อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๕๕
ไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าตรู่ ไม่มีใครไปพักบ้านที่พงษ์เสนอเลยสักคน เพราะต่างรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีใครอยากขึ้นชื่อว่ารวมกลุ่มกันนาน ถึงแม้๙Tกับ๕x ไม่ใช่อริโดยตรง แต่อริก็คืออริ มีจังหวะเมื่อไหร่ก็ฟันกันได้ทุกเมื่ออยู่วันยังค่ำ จึงต้องจำใจนั่งคุยอยู่ใกล้ ๆ กันสายใครสายมัน รอจนกว่าพระอาทิตย์ขึ้น
พวกเขาเดินทางออกจากบ้านสวนเพื่อไปอนามัยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตมากนัก ส่งคนของฝิ่นเสร็จก็เหลือแต่คนของ๙Tที่ยังรอประธานของสาย
“เป็นไงบ้าง?” พี่โซ่เดินมานั่งข้างพี่ภูหน้าห้องตรวจที่ฝิ่นเข้าไปทำแผลและวัดไข้ เพราะเขารู้สึกว่าตัวมันร้อน ๆ ตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง
“มันก็ปลอดภัย ยืนอยู่เนี่ยไม่เห็นรึไง?” พี่ภูตอบหน้าบึ้ง ๆ เหล่มองมายังเขา
“เฮ้อ ก็รู้ว่าหมายถึงใครยังเฉไปอีก”
“แล้วภูต้องเป็นอะไรเหรอโซ่?” เจอพี่ภูจ้องด้วยสีหน้าเรียบเฉยพี่โซ่คงไม่อยากถามแล้วล่ะ “เอาทางมึงดีกว่า ไอ้ดิวเป็นยังไงบ้าง?”
“เกือบตาย ดีที่เลือดไม่คั่ง เห็นไอ้แชมป์บอกพี่ดีจะมารับกลับเอง” พี่โซ่บอกแต่สายตามองผ่านไปที่พงษ์
“ฟู่ววว” ค่อยหายใจทั่วท้องหน่อย รู้จากโจ้ว่ามิวไม่โดนพี่ดีทำอะไร และมารู้ว่าพี่ดิวก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เขาก็โล่งอก “พงษ์ ไม่ไปดูพี่ดิวหน่อยเหรอ” ไม่ได้อยากสงสารคนที่มีความคิดจะทำร้ายตนและคนข้าง ๆ แต่ถ้าพลาดทำพี่ดิวตายขึ้นมาล่ะ? ...ไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงไม่ใช่คนแล้ว
บางทีมันก็จวนตัวจนไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง เคยแต่ต่อว่าพงษ์ว่าไม่มีสิทธิ์ลงโทษใครถ้าแค่คนนั้นทำอะไรให้เราไม่พอใจ...แต่ดันมาเป็นซะเอง
“ยังไม่อยากเห็นหน้ามัน...มึงก็ไม่ต้องด้วย” พงษ์ตอบหน้าตายแถมบอกห้ามแล้วลุกขึ้นยืนเสมอแก้ว
“เดี๋ยว” พี่โซ่ดึงแขนพงษ์ไว้ก่อนที่มันจะเดินไป “คุยกันหน่อย” ไอ้พงษ์ก้มหน้าครุ่นคิด แต่ก็พยักหน้าแล้วเดินไปกับพี่โซ่
“มีอะไรกัน?” พี่ภูลุกยืนเอ่ยถามตามหลัง
“นั่งรอดีกว่าพี่” แต่ไอ้แสนก็ดึงพี่นั่งลงตามเดิม
ภายใต้สายตาของพี่ไม้กับโจ้ที่มองดูเหตุการณ์อยู่ตลอด
เขาก็...อยากรู้เหมือนกันว่าจะไปคุยเรื่องอะไร มองตามหลังสองคนนั้นจนเลี้ยวไปทางอื่น เกือบจะหันกลับมาแต่กลับมีร่างของบางคนเดินสวนมาพอดี
“ไม่เป็นอะไรหนิ” พี่ลูกขวัญที่หน้าตาดูไม่จืดเหมือนคนยังไม่ตื่นนอนด้วยซ้ำเดินมาหยุดตรงหน้าเขา เสื้อนักศึกษายับ ๆ กับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดตามตัวมาคงเป็นคำตอบได้ดี
พี่ภู ไอ้แสน ลุกมายืนข้าง ๆ เขา พี่ไม้ที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับไอ้โจ้
“ครับ...” ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พี่อยากให้เป็น “หน้าพี่ไปโดนอะไรมา?”
รอยนิ้วมือบนใบหน้าที่เห็นได้ชัดบนแก้มพี่ลูกขวัญ ใครทำ?
“หึ” แต่กลับโดนพี่ลูกขวัญแสยะยิ้มใส่แทนคำตอบ พร้อมกับสายตาที่หันไปมองพี่ไม้ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเสมองไปอีกทาง
“พี่ฝิ่นเสร็จแล้ว” ไอ้โจ้บอกขณะที่ฝิ่นเดินออกจากห้องตรวจพอดีเขาจึงเลิกให้ความสนใจพี่ชายอีก
“อ้าว?” เหมือนมันข้องใจที่มีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนี้
“คุณพ่อเขารู้เรื่องแล้ว แต่ต้องบินด่วนไปญี่ปุ่นพร้อมพ่อไอ้พงษ์ เขาอยู่ในฐานะพ่อต่อหน้าคนอื่นเขาก็คงต้องเป็นห่วงหน่อย แต่ติดต่อมึงไม่ได้ ติดต่อไอ้พงษ์ก็ไม่ได้ พี่ชายที่ดีอย่างกูเลยลำบากมาดูให้แทน” พี่ลูกขวัญยักไหล่ให้ เป็นท่าทีว่าไม่ได้สนใจจริง ๆ
“เห็นแล้วนี่ว่ามันสบายดี เสียใจด้วยที่ไม่มีใครยอมให้มันเป็นอันตราย” ฝิ่นเดินมาจับข้อมือเขา ...มือร้อนกว่าตอนมาด้วยสิ
“ใครสน?”
ใช่...ใครสน แต่ไอ้ฝิ่นที่จ้องหน้าพี่ลูกขวัญเขม็งก่อนแล้วก็ผลักหน้าอกพี่เขาทันที แก้วจึงรีบกุมมือฝิ่นแน่นพลางมองหน้ามัน
“อย่า...ถ้าเสร็จแล้วก็กลับกันเถอะ” แก้วพูดรัวบอก
“เลวว่ะ” พี่ภู เฮ้อ เขาลืมไปว่ายังมีอีกคนที่เห็นอะไรไม่ชอบใจก็กล้าต่อว่าซึ่งหน้าอยู่ด้วย
“มึงไม่เคยเห็นลูกอิจฉาใช่ไหม งั้นมึงก็มึงดูไว้” ฝิ่นบอกพี่ภูที่ไม่เคยกินเส้นกัน
“ถ้ามาแล้วทำให้คนอื่นเสียบรรยากาศ ก็ไม่ต้องมา จริง ๆ ข้อนี้มึงน่าจะรู้ตัวนะ อ้อ แล้วถ้ายังไม่สร่างก็กลับไปนอนซะ” พี่ไม้บอกพี่ลูกขวัญด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่ได้มีอารมณ์ตามฝิ่น
“....................” พี่ลูกขวัญจึงคว้ามือพี่ไม้ขึ้นมาแล้วเอากุญแจรถวางใส่มือ
“รถจอดหน้าอนามัย” ทันทีที่พี่ลูกขวัญหันหลังให้ ไอ้โจ้ก็คว้ากุญแจรถออกจากมือพี่ไม้แล้วเขวี้ยงใส่หลังพี่เขา
ปุ๊!!
“โจ้!” อย่าใช้ความป่าเถื่อนที่อยู่ในสายเลือดพวกมันมาทำกับพี่ชายเขา ...อยากจะตะโกนต่อว่าแต่ติดที่สายตาฝิ่นข่มคำพูดเขาไว้หมด
“อยากไปไหน เชิญคุณพี่คนดีคนเดียวเลยครับ พี่ผมไม่ใช่ขี้ข้าใคร อย่าโง่สุ่มสี่สุ่มห้า” ไอ้โจ้พูดไล่หลัง
พี่ลูกขวัญหันมาก้มเก็บกุญแจรถเงียบ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาแข็ง ๆ กับรอยยิ้มคล้ายกับสมน้ำหน้าอะไรสักอย่าง ...ได้ถูกส่งไปยังพี่ไม้
.
.
.
แก้วหยิบซองสีน้ำตาลที่พงษ์วิ่งเข้าไปเอาในบ้านตอนก่อนจะออกไปอนามัยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าพงษ์ลืมไว้เบาะหลัง
“อะไร? ทำไมต้องหวงด้วย” แต่มันเดินกลับมาแย่งไปจากมือเขา
“เปล่า! หวงอะไร?”
เปล่าซะเสียงแข็งเนี่ยนะ เออ ไม่รู้ก็ได้ เมื่อกี้ที่จับดูมันก็เบา ๆ นุ่ม ๆ เหมือนเสื้อ หรืออะไรที่ไม่น่าจะมีอันตราย
ถึงจะขอไว้แล้วว่าเขาก็ทำพี่ดิวหนักเอาการไม่อยากให้ไปเอาคืนอีก แต่ก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี แต่...พงษ์คงไม่ใจร้ายพอที่จะทำอะไรพี่ดิวตอนนี้หรอกมั้ง ...ถึงมันจะเคยใจร้ายมากก็เถอะ
“ข้องใจอะไร?” ฝิ่นมองหน้าพงษ์แล้วยักคิ้วถามหน้าซื่อ
“ใครอนุญาต” อีกคนก็กอดอกถามกลับสีหน้าบึ้งตึง
“กูมาอยู่บ้านเมีย เอ้ย! โทษทีว่ะ ต้องบอกว่ากูมาอยู่บ้านแฟน”
“มึงเงียบปากเลยถ้าไม่อยากมีเลือด” พงษ์ชี้หน้าพูดแทรกทันทีแต่ฝิ่นแค่ยักไหล่และเดินตามเขาเข้ามาในบ้านแล้ว
“...แล้วยังไง? กูต้องขออนุญาตใครด้วยเหรอ คิดว่าไม่นะ ไปแก้วพาพี่ไปดูห้องนอนของเราสองคนหน่อยสิ”
“เอ่อ...” ไม่ขออนุญาตใครและไม่ได้บอกอะไรเขาก่อนด้วย
ออกจากสระบุรี... ฝิ่นกับแก้วก็แยกรถกันกลับโดยที่แก้วต้องกลับมาพร้อมพงษ์ แต่เหยียบบ้านได้ไม่กี่นาที ฝิ่นมันก็สะพายกระเป๋าเป้เดินเข้ามาในบ้านด้วยเสื้อตัวใหม่แต่กางเกงยังเป็นยีนส์เก่า ๆ ตัวเดิมที่มันใส่ลงน้ำเมื่อคืน และตอนนี้แก้วก็เดินตัวลอยตามแรงโอบที่ไหล่จากฝิ่นขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
...จะเลี่ยงทำไมในเมื่อเขาไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ฝิ่นทำนี่นา
เปิดประตูห้องได้มันก็ทิ้งกระเป๋าลงพื้นแล้วเดินตัวปลิวไปทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงนอน เป็นเขาที่ต้องเก็บกระเป๋ามันขึ้นไปวางหน้าโต๊ะคอมฯเพื่อไม่ให้เกะกะ
“ล็อกห้องด้วยนะ”
“อืม” พงษ์คงไม่ตามมาแล้วมั้ง ...แก้วเดินกลับไปกดล็อกลูกบิดประตู
“อยู่กันสองคนสักทีกูโคตรอึดอัด ...มานี่สิ ใกล้ ๆ นี่” มันนอนหลับตาแต่เอ่ยปากเรียก
“จะ...จะอยู่นี่เหรอ?” เขาก็ว่าง่ายเดินไปนั่งขอบเตียงข้างตัวฝิ่น
“ถามใคร”
“ถามมึง...” เขาตอบเสียงอ่อยอย่างไม่ค่อยมั่นใจทั้งที่ในห้องก็อยู่กันแค่สองคนเมื่อฝิ่นลืมตามามองหน้าเขานิ่ง
“มึงกับใคร?” เขา...ผิดตรงไหนรึเปล่ามันถึงได้จ้องเขาตาดุอย่างนี้ “ต่อไปต้องพูดกับพี่ฝิ่น ตามนั้น”
ใบหน้านิ่ง ๆ ติดดุพูดบอก มันเปลี่ยนท่านอนเอามือประสานกันที่ท้ายทอยมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
“อะ...?”
“กูเคยบอกให้มึงเรียกกูพี่แล้วครั้งนึงแต่มึงก็ลองดี ไม่เรียก” มันยัง...จ้องหน้าเขา...จนเขารู้สึกว่าอาจจะเป็นความผิดจริง ๆ มันถึงได้พูดขึ้นมา
เขาไม่ได้ลองดี แต่…
“พูด!”
“ห๊ะ อึก” สะดุ้งทันทีเมื่อโดนมันย้ำและโดนจับที่ข้อมือ
“กูว่ากูเดาทางมึงได้ แต่บางทีกูก็เดาไม่ได้ ...กูไม่ได้ชอบที่จะค้นหาตัวตนใครหรอกนะ เพราะมันเป็นเรื่องน่ารำคาญ ...อีกอย่าง เสียเวลาด้วย”
เฮ้อ...เขาจำได้ว่าควรจะพูดทุกอย่างกับมัน
“...ไม่ได้ลองดีแต่ไม่ได้นับถือ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน เลยเรียกไม่ได้” พี่ร่วมสถาบันก็ไม่ใช่ ทำตัวให้รักษาน้ำใจอย่างพี่ไม้ก็ไม่เคย
“แล้วตอนนี้เกี่ยวรึยัง?!” มันเด้งตัวลุกนั่งจนเขาผละหลบแทบไม่ทันทั้งที่ฝิ่นก็แค่ลุกขึ้นมานั่งคุยกันเฉย ๆ
ตอนนี้ก็...ไม่ได้นับถือมันสักหน่อย แล้วจะเรียกว่าเกี่ยวได้เหรอ?
“..........................”
“อย่าหลบตากู”...เขาจำต้องเงยหน้าขึ้นมองมันอีกครั้ง “พี่พงษ์มึงยังเรียกได้แล้วทำไมจะพี่ฝิ่นบ้างไม่ได้ นี่กูไม่เคยต้องสอนให้ใครเรียกเลยนะให้ตายเถอะ!” ฝิ่นพูดอย่างเบื่อหน่ายแต่น้ำเสียงหนักเชิงตำหนิ
“ฝิ่น...มึงต้องการอะไรกันแน่? มึงแน่ใจแล้วเหรอที่เราจะ...”
“หยุด...นี่ไอ้พงษ์สอนให้มึงเป็นคนคิดมากไม่จบอย่างนี้เหรอ?” มันสั่งแกมต่อว่า เขาจึงต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้น มันบอกว่ามันยอมรับ แต่ข้างในใจของมัน ยอมรับเรื่องที่ผ่านมาได้มากน้อยแค่ไหน มัน...ไม่ได้คิดจะทำอะไรอีกแน่นะ เขาดีใจที่ฝิ่นอยู่กับพงษ์โดยที่พงษ์ยังปลอดภัย แต่เขาจะแน่ใจว่าต่อไปจะราบรื่นได้จริงเหรอ ...เขาจะเอาอะไรมายืนยันให้รู้สึกปลอดโปร่งจริง ๆ “กูคือคนสำคัญของมึง อะไรก็ตามที่มันสำคัญกว่าคนอื่น มึงควรทำกับกู”
“แล้ว...พงษ์”
“อ๋อนี่มึงไม่เคยเชื่อใจกูเลยใช่ไหม?” ที่แล้วมาคำตอบก็คือใช่ แต่เรื่องอะไรที่เขาจะตอบมัน “คนที่ควรตอบว่าแน่ใจหรือไม่แน่ใจตอนนี้กูว่าควรเป็นมึงมากกว่า...กูไม่อยากกลับไปคิดทบทวนอีก”
“ตกลงเลย แน่ใจ กูแน่ใจมาก” เขารีบพยักหน้าบอกมันมือก็ไวไปเขย่าแขนมันจนได้
แอบเห็น...มันยิ้มมุมปากเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหน้านิ่งเหมือนเดิม หึ เขาจะพยายามไม่คิดมาก จะพยายามเชื่อใจฝิ่น ในเมื่อมันเป็นทางออกที่ดีสำหรับเรา ทางออกที่เขามองหาคนเดียวไม่เจอ
“ลูกผู้ชายน่ะ ข้อแรกคือต้องรักษาสัจจะ แต่มึงรู้รึเปล่าว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร”
“กูแค่ไม่อยากระแวง”
“แต่มึงบอกแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม” ...นั่นมันมึงพูดเองไม่ใช่เหรอ แค่เขาไม่ได้ปฏิเสธอีกนั่นแหละ “ถึงกูไม่ใช่โจร แต่ถ้าสัจจะมันทำให้กูเสียผลประโยชน์ กูก็กลับคำได้ มึงเลิกคิดมากได้ละ กูไม่สนุกแล้ว แล้วกูก็ไม่มีปัญหาที่จะอยู่นี่เพราะไอ้เหี้ยนั่นมันคงไม่ยอมให้มึงไปนอนกับกู”
ก็ถูกของฝิ่น แต่มันไม่คิดจะรอบ้างเหรอ เพิ่งจะได้คุยกันมันก็ตัดสินใจทันทีทันใดเอาเอง
เดี๋ยว อะไรนะ?
“แล้วมึงจะไม่กลับคำไปมาอีกเหรอ?”
มันส่ายหน้าให้ ดูท่าไม่อยากตอบ
“กูให้มึงเป็นตัวตั้ง สัจจะของกูต่อไปจะขึ้นอยู่มึง”
หัวใจพองโตจนกลัวว่ามันจะแตกเอา ...หัวใจเขากระโดดโลดเต้นจนมันจะหลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
ความแน่ใจของเขาก็มาจากมันเช่นกัน
“หึ จริงนะ”
“อืม” มือหนาจับท้ายทอยเขาให้โน้มใบหน้าเข้าไปหาเจ้าตัว มีเพียงเสียงฮึมฮัมในลำคอให้ได้ยินเพราะปากมันไม่ว่างตอบแล้ว เขาหลับตาพริ้มรับรสสัมผัสจากปลายลิ้นที่ชวนให้ทักทายอย่างไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นใด มากกว่าจูบแต่มันคือการให้ใจของเราสองคน “เออ กูลืม”
“หืม?” แก้วใช้หลังมือถูเช็ดปากเมื่อผละออกจากกัน แต่มือฝิ่นยังจับท้ายทอยเขาอยู่ มืออีกข้างก็วางขวางตัวเขา แถมหน้ายังห่างกันไม่ถึงคืบ
“มึงรู้สึกดีใช่ไหม?”
“ก็...” เขาเม้มริมฝีปาก ก้มหน้างุดหลบสายตามัน
ถ้าไม่คิดถึงเรื่องบาดหมาง เขาก็รู้สึกโดยไม่ต้องเข้าข้างตัวเองได้ว่าเราใจตรงกัน อาจจะเป็นความรู้สึกที่เข้าข้างตัวเอง แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดี
“รักที่มึงอยากได้ มึงรู้สึกดีที่สุดในโลกรึยัง”
น้ำเสียงจริงจัง แววตาเอาเรื่องน่ะคือฝิ่นแน่ แต่คำพูดแบบนี้มันทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
เขาแอบเห็นความลังเล ดูมันต้องคิดที่จะพูดออกมา ...เป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยเห็นจากคนเด็ดเดี่ยวอย่างมัน
“คำว่ารัก... กูไม่มีให้มึงหรอกนะ”
อึก!
หัวใจ...ที่กำลังตื่นตัวเมื่อกี้ หมดแรงไปแล้วเหรอ...ทำไมถึงได้รู้สึกว่ารอบตัวมันเงียบจนแทบไม่ได้ยินอะไร อย่างกับ...เครื่องเล่นดนตรีที่ถูกเตะปลั๊กไฟหลุดกะทันหัน
อะ...อะไร?
ใบหน้าชาวาบจนแทบไม่มีความรู้สึก
เมื่อกี้ฝิ่นพูดอะไรนะ? แต่เดี๋ยวก่อน เขาขอหันหน้าไปทางอื่นเพื่อตั้งหลักก่อนแล้วจะกลับมาทำความเข้าใจ
“มึงหันหน้ามาหากูเดี๋ยวนี้” ทั้งน้ำเสียงเข้ม ทั้งมือที่จับท้ายทอยอยู่ก็ออกแรงดันหน้าเขาให้หันกลับไปหามัน
“........................”
“คำว่ารัก กับความรัก มึงจะเอาอย่างไหน”
“......................”
“ช้า... กูตอบให้เอง คำว่ารัก กูบอกคนอื่นไปแล้ว”
ความสะเทือนจากข้างในส่งมาถึงหน่วยตาจนพร่ามัว
“พะ...พอแล้ว”
มันไม่ทำตามที่เขาบอกแน่ แม้แต่มือที่เขาผลักตัวมันให้ออกห่างมันยังไม่สนใจแต่ยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้เขามากขึ้น
มุมปากคนตรงหน้าที่ไม่อยากมองเห็นอมยิ้มก่อนจะเป่าลมใส่หน่วยตาเขาแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“ส่วนความรักกูให้มึง หึ ฮ่า ๆ ตามนั้น”
เดี๋ยว!
จากหน้าชาเขาว่าหน้าเขามันเริ่มร้อน ๆ ชอบกล หรือความร้อนจากตัวฝิ่นจะแผ่มาโดนเขากัน
“เมื่อกี้มึงว่าไงนะ?”
“กูพูดจบแล้ว” มันเปลี่ยนสีหน้าได้ไวมากอย่างกับเมื่อกี้ไม่เคยหัวเราะชอบใจอย่างนั้นล่ะ
“มึงทำกูใจสั่นตลอด” หวิว ๆ กับคำว่ารักที่ให้คนอื่นไปแล้วด้วย แต่อะไรก็ไม่เท่าที่มันบอกเขาหรอก มันดังกลบความคิดแย่ ๆ ไปซะมิด มือที่เคยผลักไล่ก็เปลี่ยนเป็นดึงเสื้อมันไว้แก้เก้อ เขาหันมายิ้มให้ฝิ่นพลางหัวเราะน้อย ๆ กับประโยคที่ยังก้องอยู่ในหัว เกือบจะบ้าต่อมน้ำตาแตกอีกซะแล้วทั้งที่เรียกความมั่นใจให้ตัวเองหลายต่อหลายที กลับยังตั้งรับกับฝิ่นไม่เคยทัน
“ไม่ต้องดีใจหรอกน่า ...กูจริงจัง” มันยังหน้าตายแต่เลิกมองหน้าเขาได้สักที เพียงแต่สายตามันตอนนี้มาสนใจที่ผ้าก๊อตบนหน้าผากเขาแทน มือที่เคยจับท้ายทอยก็หันมาลูบ ๆ ผ้าก๊อตปิดแผลอยู่นั่น ทั้งที่ไม่มีอะไรให้น่าสนใจสักนิด
“กูไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว ในชีวิตมึงควรมีกูอยู่ด้วย ...ที่กูพูดเนี่ย มึงมั่นใจขึ้นบ้างรึเปล่า?”
ฝิ่น...คือคนที่นำความทุกข์ใจมาให้เขาตั้งแต่แรก ถึงจะไม่ใช่คนเดียวก็เถอะ ความทุกข์ที่ยังคงมีอยู่จนถึงวันนี้ แต่ในความทุกข์ มันเป็นคนเดียวที่ยื่นความสุขมาให้เขาควบคู่กันเสมอ
เขาย่อมยินดีที่จะโอบกอดความรู้สึกนี้ไว้เป็นหลักยึด ความรู้สึกดี ที่คิดว่าคงดีถ้าได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบแทน
แต่หัวใจเขาตอนนี้มันลอยสูงกว่าคำว่า...รู้สึกดี...ไปอีกร้อยเท่าเลยล่ะ
“พี่ฝิ่น...”
ไม่ได้เรียกเพราะนับถือ ไม่ได้เรียกตามมารยาท ไม่ได้เรียกเพราะเกิดก่อน และไม่ได้อยากให้เป็นพี่ตามสรรพนาม แต่ก็เต็มใจเรียก
ไม่ได้เรียกเพราะให้มันดูสำคัญอย่างที่มันต้องการ
แต่เรียกได้...เพราะมันคือคนสำคัญ มันอยู่เหนือเหตุผลที่เขาเคยตั้งไว้
“เรียกแบบนี้ระวังจะติดไข้จากกู เฮ้อ...” ท่าทีหัวเสียของฝิ่นแต่ไม่ได้ทำให้เขาใจเสียตามไปด้วยอีกครั้งเพราะริมฝีปากของมันเล่นมาคลอเคลียกับริมฝีปากเขาคล้ายหมั่นเขี้ยวกันมานาน “มัดจำ แต่ถ้ามึงอยากติดกูก็ต่อได้เลย” สายตาเฉียบคมของฝิ่นมักทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหวเป็นอันดับแรก แต่ยิ่งโดนจับจ้อง ยิ่งเหมือนถูกสั่งด้วยสายตา
และมักทำให้เขาคล้อยตามเสมอ...
.....................................................................
เอ่อ ขอกระโถนหน่อย -*- สงสัยคงต้องพาพงษ์มาดับแล้วล่ะ โหมดนี้มันไม่ใช่อะ ดาวรับไม่ได้ ดาวเอียน เฮ้อออ
ปล.ไม่แปลกใจค่ะถ้าคนอ่านจะไม่เข้าใจแก้วในบางครั้ง บ่อยครั้ง หลาย ๆ ครั้ง (พอเหอะแก) เพราะก็คิดว่า ...ควรจะออกมาอย่างนี้อยู่แล้ว ลูกแก้วคือคนที่คนอ่านเข้าใจและไม่เข้าใจนั่นแหละค่ะ^^
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ กอด ๆ จุ๊บ^^
หลงใหลในม่านหมอกเพจเจ้า