...กูอยู่ตรงนี้นะ” ฝิ่นพูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาให้โดยไม่พูดอะไรต่อสักคำแล้วมันก็ถอยออกไปทันที
มึงต้องปลอดภัยให้เหมือนที่พี่ฝิ่นบอกกูนะพงษ์...
แก้วอธิษฐานผ่านช่องกระจกของบานประตูที่มองเข้าไปก็ไม่เห็นอะไรนอกจากผ้าสีฟ้ากั้นระหว่างห้อง
แก้วออกจากบ้านตั้งแต่เช้าโดยมีฝิ่นไปส่งที่โรงแรมของพ่อเหมือนเคยเพราะยังไงแก้วก็อยากไปเรียนรู้งานมากกว่านั่งรอให้ครบกำหนดจบการฝึกงานเฉย ๆ แม้จะไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั่งดูก็ตามเถอะ
นั่งดูงานยังไม่ถึงสิบเอ็ดโมงฝิ่นก็โทรตามให้เขาลงไปหาพร้อมลากเขาขึ้นรถแล้วพามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ...ถึงได้รู้ว่า พงษ์ถูกพี่ดิวใช้มีดแทง
รู้...จากปากไอ้โจ้ที่อยู่พร้อมกับตำรวจ อ้อ มีพี่โซ่ พี่ไม้ แล้วก็คนของ๕xอีกสี่-ห้าคน ที่ยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินที่พงษ์กำลังถูกรักษาตัวอยู่ข้างในก่อนตำรวจจะไปเฝ้าพี่ดิวซึ่งกำลังทำแผลอยู่อีกห้องหนึ่ง
“ช็อปไอ้เป้ง” เขาหันกลับไปทางฝิ่นเมื่อได้ยินเจ้าตัวเอ่ยออกมาจึงเห็นว่าในมือฝิ่นตอนนี้กางเสื้อช็อปสีเทาที่เมื่อกี้พาดบ่าประธานสาย๙Tอยู่ เลยไม่รู้ว่าโซ่ที่นั่งอยู่ท่าเดิมยื่นให้เอง หรือฝิ่นเป็นคนฉกมา
ก่อนช็อปช่างยนต์ของ๕xจะถูกส่งต่อไปให้พี่ไม้
“เด็กโทรบอกว่าไอ้พงษ์ใส่ช็อปตัวนี้เข้าไปในบ้านไอ้ดิว พอกูตามไปถึงก็มีกู้ภัยแบกไอ้พงษ์ออกมาจากบ้านแล้ว” ไม้รับเสื้อช็อปของเป้งจากมือฝิ่น แล้วม้วนเก็บไว้ในมือขวา ใบหน้าเรียบเฉยนั่น มองไปยังประธานสาย๙Tซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างต้องการคำอธิบาย “และไอ้โซ่ ก็ออกมาพร้อมตำรวจและไอ้ดิว”
แน่ล่ะ คนข้างในห้องฉุกเฉินบอกอะไรในตอนที่ทุกคนต้องการคำตอบไม่ได้ จะมีก็แต่คนที่เหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่นั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละ
“ไอ้พงษ์มีช็อปพี่เป้งน่ะของมันแน่ ทั้งที่เราตามหากันแทบตาย แต่สุดท้าย ไอ้เหี้ยพงษ์มันก็เอาออกมาเหยียบเราอีกรอบ” ไอ้โจ้ที่ยืนพิงผนังอยู่พูดแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์
“ไม่มี พงษ์ไม่เคยมีช็อป๕xสักตัว ถึง...ถึง” เขาเม้มปากเก็บกลืนคำพูดที่อยู่ในความคิดของตัวเอง
ถึงพงษ์จะทำร้ายคนของ๕xมาแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยเห็นว่าพงษ์จะตบช็อป ตบหัวเข็มขัด หรืออะไรของคู่อริกลับมาสักครั้ง
“ไม่เคยเห็นแล้วมึงมั่นใจว่าไม่มีเหรอ?” พี่โซ่พูดขึ้นมาจนเขาไปต่อไม่ถูก “ถึงไอ้พงษ์มันดูโง่ ๆ แต่ยังดีที่รู้จักวางแผนบ้าง เวรกรรมของกูที่ต้องมายุ่งด้วยจะได้ยุ่งน้อยลงหน่อย”
“หมายความว่ายังไงพี่โซ่?” เขาถามโซ่ซึ่งนั่งกระดิกเท้าอยู่ม้านั่งตัวเดิม
“ไม่ใช่หน้าที่กู ที่ต้องพูดกับมึง” ประธานสาย ๙T ผู้ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องคนอื่นยังไง ก็ยังคงแล้งน้ำใจได้ตลอด
“มึงรู้อะไรใช่ไหม?” พี่ไม้ถาม แต่แก้วก็พูดแทรก
“หรือว่า พี่รู้ว่าไอ้พงษ์จะไปบ้านพี่ดิวตั้งแต่แรกแล้ว?” แก้วเดินปรี่เข้าไปหาประธานสาย๙T ขอบคุณในน้ำใจที่พี่โซ่เคยออกตามหาตน นั่นมันก็ส่วนขอบคุณ แต่นาทีนี้ พี่โซ่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนี้ยังมีหน้ามาทำมึนอยู่ได้
“ต่อให้เป็นคนโง่ ก็ไม่มีคนโง่ที่ไหน เดินไปหาความตายหรอก” ประธานสาย๙Tลุกขึ้นยืนพร้อมจ้องมองเข้ามายังนัยน์ตาเขาเขม็ง “ถ้าได้ไม่คุ้มเสีย หรือถ้าจะเสียก็ต้องได้กลับคืนมาบ้าง แม้แต่มึงเองก็ด้วย ถูกไหม? ไอ้แก้ว!” ด้วยความสูงที่มากกว่า บวกแววตาของประธานสายที่ใหญ่ที่สุดในเทคโนT ทำให้แก้วนึกหวาด ๆ ที่อาจหาญเดินเข้ามาท้าทายคน ๆ นี้เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเมื่อครู่ แก้วจึงต้องถอยหลังไปยืนข้างฝิ่นซึ่งยืนมองเขาอยู่ตลอดแค่นั้น
อึก...แก้วหลบตาโซ่พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ส่วนฝิ่นไม่ช่วยอะไรเลย นอกจากเสียง “หึ” เบา ๆ ที่เขาแอบได้ยิน
ไม่ว่าใครก็คิดคำนวณผลของการกระทำไว้ล่วงหน้าทั้งนั้นล่ะ แต่อยู่ที่ใครจะได้หรือเสีย มากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง
เพราะเขาก็เคยคิดอย่างนี้ ไอ้พี่ฝิ่น และพี่ดิวก็คิดอย่างนี้กับเรื่องที่เราลงมือทำมาทั้งนั้น
แต่พงษ์ถูกแทงมา เขาไม่รู้ว่าเจ้าตัวมันได้อะไรตอบแทนมาเหรอ ถึงได้คุ้มกับชีวิตมันที่เอาไปเสี่ยงขนาดนี้
บอกให้เขารักตัวเอง ให้ได้อย่างที่มันหวงแหนชีวิตเขา แล้วทำไมมันไม่คิดว่าเขาก็รักและหวงชีวิตมันเหมือนกัน!
หรือเวรกรรม...ที่พวกเขาเคยทำกับเป้ง๕x กำลังตามสนองแล้ว
คนหนึ่งทำลายชีวิต อีกคนปกปิดความผิดนั้นจนเหมือนเพื่อนทำเรื่องที่ถูกที่ควร ไม่สนใจว่าคนที่จากไป และคนข้างหลังที่ยังอยู่ จะรู้สึกอย่างไร ที่ต้องเฝ้ารอ รอด้วยความหวัง ว่าคนของตน จะมีชีวิตรอดหรือไม่...
“พูดได้เลย” โซ่บอกกับตำรวจที่เดินเข้ามาหา
“คนเจ็บเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับเจ้าของบ้านซึ่งก็มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะอยู่ก่อนแล้ว เห็นว่าเข้าไปหาเรื่องเขาน่ะ มีการต่อสู้กัน ไอ้นั่นเลยคว้ามีดมาแทงเมื่อได้จังหวะ มันว่าป้องกันตัว เด็กช่างคนอื่นก็อยู่นอกห้องหมด รู้ว่ามีเรื่องก็ตอนที่เราพังประตูเข้าไปนั่นล่ะ” ตำรวจบอกประธานสาย๙T ซึ่งแก้วกับคนอื่น ๆ ได้แค่ยืนฟัง
“พยายามฆ่า” โซ่บอกตำรวจหน้าตาเฉยพลางเอามือล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “คนเจ็บไปเยี่ยมเจ้าของบ้านซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก แต่คนเจ็บรู้ว่าเจ้าของบ้านเคยฆ่าคนตายเมื่อสองเดือนที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลือนอกจากคำให้การของคนเจ็บเอง อ้อ มีดที่ใช้ก่อเหตุวันนี้ยังอยู่สินะ และตอนนี้มันสองคนก็กำลังแตกคอกัน ไอ้เจ้าของบ้านกลัวว่าคดีเก่าจะพลิกจึงพยายามฆ่าคนเจ็บเพื่อปิดปาก”
“อย่างนั้นก็ได้”
“อ้อ รบกวนเอาตัวอย่างมีดไปพิสูจน์หลักฐานกับเรื่องเก่าให้ผมด้วยนะ อันนี้ขอเป็นความลับ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณมากครับหมวด” ประธานสาย๙Tโค้งหัวให้นายตำรวจก่อนที่ผู้หมวดคนนั้นจะเดินออกไปพร้อมตำรวจอีกสองคน
“พี่โซ่?” แก้วมึนงงกับคำพูดโซ่
“จะรื้อคดีมันก็รื้อได้ แต่คนเอาเงินยัดเพื่อให้ลูกตัวเองไม่ต้องรับโทษ ก็ควรเห็นใจตำรวจบ้าง ไม่ใช่ว่าลูกตัวเองพ้นผิด แต่ตำรวจต้องมารับเคราะห์โทษฐานรับเงินใต้โต๊ะแทน ทั้งที่ไม่รับก็ไม่ได้ หึ”
ประธานสาย๙Tเป็นลูกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แก้วรู้ แต่ไม่รู้ว่าโซ่สามารถสั่งตำรวจได้เหมือนพ่อพงษ์ด้วยเหรอ? แล้ว...คนไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นอย่างโซ่ ยุ่งเรื่องนี้ได้ยังไง?
ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดจากคำพูดโซ่...ดิวเคยฆ่าคนตาย และพงษ์ก็ดันรู้เรื่องนั้นด้วย ดิวจึงทำร้ายพงษ์เพื่อจะปิดปาก
เมื่อสองเดือนที่แล้ว...
“พี่ฝิ่นอย่า!” แก้วดึงแขนฝิ่นไว้เมื่อมันกระชากคอเสื้อโซ่ด้วยสองมือ ก่อนจะแกะมือประธานสาย๕xออก นาทีนี้ ใครก็งงเป็นไก่ตาแตกทั้งนั้น
“แพะ” โซ่มองหน้าฝิ่นพูดขึ้นมาเฉย ๆ “พบเห็นได้บ่อยในหมู่เด็กช่างที่ด้อยประสบการณ์”
สิ้นเสียงโซ่ ไม้ก็เดินหันหลังให้พวกตามด้วยโจ้
“ไอ้โจ้ มึงไม่ต้องตาม” โจ้หยุดกึกตามคำสั่งฝิ่น
“แต่พี่ไม้”
“ปล่อยเขา” ฝิ่นบอก
“หมายความว่า พงษ์ไม่ได้ฆ่าพี่เป้งเหรอพี่โซ่” ใบหน้าที่ยังกังวลใจตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย “ใช่ไหมพี่โซ่ ผมเข้าใจถูกใช่ไหม?” มือเผลอจับแขนฝิ่นซะแรงเพื่อเค้นเอาคำตอบ แล้วฝิ่นก็แกะข้อมือเขาเอาไปจับไว้แทน
“มึงรู้แล้วนะว่ากูพูดอะไร แต่กูยืนยัน ว่าไม่ได้อยากยุ่งเรื่องพวกมึงเลย” โซ่มองฝิ่นแววตาเฉียบคม
“พี่ฝิ่น พงษ์ไม่ได้ฆ่าเป้ง พงษ์ไม่ได้ทำร้ายใคร พี่ฝิ่น ผม...” ดีใจโคตร ๆ
อยากจะยิ้มแสดงความดีใจที่เพื่อนพ้นมลทินแต่เมื่อหันมองหน้าคนข้าง ๆ ที่ยังดูตึงเครียดก็ต้องหุบยิ้มและเบรกคำพูด เบรกความรู้สึกของตัวเองไว้เท่านั้น
“เออไอ้แก้ว มึงไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้ภูรักรู้นะ ไม่งั้น กูเล่น๕Xแน่” แล้วประธานสาย ๙T ก็เดินกดปุ่มมือถือออกไปจากตรงนี้อีกคน
ขอให้พงษ์ปลอดภัย ขอให้ปลอดภัย นาทีนี้เขาโล่งใจยิ่งกว่าไหน ๆ ที่ความเชื่อใจของเขาที่มีต่อพงษ์ยังคงเชื่อถือได้ พงษ์ไม่ใช่คนไม่ดี พงษ์คงมีเหตุผลอะไรที่ต้องออกรับแทนดิว แต่ในเมื่อพงษ์ไม่ได้ทำร้ายเป้ง เขาก็สบายใจที่จะยืนลุ้นรอพงษ์อยู่ตรงนี้ ด้วยมือที่เปลี่ยนเป็นฝ่ายกอบกุมฝ่ามือฝิ่นที่ตอนนี้คงไม่ต่างจากโดนไม้หน้าสามตีหัว
เขาโล่งใจแม้มันจะเป็นเรื่องดี แต่ก็อยากให้กำลังใจคนข้าง ๆ เช่นกัน
ต่อให้ไม่ใช่พงษ์ แต่...เพื่อนฝิ่นก็ไม่มีวันกลับมา
แม้จะดีใจที่พงษ์ ไม่ใช่ฆาตกร แต่ถ้าพงษ์ไม่ออกรับแทนดิว ๕xคงไม่เจ็บซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า...
.
.
.
“ปลอดภัยแล้วครับคุณลุง แต่ต้องนอนที่โรงพยาบาลไปก่อนให้แน่ใจว่าจะไม่ติดเชื้อครับ” แก้วรายงานผู้ปกครองของพงษ์ โชคดีที่แผลไม่โดนเส้นเลือดใหญ่
“...ลุงกับป้า ฝากดูแลพี่ด้วยนะลูกแก้ว อีกสามชั่วโมงลุงเสร็จงาน แล้วจะรีบบินกลับ”
“ครับ”
“ขอบใจนะลูก” แก้วตัดสายจากพ่อของพงษ์ก็ต้องกดรับอีกสายที่เพิ่งโทรเข้ามาติด ๆ กัน
“ครับคุณพ่อ”
“พ่อเพิ่งรู้จากคุณลุง พี่พงษ์เป็นยังไงบ้างลูก” ปลายสายเอ่ยถาม
“ปลอดภัยแล้วครับ ตอนนี้หมอให้น้ำเกลือ แล้วก็หลับอยู่ครับ” และเขาก็นั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เตียง ไม่ปล่อยให้ไอ้พงษ์คลาดสายตาได้เลย
“ลูกดูแลพี่ไหวไหม? โทรให้พี่ลูกขวัญมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับผมไม่ได้อยู่คนเดียว” เป็นข้อเสนอที่ต้องรีบปฏิเสธ เขาว่า ให้มีแค่เขากับพวกของฝิ่นก็ดีแล้ว
“มีเพื่อนอยู่ด้วยเหรอ?” พ่อถามอย่างแปลกใจ พ่อเคยรู้รึเปล่าว่าต่อให้ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน เขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้
“ครับ คุณพ่อไม่ต้องลำบาก เอ่อ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับผมดูพี่พงษ์เองได้”
“พ่อต้องเข้าไซด์งานที่ลำปางยาวเลย” โรงแรมที่พ่อกำลังจะขยายสาขา ย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกของเขาเป็นไหน ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พรุ่งนี้คุณลุงกับคุณป้าก็น่าจะมาถึง คุณพ่อทำงานเถอะครับ”
“เก่งมาก ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”
“สวัสดีครับ”
พ่อ...ทำงานของพ่อไปเถอะ เรื่องของเขาและเพื่อนของเขา ไม่มีความสำคัญขนาดที่พ่อต้องหยุดงานเพื่อมาเยี่ยมเลย
“มึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมเดี๋ยวกูเฝ้าให้” โจ้บอกหลังจากที่เขาวางโทรศัพท์แล้วนั่งเฝ้าดูหยดน้ำเกลือที่ค่อย ๆ หยดทีละนิด ทีละนิด ไหลเข้าสู่หลังมือพงษ์
“..............................” แก้วส่ายหัว
“กลัวกูเอาหมอนกดหน้ามันรึไงวะ?” ไอ้โจ้เย้า มันวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่เตียงนอนญาติ แล้วเอาถุงกับข้าวไปวางไว้บนโต๊ะทานข้าวของญาติผู้ป่วยซึ่งอยู่ปลายเตียง
“มึงไม่ทำหรอก” พงษ์ไม่ได้มีความผิดอะไรแล้วนี่ เว้นแต่ว่าโจ้มันจะหมั่นไส้แค่นั้น
“เหอะ”
“พี่ฝิ่น พี่ไม้ล่ะ” ถามหาเพราะหลังพงษ์ย้ายจากห้องพักฟื้นคนไข้มาแอดมิดห้องนี้ ฝิ่นก็หายตามไม้ไปเลย ปล่อยให้เขาอยู่กับพงษ์ตามลำพังก่อนที่โจ้จะกลับมาเมื่อกี้
“เคลียร์ทางอยู่ เสียดายที่กูต้องไปเอาเสื้อผ้ามึงกับพี่ฝิ่น”
“พี่ดิวน่ะเหรอ” ถามทั้งที่รู้ ฝิ่นมันไม่ปล่อยง่าย ๆ อยู่แล้ว “แต่เดี๋ยวตำรวจก็จัดการแล้วนี่”
“จัดการแต่เรื่องไอ้พงษ์น่ะสิ เรื่องเก่า ต้องใช้ตีนสะสาง” งั้นฝากเอาคืนหนัก ๆ ให้ด้วยละกัน
แก้วยักไหล่ให้ในเมื่อมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ทำไมพี่ดิวถึงทำกันขนาดนั้นด้วย ในเมื่อโทษของเด็กช่างที่ทำร้ายคู่อริจนตาย ก็ต้องโดนเอาคืนแบบเดียวกัน ไม่ก็น้อยลงมาหน่อย คือเจ็บปางตาย
“โจ้” แก้วหันหลังให้พงษ์ไปคุยกับโจ้ซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟา
“อะไร จะพูดอะไรก็พูด” แต่โจ้ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเลย
“ตอนที่...ตอนที่พี่เป้งเสีย พวกมึง...คงแทบบ้าเลยใช่ไหม?” เขาถามออกไปพลางหันกลับมาเอามือลูบเข็มน้ำเกลือที่แทงหลังมือพงษ์เบา ๆ
“...พี่เป้ง เป็นเพื่อนสนิทพี่ฝิ่นมานาน เขาเคยกรีดเลือดสาบานเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมตายกันมา ถ้าไม่คิดว่าจะต้องเอาคืนให้พี่เป้งตามคำพูดของพี่ไม้ที่แค่คิดจะดึงสติพี่ฝิ่นไว้ พี่ฝิ่น...คงมากกว่าบ้า คง...ตายตามกันไปเลยล่ะ” โจ้ตอบเหมือนกำลังพูดเรื่องปกติกันอยู่ เหมือนไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องบาดหมางของพวกเราอย่างที่เคยเป็น นี่ถ้าเขายังอยู่ในสถานะเพื่อนของฆาตกร เราคงไม่มีวันพูดกันอย่างนี้
“แล้วพี่ไม้ กับคนอื่น ๆ ?”
“กูน่ะไม่เท่าไหร่หรอก คนอื่นก็ด้วย ยังไงพี่เป้งก็อยู่ในใจพวกกูเสมอ แต่คนละความสำคัญกับพี่ฝิ่นและพี่ไม้ ...พี่ฝิ่นโวยวายอย่างกับคนบ้า กินเหล้า ดูดเนื้อข้างโลงเป็นเพื่อนพี่เป้งทุกคืนหลังสวดศพ แต่พี่ไม้ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย ไม่คิดจะเอาคืนอย่างที่ปากบอกพี่ฝิ่นด้วย ชื่อเสียงที่เคยมีมา เรียกว่าตกม้าตายงานนั้นแหละ รัก...จนไม่กล้าคิดทำอะไร เพราะรู้แล้วว่าเป็นยังไงเมื่อต้องเสียคนที่ตัวเองรักไป” น้ำเสียงโจ้ฟังดูแผ่วไป เขาไม่กล้าหันไปมอง
“รักยังไง?”
“รักก็คือรัก ไม่มีอย่างไหนยังไงหรอก” ฝิ่นเดินเข้ามาในห้อง พูดด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงนิด ๆ คงได้ยินที่เขาคุยกับโจ้แล้วไม่ชอบใจ อาจเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว
แต่ไอ้ที่ฝิ่นตอบ นั่นมันคือรักที่เขาให้ความหมายมาตั้งนานแล้ว ที่ถามน่ะหมายถึงพี่ไม้มีอะไรกับพี่เป้งรึเปล่าต่างหาก ความรู้สึกของพี่ไม้น่ะ นิ่งเฉยแต่ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดทุกครั้งที่เอ่ยเรื่องพี่เป้งขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้างพี่” โจ้ถามแล้วขยับให้ลูกพี่มันนั่ง
“เสียค่าปรับคนละห้าร้อย กูกับพี่ไม้ จบ ไอ้ดิวนอนอยู่ชั้นสาม”
“จบเลยเหรอพี่”
“ฆ่ามันให้ตาย ไอ้เป้งก็ไม่ฟื้นขึ้นมา” ฝิ่นบอกโจ้ แต่มองหน้าแก้ว “มึงกลับบ้านไปได้ละโจ้ เขาให้เฝ้าแค่สองคน” ออกปากไล่โจ้พลางแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาของตัวเอง
“พี่ไม้ล่ะ”
“กูไปส่งบ้านแล้ว”
“อ้าว แล้วไม่บอกตั้งนานวะ งั้นตามสบายนะพี่ ผมเช็คทั่วห้องแล้วไม่มีกล้องวงจรปิดหรอก”
“ไอ้เหี้ย” ฟุ่บ!! เสื้อตัวนอกที่ฝิ่นเพิ่งถอดถูกโยนตามหลังโจ้ที่เดินหัวเราะแหะ ๆ ออกจากห้องไป แก้วเลยต้องลุกไปเก็บมาให้
“หืม? มีอะไรรึเปล่า?” แก้วเลิกคิ้วถามคนที่นั่งมองหน้าเขาอยู่
“ถ้าไอ้พงษ์ทำให้มึงเกาเดาไหลนะ” ฝิ่นมองหน้าอย่างหาเรื่อง พลางเอื้อมมือมาดึงแขนเขาจนเขาต้องนั่งลงข้าง ๆ
ทำไม ถึงไม่พูดเรื่องเป้งนะ?
แต่ก็ดีแล้ว ไม่พูดถึงก็ดีแล้ว ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของพงษ์ แก้วยินดีที่ฝิ่นจะเลิกคิดเรื่องนี้อีก
“หึ โทษไม่หนักใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่หนักมากผมจะยอมให้พี่เล่นงานมันได้” โทษฐานที่พงษ์ ทำให้ฝิ่นเป็นคนเลวร้าย ทั้งที่จริง...เขาไม่กล้าคิดว่าฝิ่นไม่เลว เพียงแต่ว่า...ที่มันเลวกับเขาเพราะมันมีสาเหตุ ถ้าหากฝิ่นจะสั่งสอนพงษ์นิด ๆ หน่อย ๆ เขาก็พอรับไหวน่า
“กูหมายถึงแค่ ถ้ามันทำให้มึงเลือดกำเดาไหล เรื่องอื่นช่างแม่งเถอะ”
“ผมใจคอไม่ดีถ้าหากว่าพงษ์อาการแย่ แต่ความเครียดของผมมันก็น้อยมาก เพราะมีพี่อยู่ด้วย” เขาพูดความจริง ก่อนหน้านี้เขากระวนกระวายใจอยู่ก็ไม่เป็นสุข แต่เพราะรู้ว่ามีฝิ่น อีกด้านที่แย่ก็ยังมีคนคอยถ่วงน้ำหนักไว้
“เฮ้อ มึงนี่นะ” ฝิ่นเอามือปัดปอยผมที่ปิดตาเขาออกให้ “กูไม่เคยพลาด และกูก็ไม่อยากพลาดที่สุดในชีวิต แต่มึง แม่งทำให้กูพลาด และสุดท้ายกูก็พลาดเอง...จนได้”
“......................” เขาก้มหน้าหรุบสายตาลงต่ำ ไม่กล้าจริง ๆ ไม่กล้าสบตาฝิ่นทุกทีสิน่า นัยน์ตาที่สะกดให้คล้อยตาม นัยน์ตาที่เด็ดเดี่ยว จริงจังแกมบังคับ ทุกเรื่องต้องตามนั้นเสมอ ยิ่งมันพูดจาด้วยท่าทีจริงจังปนดุทีไร เขาแทบอยากหายตัวไปซะตอนนั้น
เหมือนมันกำลังจะโยนความผิดมาให้
แต่ทำใจเขาเต้นตึกตักทุกที
“แต่วันนี้กูรับความผิดพลาดของตัวเองได้ เพราะอะไรมึงบอกกูได้ไหม?” น้ำเสียงเข้มแต่ไร้แววดุเอ่ยออกมา มือมันคงว่างเกินไปจึงได้เชยคางเขาขึ้นจนเขาต้องจำใจมองหน้ามัน
“...ผม” ปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความไม่กล้าออกความคิดเห็น
“เพราะมึงไง” คนตรงหน้าโอบกอดเข้ามาจนกระดูกเขาอยากจะหักเสียให้ได้ แต่ไม่ยักอยากผลักหน้าอกมันออกแฮะ แก้วซบหน้าลงที่บ่าไหล่ฝิ่น สองมือเอื้อมโอบคนตรงหน้าตอบพร้อมรอยยิ้ม “พลาด แต่ได้มึงมา บอกไว้รอบที่ล้านเก้าเลยนะ กูไม่ยอมให้มึงรักใครหน้าไหนที่ไม่ใช่กูเด็ดขาด”
“ฮึก ผมอยากกอดกับพี่อย่างนี้มานานแล้ว กอด...โดยที่ใจของเราไม่มีอะไรมาถ่วง” สุดท้าย วันนี้ก็มีจริง
ฝิ่นลูบผมพลางโยกตัวเขาเชิงปลอบ ก่อนค่อย ๆ ผละออกไป
“เมื่อก่อนร้องไห้บ่อยอย่างนี้รึเปล่าวะ ลูกผู้ชายเขาห้ามร้องไห้เกินสามครั้งหรอกนะ”
แก้วส่ายหน้า “พงษ์มันบอกมาตั้งนานแล้ว แต่ผมไม่เห็นด้วยหรอก พี่ฝิ่นก็...อย่าห้ามผมเลยนะ”
ถ้าเราจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง จะแสดงออกมาอย่างไหน ก็ได้เมื่ออยู่กับคนนี้ เพียงแต่ว่า เมื่ออยู่กับพงษ์เขาต้องเข้มแข็งให้ได้ต่างหาก น้ำตาที่ควรจะไหลบ้างเพื่อให้ได้ปลดปล่อย จึงถูกเก็บกักไว้แทน
“หึ มึงก็สั่งกูจัง” ฝิ่นคลี่ยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ แล้วเขาไปสั่งอะไรตอนไหน?
“อยู่กับพี่ ผมสามารถทำอะไรก็ได้ที่เป็นผม” ทำอะไรก็ได้ ที่ตรงกับความรู้สึกของตัวเอง ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ หรืออยากจะจองหอง...เขาก็ทำได้ เหมือนที่เคยโดนว่า ว่าอวดดีทั้งที่ไม่มีอะไรให้อวด ก็เพราะว่าทำได้ ด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ ติดเกรงใจจนเคยชิน
ไม่ใช่ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ไม่ดี แต่พงษ์เป็นพี่ที่ต้องการให้เขาเข้มแข็งเพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ให้ได้ แต่ในบางครั้ง เขาก็อยากแสดงความอ่อนแอออกมาบ้าง แต่ต่อหน้าพงษ์มันทำไม่ได้
“ก็ตามสบายสิ” คนตรงหน้าดูเหมือนจะชอบใจถึงกับโน้มใบหน้าเข้ามาคลอเคลียใกล้ใบหู มือหนึ่งกอดเอวอีกมือพลางจับหน้าเขาไว้เมื่อเขาจั๊กจี้กับไรหนวดของฝิ่นและไอร้อนที่ปะทุขึ้นมาทั่วตัวจนอยากเบี่ยงตัวหลบหนีแต่กลับยังนั่งเอียงคอน้อย ๆ ให้ฝิ่นคลอเคลียไล่เลียเล่นจนเลยเถิดให้ริมฝีปากฝิ่นจูบแผ่วเบาเข้ากับริมฝีปากตน แต่ดูดเม้มเหมือนแกล้งเล่นเพียงแค่ริมฝีปากเขาเท่านั้นพอเขาจะสัมผัสตอบ มันดันผละออกซะอย่างนั้น “อยากจูบใช่ไหมล่ะ อยากจูบก็จูบกูก่อนสิ” คำท้าทายที่ช่างฟังดูเชิญชวนจนเครื่องปรับอากาศที่โรงพยาบาลนี้ไม่ช่วยอะไรเลย
หน้าผากของทั้งคู่ยังคงชนกัน ประธานสาย๕xยักคิ้วให้เชิงถามว่าจะเอายังไง แก้วจึงประกบริมฝีปากตนเข้ากับริมฝีปากฝิ่นเอง ก่อนจะดุนลิ้นไปสัมผัสกับเรียวลิ้นของคนตรงหน้า
“แค่ก! แค่ก แค่ก”
แก้วหยุดชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงไอ
แต่ฝิ่นยังไม่หยุด มันยังตวัดเรียวลิ้นเล่นทั้งดูดดุนอย่างไม่สนใจโลก
“แค่ก! แค่ก!”
“อืม...พี่ฝิ่นพอก่อน” จับมือที่ประคองหน้าตัวเองออกแล้วดันหน้าฝิ่นออกก่อนหันไปหาต้นเสียงที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้แล้วรีบผละออกจากฝิ่นไปยืนข้างเตียงด้วยใบหน้าที่ยังร้อนฉ่า
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ หิว หิวน้ำไหม? เจ็บแผลรึเปล่า” ถามตะกุกตะกัก มือไม้ไม่รู้จะหยิบจับอะไรก่อนดี
“.........................”
“หา?” พงษ์พูดอะไรไม่รู้
เขาได้ยินไม่ถนัดจึงเอียงหูเข้าไปใกล้ ๆ ฟังเสียงพงษ์ที่เปล่งออกมาให้ได้ยินแค่เสียงกระซิบ
“...อย่าดูดปากกันต่อหน้ากู”
“เอ่อ...”
เขาคงต้องซื้อเครื่องปรับอากาศมาติดให้โรงพยาบาลนี้แล้วล่ะ
....................................
ขอโทษที่ช้านะคะ
อ้อ ถ้ามึนอีกก็บอกมาได้เลยนะคะ คนเขียนจะได้รู้ว่า ปรับปรุงไปได้หรือยังไม่ได้ เท่าไหร่แล้ว
โอยย ในที่สุดพงษ์ก็ยังไม่มีแรงพูดอะไร(มาก) ขอยกยอดไปตอนหน้าสำหรับที่ยังค้างอีกนิดหน่อยในส่วนขยายก้อนเมฆที่อึมครึม คงให้ใครพูดแทนไม่ได้ รอพี่พงษ์สมประกอบหน่อยนะจ๊ะ ฮ่า และรู้ว่าต้องขยายในส่วนของพี่โซ่สุดที่รักของคนเขียนด้วย คนเขียนมันเก็บกวาดช้าเหลือเกิน ...<<<ยังจะกล้าเขินอีก
สวัสดีคนที่เพิ่งตามทันด้วยค่ะ
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้ (พูดอย่างกับจะไปประกวดนางสาวไทย) กอด ๆ จุ๊บ^^