“ญาติมึงนะไม่ใช่ญาติกู อย่าให้เจอข้างนอกละกัน”
“ครับ” รับคำขู่ประธานสายแล้วเป่าปากอย่างอึดอัดตามหลังแล้วเดินกลับไปยืนข้างเตียงพงษ์
“เป็นอะไร?” พงษ์ย่นคิ้วถาม คงสังเกตหน้าบูดบึ้งของเขา
“ทำไมเด็กช่างต้องตีกันด้วยพงษ์” ไม่ได้ไม่รู้ แต่แค่บ่น
“ถามอย่างนี้?” มันมองหน้าเพราะต้องการคำอธิบายว่าทำไมเขานึกถามขึ้นมา
“เฮ้อ ทำไมมึงต้องพากูมาเรียนโรงเรียนอาชีวะด้วยเนี่ย” แต่เขายังบ่นไม่เลิก หงุดหงิดนี่หว่า ทำไมโรงเรียนเขากับวิทยาลัยของฝิ่นถึงต้องเป็นศัตรูคู่อริกันด้วย
“หึ นี่มึงมาคัดค้านกูตอนจะจบ ปวช.เนี่ยนะ?”
“เปล่า”
“เปล่า ๆ” ไอ้พงษ์ล้อเลียน เขาต้องถลึงตาใส่ “ตีกันมันก็แค่ส่วนหนึ่งของการโชว์พลัง เด็กช่างน่ะไอ้เรื่องใช้กำลังมันเป็นเรื่องปกติ ถ้าไปเรียนที่อื่นกูก็เป็นอันธพาลสิวะ”
“เรียนที่นี่มึงก็อันธพาลเหมือนกัน”
“อ้าว ๆ แล้วไอ้คนตรงระเบียงห้องไม่อันธพาลเลยรึไง?”
“พ่อเดียวกันแท้ ๆ” แก้วบ่นงึมงำต่อไปคนเดียวแต่ยอมรับว่าตั้งใจตำหนิมันด้วย
“กูอยากปกป้องมึงแบบแมน ๆ ไม่ใช่แค่ไปรับไปส่งหรือเป็นเพื่อนคุยกับมึง แต่ที่กูต้องการคือการได้ปกป้องใครสักคน กูว่ากูดูดีมากเลยนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งที่กูอายุแค่นี้ ทำให้พ่อแม่ได้ภูมิใจก่อนตาย...เท่ใช่ไหมล่ะ?”
“เรื่องอย่างนี้ ต้องให้คนอื่นบอกรึเปล่าวะ” ฝิ่นเปิดประตูกระจกเดินเข้ามาและพูดแทรกก่อนนั่งลงที่โซฟาแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมากระดิก “มานั่งนี่” เรียกเขาให้ไปหา
โจ้ส่งเสียงเหอะ ๆ ดูท่าคงเอือมอะไรสักอย่างไม่เอือมไอ้พงษ์ก็คงเอือมลูกพี่มัน แล้วเดินมานั่งขนาบเขาอีกข้างหลังจากเขานั่งลงข้างฝิ่นด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ ส่วนพี่ไม้ที่ยืนพิงราวระเบียงอยู่ด้านนอกส่ายหน้าให้ทั้งที่ปากคีบบุหรี่อยู่ด้วย
“คุณลุงคุณป้าคงภูมิใจมากกว่านี้เนอะ ถ้าคนที่มึงปกป้องไม่ใช่กู” แก้วหรุบตาลงมองเท้าตัวเอง ถ้าไม่ใช่เขาที่ทำให้พงษ์เสียคน ความคิดที่จะเป็นผู้ใหญ่ของพงษ์คงน่าภาคภูมิใจกว่านี้
“พอ ๆ เลิก มีแค่กูนี่ที่มึงควรแคร์ว่าจะรู้สึกยังไง คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างเขา ไม่มีใครรู้จักมึงดีเท่ากูแล้วมึงต้องสนใจทำไมวะ” พงษ์เอ่ยเสียงแข็งขณะที่เขาชำเลืองมองหน้ามันไปด้วย
“ก็คิดซะอย่างนี้” ฝิ่นพูดเสียงเบาเหมือนต้องการแค่ให้เขาได้ยิน เขาจึงหันควับไปมองเจ้าตัว
“ไม่ต่างจากพี่เท่าไหร่หรอก” เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ต่างกัน สีหน้าเรียบเฉยกับคำพูดเรียบ ๆ ย้อนคนข้าง ๆ เข้าให้เมื่อได้โอกาส
“เหรอ?” ฝิ่นยักคิ้วถามกลับ แต่มือมันอ้อมมากระชับเอวเขาเข้าให้แล้ว นี่มันตีมึนสินะ เฮ้อ...
“ไม่สนใจว่าใครจะมองเรายังไงมันก็ดี แต่จะไม่สนใจซะทุกเรื่องก็ดูไม่เข้าท่า” พี่ไม้เดินเข้ามาแล้วปิดประตูกระจกพลางพูดเหน็บพงษ์และเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ซึ่งวางอยู่ที่เตียงนอนของญาติผู้ป่วยขึ้นมาสะพาย
เขาเห็นด้วย เมื่อคืนไอ้พี่ฝิ่นยังบอกว่าไม่อยากให้คนอื่นเห็นด้านที่อ่อนแอของเขา แสดงว่ามันก็ยังแคร์คนรอบข้างบ้าง ...แม้บ้างไปทางน้อยก็เถอะ แต่ไอ้พงษ์มันไม่ได้สนใจใครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่คบกับเขามาตั้งหลายปีทั้งที่คนรอบข้างคัดค้านหรอก
“เรื่องของกูเถอะครับ สวัสดี ลาก่อน” พงษ์ตอบพลางยกมือโบกไล่เมื่อเห็นว่าไม้เตรียมตัวกลับแล้ว
“พี่ฝิ่นพ่อพี่บอกให้พาไอ้แก้วไปหาด้วยนะ” โจ้บอกฝิ่นแล้วลุกตามไม้
“รู้แล้วน่า”
“ขอบคุณครับพี่ไม้ ขอบใจนะโจ้” แก้วเอ่ยแต่ไม่มีใครหยุดฟังสักวินาทีเดียว พี่ไม้กับไอ้โจ้สะพายกระเป๋าเป้คนละใบแล้วเดินออกไปทางประตูแต่ประตูห้องกลับถูกผลักเข้ามาพอดีทำให้ทั้งคู่ต้องเบรกฝีเท้ากึก
คนมาใหม่มองหน้าไม้แล้วปรายตามองแก้วแต่ไม่พูดอะไรแล้วเดินเข้ามาในห้องทันที
ขณะที่ทุกคนเงียบกันหมด ขนาดพี่ไม้กับโจ้ที่ไม่มีเวลาหยุดรับคำขอบคุณจากปากแก้วยังหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
“เหี้ย ใส่ชุดดำไปงานศพแม่มึงเหรอ?” จนลูกขวัญเดินมาถึงเตียงคนไข้ พงษ์ถึงได้เห็นว่าเพราะอะไรคนอื่น ๆ ถึงได้เงียบกัน มันจึงออกปากทักทายพี่ชายเขา(?)
พี่ลูกขวัญมาในชุดสูทสีดำอย่างกับเตรียมพร้อมจะไปงานศพใคร
“อ้าว แหม๋ก็กลัวเสียเที่ยวขี้เกียจกลับไปเปลี่ยนชุดไง” ลูกขวัญยิ้มกวนคนบนเตียงพลางมองไปรอบ ๆ ห้อง “อ้อ อยู่นี่เอง นี่ก็ดอกไม้ที่มึงชอบทั้งนั้น กูไปเลือกเองที่ร้านสำหรับมึงเลย” พี่เขาเดินมาหยิบพวงหรีดที่ข้างโซฟาแล้วเอาไปวางไว้บนตักพงษ์
“เอาไปไว้หน้าโลงศพมึงเถอะ” พงษ์เหยียดปากเอ่ยเสียงแข็งแล้วจับพวงหรีดโยนใส่ตัวพี่ชายเขาพร้อมทั้งออกแรงผลักจนอีกคนเซก่อนที่พงษ์จะกดปุ่มปรับระดับเตียงเพื่อนเอนตัวนอนและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวพลางตะแคงหันหลังให้คนที่เพิ่งมา
แก้วต้องลุกเดินไปหาพี่ชาย
“พี่พงษ์ไม่เป็นอะไรมากแล้ว พี่ขวัญกลับไปก่อนเถอะครับ”
“เสือก!” ทั้งโดนด่าทั้งโดนผลักหน้าอกจนเขาถอยไปชนผนังห้องแต่ไม่ได้แรงจนถึงขั้นเจ็บแค่ชนเฉย ๆ
“อยากมีเรื่องเหรอมึงน่ะ?” ฝิ่นลุกเดินมาดึงแขนเขาแต่ตากลับจ้องหน้าลูกขวัญอย่างคนเอาเรื่อง
“เหอะ กูไม่ได้มาเสวนากับมันแล้วมันสะเออะมาไล่กูเนี่ย ไม่เรียกว่าเสือกตรงไหน ...โอ๋กันเข้าไป” พี่ลูกขวัญแสยะยิ้มยืนยันว่าเขาเสือกจริงแถมเหน็บฝิ่นลงท้าย
“แล้วยังไง? แล้วยังไง?” แล้วไอ้ฝิ่นเนี่ยก็ผลักหน้าอกพี่ชายเขาไปสองครั้งอย่างทันทีทันใด
“อย่าทำพี่ขวัญ” แก้วต้องกระตุกแขนมัน เพราะพี่เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องถึงขนาดต้องข่มขู่หรือใช้กำลังด้วยหรอกแค่พี่ชายเขาสบายใจก็ปล่อย ๆ ให้พูดให้ทำไปเถอะ แต่เขากลับโดนฝิ่นหันมาถลึงตาใส่
“ขวัญมึงกลับไปเถอะบอกตรง ๆ กูรำคาญว่ะ” คนป่วยที่นอนหันหลังให้พร้อมหลับตาพูดบอก
“จิ๊ กูแค่เป็นห่วง ทั้งที่เกิดเรื่องมาตั้งกี่วันแต่กูเพิ่งรู้เรื่องเนี่ย”
“ห่วงชีวิตมึงเถอะ”
“เฮ้อ มึงจะทำเรื่องไร้สาระแล้วต้องเจ็บตัวบ่อย ๆ ไปอีกนานเท่าไหร่วะพงษ์” พี่ชายเขายืนกำสองมือแน่นพูดด้วยอารมณ์ต่อว่าพงษ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็ต่อว่าเขาด้วย
“กูไม่ตายก่อนมึงหรอก” พงษ์ไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นเลยแต่สวนกลับซะจนพี่ชายเขาเลือดขึ้นหน้าจนโพล่งออกมาเสียงดัง
“เพราะไอ้แก้ว!...”
พี่ไม้เดินมาหยุดข้างพี่ขวัญแล้วจับข้อศอกพี่จนเจ้าตัวต้องหันไปมองทั้งที่ยังพูดไม่จบ
“กลับ ทีหลังเป็นห่วงใครก็แสดงออกให้สมกับที่ห่วงก่อน ไม่ต้องหาเรื่องมันซะทุกครั้ง” พี่ไม้บอกพี่ลูกขวัญ
“มึงจะรู้อะไร!”
“แล้วมึงล่ะ รู้แต่ทำไมยังทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ” เมื่อความหวังดีถูกสะบัดแขนออกและโดนตะคอกกลับ พี่ไม้ก็สวนกลับเสียงเข้มเหมือนกัน
“.......” พี่ขวัญมองพงษ์จากด้านหลังด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ ความแข็งกร้าวของนัยน์ตา แต่กลับสัมผัสได้ว่าห่วงใย พี่ไม่ชอบให้พงษ์คบกับเขาเลยหวงแหนตำแหน่งเพื่อนที่ถูกเขาแย่งมา จนสองคนนี้ต้องแตกคอกัน แต่พี่ลูกขวัญก็คงยังแคร์พงษ์ไม่น้อย “เฮ้อ มึงรีบรึเปล่า?” พี่ลูกขวัญเอ่ยถามพี่ไม้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“รีบ”
“หึ” คำว่ารีบที่ดูออกว่าปฏิเสธ พี่แค่นเสียงในลำคอคล้ายว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว “ไว้กูจะมาเยี่ยมอีกละกัน” ก่อนบอกคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วเดินผ่านพี่ไม้ไป
“ขับรถดี ๆ ล่ะ” พี่ไม้เดินออกไปส่งถึงหน้าประตูท่ามกลางสายตาของทุกคน ...ยกเว้นไอ้พงษ์
“ไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ” พี่ลูกขวัญตอบในขณะก้าวเดินผ่านหน้าโจ้ซึ่งยืนอยู่ตรงทางออก
“ทำอย่างกับจะไปส่งเขาเลยนะพี่ ไม่รู้ว่าทำไมต้องไม่อยากให้มันโดนด่าตรงนี้ก็ไม่รู้เนอะ” โจ้ส่งเสียงเหมือนพูดขึ้นลอย ๆ แต่ใครก็ฟังดูรู้ว่ามันแอบเหน็บ
“จะพูดอะไรไอ้โจ้ นี่พี่มึงนะ” ฝิ่นปล่อยแขนเขาแล้วเจ้าตัวก็เดินกลับไปนั่งที่โซฟาคนเดียว แก้วถอนหายใจแล้วเดินตามไปนั่งข้างกัน
พงษ์คงหลับไปจริง ๆ แล้ว ถึงได้ไม่ลุกมาโวยอะไรต่อ
“หรือพี่ไม่คิดล่ะ” โจ้ถามความเห็นฝิ่นซึ่งนั่งขาไขว้กันแล้วกระดิกเท้ามองหน้าพี่ไม้อย่างวิเคราะห์
“เรื่องของพวกมึงเถอะ แต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่” ไม้ตัดบทด้วยการกระชับกระเป๋าเป้แล้วเดินออกไปถึงตัวโจ้
“เด็กมีปัญหา หึ”
“ไอ้โจ้!” ฝิ่นเสียงแข็งใส่เมื่อพี่ไม้ยืนอยู่ตรงหน้าไอ้โจ้พอดี “แล้วพี่เป็นอะไรกับมันมากรึเปล่า ถ้าว่าช่วยผมเรื่องผมก็จบแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องไปดีด้วยกับคนพรรค์นั้นต่อหรอก” ไอ้พี่ฝิ่นมันหลอกด่าพี่ชายเขาซึ่ง ๆ หน้า ไม่ได้คิดว่าเขาจะรู้สึกยังไงเลย มันด่าพี่ชายเขาแต่มองหน้าเขาไปด้วย!
“แค่เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวน่า ไม่ได้เจอบ่อยสักหน่อย พวกมึงนี่อะไรวะ” พี่ไม้ที่คิ้วชนกันมองฝิ่นตาขวาง
“ผมเคารพการตัดสินใจของพี่เสมอ” ฝิ่นลุกขึ้นยืนมองหน้ารุ่นพี่ตัวเอง
แก้วก็นั่งเงียบ เพราะเป็นเรื่องของสายนั้นไม่เกี่ยวกับตัวเอง
“กูยังไม่อยากมีภาระ” ประธานสาย๕xคนล่าสุดกับอดีตประธานสาย๕xเสียงเย็นยะเยือกใส่กัน
“ภาระเลยเหรอพี่?” โจ้แทรก
“ไม่ต่างจากเอาอีกคนมาแขวนคอตัวเอง มึงว่าเป็นภาระไหมล่ะ เดี๋ยวก็หวง เดี๋ยวก็ห่วง หึ กูยังไม่อยากดูแลใคร ไม่อยากเหมือนไอ้ฝิ่นตอนนี้ ไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกว่ะ”
ฝิ่นล้วงกระเป๋าสองข้างด้วยใบหน้านิ่ง ๆ มองหน้ารุ่นพี่มัน
“ถ้าอย่างนั้น...ให้ผมดูแลพี่นะ”
“หืม?” สิ้นประโยคของโจ้ไอ้ประธานสาย๕xที่หาเรื่องรุ่นพี่ด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ก็คิ้วขมวดกันเป็นปมขึ้นมา
“ผมอยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ ผมขอดูแลพี่จนกว่าพี่จะพร้อมดูแลใครละกัน พี่ฝิ่นยังเห็นด้วยเลย” โจ้บอกต่อ
“ถ้ามึงไม่มีนัยยะแอบแฝง...” ฝิ่นหน้าเหี้ยมใส่รุ่นน้องมัน
“โธ่พี่ฝิ่นตั้งแต่มีเมียเป็นผู้... เอ้ย ขอโทษครับผมล้อเล่น” ฝิ่นก้าวเท้าไปหาโจ้พลางเอามือแตะไหล่มัน ไอ้โจ้จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมยกมือไหว้ “พี่บอกให้ผมช่วยดูพี่ไม้ให้ไม่ใช่เหรอ อย่าลืมสิครับพี่”
“เหอะ”
“ไม่ดีกว่าโจ้ ถ้าหวังดีกับกู แค่มึงอยู่ข้าง ๆ กูก็พอไอ้น้อง” พี่ไม้ตบไหล่โจ้อีกข้างและจับมือฝิ่นออกจากบ่าไหล่มัน ก่อนเดินนำออกจากห้องแล้วโจ้ค่อยยกมือไหว้ฝิ่นอีกรอบและวิ่งตามหลังพี่ไม้ไป
ฝิ่นเดินกลับมาแต่ไปยืนข้างเตียงฝั่งที่พงษ์หันหน้าไป
มันมองพงษ์เงียบ ๆ คล้ายพินิจพิจารณาอะไรสักอย่าง
เฮ้อ...ไม่รู้คิดอะไรอยู่แก้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามเจ้าตัวออกไป
“ผมเป็นภาระให้พี่รึเปล่า?”
“เป็น” ไอ้พี่ฝิ่นตอบทันทีทันใด มันจะใช้เวลากลั่นกรองความคิดก่อนสักหน่อยก็ไม่ได้ อารมณ์จะเชื่อมั่นอะไรสักอย่าง ห่อเหี่ยวลงทันตา ...ไม่น่าอยากรู้เลย
คิดเองเออเองให้ตัวเองมีความสุขไปเรื่อย ๆ ยังดีซะกว่า
“ถ้าลำบาก กูดูแลของกูเองได้” พงษ์ที่คิดว่าหลับแล้วส่งเสียงขึ้นมาแทรก
“หึ กูนึกแล้ว” ฝิ่นหัวเราะในลำคอ ขณะที่พงษ์ขยับตัวขึ้นนั่งเพื่อมาฟาดฟันสายตากับฝิ่นโดยไม่ใช้เครื่องปรับระดับเตียงจนเจ้าตัวเบ้หน้าด้วยความที่ยังเจ็บแผลอยู่
“จะนาทีนี้ หรือนาทีไหน แค่มึงพูดออกมาจากใจจริงของมึงโดยไม่ต้องรู้สึกผิดเหี้ยอะไรจากที่แล้วมา ไอ้แก้วมันรับได้ทั้งนั้นแหละ อยากให้มันอยู่ หรืออยากให้มันไป เอาความจริงมาพูดกัน อย่ามาสร้างฝันลม ๆ แล้ง ๆ ให้มัน!” พงษ์กำหมัดเกร็งคาดคั้นฝิ่นเป็นชุดด้วยเพราะมันได้ยินทุกคำที่ทุกคนในห้องนี้พูดคุยกันมาตลอด
พงษ์ไม่รู้หรอกเวลาเขาอยู่กับฝิ่นมันเป็นยังไง
ความแน่นอนที่ไม่แน่นอนอยู่เป็นพัก ๆ แต่ความมุ่งมั่นของเขามันเหนือกว่าสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้สึก เสมอ
“กูอยากมีภาระ”
พงษ์ถึงกับพูดไม่ออก
หึ...
ชีวิตบนเส้นทางของนักเลงฝึกหัด แม้ไม่ได้ชอบใจไปซะทุกสิ่งที่ต้องเดินบนหนทางที่เจอะเจอกับมีด หอก คม ดาบ และอีกสารพัดอาวุธที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าจะออกรบ
แต่ความแข็งแกร่งก็เหมือนเกราะกำบังตัวที่ห่อหุ้มนักเรียนนักเลงให้รอดพ้นจากอันตรายเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ไปจนกว่าจะเรียนจบ
...ทุกคนจึงต้องมีความกล้า และแกร่ง ไว้เป็นต้นทุนนอกเหนือจากอาวุธนอกกายที่เอาไว้ข่มคู่อริ
อ้อมกอดเด็กช่าง...อ้อมกอดแข็งกระด้าง ไร้ความอ่อนโยน ไร้ความนุ่มนวล เจ็บบ้าง หายใจไม่ออกบ้าง บางครั้งกระดูกแทบหัก
แต่สำหรับใครบางคน
...นั่นคือความปลอดภัย อุ่นใจ และมั่นคง
- จบ -
แต่อย่าเพิ่งย้ายนะคะ เดี๋ยวมีตอนไม่ค่อยพิเศษ(อีกนานกว่าจะตามมา)
เป็นตอนจบที่ไม่มีอะไรสวยงาม แต่...คนเขียนชอบอย่างนี้จริง ๆ ค่ะ ฮ่า ๆ ๆ (รอตอนพิเศษที่จะมาเก็บ ๆ ช่องโหว่ไปก่อนนะคะ^^)
รวมเล่ม แหะ ๆ “ซีซั่นยังไม่ขอตอบอะไรตอนนี้นะคะ” ...ดูเป็นดารามากจ๊ะ กร๊ากกก
คือพูดก็พูดเถอะ ตอนนี้คนเขียนไม่มีเวลาตรวจทานและแก้ไขตอนก่อน ๆ เลยค่ะ อย่างที่บอกว่าอยากทำ แต่ถ้าทำไม่เต็มที่ก็ไม่อยากทำ ฮ่วย! แต่ภายในปีนี้ คนเขียนยังไม่รวมเล่มแน่นอนค่ะ
ขอบคุณที่ถามไถ่มาเรื่อย ๆ นะคะ ซึ่งนังคนเขียนไม่ได้มีคำตอบดี ๆ ให้เลย ฮ่า นางมีจุดยืนที่ไม่แน่นอนเสมอ
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะจ๊ะ กอด ๆ จุ๊บ