อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๑๖
“ไอ้แก้ว ไปไหนมาล่ะเนี่ย” พี่ดีลงจากรถแท็กซี่พูดด้วยน้ำเสียงลิ้นพันเดินเซๆเข้ามาหากอดไหล่เขาที่เพิ่งถึงหน้าบ้านพอดี
กลิ่นเหล้าหึ่ง ดูท่าคงเมาตั้งแต่เลิกเรียนเลยสิ
เขาคุ้นชินกับภาพเด็กช่างเมาแอ๋ตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่นึกว่าพี่ดีเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ยังทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ไป...บ้านเพื่อนมาพี่” เขาตอบ เหล่ตามองแขนที่พาดบนไหล่ ก็แค่ผู้ชายกอดคอกันปกติน่า...
เพราะไอ้ฝิ่นบ้านั่นแท้ๆทำเอาเขาระแวงคนอื่นไปด้วย
“อือๆ เข้าบ้านกันเถอะ พี่ง่วงฉิบหาย วันนี้ไปฉลองเปิดเทอมมา ไม่ได้อยากจะเมาเลยให้ตาย” เขาจำต้องพยุงพี่ดีที่เกาะไหล่เขาไม่ปล่อยเข้าบ้าน
“แก้ว!” พี่ดิวเรียกซะเสียงดัง ยืนคิ้วชนกันรออยู่หน้าประตู
“อ้าว น้องชายทำไมมายืนตรงนี้ล่ะ ไม่นอนพักล่ะคร๊าบ เดี๋ยวทรุดไม่สบายขึ้นมาจะหาว่าพี่ไม่เตือนน๊า”
“มึงเงียบปากไปเลย กูไม่ได้จะคุยกับมึง”
“ออๆ ไม่คุยๆ แก้วไปส่งพี่ที่ห้องหน่อยครับ พี่มึนหัวเดินไม่ไหวเลยจริงๆ” เขาลังเล เพราะรู้ว่าพี่ดิวกำลังไม่พอใจ แต่พี่ดีก็เมาจนยืนแทบไม่อยู่จริงๆนี่นา
พี่ดิวจ้องหน้าพี่ดีเขม็งก่อนจะผลักอกพี่ชายตัวเองจนเซออกห่างจากตัวเขา แก้วเองก็เซไปชนกับบานประตูเช่นกัน
“หึ หวงจริงหวงจัง ของตัวเองก็ไม่ใช่” พี่ดีปัดๆไหล่ตัวเองมองหน้าน้อง
“มึงจะไปเลวที่ไหนก็ไป แต่บอกแล้วอย่ามายุ่งเกี่ยวกับคนของกู” พี่ดิวกัดฟันพูดคล้ายข่มอารมณ์ที่สุดแล้ว แก้วสังเกตได้จากสองมือพี่ที่กำหมัดแน่นแนบลำตัว
“แบ่งๆกันน่าจะเป็นไรไป ทีของพี่ พี่ยังแบ่งน้องได้ตลอดเลยนี่นา” พี่ดีพูดโดยไม่ดูอารมณ์น้องชายตัวเองเลย
“ไอ้ดี!”
“หึ ที่มึงขึ้นมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะกูหรอกเหรอ อย่าลืมบุญคุณกันหน่อยเลยน่า” พี่ดียังพูดยั่วต่อคล้ายสนุก
“ไม่ใช่!” พี่ดิวเสียงดังใส่ทันควัน แต่พี่ดีเพียงหัวเราะให้ ก่อนจะหันมาหาเขา
“เอ็งไม่เป็นไรใช่ไหมไอ้แก้ว” เขาพยักหน้าแทนคำตอบ อึ้งๆกับน้ำเสียงพี่ดีที่ชัดถ้อยชัดคำ คนพูดจาลิ้นพันกันเมื่อกี้หายไปไหนวะ “ถ้าอยู่กับมันแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยล่ะก็...”
“แก้วขึ้นห้อง!” พี่ดิวเสียงแข็งพูดแทรกทันที แล้วดึงแขนเขาเดินผ่านหน้าพี่ดีที่ยังยิ้มร่าอยู่เหมือนเคย
แกล้งเมาเหรอเนี่ย ...หึ โง่ชะมัดไอ้แก้ว พี่ดีคงจะไว้ใจไม่ได้อย่างที่พี่ดิวบอกจริงๆแล้วสิ
.
“ไปไหนมา?” คำถามส่งมาทันทีเมื่อประตูห้องนอนปิดลง แก้วเดินไปเปิดลิ้นชักควานหาเสื้อผ้าเพื่อจะเปลี่ยน แต่พี่ดิวกลับตามมาจับไหล่ให้เขาหันหน้าเพื่อไปคุย
“ไปกินข้าวกับไอ้แสน” เขาตอบ แต่พี่มองเหมือนไม่เชื่อ แก้วจึงรีบเสหน้ามองไปทางอื่น
เรียวมือสัมผัสเบาๆที่ซอกคอทำเอาเขาสะดุ้งถอยหนีก่อนจะหันกลับมามองพี่ตาขวาง นี่พี่ดิวจะทำอะไร?
“แก้ว...” พี่มองหน้าเขาด้วยแววตาตัดพ้อ อะไร?... “แก้วไปไหนมา” พี่ดิวยังย้ำคำถามเดิม แววตาตัดพ้อที่ว่า เขาคิดว่ามันดูเหมือนคาดคั้นมากกว่าแล้วตอนนี้
“เมื่อกี้ผมก็บอกพี่แล้วไงว่าไป...” แก้วชะงักเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะรีบร้อนหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไปอย่างเร็ว
ร่องรอยจากคนตาดุที่ซอกคอ
แก้วแตะรอยจ้ำสีม่วงปลายนิ้วลากผ่านรอยฟันคมเบาๆพลางถอนหายใจใส่หน้ากระจก เฮ้อ... จะบอกว่าไอ้แสนทำพี่ดิวต้องไม่เชื่อแน่ แล้วไอ้บ้านั่นมันนึกยังไงของมันกัดมาได้ แก้วเม้มริมฝีปากมองหน้าตัวเองผ่านกระจก
มือขวาวางตรงหน้าอกข้างซ้ายที่เพียงแค่นึกขึ้นมา ในใจก็รู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่คิดยังไงบอกไม่ถูก
เขาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติ จึงคิดว่าน่าจะออกไปได้แล้ว แต่พอออกมาก็ไม่เห็นพี่...ก็ดีเหมือนกัน เขาไม่อยากพูดอธิบายอะไรตอนนี้ แล้วยิ่งรู้ว่าพี่ดิวหวังดีกับเขาแบบแปลกๆ ซึ่งเขาสัมผัสไม่ได้ เขายิ่งไม่อยากจะพูดบอกอะไรให้มากความ
เขาเอนหลังลงเตียง เมื่อเช้าพี่ดิวตื่นก่อนดันเห็นเขานอนกับพื้นจนได้ พี่กลัวว่าเขาจะไม่สบายจึงขอให้นอนที่เตียงแทน เขาจึงต้องรับปาก เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง จะบอกว่านอนดิ้นก็ไม่ใช่อยู่แล้ว อันนี้พี่ดิวก็รู้อยู่…แต่จริงๆเขานอนข้างล่างตั้งหลายวันยังไม่เห็นเป็นอะไรเลยสักนิด พี่ดิวนี่ชอบคิดมากจัง
แก้วง่วง อีกทั้งตั้งใจจะเลี่ยงตอบคำถามที่ค้างอยู่ของพี่ดิวด้วย จึงหลับตานอนเล่นๆสุดท้ายก็เข้าสู่นิทราจริง
.
.
“น่าเอาสนับมือกระแทกตาด้วย มองอยู่นั่นแหละ”
“ซู่ววว” เขาจุ๊ปากปรามเพื่อน
“ไอ้พงษ์มันคิดยังไงของมันนะฝากมึงไว้กับไอ้ดิวเนี่ย” แสนยังนินทาระยะเผาขนไม่หยุดเมื่อเขาเล่าเรื่องบางส่วนให้ฟัง
วันนี้นักศึกษาปวช.ปี๓ กับ ปวส.ปี๒ ที่ต้องไปฝึกงานต้องมานั่งฟังอาจารย์อบรมแต่เช้า และพี่ดิวก็นั่งอยู่แค่แถวหลังนี้ด้วย ไอ้แสนมันชอบหาเรื่องใส่ตัวดีจริงๆ
“ก็นี่แหละ กูรู้สึกยังไงๆไม่รู้” มันบอกไม่ถูกด้วยสิ เขารู้สึกแปลกแยกตั้งแต่...ตั้งแต่อยู่ดีๆก็ถูกสั่งให้รักผู้ชายด้วยกัน
“ไม่รู้สึกสิแปลก ไอ้ดิวน่ะมันจ้องจะงาบมึงอยู่ตลอดซะขนาดนี้”
“ห๋า?...เอ่อ ...เหรอ?” นี่ไอ้แสนรู้เรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ เขาตาโตก่อนจะขยับตัวนั่งตรง
“ไม่รู้จะเทอดทูนอะไรกับคนอย่างนี้ กูล่ะสงสารไอ้พงษ์จริงๆ อืม เอาอย่างนี้ไหมบัดดี้ มึงย้ายสายเลย มาอยู่กับเฮีย อยู่บ้านเฮียก็ได้”
“จะดีเหรอ” บ้านเขากลับได้สองทางทั้ง๓T และ ๙T ก็จริง แต่ถ้าย้ายสายตอนนี้ก็ต้องไปรับน้องใหม่ ไม่มีไอ้พงษ์อยู่ข้างๆเขาก็ไม่อยากทำอะไรเลยจริงๆ ทำไปเพื่ออะไรมันรู้สึกอย่างนั้น แถมอีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้วด้วย คงไม่จำเป็นต้องหาใครมาคุ้มหัวหรอก อีกอย่างเป็นภาระคนอื่นเปล่าๆ
“อืม ดีสุดแล้ว แล้วก็พักกลางวันเข้าไปหาพี่ภูในห้องซ้อมด้วย” เขาพยักหน้ากะจะทำตามแค่อย่างหลัง เอาไว้คุยกับพี่ก่อนละกันค่อยว่าอีกที แล้วหันไปสนใจฟังอาจารย์ที่พูดอยู่หน้าห้องประชุม
.
.
“เสียดายที่ไม่ได้ฝึกงานที่เดียวกัน” พี่ดิวพูดขณะทานข้าวเที่ยงด้วยกัน แต่ตายังเผลอมองที่คอเขาบ่อยๆตั้งแต่ออกจากบ้านทั้งที่เขาติดพลาสเตอร์ปิดไว้ตั้งสองแผ่นแล้วนะ
“.....................” เขาพยักหน้าพลางตักข้าวเข้าปาก ก็ดีแล้วนี่ขืนต้องฝึกงานที่เดียวกันอีกเขาคงไม่มีเวลาหายใจเป็นส่วนตัวแน่ อยู่บ้านก็เจอ อยู่โรงเรียนยังตามติดทุกฝีก้าว ไอ้แสนยังต้องหนีไปกินข้าวกับเพื่อนคนอื่น มันบอกว่ารำคาญ...เขาเองไม่รำคาญหรอกแต่แค่รู้สึกว่าพี่ดิวก้าวเข้ามายุ่งกับชีวิตประจำวันเขามากไปเท่านั้นเอง
“อิ่มรึยัง?” เสียงนุ่มแต่เหวี่ยงดังขึ้นเหนือหัว แก้ว พี่ดิว เงยหน้าขึ้นมอง
“พี่ กินข้าวเสร็จว่าจะไปหาอยู่พอดี” เขายิ้มให้พี่ภู แต่พี่ดิวหันหน้าหนีไปทางอื่น
“ก็นั่นแหละ อิ่มรึยัง มีเรื่องจะคุยด้วยไอ้แสนไม่ได้บอกเหรอ ไม่ได้ว่างรอทั้งวันหรอกนะ” ผีเข้าแต่เที่ยงวันเชียววุ้ย แก้วมองนาฬิกาข้อมือ เที่ยงสิบห้านาที จะรีบไปไหนของพี่วะ?
“แต่นี่เพิ่ง...”
“อิ่มแล้วใช่ไหม งั้นตามมา เดี๋ยวนี้!” พี่ภูพูดมองหน้าพี่ดิว แต่แค่มองนะ มองผ่านเฉยๆไม่ได้สนใจพี่ดิวอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
“ถือว่ามีแบ็คใหญ่แล้วกร่าง” พี่ดิวว่าตามหลัง
“พี่ภูเขาก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีพี่โซ่สักหน่อย” เขาพูดให้พี่ดิวเข้าใจพี่ชายเขาอีกคน อารมณ์อย่างนี้คงโดนไอ้แสนกวนมาอีกล่ะสิท่า “ผมไปก่อนนะพี่” บอกเสร็จแก้วรีบเดินออกจากโรงอาหารตามพี่ภูเข้าห้องซ้อมอย่างไว
.
.
“ทำไมไม่มีใครอยู่เลยพี่” ปกติห้องนี้ต้องมีเสียงกลองเสียงเครื่องดนตรีดังจนหนวกหูทุกครั้งที่เข้ามานี่นา
“กูขอใช้พื้นที่เองแหละ”
“...ครับ” เขาฟังคำตอบของพี่ รับคำอย่างมึนๆ พลางคิดในใจ งานใหญ่แน่ ไม่อย่างนั้นพี่ภูคงไม่ไล่คนอื่นออกจากห้องหรอก แก้วเดินไปนั่งโซฟาที่อยู่หลังโต๊ะคอมซึ่งพี่ภูกำลังก้มหน้าก้มตาตัดเสียงอยู่
“เมื่อวานอารมณ์ไม่ดีเลยยังไม่ได้คุย วันนี้พูดทีเดียวเลยแล้วกัน” ยังคงหันหลังกดเมาส์ยิกๆ “เล่ามาสิ” ประโยคนี้พี่ภูหันเก้าอี้มากอดอกมองหน้าเขาจังๆ ทำเอาแก้วชะงักกึก
“หะ ห๋า?”
“คอไปโดนอะไร?” พี่ภูย่นคิ้วถาม เอ่อ... อ่า... จะตอบว่ายังไง แก้มเม้มริมฝีปากเข้าหากัน มือลูบพลาสเตอร์
“เมื่อวานไหนบอกไม่โดนอะไรไง”
“คือ คือ เมื่อวานไม่โดนพี่”
“แล้วนี่ล่ะ” พี่ภูตีมือเขาแล้วปัดออกพลันแกะพลาสเตอร์อย่างเร็ว
“เฮ้ย พี่!” เขาอุทานอย่างตกใจ รีบเอามือปิดๆไว้ซึ่งมันคงไม่ทันแล้ว...
“อะ ไอ้แก้ว มึง คอมึง” พี่พูดตะกุกตะกัก จับไหล่เขาเขย่า “บอกมานะใครทำ ไอ้ดิวเหรอ? ไอ้ดิวใช่ไหม กูจะไปเอาเลือดหัวมันออก ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้...” พี่ท่าทางโมโหปนสับสนอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะลุกเดินวนรอบห้องอย่างกระสับกระส่าย
แล้วทำไมไม่คิดว่าเป็นผู้หญิง หรือไม่ก็คนอื่นทำบ้างล่ะ
เขาลุกไปดึงแขนพี่มานั่งโซฟาตัวเดียวกัน แต่แก้วกลับไม่มีท่าทีร้อนรนไปตามพี่ แค่ไม่อยากให้ใครเห็นเท่านั้น ไม่อยากตอบคำถาม ไม่ได้ให้ค่าอะไรกับมันมากมาย...สักนิด
“พี่ครับ ไม่ใช่!” เขารีบตอบก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงไปมากกว่านี้เมื่อคิดถึงคนที่ทำรอย เฮ้อ ไอ้หัวใจไม่รักดี บอกว่าไม่ให้ค่าก็อย่าใส่ใจสิวะ
“มันเป็นใคร? กล้าทำรอยมึงได้ไง แล้วไม่ใช่รอยดูดธรรมดาซะด้วย ซาดิสม์ล่ะสิท่า” แก้วรู้สึกหน้าร้อนๆชอบกล คงมาจากที่พี่จ้องหน้าสบตาอย่างคาดคั้น ไม่ได้มาจากคำพูดของพี่หรอกน่า
“พี่...พี่รู้สึกยังไงตอน เอ่อ...” แก้วเลือกที่จะตั้งคำถามแทนการตอบ พี่ภูเป็นเหมือนคนในครอบครัวรองจากไอ้พงษ์ คุยได้ทุกเรื่องก็จริง แต่...จะเริ่มจากตรงไหนนะ
“เอางี้ ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” เขาหน้าเหวอเมื่อพี่พูดออกมาโต้งๆ แก้วหันไปมองประตูขวับกลัวใครเข้ามาได้ยิน
“เหวอ...ผู้ชาย!? ทำไม่พี่ไม่คิดว่าเป็นผู้หญิงล่ะ” แล้วถามกลับเบาๆ
“หึ ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น แล้วนี่ไม่ใช่ไอ้ดิวใช่ไหม?”
“...................” เขาพยักหน้า แล้วก้มนับนิ้วมือตัวเอง
“เฮ้อ โล่งอก คงเป็นไอ้นั่นสินะ”
“เห๋? ไอ้นั่น?” เขาเงยหน้ามองพี่อีกครั้งด้วยความข้องใจ พี่ภูยิ้มอย่างมีเลศนัย ไอ้นั่นของพี่คือใครหว่า?
“หึ ฮ่าๆๆๆๆๆ” พี่ภูกลับหัวเราะซะยกใหญ่กลับมา “ไอ้โซ่คงจะนอยด์ไปหลายวันถ้ารู้ว่ามีคนชั่วกว่ามันในโลกนี้ด้วย ฮ่าๆๆๆ” เหอะ อะไรจะทำท่าพอออกพอใจขนาดนั้น
ก๊อก ก๊อก
“พี่ภู เฮ้อ โล่งอก” ประตูถูกเปิดพรวดเข้ามา แก้วรีบมองหาพลาสเตอร์ที่พี่ดึงออก พลันหยิบมาส่งให้พี่ช่วยแปะคืนเพราะเขามองไม่เห็นรอย
“อะไร? มีอะไร” พี่ภูเสียงแข็งตะโกนตอบคนนั้น น่าจะเด็กช่างปีหนึ่งเดินเข้ามาหาพี่
“อ้อเปล่าๆ แต่พี่อยู่แต่ในนี้นะอย่าออกไปไหนล่ะ” มันพูด หึ ไม่ได้มีพิรุธเลย แก้วนึกขำในใจ
“ทำไม?”
“เอ่อ คือ”
“ไอ้แจม กูถามว่าทำไม?” เออทำไม? มึงจะเลือกตอบได้รึยังก่อนที่พี่กูจะองค์ลงอีกรอบ
“คือ พี่โซ่ให้มาเฝ้าอย่าให้พี่ออกไปข้างนอก อาชีวะx เต็มหน้าโรงเรียนเลย แหะๆ” ไอ้น้องชื่อแจมตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ คงโดนขู่มาล่ะสิ เอ๊ะ...อาชีวะX
“เหี้ยเอ้ยเรื่องจะคุยยังไม่ได้คุยเลย”
“ไอ้ฝิ่น” เขาพึมพำแล้วรีบวิ่งตามพี่ออกไป ได้ยินแต่ไอ้แจมบ่นตายห่าๆวิ่งตามหลัง
คงต้องตายแน่ๆ ไม่ตายวันนี้มึงจะตายวันไหนไอ้บ้าฝิ่น มึงจะมาทำไมวะ? ไหนบอกให้เวลากูเคลียร์แล้วไง
แก้วใจหายใจคว่ำวิ่งตามพี่ไปจนถึงตึกหนึ่งซึ่งมองเห็นเหตุการณ์หน้าโรงเรียนได้แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง
บรรดาอาจารย์ต่างไล่นักเรียนเข้าห้อง ไม่ได้เข้าใจเลยว่าในเวลาอย่างนี้มีแต่คนอยากรู้อยากเห็นทั้งนั้น
“ไอ้โซ่!” พี่ภูคล้ายกับพูดลอยๆคนเดียว
ใช่หน้าโรงเรียนนั่น พี่โซ่ พี่แชมป์ พี่เวย์ประธานอีกสาย พี่ป๊อบประธานนักเรียนยืนพูดคุยกันอยู่หน้าโรงเรียน และเด็กในสายเรียกได้ว่าแทบทุกคนของทุกสายยืนออกันอยู่ใกล้ๆตรงนั้น
ถ้าเขาจะเดินไปดูเหตุการณ์ใกล้ๆด้วยก็ไม่แปลกใช่ไหมเพราะเขาก็คนของสายเหมือนกัน
ไวเท่าความคิด เท้าแก้วก็ก้าวทันที
“กูไปด้วย” แก้วหยุดชะงัก พี่ภูคงจะเป็นห่วงพี่โซ่อยู่ไม่น้อยดูจากสีหน้าที่กังวลจนปิดไม่มิด
“พี่รออยู่นี่กับไอ้แจมนะ” เขาบอกแล้วรีบจ้ำอ้าวไปหน้าโรงเรียน
จะมาทำไมมาเหยียบถึงถิ่นขนาดนี้พี่โซ่ไม่ปล่อยไปแน่
“ไอ้ดิว” ฝ่ายนั้นพูด
“กูต้องสอบสวนเด็กกูก่อนว่ามันทำจริงรึเปล่า” พี่แชมป์คงจะตอบกลับ
“กูสอบเด็กมึงแล้วมันบอกมาอย่างนี้มึงยังจะถ่วงเวลาหาอะไรวะ”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราคุยกันได้เหมือนที่เคยทุกครั้งนะ แต่ขอทางกูสอบถามเด็กก่อน ถ้ามันทำจริงก็ต้องส่งตัวให้อยู่แล้ว” พี่ป๊อบที่มีอำนาจต่อรองที่สุดตอบโต้บ้าง นี่คุยกันเรื่องอะไรอยู่วะ
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ” เขาเอ่ยปากถามเพื่อนร่วมสถาบัน
“ประธาน๕Xโดนฟันเมื่อเช้า มึงคิดว่ามันเป็นเรื่องรึเปล่าล่ะ” ไอ้นั่นตอบมา ประธาน๕X ถ้าเขาจำไม่ผิด...
“ไอ้ฝิ่น!” แก้วชะเง้อคอมองไปยังกลุ่มคนต่างสถาบัน ไม่มีมัน ไม่มีจริงๆด้วยไม่มีไอ้ฝิ่น พี่ไม้ ไอ้โจ้
“บัดดี้ๆ” ไอ้แสนสะกิดแขนเขา แก้วทำเป็นยืนนิ่งให้เข้ากับคนอื่นๆ แต่ในใจกลับไม่อยู่ตรงนี้แล้ว “พี่ดิวคนดีก่อเรื่องอีกแล้วล่ะ”
“กูให้เวลาสามวัน แต่ภายในเวลานี้ถ้าพวกกูเจอมันที่ไหนแล้วจะเอาคืนบ้างก็อย่ามาโวยละกัน” ทางนั้นพูดประโยคส่งท้ายก่อนจะยกพวกพากันเดินออกไปทางป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถกลับ
พี่ดิว?
แล้ว...ไอ้ฝิ่นเป็นยังไงบ้าง
..................................
สดๆร้อนๆ ในที่สุดเราก็อัพติดกันไม่ได้อีกแล้ว กระซิก กระซิก (คิค)Drama story นี่จบเศร้ามั้ยคะ อิิอิ แต่ชอบฝินน่าเถื่อนๆดีจังเลยอ่ะ
...ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่าไม่เศร้าแน่นอนค่ะ ซีซั่นชอบนิยายที่มีอะไรในเรื่อง (อะไร คืออะไร? แอร๊ งง ตัวเอง ฮา) เพราะถ้าเรื่องนี้จบไม่งามคนเขียนคงเป็นคนแรกที่ไม่สามารถเขียนได้ค่ะ แค่คิดพล็อตก็คงนอยด์จนเขียนไม่ออกแล้ว เคยอ่านนิยายที่จบเศร้าๆนะ ชอบนะไม่ใช่ไม่ชอบ แต่อ่านจบแล้วนอยด์มาก ต้องจูนสติตัวเองเป็นเดือนถึงจะเข้ามาอ่านนิยายเรื่องใหม่ได้ อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้ดราม่านะ (ยังคงยืนกรานว่าอย่างนั้น เอิ๊กๆ) เอ๊ะ..นักเขียนชอบไม้ นี่เอาอิมเมจไม้มาจากคนใกล้ตัวหรือเปล่าหว่า
...คนใกล้ตัวถ้าให้อิมเมจคงเป็นไอ้ฝิ่นมากกว่าพี่ ฮ่าๆๆๆๆ
...พี่ไม้นี่จะว่าใกล้ก็ไม่กล้าพูด จะว่าไกลก็คงประมาณนั้น พี่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิทยาศาตร์ไม่สามารถอธิบายได้ เวลานั่งใกล้ๆรู้สึกเหมือนมีรังสีบางอย่างผลักเราให้ออกห่างยังไงอย่างนั้น เป็นคนประมาณไม่ต้องพูดอะไร แค่รู้ว่าพี่ไม้อยู่ตรงไหนก็ใจสั่นแล้วอะ (พูดไปนั่น อวยเหลือเกิน ฮ่าๆ)
เกิดเป็นพี่ไม้นี่โชคดีจริงๆ แค่โปรไฟล์ยังเท่ซะ ? พูดไม่กี่ประโยคคนอ่านก็ปลื้มละ ใช่ซิ๊ ไอ้ฝิ่นเหมือนลูกเมียน้อยเลยสินะ เกิดเป็นพระเอกต้องอดทนนะลูกนะ โฮ ชีวิตแกช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ^^ คนอ่านหน้าใหม่ที่หลงผิดคลิกพลาดเข้ามาด้วย ฮ่า ยินดีต้อนรับคร๊าบบบ กอดๆ จุ๊บ